กลางดึก...เสียงผิวปากหนึ่งสั้นสองยาวดังมาจากห้องพักของชินอ๋อง ทันใด...ชายฉกรรจ์ชุดดำที่กลืนกับความมืดก็พลิ้วกายเข้าไปในห้องพัก คุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมค้อมคำนับ “คารวะชินอ๋อง” “เรื่องที่สั่งให้จัดการเป็นอย่างไรบ้าง?” “ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับ... อ๋องห้า ขุนพลติง และพรรคพวกซุ่มโจมตีขบวนเดินทางปลอมของท่านอ๋องกับพระชายา ถูกกองทัพที่คอยคุ้มกันตีแตกพ่าย แต่อ๋องห้ากับขุนพลติงหนีไปได้ ทางเมืองหลวงเป่ย คุณหนูลู่ซีหมั้นหมายกับคุณชายหานอวี้ บุตรชายคนรองของใต้เท้าหานกงเรียบร้อยแล้วขอรับ” “ดี...” ชินอ๋องสั่ง “ให้คนของพวกเราตามล่าอ๋องห้ากับขุนพลติง...จับเป็นหรือจับตายก็ได้ทั้งนั้น! และค้นหาจดหมายที่ฮ่องเต้ส่งให้แก่ขุนพลติงเมื่อห้าปีก่อนมาด้วย” “ขอรับ” “เจ้าไปได้แล้ว” ชายฉกรรจ์ในชุดดำพลิ้วตัวจากไปอย่างรวดเร็ว จ้าวชิงเฟิงลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า ก็สบเข้ากับดวงตาคมกริบของชินอ๋อง เพราะต่างนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน เขาจำได้ว่าเมื่อคืนได้ขอแยกห้องนอนกับชินอ๋อง แต่ชินอ๋องกล่าวว่า “อย่า
ชินอ๋องรีบโอบกอดร่างอ่อนระทวยของจ้าวชิงเฟิงเอาไว้ “ฟูเหรินๆ...เจ้าอย่าได้เป็นอะไรไปนะ” ร้องอย่างตกใจแล้วช้อนร่างไร้สติขึ้นอุ้ม พาไปขึ้นรถม้ากลับเรือนรับรองอย่างรวดเร็ว พอถึงเรือนรับรอง ก็อุ้มจ้าวชิงเฟิงไปยังห้องนอน พลางตะโกนสั่งเสียงดังก้อง “รีบตามหมอมาโดยด่วน” ที่จวนของลู่หาน... ในห้องนอนของคุณหนูลู่ซี “ท่านแม่...ข้า...ข้า...ถอนหมั้นองค์ชายแล้ว...ฮือๆๆๆ” ลู่ซีซบอกนางหลิ่วซื่อผู้เป็นมารดาร้องไห้กระซิก นางหลิ่วซื่อลูบหลังปลอบบุตรสาวว่า “ซีซี ลูกของแม่ทำถูกต้องแล้ว...องค์ชายจ้าวชิงเฟิงถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการที่ต้าหนาน ยังจะมาผูกมัดลูกของแม่เอาไว้อีก ช่างไร้คุณธรรมยิ่งนัก เขารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้กลับมา และนานแค่ไหนถึงจะได้กลับมา แต่กลับยังตกลงหมั้นหมายกันเองกับลูก ทำให้ลูกดื้อรั้น ไม่ยอมรับหมั้นคุณชายคนอื่นๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวหรือ?” “ท่านแม่...” ลู่ซีเอ่ยได้เพียงแค่นั้น นางหลิ่วซื่อก็ร่ายยาวแทรกขึ้นทันที “หากองค์ชายเสียชีวิตที่ต้าหนาน ลูกแม่มิต้องกลายเป็นหม้
เมื่อจ้าวเชิงเฟิงจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองหลวงเป่ยเป็นระยะเวลานาน ชินอ๋องก็สั่งให้ซือหมิงกลับต้าหนานไปพาตัวจางจง เสี่ยวหง เสี่ยวชุ่ย และเสี่ยวหยวนจื่อ มายังเมืองหลวงเป่ยอย่างไว เพื่อมาปรนนิบัติรับใช้จ้าวชิงเฟิง โดยหวังว่าหากจ้าวชิงเฟิงฟื้นขึ้นมาแล้วได้พบกับคนสนิทจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น ส่วนเรื่องป้อนยาคนหมดสติด้วยวิธีปากต่อปาก ชินอ๋องรับหน้าที่นี้เอง รวมทั้งการป้อนอาหารที่เป็นน้ำแกงตุ๋นและอาหารอ่อนอย่างโจ๊กลูกเดือย โจ๊กรากบัว น้ำแกงปลา น้ำแกงกระดูกหมูตุ๋นยา เป็นต้น สองวันต่อมา...ประมุขพรรคยาจกลอบเข้ามาพบชินอ๋องที่เรือนรับรอง ประมุขพรรคยาจก มีนามว่าเฉินห้าว อายุสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ท่วงท่าน่าเกรงขาม ดวงหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วดกหนาชี้ชัน ดวงตาดุดัน แต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน “ท่านอ๋อง” “ประมุขเฉิน” ทั้งสองทักทายกันโดยการประสานมือให้แก่กัน ก่อนจะพากันนั่งลงที่โต๊ะซึ่งจัดอยู่ในห้องนอน “เพราะฟูเหรินของข้าล้มป่วยจึงต้องต้อนรับท่านในห้องนอนเช่นนี้” ชินอ๋องกล่าว “พระชายาล้มป่วยด้วยสาเหตุใด?” ประมุขพรรคยาจกถาม
“ผลโลหิตมังกร ที่จริงเป็นผลไม้พิษชนิดหนึ่ง แต่สามารถใช้หญ้าหยกน้ำค้างเป็นตัวปรับสมดุลให้พิษกลายเป็นคุณขึ้นมาได้” หลวงจีนลืมชื่ออธิบาย “หญ้าหยกน้ำค้าง อาตมามีอยู่ แต่ผลโลหิตมังกรไม่มี ประสกจึงต้องไปหามา” “ต้าซือมีเบาะแสของผลโลหิตมังกรหรือไม่?” ชินอ๋องถาม “อาตมาฟังมาว่าในวังหลวงของซีเซี่ยมีอยู่ผลหนึ่ง” “ได้...ข้าจะไปนำมันมา” น้ำเสียงชินอ๋องหนักแน่น “มีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น” หลวงจีนลืมชื่อกล่าวต่อ “หากเลยเวลาไป โรคของพระชายาจะไม่หายขาด แม้รักษาชีวิตไว้ได้ ก็จะเป็นคนขี้โรค” “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” “ท่านอ๋องจะไปด้วยตัวเองหรือ?” ประมุขพรรคยาจกถามขึ้น “ใช่” ชินอ๋องรับคำ “ต้าซือช่วยบอกลักษณะที่สังเกตเห็นได้ง่ายของผลโลหิตมังกรให้ข้าด้วย” “ผลมีทรงกลม ขนาดเท่ากำปั้น เปลือกเป็นสีดำสนิทที่มีริ้วเล็กๆสีแดงเลือด” หลวงจีนลืมชื่ออธิบาย “ระยะทางไปกลับในเวลาสิบวัน จะต้องใช้ม้าเร็วและเปลี่ยนม้าเร็วไปกลับตลอดทาง ถึงจะทันเวลา” ประมุขพรรคยาจกกล่าว พลางล้วงป้ายหยกจากอกเสื้อยื่นให้ชินอ๋อง “ท่านนำป้ายหยกนี้ไป คนของพรรคยาจกจะให้ความสะด
ระหว่างดื่มกินใกล้เสร็จ...องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยก็เข้ามารายงานตัวในสภาพมอมแมมเช่นเดียวกันกับชินอ๋อง เพราะจนถึงบัดนี้ชินอ๋องยังคงไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโกนหนวดเครา “คารวะ ท่านอ๋อง” “ไม่ต้องมากพิธี” พอได้รับอนุญาต...องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยก็ยืดตัวตรง พร้อมกับล้วงเอากล่องไม้ใบหนึ่งออกมาส่งให้ชินอ๋องด้วยสองมือ “นี่อะไร?” ชินอ๋องถาม “ไม่ทราบขอรับ” องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยตอบ “ข้าน้อยเห็นวางอยู่ในช่องลับของคลังสมบัติ ก็คิดว่าน่าจะเป็นของล้ำค่าจึงหยิบฉวยเอามาด้วย แต่ข้าน้อยอ่านตัวหนังสือบนกล่องไม่ออกขอรับ” ชินอ๋องมองกล่องในมืออีกครั้ง เห็นกล่องทำจากไม้เนื้อดี สลักอักษรและลงทองด้วยภาษาซีเซี่ย ซึ่งท่านอ๋องอ่านออก “ยาเม็ด งามเทียบเซียน” “ยานี้เป็นสูตรลับของแคว้นซีเซี่ย” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้ซีเซี่ยจะประทานให้แต่สนมคนโปรดเท่านั้น และจะประทานเพียงคนละเม็ดเดียว เป็นยาที่เหมาะกับสตรี ใช้บำรุงความงาม ว่ากันว่า...ยานี้จะทำให้คนที่กินเข้าไปงดงามเทียบได้กับเทพเซียน” “ถ้าใช้ได้กับสตรีเท่านั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า” ช
พอมีงานต้องทำ...จ้าวชิงเฟิงก็ดูไม่เซื่องซึมมากเท่าเก่า เขาดูรายรับของชินอ๋องที่ร่วมลงทุนกับประมุขพรรคยาจกแล้วหลุดปากว่า “ท่านอ๋อง ท่านรวยมากเลยขอรับ” “เจ้าพูดผิดแล้ว ฟูเหริน” ชินอ๋องแย้ง “ข้าพูดผิดหรือ?” จ้าวชิงเฟิงมีสีหน้างงงันเล็กน้อย “ใช่...เจ้าต้องพูดเสียใหม่ว่า พวกเราสองสามีภรรยารวยมากเลยต่างหาก” ว่าแล้วชินอ๋องก็จับมือเรียวงามมาลูบไล้เบาๆ จ้าวชิงเฟิงค่อยๆ ดึงมือกลับ ชินอ๋องก็ไม่แข็งขืน “เงินของข้าก็คือเงินของเจ้า เจ้าสามารถนำมาใช้ได้ตามใจชอบ” “.....” “อย่างเช่น...เจ้าอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ อยากจะใช้จ่ายอะไรก็ใช้” จ้าวชิงเฟิงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่มีอะไรจะต้องใช้เงิน...เสื้อผ้า ท่านอ๋องก็ให้ อาหาร ท่านอ๋องก็ให้ ยังมีเครื่องประดับอีกจำนวนมาก” ก๊อกๆๆ... เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้น แล้วเสียงแจ้วๆ ของเสี่ยวชุ่ยก็ดังตามมา “ถึงเวลากินยาแล้วเจ้าค่ะ พระชายา” “เข้ามาได้” ชินอ๋องเป็นคนเอ่ยอนุญาต เสี่ยวชุ่ยจึงเปิดประตูห้อง ถือถาดวางชามบรรจุยาเข
ชินอ๋องไปยังที่คุมขังของพรรคยาจก ที่ซึ่งจับกุมคุมขังอ๋องห้า สภาพอ๋องห้าเวลานี้ถูกโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้แน่นหนา ซ้ำยังบาดเจ็บบอบช้ำอย่างหนัก แต่ยังรวบรวมเรี่ยวแรงตะโกนด่า “หลี่เฉิง ไอ้สุนัขบ้า...อย่าคิดว่าตัวเองมีความสามารถยกมือบังฟ้าได้หรือ สักวันความเลวทรามที่เจ้ากระทำ จะต้องถูกน้องชิงเฟิงรู้เข้าจนได้” “รู้แล้วจะเป็นไร...” ชินอ๋องตอบ “เขาเป็นฟูเหรินของข้า จะอย่างไรเขาก็ต้องอยู่ฝ่ายเดียวกันกับข้า...คนนอกอย่างเจ้าอย่าฝันว่าจะได้แตะต้องเขา” “หึ...แตะต้องหรือ? ข้าทำมากกว่าแตะต้องมาแล้ว รสชาติของน้องชิงเฟิงช่างล้ำเลิศยิ่งกว่าบุรุษหรือสตรีใดใดที่ข้าเคยได้ลิ้มลองมาเป็นไหนๆ...ฮะๆฮ่าๆๆๆ” อ๋องห้าหัวเราะเสียงดัง “คำกล่าวที่ว่า...คนใกล้ตายไม่โกหก...ใช้ไม่ได้กับเจ้าจริงๆ” ชินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่เชื่อหรือ?” อ๋องห้ายิ้มเยาะ “ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามน้องชิงเฟิงดูสิ...แต่ข้าว่า น้องชิงเฟิงก็คงปฏิเสธเพราะเกรงกลัวเจ้า” “ข้าไม่โง่ขนาดไปถามเรื่องนี้กับฟูเหรินหรอก” “เพราะเจ้ากลัวจะรับความจริงไม่ได้ใช่หรือไม่?” ชินอ๋อง
ชินอ๋องมองจ้าวชิงเฟิงที่กำลังลูบขนลูกแมวด้วยความอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เสี่ยวไป๋ไม่ซนน้า สมุดบัญชีพวกนี้เป็นของสำคัญ เจ้าจะมาตะกุยเล่นไม่ได้รู้หรือไม่?” “เมี้ยว...” ลูกแมวถูหัวกับมือเรียวงาม ทำให้ท่านอ๋องนึกอยากจะหิ้วคอเจ้าแมวน้อยโยนออกไปไกลๆ เสียเดี๋ยวนั้น แต่ต้องปั้นสีหน้าว่าเอ็นดู “เจ้าตัวน้อยนี่ชื่อเสี่ยวไป๋หรือ? ฟูเหริน” “ขอรับ” ชินอ๋องนึกเข่นเขี้ยวในใจ... กับสามี...ถามตั้งมากมาย ตอบแค่คำเดียว แต่กับแมว...ทั้งแย้มยิ้ม ทั้งพูดจาเสียงอ่อนหวาน ซ้ำยังลูบหัวลูบตัวไปทั่ว ช่างสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัดเจน! ชินอ๋องใช้สองนิ้วคีบหนังหลังคอแมวหิ้วออกไปให้เสี่ยวหง “เจ้าพามันไปกินอาหาร” “เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรับคำ รีบอุ้มแมวออกไปโดยไว เพราะเห็นสายตาริษยาจากดวงตาคมกริบ “เอาน้ำมาให้พระชายาล้างมือ” “ขอรับ” เสี่ยวหยวนจื่อกับจางจงที่เตรียมน้ำพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเห็นชินอ๋องเข้ามาในห้อง ประจวบกับใกล้เวลาอาหารเย็น ก็รีบยกน้ำมาให้เจ้านายทั้งสองล้างมือ หลังจากล้า
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ