ด้วยอานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า สถานการณ์การรบก็กลายเป็นการรุกไล่ฝ่ายเดียว!กองทัพหนานเยวี่ยแทบจะไร้พลังต้านทาน ได้แต่ถอยร่นกลับไปอย่างมิคิดชีวิตหูก่วงเซิงบุกตะลุยอยู่ครู่หนึ่งก็สังหารศัตรูจนเลือดขึ้นตา คลั่งด้วยความตื่นเต้นจนหัวเราะเสียงดังอย่างประหลาด!เขาร้องตะโกนใส่ตงฟางไป๋เสียงดัง "สหายตงฟาง อาวุธระเบิดพวกนั้น พวกท่านยังมีเหลืออีกเท่าไร?""เหลือเฟือ!"ตงฟางไป๋กล่าวพร้อมตบถุงผ้าตุง ๆ บนอานม้า!"ดี เช่นนั้นพวกเรามาฆ่าพวกเดนมนุษย์พวกนี้ให้สิ้นกันเถอะ!""ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเราคุ้มกันปีกข้าง พวกท่านบุกตะลุยไปเลย!""ดี ลุย!"ทั้งสองตกลงกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย บุกตะลุยใส่กองทัพหนานเยวี่ยอีกครั้งเนื่องจากเหตุผลเรื่องอ๋องฉู่ แม้ว่าในใจหูก่วงเซิงจะดูหมิ่นฉินซู แต่เมื่อมีอาวุธทรงพลานุภาพเหล่านี้หนุนหลัง เขาก็ยิ่งรุกไล่สังหารศัตรูอย่างฮึกเหิมความรู้สึกที่ได้บดขยี้ศัตรูในแนวรบนั้น ช่างสะใจอย่างหาใดเปรียบเห็นเพียงหอกในมือของเขาฟาดฟันผ่าดงทหาร ข้าศึกล้มตายด้วยน้ำมือของเขาจำนวนนับมิถ้วนลูกน้องของเขาเองก็สังหารศัตรูจนเลือดขึ้นตาเช่นกัน ร่างกายทุกส่วนอาบไปด้วยเลือดสด ๆ ของ
เมื่อนางกล่าวจบ พลธนูเหล่านั้นก็โห่ร้องขึ้นพร้อมเพรียงกัน "องค์รัชทายาททรงเกรียงไกร!""องค์รัชทายาททรงเกรียงไกร!!"ช่วงเวลาที่ผ่านมา ธนูของพวกเขายิงมิทะลุเกราะหวายของกองทัพหนานเยวี่ย จึงบังเกิดคับแค้นในใจอย่างแสนสาหัสวันนี้สังหารกองทัพหนานเยวี่ยไปมากมายถึงเพียงนี้ ระบายความอัดอั้นในใจออกไปจนหมดสิ้นเมื่อเห็นทุกคนชื่นชมฉินซูจนสุดขั้วหัวใจ สีหน้าของพวกหูก่วงเซิงก็ดูแปลกไปบ้าง แต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใด"องค์รัชทายาท ธนูนี้เรียกว่ากระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ตงฟางไป๋ชิงตอบเสียก่อน "นี่คือธนูทดกำลัง เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ กรมโยธาธิการเร่งกันทำขึ้นทั้งวันทั้งคืนกว่าจะทำออกมาได้หลายร้อยคันเพื่อให้พระองค์ทรงนำมามอบให้พวกท่านใช้""กระไรนะ?! องค์รัชทายาทเป็นผู้ทรงออกแบบเองหรือ?""องค์รัชทายาททรงเป็นเทพเจ้าจริง ๆ ถึงกับทรงออกแบบสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้!""ใช่แล้ว ธนูนี้มิต้องออกแรงแขน ทว่าพลานุภาพกลับร้ายแรงกว่าธนูที่พวกเราเคยใช้มาหลายเท่าตัว สุดยอดจริง ๆ""แล้วระเบิดไม้ไผ่นั่นเล่า? ก็เป็นผลงานขององค์รัชทายาทเช่นกันหรือ?""ถูกต้องแล้ว ของสิ่งนี้เรียกว่าระเบิดสายฟ้า อานุภาพข
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ