หลิวเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ใช่พ่ะย่ะค่ะ เช้าวันนี้ พวกเราศาลต้าหลี่ได้รับแจ้งถึงสิบคดีพร้อมกัน มีผู้มารายงานว่า บุตรสาวของพวกเขาหายไปเมื่อคืน ตามหาเท่าไรก็มิพบร่องรอย นี่จึงเป็นเหตุให้พวกเราต้องออกค้นหาไปทั่วทั้งเมืองพ่ะย่ะค่ะ" "หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? ทั้งหมดกี่คน?" "สิบคนพ่ะย่ะค่ะ ตามที่ผู้รายงานให้ข้อมูล บรรดาผู้สูญหายล้วนเป็นหญิงสาว อายุระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบห้าปี และล้วนยังมิได้แต่งงานออกเรือน" เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูขมวดคิ้วแล้วถามว่า "ก่อนหน้านี้เคยมีคดีในลักษณะนี้เกิดขึ้นหรือไม่?" หลิวเว่ยส่ายหน้า "มิเคยเกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงเป็นสถานที่ซึ่งอยู่ใต้พระเนตรพระกรรณขององค์จักรพรรดิ ช่วงหลายปีมานี้จึงมิเคยมีคดีเช่นนี้เกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ" "ฟังจากที่เจ้าพูดมา หมายความว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้ใช่หรือไม่?" "ก็คงใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่มิใช่ในเมืองหลวง กลับเป็นหมู่บ้านมู่เจีย ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ราวสิบลี้ เมื่อห้าปีก่อนก็เคยมีหญิงสาวบางคนหายตัวไปจากที่นั่น จนบัดนี้ยังหาตัวมิพบเลยพ่ะย่ะค่ะ" ฉินซูเลิกคิ้วแล้วถามว่า "ในตอนนั้น หญิงสาว
"มิปกติหรือ? ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ ท่านปู่ถึงถามเช่นนี้?" "เมื่อก่อนองค์รัชทายาทก็มีแต่จะหลงมัวเมาในสุรานารี แต่มินานมานี้กลับราวกับเป็นคนใหม่ เริ่มจากการเอาชนะการแข่งกวีกับขุนนางอาวุโสของเป่ยเยี่ยน จากนั้นก็วางแผนกักตัวองค์ชายมู่หรงฟู่จากเป่ยเยี่ยนไว้ที่เมืองหลวง ทำให้เป่ยเยี่ยนมิกล้าเอ่ยอ้างสิทธิ์ในเมืองชิ่งโจวอีก และมิกี่วันมานี้ยังทำให้อ๋องจิ้นถูกลดขั้นเป็นเฉินหลิวอ๋อง แม้แต่อ๋องหนิงก็พลาดท่าให้เขาครั้งใหญ่เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงขององค์รัชทายาทเช่นนี้มินับว่าแปลกหรือ?" เซี่ยหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย "เรื่องที่ฉินเหยี่ยนถูกลดขั้น และอ๋องหนิงพลาดท่า ก็เพราะพวกเขาทำตัวเองทั้งนั้นนะเจ้าคะ" เซี่ยเหอพูดด้วยความมิพอใจ "หากมิใช่เพราะองค์รัชทายาทแสดงฝีมือออกมา อ๋องจิ้นและอ๋องหนิงจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้หรือ? เอาเถอะ ปู่จะมิพูดอ้อมค้อมแล้ว เจ้าก็บอกตาตรง ๆ เถอะว่า ใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทกันแน่?" "ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านปู่ต้องถามเรื่องนี้ แต่คงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว เพราะจากที่ข้ารู้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทเลย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีเจ้าค่ะ" "ไม่มี
ฉินซูยกมือขึ้นอย่างมาดมั่นแล้วกล่าวว่า "เรื่องช่วยหรือมิช่วยน่ะไม่มีหรอก เจ้ามีเรื่องอะไร ก็บอกมาเถอะ" "หม่อมฉันอยากให้ท่านไปที่ศาลต้าหลี่ ดูว่าพวกเขาสืบพบเบาะแสอะไรบ้าง" "เฮ้อ ข้าก็นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร เอาล่ะ บอกมาสิว่าสหายของเจ้ามีนามว่าอะไร?" "ลู่ซวงเอ๋อร์" "ได้สิ ข้าจะไปศาลต้าหลี่เดี๋ยวนี้เลย" เซี่ยหลานกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข "องค์รัชทายาท ขอบพระทัยท่านมากเพคะ" "พวกเราสนิทกันถึงขนาดนี้แล้ว มิต้องมาพูดขอบคุณอะไรกันหรอก" ฉินซูเอื้อมมือไปแตะจมูกของนางเบา ๆ ใบหน้าของเซี่ยหลานขึ้นสีแดงระเรื่อ แล้วนางก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล โชคดีที่ในห้องไม่มีใครอยู่ นางจึงพูดเสียงเบา "องค์รัชทายาท ต่อไปท่านต้องระวังพระองค์หน่อยนะเพคะ หากชูโม่เห็นเข้า หม่อมฉันคงต้องลำบากอธิบายแน่ ๆ" ฉินซูมิสนใจ ยักไหล่ "หากนางจะรู้ก็รู้ไปสิ จะกลัวอะไร" "หาอย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ หากนางรู้เข้าจริง ๆ นางจะต้องโกรธหม่อมฉันแน่ อย่างน้อยก็ยังมิใช่ตอนนี้ ขอร้องเถิดเพคะ" "ก็ได้ ๆ ต่อไปข้าจะระวัง แต่แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน" พูดจบ ฉินซูก็จุมพิตลงที่ปากของเซี่ยหลานอย่างรวดเร็ว
ฉินซูก็มาถึงศาลต้าหลี่ทหารยามที่ประตูเมื่อเห็นฉินซู รีบคุกเข่าคารวะทันทีฉินซูโบกมือให้พวกเขาลุกขึ้น แล้วถามว่า “ใต้เท้าหวังอยู่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าหวังอยู่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องโถง”ฉินซูพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปยังห้องโถงของศาลต้าหลี่ภายในห้องโถงบนโต๊ะตรงหน้าของหวังฉือเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดการเอกสารอย่างขะมักเขม้น ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเมื่อเห็นหวังฉือกำลังจดจ่อ ฉินซูจึงกระแอมเบา ๆหวังฉือเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือฉินซู ใบหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจและรีบออกมาต้อนรับ“ข้าน้อยขอถวายคำนับองค์รัชทายาท มิทราบว่าพระองค์เสด็จมา จึงมิได้ออกมาต้อนรับแต่เนิ่น ๆ ขอพระองค์โปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ!”“มิเป็นไร ลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท! มิทราบว่าพระองค์เสด็จมาด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูพูดอย่างมิใส่ใจว่า “เมื่อเช้านี้ ข้าได้พบกับรองหัวหน้าหลิวที่โรงน้ำชา เขากำลังสืบคดีอยู่ ข้าจึงได้ทราบว่า มีหญิงสาวสิบคนหายตัวไปอย่างลึกลับ จึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยตนเอง”“เฮ้อ เรื
หวังฉือหันมามองฉินซูแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “รีบพานางเข้ามาเร็วเข้า”ครู่หนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งก็ถูกพาตัวเข้ามานางเป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปี แต่งกายเรียบง่ายเมื่อเข้ามาแล้ว นางก็คุกเข่าลงด้วยท่าทีหวาดกลัวหวังฉือรีบเข้ามาประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นาง มิต้องกลัว ลุกขึ้นเถิด เจ้าว่าเจ้าพบเห็นเหตุการณ์ที่มีการลักพาตัวหญิงสาวไป จริงหรือไม่?”เด็กสาวรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้ามีนามว่าซิ่วเอ๋อ คืนนั้นข้าได้นัดกับสหายว่าจะไปที่ตรอกผิงคัง แต่รอที่จุดนัดหมายอยู่นานสองนานก็มิเห็นนางมา ข้าจึงคิดจะไปหานางที่บ้าน แต่เดินไปได้มิไกล ก็เห็นว่านางถูกคนจับตัวไป...”“สหายของเจ้ามีนามว่าอะไร?”“ลู่ซวงเอ๋อร์เจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูก็มีท่าทางสนใจขึ้นมาแล้วถามว่า “ตอนนั้นเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าคนที่จับตัวซวงเอ๋อร์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”ซิ่วเอ๋อมองไปที่ฉินซู แล้วหันไปมองหวังฉืออีกครั้ง ครู่หนึ่งนางก็ยังมิตอบ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่นางเกรงกลัวอยู่ในใจหวังฉือเห็นท่าทีดังกล่าวจึงรีบพูดว่า “แม่นางอย่าได้กลัว ท่านนี้คือองค์รัชทายาท พระองค
ซิ่วเอ๋อหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบา ๆตงฟางไป๋จึงแบกนางขึ้นหลังแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างฉินซูเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ใต้เท้าหวังคิดจะทำสิ่งใดต่อ?”หวังฉือตอบ “กระหม่อมจะไปดูจุดที่ซิ่วเอ๋อพูดถึง บางทีอาจจะพบเบาะแสอะไรบ้าง”“ข้าเองก็ว่างอยู่ จะขอตามท่านไปด้วยแล้วกัน”“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเชิญองค์รัชทายาท”หวังฉือนำเจ้าหน้าที่ไปหลายคน เดินทางไปพร้อมกับฉินซูมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเทียนเวยที่ด้านหลังโรงเตี๊ยมเทียนเวย เป็นทางเดินสายเล็ก ๆ ข้างทางมีต้นอู๋ถงปลูกอยู่หนึ่งต้นตอนนี้เข้าสู่ช่วงปลายสารทฤดูแล้ว ใบอู๋ถงร่วงหล่นเต็มพื้นเมื่อหวังฉือและคนอื่น ๆ มาถึง ต่างก็หันไปมองฉินซูฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มองข้าด้วยเหตุใดเล่า พวกเจ้าเคยสืบสวนกันอย่างไร ก็ทำตามนั้นไปสิ”หวังฉือพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามบ้านเรือนทีละหลังส่วนฉินซูกวาดตามองไปรอบ ๆ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยใบไม้ร่วงหล่นทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นแสงแดดสะท้อนจากอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ใบไม้เขาเดินไปหยิบใบไม้ออก เห็นต่
บริเวณหว่างคิ้วของฉินเหยี่ยนแผ่กระจายไอสังหารที่เย็นยะเยือก ความเย็นชาปรากฏในแววตาของเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ซุนฉีถึงกับสะดุ้งในใจ เพราะตั้งแต่ติดตามฉินเหยี่ยนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความโกรธแค้นและน่ากลัวจากสีหน้าของฉินเหยี่ยนฉินเหยี่ยนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “จับตาดูจวนอ๋องหนิงไว้ หากฉินเซียวออกจากจวนเพียงลำพังเมื่อใด จงรีบมารายงานข้า”ซุนฉีตกใจและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ท่านคิดจะลงมือกับอ๋องหนิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เขาส่งคนมาลอบสังหารข้า แถมยังสังหาหลิงเอ๋อร์ หากมิได้องค์รัชทายาทช่วยไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว ความแค้นลึกซึ้งเพียงนี้ หากมิฆ่าฉินเซียว ข้ามิถือว่าเป็นคนอีกต่อไป!”“แต่กระหม่อมเกรงว่ามิง่ายอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ฝ่าบาทได้สั่งกักบริเวณอ๋องหนิงแล้ว หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท อ๋องหนิงคงมิออกจากจวนแน่”“เจ้าจับตาดูเขาไปก่อน กักบริเวณเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ในท้ายที่สุดเสด็จพ่อก็ต้องปล่อยเขาเป็นอิสระอยู่ดี”ฉินเหยี่ยนหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “ช่วงนี้ข้าออกไปข้างนอกมิสะดวกหากข้างนอกมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เจ้าจงรีบมารายงานข้า”ซ
จากนั้นเขาก็กำลังจะคุกเข่าลงซุนฉีก็ห้ามอีกฝ่ายเอาไว้และพูดว่า “ลูกพี่ ตรงนี้มิเหมาะที่จะพูดคุยกัน เปลี่ยนสถานที่ดีหรือไม่?”“ขอรับ ๆ เชิญคุณชายเข้ามาด้านในขอรับ”มู่ลี่รีบเชิญซุนฉีเข้าไปหลังจากเข้าไปในบ้าน ซุนฉีก็ตรงเข้าประเด็น “ท่านอ๋องจิ้นมีคำสั่งให้เจ้าพาคนของเจ้าไปช่วยงานข้า”“หา? ท่านอ๋องจิ้นถูกลอบปลงพระชนม์ไปแล้วมิใช่หรือ? ทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงต่างก็ลือเรื่องนี้กันให้ทั่ว เหตุใด…”มิทันที่เขาจะพูดจบ ซุนฉีก็โบกมือ “ท่านอ๋องแกล้งตาย มิเช่นนั้นข้าคงมิรู้การมีตัวตนอยู่ของพวกเจ้า”“ก็จริง สวรรค์ช่างมีตา ช่างดีเหลือเกินที่ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่”“มิต้องพูดให้มากความ คนของเจ้าอยู่ที่ใด? ไปรวบรวมพวกเขามา ค่ำแล้วพวกเราจะได้ลงมือกัน”มู่ลี่พยักหน้า จากนั้นก็ไปหาชายฉกรรจ์มาสี่ห้าคนทั่วร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ และมีดวงตาที่คมปลาบ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาคือนักสู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาหลังจากที่ทุกคนมาถึงแล้ว มู่ลี่ก็ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านใต้เท้า มิทราบว่าต่อไปพวกเราต้องทำอะไรหรือขอรับ?”“ลักพาตัว!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ลี่และคนอื่น ๆ ต่างมองหน