......รุ่งเช้า พระตำหนักจินหลวน ขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ทว่าทุกคนต่างรู้ดีและไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะกลัวจะทำให้ฉินอู๋ต้าวผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรโกรธ ฉินอู๋ต้าวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยอย่างเรียบ "เหตุใดถึงยังมิเห็นองค์รัชทายาท?" เฉาฉุนรีบตอบอย่างเคารพ "ทูลฝ่าบาท องค์รัชทายาททรงถวายรายงานว่าประชวร กำลังพักฟื้นอยู่ในตำหนักบูรพาพ่ะย่ะค่ะ" ฉินอู๋ต้าวตรัสด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "หึ โกรธข้าก็พูดมาตรง ๆ เถอะ จะมาอ้างว่าป่วยหาปะไร คิดจะหลอกใครกัน?" "เอ่อ… ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น… จะทรงให้เรียกองค์รัชทายาทมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?" "ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป" ฉินอู๋ต้าวทำสีหน้าจริงจัง แล้วกล่าวเสียงดังว่า "อีกสองวันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว พวกเจ้าใครมีข้อเสนออะไรหรือไม่ กล่าวมาได้" ฉินหงก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วเอ่ยอย่างเคารพ "เสด็จพ่อ ไทเฮาทรงโปรดความครึกครื้นมาก ลูกขอเสนอให้จัดงานยิ่งใหญ่ เฉลิมฉลองทั้งแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ" เว่ยเจิงเอ่ยขึ้นว่า "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นพ้องด้วย อีกทั้งช่วงนี้บัณฑิตต้าเหยียนหลายคนก็อยู่ในเมืองหล
หลิวเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ใช่พ่ะย่ะค่ะ เช้าวันนี้ พวกเราศาลต้าหลี่ได้รับแจ้งถึงสิบคดีพร้อมกัน มีผู้มารายงานว่า บุตรสาวของพวกเขาหายไปเมื่อคืน ตามหาเท่าไรก็มิพบร่องรอย นี่จึงเป็นเหตุให้พวกเราต้องออกค้นหาไปทั่วทั้งเมืองพ่ะย่ะค่ะ" "หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? ทั้งหมดกี่คน?" "สิบคนพ่ะย่ะค่ะ ตามที่ผู้รายงานให้ข้อมูล บรรดาผู้สูญหายล้วนเป็นหญิงสาว อายุระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบห้าปี และล้วนยังมิได้แต่งงานออกเรือน" เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูขมวดคิ้วแล้วถามว่า "ก่อนหน้านี้เคยมีคดีในลักษณะนี้เกิดขึ้นหรือไม่?" หลิวเว่ยส่ายหน้า "มิเคยเกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงเป็นสถานที่ซึ่งอยู่ใต้พระเนตรพระกรรณขององค์จักรพรรดิ ช่วงหลายปีมานี้จึงมิเคยมีคดีเช่นนี้เกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ" "ฟังจากที่เจ้าพูดมา หมายความว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้ใช่หรือไม่?" "ก็คงใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่มิใช่ในเมืองหลวง กลับเป็นหมู่บ้านมู่เจีย ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ราวสิบลี้ เมื่อห้าปีก่อนก็เคยมีหญิงสาวบางคนหายตัวไปจากที่นั่น จนบัดนี้ยังหาตัวมิพบเลยพ่ะย่ะค่ะ" ฉินซูเลิกคิ้วแล้วถามว่า "ในตอนนั้น หญิงสาว
"มิปกติหรือ? ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ ท่านปู่ถึงถามเช่นนี้?" "เมื่อก่อนองค์รัชทายาทก็มีแต่จะหลงมัวเมาในสุรานารี แต่มินานมานี้กลับราวกับเป็นคนใหม่ เริ่มจากการเอาชนะการแข่งกวีกับขุนนางอาวุโสของเป่ยเยี่ยน จากนั้นก็วางแผนกักตัวองค์ชายมู่หรงฟู่จากเป่ยเยี่ยนไว้ที่เมืองหลวง ทำให้เป่ยเยี่ยนมิกล้าเอ่ยอ้างสิทธิ์ในเมืองชิ่งโจวอีก และมิกี่วันมานี้ยังทำให้อ๋องจิ้นถูกลดขั้นเป็นเฉินหลิวอ๋อง แม้แต่อ๋องหนิงก็พลาดท่าให้เขาครั้งใหญ่เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงขององค์รัชทายาทเช่นนี้มินับว่าแปลกหรือ?" เซี่ยหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย "เรื่องที่ฉินเหยี่ยนถูกลดขั้น และอ๋องหนิงพลาดท่า ก็เพราะพวกเขาทำตัวเองทั้งนั้นนะเจ้าคะ" เซี่ยเหอพูดด้วยความมิพอใจ "หากมิใช่เพราะองค์รัชทายาทแสดงฝีมือออกมา อ๋องจิ้นและอ๋องหนิงจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้หรือ? เอาเถอะ ปู่จะมิพูดอ้อมค้อมแล้ว เจ้าก็บอกตาตรง ๆ เถอะว่า ใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทกันแน่?" "ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านปู่ต้องถามเรื่องนี้ แต่คงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว เพราะจากที่ข้ารู้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทเลย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีเจ้าค่ะ" "ไม่มี
ฉินซูยกมือขึ้นอย่างมาดมั่นแล้วกล่าวว่า "เรื่องช่วยหรือมิช่วยน่ะไม่มีหรอก เจ้ามีเรื่องอะไร ก็บอกมาเถอะ" "หม่อมฉันอยากให้ท่านไปที่ศาลต้าหลี่ ดูว่าพวกเขาสืบพบเบาะแสอะไรบ้าง" "เฮ้อ ข้าก็นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร เอาล่ะ บอกมาสิว่าสหายของเจ้ามีนามว่าอะไร?" "ลู่ซวงเอ๋อร์" "ได้สิ ข้าจะไปศาลต้าหลี่เดี๋ยวนี้เลย" เซี่ยหลานกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข "องค์รัชทายาท ขอบพระทัยท่านมากเพคะ" "พวกเราสนิทกันถึงขนาดนี้แล้ว มิต้องมาพูดขอบคุณอะไรกันหรอก" ฉินซูเอื้อมมือไปแตะจมูกของนางเบา ๆ ใบหน้าของเซี่ยหลานขึ้นสีแดงระเรื่อ แล้วนางก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล โชคดีที่ในห้องไม่มีใครอยู่ นางจึงพูดเสียงเบา "องค์รัชทายาท ต่อไปท่านต้องระวังพระองค์หน่อยนะเพคะ หากชูโม่เห็นเข้า หม่อมฉันคงต้องลำบากอธิบายแน่ ๆ" ฉินซูมิสนใจ ยักไหล่ "หากนางจะรู้ก็รู้ไปสิ จะกลัวอะไร" "หาอย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ หากนางรู้เข้าจริง ๆ นางจะต้องโกรธหม่อมฉันแน่ อย่างน้อยก็ยังมิใช่ตอนนี้ ขอร้องเถิดเพคะ" "ก็ได้ ๆ ต่อไปข้าจะระวัง แต่แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน" พูดจบ ฉินซูก็จุมพิตลงที่ปากของเซี่ยหลานอย่างรวดเร็ว
ฉินซูก็มาถึงศาลต้าหลี่ทหารยามที่ประตูเมื่อเห็นฉินซู รีบคุกเข่าคารวะทันทีฉินซูโบกมือให้พวกเขาลุกขึ้น แล้วถามว่า “ใต้เท้าหวังอยู่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าหวังอยู่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องโถง”ฉินซูพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปยังห้องโถงของศาลต้าหลี่ภายในห้องโถงบนโต๊ะตรงหน้าของหวังฉือเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดการเอกสารอย่างขะมักเขม้น ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเมื่อเห็นหวังฉือกำลังจดจ่อ ฉินซูจึงกระแอมเบา ๆหวังฉือเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือฉินซู ใบหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจและรีบออกมาต้อนรับ“ข้าน้อยขอถวายคำนับองค์รัชทายาท มิทราบว่าพระองค์เสด็จมา จึงมิได้ออกมาต้อนรับแต่เนิ่น ๆ ขอพระองค์โปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ!”“มิเป็นไร ลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท! มิทราบว่าพระองค์เสด็จมาด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูพูดอย่างมิใส่ใจว่า “เมื่อเช้านี้ ข้าได้พบกับรองหัวหน้าหลิวที่โรงน้ำชา เขากำลังสืบคดีอยู่ ข้าจึงได้ทราบว่า มีหญิงสาวสิบคนหายตัวไปอย่างลึกลับ จึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยตนเอง”“เฮ้อ เรื
หวังฉือหันมามองฉินซูแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “รีบพานางเข้ามาเร็วเข้า”ครู่หนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งก็ถูกพาตัวเข้ามานางเป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปี แต่งกายเรียบง่ายเมื่อเข้ามาแล้ว นางก็คุกเข่าลงด้วยท่าทีหวาดกลัวหวังฉือรีบเข้ามาประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นาง มิต้องกลัว ลุกขึ้นเถิด เจ้าว่าเจ้าพบเห็นเหตุการณ์ที่มีการลักพาตัวหญิงสาวไป จริงหรือไม่?”เด็กสาวรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้ามีนามว่าซิ่วเอ๋อ คืนนั้นข้าได้นัดกับสหายว่าจะไปที่ตรอกผิงคัง แต่รอที่จุดนัดหมายอยู่นานสองนานก็มิเห็นนางมา ข้าจึงคิดจะไปหานางที่บ้าน แต่เดินไปได้มิไกล ก็เห็นว่านางถูกคนจับตัวไป...”“สหายของเจ้ามีนามว่าอะไร?”“ลู่ซวงเอ๋อร์เจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูก็มีท่าทางสนใจขึ้นมาแล้วถามว่า “ตอนนั้นเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าคนที่จับตัวซวงเอ๋อร์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”ซิ่วเอ๋อมองไปที่ฉินซู แล้วหันไปมองหวังฉืออีกครั้ง ครู่หนึ่งนางก็ยังมิตอบ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่นางเกรงกลัวอยู่ในใจหวังฉือเห็นท่าทีดังกล่าวจึงรีบพูดว่า “แม่นางอย่าได้กลัว ท่านนี้คือองค์รัชทายาท พระองค
ซิ่วเอ๋อหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบา ๆตงฟางไป๋จึงแบกนางขึ้นหลังแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างฉินซูเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ใต้เท้าหวังคิดจะทำสิ่งใดต่อ?”หวังฉือตอบ “กระหม่อมจะไปดูจุดที่ซิ่วเอ๋อพูดถึง บางทีอาจจะพบเบาะแสอะไรบ้าง”“ข้าเองก็ว่างอยู่ จะขอตามท่านไปด้วยแล้วกัน”“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเชิญองค์รัชทายาท”หวังฉือนำเจ้าหน้าที่ไปหลายคน เดินทางไปพร้อมกับฉินซูมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเทียนเวยที่ด้านหลังโรงเตี๊ยมเทียนเวย เป็นทางเดินสายเล็ก ๆ ข้างทางมีต้นอู๋ถงปลูกอยู่หนึ่งต้นตอนนี้เข้าสู่ช่วงปลายสารทฤดูแล้ว ใบอู๋ถงร่วงหล่นเต็มพื้นเมื่อหวังฉือและคนอื่น ๆ มาถึง ต่างก็หันไปมองฉินซูฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มองข้าด้วยเหตุใดเล่า พวกเจ้าเคยสืบสวนกันอย่างไร ก็ทำตามนั้นไปสิ”หวังฉือพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามบ้านเรือนทีละหลังส่วนฉินซูกวาดตามองไปรอบ ๆ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยใบไม้ร่วงหล่นทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นแสงแดดสะท้อนจากอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ใบไม้เขาเดินไปหยิบใบไม้ออก เห็นต่
บริเวณหว่างคิ้วของฉินเหยี่ยนแผ่กระจายไอสังหารที่เย็นยะเยือก ความเย็นชาปรากฏในแววตาของเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ซุนฉีถึงกับสะดุ้งในใจ เพราะตั้งแต่ติดตามฉินเหยี่ยนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความโกรธแค้นและน่ากลัวจากสีหน้าของฉินเหยี่ยนฉินเหยี่ยนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “จับตาดูจวนอ๋องหนิงไว้ หากฉินเซียวออกจากจวนเพียงลำพังเมื่อใด จงรีบมารายงานข้า”ซุนฉีตกใจและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ท่านคิดจะลงมือกับอ๋องหนิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เขาส่งคนมาลอบสังหารข้า แถมยังสังหาหลิงเอ๋อร์ หากมิได้องค์รัชทายาทช่วยไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว ความแค้นลึกซึ้งเพียงนี้ หากมิฆ่าฉินเซียว ข้ามิถือว่าเป็นคนอีกต่อไป!”“แต่กระหม่อมเกรงว่ามิง่ายอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ฝ่าบาทได้สั่งกักบริเวณอ๋องหนิงแล้ว หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท อ๋องหนิงคงมิออกจากจวนแน่”“เจ้าจับตาดูเขาไปก่อน กักบริเวณเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ในท้ายที่สุดเสด็จพ่อก็ต้องปล่อยเขาเป็นอิสระอยู่ดี”ฉินเหยี่ยนหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “ช่วงนี้ข้าออกไปข้างนอกมิสะดวกหากข้างนอกมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เจ้าจงรีบมารายงานข้า”ซ
ฉินอู๋ต้าวยังมิทันได้แสดงท่าที หวังฉือก็โต้แย้งขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยมิเข้าใจคำพูดของอ๋องซิ่น ยามนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเลย แล้วเหตุใดท่านจึงต้องให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาให้รอบคอบด้วยหรือ?”“นั่นสิ เป่ยเยี่ยนเดิมทีก็มีความตั้งใจจะล่วงล้ำพรมแดนของราชวงศ์ต้าเหยียนมาตลอด ยามนี้ยังมิได้มีการระดมทัพเลย แต่ท่านอ๋องซิ่นกลับกลัวแล้ว หากวันหนึ่งเป่นเยี่ยนระดมทัพขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะมิสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิแบ่งดินแดนให้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินหยางถูกหวังฉือและเนี่ยหงโต้กลับจนหน้าซีดในที่สุดบัดนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า หวังฉือและเนี่ยหง ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสองที่กลายเป็นคนของฉินซูไปแล้วเขาเกิดความสงสัย ฉินซูเป็นองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด เขามีดีอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นยอมรับเขาเป็นผู้นำ?แต่เมื่อเผชิญกับคำซักถามอย่างเข้มงวดของหวังฉือและเนี่ยหง เขาก็มิอาจอุบเงียบเอาไว้ได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา"หึ! ข้าในฐานะจวิ้นอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ต่อให้วันข้างหน้าสงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง ก็ย่อมไม่มีทางให้เสด็จพ่อยอมสละดินแดนเพื่อขอสันติภาพ เพียงแต่ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร
ข่าวที่ว่าฉินซูได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์นั้นแพร่กระจายราวกับไฟป่า ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ทุกมื้อหลังอาหารบางคนยกย่องฉินซูว่าเขาทำให้ต้าเหยียนมีเกียรติบางคนถึงกับแอบส่ายหัว แม้ว่าฉินซูจะเป็นรัชทายาท ทว่าการสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์โดยไร้เหตุผลนั้นคงมิเป็นที่ยอมรับของราชสำนักเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ จากนี้ไปฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้อาจไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุขอีกต่อไปคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดคงเป็นมู่หรงจื่อเยียนหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ใจนางก็เกิดความสงสัยว่า คนที่ฆ่าหนานกงจื่อชินคือฉินซูจริง ๆ หรือ?แต่ฉินซูเก่งแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารหนานกงจื่อชินได้อย่างไร?ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อยามหลังจากที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น ฉินซูเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นได้ในพริบตา นางก็ตระหนักว่าความแข็งแกร่งของฉินซูนั้นมิธรรมดาเมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบสงบสติอารมณ์ และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงหากมู่หรงฟู่รู้ว่าฉินซูมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ สถานการณ์ของฉินซูคงจะอันตรายอย่างมากต่อมา มู่หรงจื่อเยียนเลือกที่จะ
ฉินหงมองเนื้อหาในจดหมายเพียงครู่เดียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!เขากล่าวเสียงทุ้มหนัก "เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนอ๋องซิ่น แล้วก็แจ้งให้ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเซี่ยมาประชุมที่จวนอ๋องซิ่นด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ!"สองเค่อต่อมาฉินหงพร้อมด้วยหลินซีและคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันที่จวนอ๋องซิ่นฉินหยางถามอย่างสงสัย "น้องสี่ ดึกป่านนี้พวกเจ้ายังมากัน มีข่าวดีอะไรจากทางคูมู่หรือ?""ยังติดต่อคูมู่มิได้ แต่เสด็จพี่สาม พวกท่านลองดูนี่ก่อน"ฉินหงพูดพลางวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะฉินหยาง หลินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความบนจดหมายโดยพร้อมเพรียงหลังจากได้อ่านแล้ว เซี่ยเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "ว่ากระไรนะ? ฉินซูสังหารศิษย์เอกของหอดารารักษ์?!"ฉินหยางถามด้วยสีหน้าฉงน "น้องสี่ แน่ใจหรือว่าข่าวนี้เป็นความจริง?""น่าจะมิใช่เรื่องเท็จ ศิษย์เอกของหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่งในแคว้นเป่ยเยี่ยน ผู้ใดจะกล้าพูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้""แต่ศิษย์เอกอย่างหนานกงจื่อชินมีพลังแข็งแกร่งนัก องค์รัชทายาทจะสังหารเขาได้อย่างไร?"หลินซีเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน "ใช่แล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนแห่งสำนักหอดูดาวหลวงจะติดตามองค์รัชทายาทไปทางเหนือด้วยแต่ด้ว
นางพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมถามกลับว่า "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนฆ่าพี่จื่อชินเช่นนั้นหรือ?"ซือคงเหยียนรีบพูดขึ้น "องค์ชาย ท่านหญิงจื่อเยียนมีใจรักใคร่กับจื่อชิน นางจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? การตายของจื่อชินถือเป็นการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงต่อนาง โปรดอย่าได้สงสัยในตัวนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงฟู่ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย จากนั้นก็สงบอารมณ์ลงเขาพูดอย่างจริงจัง "จื่อเยียน ข้าหาได้มีเจตนาสงสัยเจ้าไม่ แต่เจ้าต้องบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของจื่อชิน มิเช่นนั้นพวกเราจะล้างแค้นให้เขาได้อย่างไร?"“หม่อมฉันมิรู้จริง ๆ เดิมทีพี่จื่อชินได้ขวางเส้นทางของฉินซูไว้ในป่า หม่อมฉันกังวลว่า คนของฉินซูจะรู้เรื่องนี้เข้า จึงขอร้องพี่จื่อชินว่าอย่าทำอะไรวู่วาม สุดท้ายเขาก็ฟาดข้าจนหมดสติไปพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าผา หม่อมฉันปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหาม้าตัวหนึ่งขี่กลับมา ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันมิรู้จริง ๆ”หลังจากฟังคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแล้ว สีหน้าของมู่หรงฟู่และซือคงเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักอึ้ง "
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ
ส่วนครอบครัวและคนสนิทของทั่วป๋าชื่อทั้งหมดถูกตวนมู่สั่งคนไปจัดการประหารจนหมดสิ้นแล้วอีกทั้งตวนมู่ยังได้แต่งตั้งคนสนิทของตนขึ้นมาควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในชนเผ่าฉินซูพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ตวนมู่ทำงานอย่างเฉียบขาด รวดเร็ว สามารถรวบรวมกำลังอำนาจของตนได้ภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้าหาญ นับว่าเป็นบุคคลที่ทำการใหญ่ได้ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างสงสัย "ตวนมู่ ชนเผ่าโครยอของเจ้ามีทหารเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น แต่ทั่วป๋าชื่อเอาความกล้าจากที่ใดมาคิดสังหารข้ากัน"“องค์รัชทายาท ก่อนที่ท่านจะเสด็จมา ทั่วป๋าชื่อได้รับจดหมายจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ในนั้นมีการสัญญาว่า ขอเพียงทั่วป๋าชื่อสามารถกำจัดองค์รัชทายาทได้ วันหน้าเมื่อผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะมอบเมืองให้ชนเผ่าโครยอของเราสองสามเมืองเพื่อฟื้นฟูชนเผ่าพ่ะย่ะค่ะ”“ผู้สูงศักดิ์? คือผู้ใด?”“เรื่องนี้ ทั่วป๋าชื่อมิได้บอกอย่างชัดเจน เขาบอกเพียงว่าเป็นหนึ่งในพระโอรสขององค์จักรพรรดิ อ้อ ใช่แล้ว จดหมายฉบับนั้นน่าจะอยู่ในห้องตำราของทั่วป๋าชื่อ ข้าน้อยจะไปค้นหามาให้พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ตวนมู่พูดจ
ฉินซูโบกมือแล้วตะโกนสั่งกับทหารผู้นั้น "ไป นำตัวตวนมู่หาให้ข้า!"“รับพระบัญชา!”ทหารผู้นั้นรับคำอย่างนอบน้อมแล้วนำคนอีกสองคนเดินอย่างรวดเร็วไปยังคุกเพียงชั่วครู่ ตวนมู่ก็ถูกนำตัวมาในตอนนี้ เขาถูกใส่โซ่ตรวนที่มือและเท้า ดูคล้ายกับนักโทษอย่างไรอย่างนั้นฉินซูเลิกคิ้ว พลันถามว่า "ตวนมู่ ข้าได้ยินมาว่า ทั่วป๋าชื่อสั่งให้เจ้าฆ่าข้า มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?"ตวนมู่กวาดสายตามองสถานการณ์ภายในลาน เมื่อเห็นเศษแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม่านตาของเขาก็หดตัวในฉับพลันความคิดในหัวของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว มินานก็วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงรีบเอ่ยตอบ "องค์รัชทายาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงมิทำตามคำสั่งของเขา?”“องค์รัชทายาท ท่านคือรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งแผ่นดิน หากลงมือกับท่านก็เท่ากับการก่อกบฏ เป็นที่สาปแช่งทั้งฟ้าดิน ข้าน้อยยอมตายเสียดีกว่าทำเรื่องที่ไร้ความจงรักภักดีและอกตัญญูเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของตวนมู่แฝงความมิจริงใจอยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าบัดนี้ฉินซูได้กุมอำนาจในสถานการณ์นี้ไว้แล้วดังนั้นหากมิแสดงความจงรักภักดีเสียตอนนี้แล
ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่พูดมิกี่คำก็สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนหันดาบมาทำร้ายตนได้ นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!อูมู่โกรธจนตัวสั่น เขาตะโกนสั่งกลุ่มพลธนูของเขาว่า "ยิงธนู ฆ่าพวกทรยศพวกนี้ให้หมด!"ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!ลูกธนูนับสิบพุ่งทะลวงกลางอากาศไปอย่างรวดเร็วทหารที่ทรยศเหล่านั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่ถูกยิงจนเต็มไปด้วยลูกธนูล้มลงไปนอนในแอ่งเลือดอูมู่ตวาดลั่น "เห็นหรือยัง นี่คือจุดจบของคนทรยศ ใครกล้าชี้ดาบใส่คนในเผ่าตนอีก ข้าจะฆ่ามันมิปรานี!"เมื่อเห็นดังนั้น เหล่าทหารก็พากันหวาดกลัวจนมิกล้าขยับตัว“นี่ ข้ามอบของดีให้พวกเจ้า!”เสียงหัวเราะเย้ยหยันของฉินซูดังขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นก็โยนบางสิ่งไปยังตำแหน่งของกลุ่มพลธนูเหล่านั้นอูมู่ซึ่งมีปฏิกิริยารวดเร็ว คว้ามันไว้ในมือทันที!เมื่อมองดูชัด ๆ จึงพบว่ามันคือลูกเหล็กกลม ๆ ลูกหนึ่ง!ปลายด้านบนของลูกกลมยังคงพ่นควันโชยออกมาเขามองดูสิ่งของแปลกประหลาดในมือ และกำลังจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงนสงสัยแต่ยังมิทันที่จะได้ถาม ก็ได้ยินเสียง…ตูม เสียงครึกโครมดังสนั่น ลูกกลมในมือของอูมู่ระเบิดอย่างรุนแรง!ร่างของอูมู่ถูกระเบ
ถานเหวยโกรธจนกัดฟันกรอด พลันตะโกนด่าด้วยความโมโห "ทั่วป๋าชื่อ เจ้านี่ช่างบ้าบิ่น การลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทคือโทษประหารล้างชั่วโคตร! หากพวกเจ้ากล้าก่อเรื่องในวันนี้ ก็จงรอรับมือกองทัพจากราชสำนักที่จะมากวาดล้างพวกเจ้าทั้งเผ่าโครยอให้สิ้นซากได้เลย!”“หึ ในเมื่อข้ากล้าลงมือ ข้าก็เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เจ้าคิดว่ามีใครในพวกเจ้าในวันนี้จะหนีรอดไปได้หรือ?”อูมู่ยังหัวเราะเยาะหยัน "เพียงแค่พวกเราฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด องค์จักรพรรดิจะมีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา?"“ใช่แล้ว แถบพื้นที่ฉงซานมีสัตว์ร้ายอาละวาดหนัก ถึงตอนนั้นทุกคนคงคิดว่ารัชทายาทผู้ตกอับถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย ใครเล่าจะสงสัยมาถึงพวกเราชนเผ่าโครยอ?”กานรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยเสียงเบา "องค์รัชทายาท พวกเขาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เมื่อพวกเขากล้าลงมือ แสดงว่าต้องวางแผนไว้อย่างรัดกุมแล้ว อีกเดี๋ยวท่านโปรดหาโอกาสหลบหนี พวกเราจะยอมสละชีวิตเพื่อเปิดทางให้เองพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากพูดจบ เขาก็ชักดาบออกจากฝักเหล่าทหารที่ติดตามต่างก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกันด้วยท่าทีพร้อมสละชีวิตทั่วป๋าชื่อตะโกนเสียงดัง "ฉินซู ยังมิรีบปลิดชีพตนอีกรึ จ