......รุ่งเช้า พระตำหนักจินหลวน ขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ทว่าทุกคนต่างรู้ดีและไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะกลัวจะทำให้ฉินอู๋ต้าวผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรโกรธ ฉินอู๋ต้าวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยอย่างเรียบ "เหตุใดถึงยังมิเห็นองค์รัชทายาท?" เฉาฉุนรีบตอบอย่างเคารพ "ทูลฝ่าบาท องค์รัชทายาททรงถวายรายงานว่าประชวร กำลังพักฟื้นอยู่ในตำหนักบูรพาพ่ะย่ะค่ะ" ฉินอู๋ต้าวตรัสด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "หึ โกรธข้าก็พูดมาตรง ๆ เถอะ จะมาอ้างว่าป่วยหาปะไร คิดจะหลอกใครกัน?" "เอ่อ… ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น… จะทรงให้เรียกองค์รัชทายาทมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?" "ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป" ฉินอู๋ต้าวทำสีหน้าจริงจัง แล้วกล่าวเสียงดังว่า "อีกสองวันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว พวกเจ้าใครมีข้อเสนออะไรหรือไม่ กล่าวมาได้" ฉินหงก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วเอ่ยอย่างเคารพ "เสด็จพ่อ ไทเฮาทรงโปรดความครึกครื้นมาก ลูกขอเสนอให้จัดงานยิ่งใหญ่ เฉลิมฉลองทั้งแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ" เว่ยเจิงเอ่ยขึ้นว่า "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นพ้องด้วย อีกทั้งช่วงนี้บัณฑิตต้าเหยียนหลายคนก็อยู่ในเมืองหล
หลิวเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ใช่พ่ะย่ะค่ะ เช้าวันนี้ พวกเราศาลต้าหลี่ได้รับแจ้งถึงสิบคดีพร้อมกัน มีผู้มารายงานว่า บุตรสาวของพวกเขาหายไปเมื่อคืน ตามหาเท่าไรก็มิพบร่องรอย นี่จึงเป็นเหตุให้พวกเราต้องออกค้นหาไปทั่วทั้งเมืองพ่ะย่ะค่ะ" "หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? ทั้งหมดกี่คน?" "สิบคนพ่ะย่ะค่ะ ตามที่ผู้รายงานให้ข้อมูล บรรดาผู้สูญหายล้วนเป็นหญิงสาว อายุระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบห้าปี และล้วนยังมิได้แต่งงานออกเรือน" เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูขมวดคิ้วแล้วถามว่า "ก่อนหน้านี้เคยมีคดีในลักษณะนี้เกิดขึ้นหรือไม่?" หลิวเว่ยส่ายหน้า "มิเคยเกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงเป็นสถานที่ซึ่งอยู่ใต้พระเนตรพระกรรณขององค์จักรพรรดิ ช่วงหลายปีมานี้จึงมิเคยมีคดีเช่นนี้เกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ" "ฟังจากที่เจ้าพูดมา หมายความว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้ใช่หรือไม่?" "ก็คงใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่มิใช่ในเมืองหลวง กลับเป็นหมู่บ้านมู่เจีย ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ราวสิบลี้ เมื่อห้าปีก่อนก็เคยมีหญิงสาวบางคนหายตัวไปจากที่นั่น จนบัดนี้ยังหาตัวมิพบเลยพ่ะย่ะค่ะ" ฉินซูเลิกคิ้วแล้วถามว่า "ในตอนนั้น หญิงสาว
"มิปกติหรือ? ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ ท่านปู่ถึงถามเช่นนี้?" "เมื่อก่อนองค์รัชทายาทก็มีแต่จะหลงมัวเมาในสุรานารี แต่มินานมานี้กลับราวกับเป็นคนใหม่ เริ่มจากการเอาชนะการแข่งกวีกับขุนนางอาวุโสของเป่ยเยี่ยน จากนั้นก็วางแผนกักตัวองค์ชายมู่หรงฟู่จากเป่ยเยี่ยนไว้ที่เมืองหลวง ทำให้เป่ยเยี่ยนมิกล้าเอ่ยอ้างสิทธิ์ในเมืองชิ่งโจวอีก และมิกี่วันมานี้ยังทำให้อ๋องจิ้นถูกลดขั้นเป็นเฉินหลิวอ๋อง แม้แต่อ๋องหนิงก็พลาดท่าให้เขาครั้งใหญ่เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงขององค์รัชทายาทเช่นนี้มินับว่าแปลกหรือ?" เซี่ยหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย "เรื่องที่ฉินเหยี่ยนถูกลดขั้น และอ๋องหนิงพลาดท่า ก็เพราะพวกเขาทำตัวเองทั้งนั้นนะเจ้าคะ" เซี่ยเหอพูดด้วยความมิพอใจ "หากมิใช่เพราะองค์รัชทายาทแสดงฝีมือออกมา อ๋องจิ้นและอ๋องหนิงจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้หรือ? เอาเถอะ ปู่จะมิพูดอ้อมค้อมแล้ว เจ้าก็บอกตาตรง ๆ เถอะว่า ใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทกันแน่?" "ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านปู่ต้องถามเรื่องนี้ แต่คงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว เพราะจากที่ข้ารู้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทเลย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีเจ้าค่ะ" "ไม่มี
ฉินซูยกมือขึ้นอย่างมาดมั่นแล้วกล่าวว่า "เรื่องช่วยหรือมิช่วยน่ะไม่มีหรอก เจ้ามีเรื่องอะไร ก็บอกมาเถอะ" "หม่อมฉันอยากให้ท่านไปที่ศาลต้าหลี่ ดูว่าพวกเขาสืบพบเบาะแสอะไรบ้าง" "เฮ้อ ข้าก็นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร เอาล่ะ บอกมาสิว่าสหายของเจ้ามีนามว่าอะไร?" "ลู่ซวงเอ๋อร์" "ได้สิ ข้าจะไปศาลต้าหลี่เดี๋ยวนี้เลย" เซี่ยหลานกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข "องค์รัชทายาท ขอบพระทัยท่านมากเพคะ" "พวกเราสนิทกันถึงขนาดนี้แล้ว มิต้องมาพูดขอบคุณอะไรกันหรอก" ฉินซูเอื้อมมือไปแตะจมูกของนางเบา ๆ ใบหน้าของเซี่ยหลานขึ้นสีแดงระเรื่อ แล้วนางก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล โชคดีที่ในห้องไม่มีใครอยู่ นางจึงพูดเสียงเบา "องค์รัชทายาท ต่อไปท่านต้องระวังพระองค์หน่อยนะเพคะ หากชูโม่เห็นเข้า หม่อมฉันคงต้องลำบากอธิบายแน่ ๆ" ฉินซูมิสนใจ ยักไหล่ "หากนางจะรู้ก็รู้ไปสิ จะกลัวอะไร" "หาอย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ หากนางรู้เข้าจริง ๆ นางจะต้องโกรธหม่อมฉันแน่ อย่างน้อยก็ยังมิใช่ตอนนี้ ขอร้องเถิดเพคะ" "ก็ได้ ๆ ต่อไปข้าจะระวัง แต่แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน" พูดจบ ฉินซูก็จุมพิตลงที่ปากของเซี่ยหลานอย่างรวดเร็ว
ฉินซูก็มาถึงศาลต้าหลี่ทหารยามที่ประตูเมื่อเห็นฉินซู รีบคุกเข่าคารวะทันทีฉินซูโบกมือให้พวกเขาลุกขึ้น แล้วถามว่า “ใต้เท้าหวังอยู่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าหวังอยู่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องโถง”ฉินซูพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปยังห้องโถงของศาลต้าหลี่ภายในห้องโถงบนโต๊ะตรงหน้าของหวังฉือเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดการเอกสารอย่างขะมักเขม้น ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเมื่อเห็นหวังฉือกำลังจดจ่อ ฉินซูจึงกระแอมเบา ๆหวังฉือเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือฉินซู ใบหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจและรีบออกมาต้อนรับ“ข้าน้อยขอถวายคำนับองค์รัชทายาท มิทราบว่าพระองค์เสด็จมา จึงมิได้ออกมาต้อนรับแต่เนิ่น ๆ ขอพระองค์โปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ!”“มิเป็นไร ลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท! มิทราบว่าพระองค์เสด็จมาด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูพูดอย่างมิใส่ใจว่า “เมื่อเช้านี้ ข้าได้พบกับรองหัวหน้าหลิวที่โรงน้ำชา เขากำลังสืบคดีอยู่ ข้าจึงได้ทราบว่า มีหญิงสาวสิบคนหายตัวไปอย่างลึกลับ จึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยตนเอง”“เฮ้อ เรื
หวังฉือหันมามองฉินซูแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “รีบพานางเข้ามาเร็วเข้า”ครู่หนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งก็ถูกพาตัวเข้ามานางเป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปี แต่งกายเรียบง่ายเมื่อเข้ามาแล้ว นางก็คุกเข่าลงด้วยท่าทีหวาดกลัวหวังฉือรีบเข้ามาประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นาง มิต้องกลัว ลุกขึ้นเถิด เจ้าว่าเจ้าพบเห็นเหตุการณ์ที่มีการลักพาตัวหญิงสาวไป จริงหรือไม่?”เด็กสาวรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้ามีนามว่าซิ่วเอ๋อ คืนนั้นข้าได้นัดกับสหายว่าจะไปที่ตรอกผิงคัง แต่รอที่จุดนัดหมายอยู่นานสองนานก็มิเห็นนางมา ข้าจึงคิดจะไปหานางที่บ้าน แต่เดินไปได้มิไกล ก็เห็นว่านางถูกคนจับตัวไป...”“สหายของเจ้ามีนามว่าอะไร?”“ลู่ซวงเอ๋อร์เจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูก็มีท่าทางสนใจขึ้นมาแล้วถามว่า “ตอนนั้นเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าคนที่จับตัวซวงเอ๋อร์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”ซิ่วเอ๋อมองไปที่ฉินซู แล้วหันไปมองหวังฉืออีกครั้ง ครู่หนึ่งนางก็ยังมิตอบ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่นางเกรงกลัวอยู่ในใจหวังฉือเห็นท่าทีดังกล่าวจึงรีบพูดว่า “แม่นางอย่าได้กลัว ท่านนี้คือองค์รัชทายาท พระองค
ซิ่วเอ๋อหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบา ๆตงฟางไป๋จึงแบกนางขึ้นหลังแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างฉินซูเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ใต้เท้าหวังคิดจะทำสิ่งใดต่อ?”หวังฉือตอบ “กระหม่อมจะไปดูจุดที่ซิ่วเอ๋อพูดถึง บางทีอาจจะพบเบาะแสอะไรบ้าง”“ข้าเองก็ว่างอยู่ จะขอตามท่านไปด้วยแล้วกัน”“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเชิญองค์รัชทายาท”หวังฉือนำเจ้าหน้าที่ไปหลายคน เดินทางไปพร้อมกับฉินซูมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเทียนเวยที่ด้านหลังโรงเตี๊ยมเทียนเวย เป็นทางเดินสายเล็ก ๆ ข้างทางมีต้นอู๋ถงปลูกอยู่หนึ่งต้นตอนนี้เข้าสู่ช่วงปลายสารทฤดูแล้ว ใบอู๋ถงร่วงหล่นเต็มพื้นเมื่อหวังฉือและคนอื่น ๆ มาถึง ต่างก็หันไปมองฉินซูฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มองข้าด้วยเหตุใดเล่า พวกเจ้าเคยสืบสวนกันอย่างไร ก็ทำตามนั้นไปสิ”หวังฉือพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามบ้านเรือนทีละหลังส่วนฉินซูกวาดตามองไปรอบ ๆ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยใบไม้ร่วงหล่นทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นแสงแดดสะท้อนจากอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ใบไม้เขาเดินไปหยิบใบไม้ออก เห็นต่
บริเวณหว่างคิ้วของฉินเหยี่ยนแผ่กระจายไอสังหารที่เย็นยะเยือก ความเย็นชาปรากฏในแววตาของเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ซุนฉีถึงกับสะดุ้งในใจ เพราะตั้งแต่ติดตามฉินเหยี่ยนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความโกรธแค้นและน่ากลัวจากสีหน้าของฉินเหยี่ยนฉินเหยี่ยนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “จับตาดูจวนอ๋องหนิงไว้ หากฉินเซียวออกจากจวนเพียงลำพังเมื่อใด จงรีบมารายงานข้า”ซุนฉีตกใจและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ท่านคิดจะลงมือกับอ๋องหนิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เขาส่งคนมาลอบสังหารข้า แถมยังสังหาหลิงเอ๋อร์ หากมิได้องค์รัชทายาทช่วยไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว ความแค้นลึกซึ้งเพียงนี้ หากมิฆ่าฉินเซียว ข้ามิถือว่าเป็นคนอีกต่อไป!”“แต่กระหม่อมเกรงว่ามิง่ายอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ฝ่าบาทได้สั่งกักบริเวณอ๋องหนิงแล้ว หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท อ๋องหนิงคงมิออกจากจวนแน่”“เจ้าจับตาดูเขาไปก่อน กักบริเวณเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ในท้ายที่สุดเสด็จพ่อก็ต้องปล่อยเขาเป็นอิสระอยู่ดี”ฉินเหยี่ยนหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “ช่วงนี้ข้าออกไปข้างนอกมิสะดวกหากข้างนอกมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เจ้าจงรีบมารายงานข้า”ซ