“เอ่อ...”หลี่หลงหลินชะงักเบาๆก็หมายความว่า ก่อนตนเองแต่งซูเฟิ่งหลิงเข้าบ้าน จะไม่สามารถแตะต้องลั่วอวี้จู๋ได้?หากแตะต้องไป ใครเป็นภรรยาเอก ใครเป็นอนุ นั่นก็วุ่นวายแล้วมิใช่หรือ?ใครยังพูดได้ชัดเจนอีกเล่า?มองเช่นนี้ดูแล้ว นับว่ามีเหตุผลหลายส่วนปัญหาคือ หญิงงามอยู่ตรงหน้า ทำได้เพียงมอง กลับกินไม่ได้นี่มิใช่กำลังทรมานคนหรือ?กระนั้นหลี่หลงหลินมิใช่วิญญาณหิวโหยอะไรในเมื่อลั่วอวี้จู๋รับปากแล้ว ย่อมไม่รีบร้อนอาหารเลิศรสย่อมไม่สายเกินกิน!หากทนไม่ได้ หลี่หลงหลินสามารถนัดหนิงชิงโหว ไปเที่ยวสำนักการสังคีต มีนางคณิกาอยู่เป็นเพื่อน ส่งมอบอ้อมกอดก่อนได้!“ได้!”หลี่หลงหลินยื่นมือออกไป บีบบั้นท้ายอวบอิ่มของลั่วอวี้จู๋แรงๆ หนึ่งทีเงินต้นไม่อาจแตะต้อง ก็ต้องเก็บดอกเบี้ยสักหน่อยกระมัง!ร่างอรชรของลั่วอวี้จู๋สั่นเทิ้ม ใบหน้าเขินอายแดงเรื่อ ใกล้จะล้มลงบนโต๊ะเต็มทีท่าทีตอบสนองของนางนี้ น่าสนใจยิ่งกว่าซูเฟิ่งหลิงมากนัก!หลี่หลงหลินหัวเราะฮาๆ เตรียมหมุนตัวจากไป“องค์...องค์ชาย...”เสียงลั่วอวี้จู๋สั่นเครือ เรียกหลี่หลงหลินไว้หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋อย่างแปลกใจ “พี่สะใภ้ให
“ทำอย่างสุดกำลัง ฟังลิขิตฟ้า!”หลี่หลงหลินแหงนมองฟ้า พ่นลมหายใจยาวเหยียดออกมาเฮือกหนึ่งไม่ว่าอย่างไร พยายามอย่างสุดกำลังก็พอ!หวังว่าสวรรค์จะไม่ทำลายต้าเซี่ย ทั้งหมดยังทันเวลา!วันต่อมาข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งลือสะพัดไปทั่วเมืองหลวงโดยเฉพาะค่ายผู้ลี้ภัยนอกเมือง บัดนี้กำลังดุเดือดองค์ชายเก้าหลี่หลงหลินจ่ายหนักรับซื้อชิงฮวาชิงฮวาสิบจินสามารถขายได้หนึ่งตำลึง!ยิ่งไปกว่านั้น มิใช่ตากแห้ง แต่เป็นชิงฮวาสดใหม่เดิมทีชีวิตของเหล่าผู้ลี้ภัย ก็ลำบากมากอยู่แล้วระยะนี้เกิดโรคระบาด คนไม่น้อยติดโรคมาลาเรีย เหล่าผู้ลี้ภัยไม่มีเงินไปซื้อยา ทำได้เพียงนอนรอความตายเท่านั้นข่าวนี้ ดุจดั่งยารักษาใจ ทำให้เหล่าผู้ลี้ภัยมีชีวิตชีวา ดวงตามืดมนเปล่งประกายใหม่อีกครั้ง!แตกต่างจากซ่อมแซมบ้านเรือน รวมถึงเข้าร่วมทหาร นี่ล้วนต้องการคนหนุ่มร่างกายกำยำแข็งแรงขุดชิงฮวา ช่างง่ายดายมากนัก!ภายในทุ่งนา ต่างพากันก้มหน้าก้มตาเก็บต่อให้เป็นคนอ่อนแอผู้ชรา ก็สามารถทำงานนี้ได้หนึ่งวันนี้ หากวาสนาดี ต่อให้เป็นเด็กเจ็ดแปดขวบ ขุดสิบกว่าจินก็ล้วนสามารถเป็นไปได้!ชิงฮวาสิบจินขายได้หนึ่งตำลึง?นี่เป็นไปได้จริ
หลี่หลงหลินไม่ว้าวุ่นใจแม้แต่น้อย ยิ้มเย็นพูดว่า “ไม่เรียนแล้ว? เช่นนั้นก็ให้พวกนางไสหัวไป!”เขารู้ดีภายในใจคุณหนูสูงศักดิ์เหล่านี้ มีกี่คนสามารถเรียนหนังสือได้?ให้พวกนางไปรักษาคน นั่นเป็นเรื่องขบขันไร้สาระเหตุที่หลี่หลงหลินรับสมัครคุณหนูสูงศักดิ์ ด้านหนึ่งเพราะพวกนางมีชาติกำเนิดบริสุทธิ์ ภายภาคหน้าเข้าวังรักษาสนม ฝ่าบาทย่อมวางพระทัยอีกด้านหนึ่ง ต้องการหลอกเอาเงินพวกขุนนางชนชั้นสูง!เส้นทางบนโลกก็เป็นเช่นนี้ หลี่หลงหลินต้องการทำเพื่อราษฎร์ ไม่มีเงินย่อมเป็นไปไม่ได้!หลอกเอาเงินชนชั้นสูง ย่อมดีกว่าหลอกเอาเงินราษฎร์มากนัก!เดิมทีก็คือเลือดเนื้อของราษฎร์ ต่อให้รับจากราษฎร์ แต่ก็ใช้กับราษฎร์ภายในบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์สิบคน สุดท้ายเหลือเพียงสองสามคน ก็นับว่าไม่เลวแล้วส่วนที่เหลือ รีบไสหัวไป ไม่เพียงเกิดปัญหาน้อยลงได้ ยังประหยัดข้าวที่ภูเขาทิศประจิมได้อีกด้วยหนิงชิงโหวก้มหน้า “แต่ พวกนางพูดว่าต้องการให้องค์ชายคืนเงิน...”หลี่หลงหลินโมโหมากขึ้นสามจั้งลาออกย่อมได้ ข้าร้องขอแทบไม่ทัน!คืนเงิน ฝันหรือ?ชนชั้นสูงแล้วอย่างไร?ข้าก็หลอกชนชั้นสูงนั่นล่ะ!สีหน้าหลี่หลงหลินเข้มข
ซุนชิงไต้ไม่มีความคิดอื่นใด นอกจากเรื่องกินแล้ว ก็ไม่ใส่ใจอันใดอีกทว่าในด้านวิชาแพทย์ นางกลับยอดเยี่ยมมากนักพูดว่าอะไรนางก็ได้ เว้นเสียแต่ต่อว่าวิชาแพทย์ของนางนี้ไม่ได้“ใครเป็นคนนำก่อเรื่อง?”“ยืนขึ้น!”สีหน้าหลี่หลงหลินเยียบเย็นปานน้ำค้างแข็งคุณหนูสูงศักดิ์สองสามคนสบตากัน ลุกออกมาแม้ว่าหลี่หลงหลินเป็นองค์ชายแต่พวกนางมาจากตระกูลชนชั้นสูง กลับไม่มีอะไรให้กลัวหลี่หลงหลินเอ่ยปากเสียงเย็น “หนิงเซิง จดชื่อพวกนางเอาไว้! ข้าจะไปบ้านพวกนาง คืนค่าธรรมเนียมด้วยตนเอง! ข้ากลับอยากเห็นนัก ผู้ใหญ่คนใดในบ้านพวกนางจะกล้ารับ!”สีหน้าคุณหนูสูงศักดิ์เหล่านี้เปลี่ยนไปในทันใดพวกนางเอาแต่ใจ กำเริบเสิบสานจนคุ้นชินแล้วแต่กับบิดามารดายังกลัวอยู่มาก!หากหลี่หลงหลินโวยวายใหญ่โตจริง พวกนางต้องถูกบิดามารดาลงโทษ ให้สำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำลงไป!“องค์ชายเก้า...”“พวกเราสำนึกผิดแล้วเพคะ!”“แท้จริงแล้วพวกเราเพียงล้อท่านอาจารย์เล่นเท่านั้น!”“ใครรู้ ท่านอาจารย์ไม่ขบขันเช่นนี้!”เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ก้มหน้า ยอมรับผิดแล้วหลี่หลงหลินพูดเสียงเฉียบ “ท่านอาจารย์? เจ้าเองก็รู้ นางเป็นอาจารย์ของพวกเจ
หลี่หลงหลินเองก็ไม่พูดพร่ำ ออกคำสั่งซูเฟิ่งหลิงสีหน้าเย็นชา “ยกชั้นเรียนนี้ให้เจ้าแล้ว! เจ้าสอนกฎระเบียบให้พวกนาง! หากไม่ฟัง ก็ตี! หากกล้าโวยวายต่อ ไล่ออกไปเสียเลย ไสหัวออกจากภูเขาทิศประจิมไปเสีย!”“เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ องค์หญิง ท่านหญิงอะไรก็ช่าง องค์ชายข้าไม่เห็นอยู่ในสายตา!”ถ้อยคำนี้โอหังเป็นอย่างมาก ทุกคนในภูเขาทิศประจิมเหยียดเอวตรงในทันใดซุนชิงไต้ยิ้มออกมาในที่สุด จับแขนเสื้อหลี่หลงหลินไว้แน่นๆ สีหน้าภาคภูมิใจสีหน้าเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์เผือดซีด ก้มหน้าลง เก็บความโอหังไว้แล้วปัง!ซูเฟิ่งหลิงเองก็ไม่รอช้า ฟาดกระบี่อาญาสิทธิ์ลงบนแท่นยืน ตวาดเสียงเฉียบ “อาจารย์ ก็คือบิดามารดา! ในเมื่อพวกเจ้าเข้าภูเขาทิศประจิมแล้ว ก็ต้องเคารพกฎระเบียบของภูเขาทิศประจิม...”เดิมที ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากดุดันมากเกินไปนักอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นเด็กผู้หญิง อ้อนแอ้นอรชร ร่างกายแบบบางภายในบรรดาพี่สะใภ้ทั้งสี่ ซูเฟิ่งหลิงมีความสัมพันธ์อันดีกับซุนชิงไต้มากที่สุดซุนชิงไต้ถูกรังแก ซูเฟิ่งหลิงไม่มีวันยอมกลืนแค้นนี้ จะต้องสั่งสอนพวกคุณหนูสูงศักดิ์ไม่รู้กฎระเบียบเหล่านี้ดีๆ!“เสือโคร่งแผ่บารมี ไม่ธรรมด
เมื่อหลี่หลงหลินได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าใจเหตุผลทันที ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมา “พี่สะใภ้สาม วิธีใช้ยาของเจ้านั้นผิดแล้ว”มิน่าล่ะ ซุนชิงไต้ถึงได้บอกว่าชิงฮวาไม่สามารถรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพได้วิธีของนางไม่ถูกต้องตราบใดที่ต้มชิงฮวาในน้ำเดือด อัตราส่วนชิงฮวาซู่ที่มีประสิทธิภาพภายในนั้นจะถูกทำลาย และสูญเสียประสิทธิภาพของยาไปซุนชิงไต้มึนงงไปหมด แล้วเอ่ยอย่างฉงน “ผิดรึ? มันผิดอย่างไร?”หลี่หลงหลินกล่าวว่า “ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง เจ้าเอาไปลองดู! ชิงฮวาหนึ่งกำมือ แช่ในน้ำสองลิตร จากนั้นก็สกัดเอาน้ำของมัน แล้วดื่มให้หมด”นี่คือวิธีการที่เก๋อหงบันทึกเอาไว้ในตำราแพทย์ของเขาต่อให้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อไป รู้เพียงวิธีนี้เท่านั้น และยังเดินผิดไปมาก เสียเวลาไปไม่น้อย ผ่านอุปสรรคที่ยากลำบากก็มาก จนในที่สุดก็สร้างชิงฮวาซู่ออกมาได้ยิ่งไปกว่านั้นหลี่หลงหลินแทบไม่เข้าใจวิชาแพทย์ มีเพียงวิธีนี้ คิดจะรักษาโรคมาลาเรีย มันคือฝันกลางวันชัดๆอย่างเช่นชิงฮวาหนึ่งกำมือ มันคือเท่าไหร่กันแน่?แช่น้ำ คำว่าแช่นี่มันหมายความว่าอย่างไร?แต่ปัญหายากๆ เหล่านี้ สำหรับซุนชิงไต้ที่ถูกสรรเสริญว่าเป็นหมอเทวด
สายตาของหลี่หลงหลินกวาดมองผ่านบรรดาคุณหนูผู้ดีกลุ่มนี้ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นกิ่งทองใบหยก ไม่เคยต้องซักผ้าถูบ้าน”“ข้ารู้ว่า พวกเจ้ากินดีอยู่ดี ที่บ้านมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ ไม่เคยต้องทำงาน!”“และข้าก็ยิ่งรู้ว่า ในก้นบึ้งหัวใจของพวกเจ้า ดูถูกทหารเหล่านี้ คิดว่าพวกเขาเป็นพวกบ้านนอก เป็นทหารที่ต่ำต้อย!”“แต่ว่าข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าให้นะ!”“ในขณะที่พวกเจ้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่นั้น เหล่าทหารที่อยู่แนวหน้า ต้องสละเลือดของพวกเขาแทนพวกเจ้า!”“ถ้าพวกเขาไม่ได้อาบเลือดทำสงคราม ปกป้องแผ่นดิน!”“ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือคงจะเข้ามาเหยียบย่ำแผ่นดินแคว้น ทำลายเมืองหลวงไปแล้ว!”“ผลสุดท้ายบ้านเมืองถูกลายอย่างไรคงไม่ต้องให้ข้าพูด พวกเจ้าเองก็คงจะรู้กระมัง?”“จุดจบของพวกเจ้า จะน่าสังเวชยิ่งกว่าหญิงคณิกาที่หอนางโลมเป็นหมื่นเท่า!”“พวกหมานอี๋ไม่มีทางเข้าว่ารักหยกถนอมบุปผาคืออะไร!”ในลานบ้านก็เงียบกริบใบหน้างดงามของพวกคุณหนูชั้นสูงซีดขาว พากันก้มหน้าไม่พูดอะไรพวกนางล้วนแต่เป็นคนมีความรู้มีมารยาท เข้าใจว่าสิ่งที่หลี่หลงหลินพูดนั้นคือเรื่องจริงไม่มีแคว้น ไหนเลยจะมีบ้าน?หาก
หลี่หลงหลินโบกมือ สั่งว่า “พี่สะใภ้สาม เข็นยาที่เตรียมไว้ออกมาเถอะ!”ทันทีที่เสียงจบลงซุนชิงไต้ก็เข็นถังน้ำใบใหญ่ออกมาน้ำมันสีเขียวในถังน้ำคือน้ำชิงฮวาที่ผ่านการแช่และสกัดออกมาหลายวันมานี้ ซุนชิงไต้กังวลมาก ไม่มีความอยากอาหารเลย น่องไก่ก็ไม่อยากกินแล้วเดิมทีนางก็ตัวเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ผอมลงไปมาก ใบหน้ากลมก็เริ่มตอบลงและคางก็แหลมขึ้นหลี่หลงหลินสั่งว่า “นี่เป็นยาพิเศษที่หมอเทวดาซุนทำออกมา แบ่งให้ผู้ป่วยดื่มกันคนละชาม!”ยาพิเศษ?เหล่าคุณหนูต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง มองไปที่ซุนชิงไต้พูดตามตรงพวกนางไม่เชื่อเลยว่าซุนชิงไต้จะมีวิธีรักษาโรคมาลาเรียนี้ได้ถ้าซุนชิงไต้มีความสามารถนี้จริงนางคงไม่ใช่หมอเทวดาแล้วแต่เป็นพระโพธิสัตว์!ไม่รู้ว่าชาวบ้านอีกเท่าไหร่ ที่ต้องสร้างศาลบูชาให้ซุนชิงไต้เรื่องมาถึงตอนนี้ พวกนางก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ลองพยายามดูอีกสักรอบ ป้อนยาชิงฮวาให้กับผู้ป่วยจริงๆ แล้ว แม้แต่ซุนชิงไต้เองก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นอยู่ในใจ!นางลากตัวหลี่หลงหลินไปข้างๆ แล้วพูดด้วยความกังวลว่า “องค์ชายเก้า สูตรยาของเจ้ามันจะได้ผลจริงๆ หรือ? ข้าลองชิมแล้ว มันก็แค่น้ำหญ้าธรรมดา
หากเช้าตรู่ได้รู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋า แม้ตายตอนเย็นก็ไม่เสียดายเพียงแค่ “รู้แล้วลงมือทำ” สี่คำนี้ ก็ทำให้หนิงชิงโหวมองเห็นมุมหนึ่งของวิถีแห่งนักปราชญ์ ในชั่วพริบตาราวกับช่วงเวลาที่ความโกลาหลเพิ่งแยกออกจากกัน สายฟ้าแรกได้พลันฟาดลงมาฉีกกระชากความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์“รัชทายาท...”“การรู้แล้วลงมือทำ จะทำได้อย่างไร?”“ในปรัชญาแห่งจิตใจ มีคำอธิบายหรือไม่?”หนิงชิงโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังความรู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเป็นแบบแผนเช่นสี่ตำราห้าคัมภีร์ แก่นแท้อยู่ที่คำว่าเมตตา!แต่ทำไมต้องเมตตา?ในหนังสือไม่ได้บอกเจ้าต้องศึกษาเอง ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองอ่านหนังสือร้อยรอบ ความหมายก็จะปรากฏเองถ้าตระหนักรู้ไม่ได้ล่ะ?แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนหัวทึบ ความสำเร็จในชีวิตมีจำกัด อย่างมากก็เป็นได้แค่ทงเซิงเท่านั้นเปรียบเสมือนว่าหลักธรรมในสี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ทำไมถึงเท่ากับสองในหนังสือไม่ได้บอก ต้องตระหนักรู้เองหากใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็สามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรุ่งเรืองถึงขีดสุดบางคนตระหนักรู้ไม่ได้ ก็เสียเวลาไปตลอดชี
นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!ยิ่งกว่านั้นหลี่หลงหลินเป็นศัตรูกับเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า ตั้งแต่แรกก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ต่อให้เขาเขียนผลงานที่ทำให้โลกตะลึงออกมา เหล่าบัณฑิตก็ไม่มีทางยอมรับ!สรุปแล้วคำพูดของหลี่หลงหลินนั้นเกินจริงไปมาก เป็นการคุยโวเสียยิ่งกว่าความเป็นจริงซูเฟิ่งหลิงยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ราวกับแมวน้อยที่ถูกกระตุ้นให้คันจนทนไม่ไหว “ตกลงเจ้าเขียนอะไรไว้กันแน่ เอาออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ! อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย!” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ไม่ได้! ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวจะยุ่ง! แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่าสิ่งที่ข้าเขียนชื่อว่าปรัชญาแห่งจิต การรู้และการกระทำต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม!”อย่าว่าแต่หลี่หลงหลินที่เป็นองค์ชายเสเพลที่ไม่รู้หนังสือเลยต่อให้เป็นบัณฑิต หรือแม้แต่นักปราชญ์กลับชาติมาเกิดใช้เวลาสามวันเขียนตำราลัทธิขงจื๊อ แถมยังก่อตั้งสำนัก สร้างความรู้ใหม่ สืบทอดความรู้จากนักปราชญ์โบราณ มันช่างน่าตกตะลึงเกินไป!แต่เขาเป็นนักลอกเลียนวรรณกรรมเขียนเองไม่ได้ ก็ลอกไม่ได้หรือไง?ครั้งนี้สิ่งที่หลี่หลงหลินลอกมาคือปรัชญาแห่งจิตใจของหวังหยางหมิงแ
เมื่อจดหมายนิรนามมีจำนวนมาก ย่อมต้องมีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไปในบรรดาจดหมายเหล่านั้น มีจดหมายจำนวนมากที่เป็นเรื่องโกหก สร้างขึ้นเพื่อระบายความโกรธแค้นยังมีจดหมายอีกส่วนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นจดหมายจากบัณฑิตสำนักปราชญ์ ตั้งใจจะสร้างขึ้นให้เกิดความสับสนสิ่งที่ซูเฟิ่งหลิงต้องทำคือคัดเลือกจดหมายนิรนามที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ เหล่านี้ออกฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วเหนื่อยมากหลังจากสามวัน ซูเฟิ่งหลิงก็ตาลาย ปวดหัว มองจดหมายแล้วแทบจะอาเจียนในที่สุดหลี่หลงหลินก็มาถึงเขาประจิมในที่สุด“เจ้าสุนัข!”“มาสักทีนะ!”“เจ้ามัวแต่ซ่อนตัว ปล่อยให้พวกเรายุ่งจนแทบตาย!”ซูเฟิ่งหลิงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ระบายความไม่พอใจแต่ในสายตาของหลี่หลงหลิน นางดูเหมือนกำลังออดอ้อนมากกว่า เขาจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อ้ายเฟย ลำบากเจ้าแล้ว! ถ้าอย่างนั้นจูบเจ้าสักครั้งเป็นรางวัลแล้วกัน!”ซูเฟิ่งหลิงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหลบหนีราวกับเห็นผี ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “พวกพี่สะใภ้กำลังมองอยู่นะ! เจ้าไม่อายหรือไง!”หลี่หลงหลินหันไปเห็นลั่วอวี้จู๋ หลิ่วหรูเยียน และคนอื่นๆ เห็นพวกนางมีท่าทางเหนื่อยล้าก็รู้สึกสงสาร
ฟังแล้วดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วยากมากในอดีตจนถึงปัจจุบัน บัณฑิตในลัทธิขงจื๊อมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่มีสักกี่คนที่ได้รับการยกย่องเป็นนักปราชญ์?นับได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น!ทำไมนักปราชญ์ถึงยากนัก?คุณธรรม คุณูปการ และคำสอน ติดอยู่ที่ขั้นตอนไหนกันแน่? การสร้างคุณธรรมไม่ยากสุภาพบุรุษอ่านคัมภีร์ปราชญ์ ฝึกฝนตนเองและหล่อเลี้ยงจิตใจ ก็ย่อมมีคนดีมีศีลธรรมอยู่แล้วการสร้างคุณูปการก็ไม่ยากต่อให้สร้างคุณูปการใหญ่ไม่ได้ สร้างคุณูปการเล็กน้อย เช่น แก้ไขปัญหาน้ำท่วม สร้างประโยชน์สุขให้แก่ชาวบ้านอย่างน้อยที่สุด การบูรณะซ่อมแซมสำนักศึกษา ก็ถือเป็นการสร้างคุณูปการสิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างคำสอนการสร้างคำสอนคือการเขียนตำรา เผยแพร่แนวคิดลัทธิขงจื๊อของตนบางคนอาจจะบอกว่า การเขียนหนังสือไม่ใช่เรื่องยากไม่ว่าจะเป็นฉินฮั่นหยาง หรือเสิ่นชิงโจว บัณฑิตเหล่านี้ ใครบ้างที่ไม่เคยเขียนหนังสือสักสองสามเล่มจนลูกศิษย์ยกย่องแทบจะเหาะขึ้นฟ้าไปแล้วทำไมพวกเขาเป็นแค่บัณฑิต ไม่ใช่นักปราชญ์?เหตุผลง่ายๆหนังสือที่พวกเขาเขียน ไม่ว่าสำนวนจะไพเราะเลิศเลอเพียงใด ก็เป็นการเพิ่มเติมจากสี่ตำราห้าคัมภีร์เ
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย