นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!ยิ่งกว่านั้นหลี่หลงหลินเป็นศัตรูกับเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า ตั้งแต่แรกก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ต่อให้เขาเขียนผลงานที่ทำให้โลกตะลึงออกมา เหล่าบัณฑิตก็ไม่มีทางยอมรับ!สรุปแล้วคำพูดของหลี่หลงหลินนั้นเกินจริงไปมาก เป็นการคุยโวเสียยิ่งกว่าความเป็นจริงซูเฟิ่งหลิงยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ราวกับแมวน้อยที่ถูกกระตุ้นให้คันจนทนไม่ไหว “ตกลงเจ้าเขียนอะไรไว้กันแน่ เอาออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ! อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย!” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ไม่ได้! ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวจะยุ่ง! แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่าสิ่งที่ข้าเขียนชื่อว่าปรัชญาแห่งจิต การรู้และการกระทำต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม!”อย่าว่าแต่หลี่หลงหลินที่เป็นองค์ชายเสเพลที่ไม่รู้หนังสือเลยต่อให้เป็นบัณฑิต หรือแม้แต่นักปราชญ์กลับชาติมาเกิดใช้เวลาสามวันเขียนตำราลัทธิขงจื๊อ แถมยังก่อตั้งสำนัก สร้างความรู้ใหม่ สืบทอดความรู้จากนักปราชญ์โบราณ มันช่างน่าตกตะลึงเกินไป!แต่เขาเป็นนักลอกเลียนวรรณกรรมเขียนเองไม่ได้ ก็ลอกไม่ได้หรือไง?ครั้งนี้สิ่งที่หลี่หลงหลินลอกมาคือปรัชญาแห่งจิตใจของหวังหยางหมิงแ
หากเช้าตรู่ได้รู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋า แม้ตายตอนเย็นก็ไม่เสียดายเพียงแค่ “รู้แล้วลงมือทำ” สี่คำนี้ ก็ทำให้หนิงชิงโหวมองเห็นมุมหนึ่งของวิถีแห่งนักปราชญ์ ในชั่วพริบตาราวกับช่วงเวลาที่ความโกลาหลเพิ่งแยกออกจากกัน สายฟ้าแรกได้พลันฟาดลงมาฉีกกระชากความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์“รัชทายาท...”“การรู้แล้วลงมือทำ จะทำได้อย่างไร?”“ในปรัชญาแห่งจิตใจ มีคำอธิบายหรือไม่?”หนิงชิงโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังความรู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเป็นแบบแผนเช่นสี่ตำราห้าคัมภีร์ แก่นแท้อยู่ที่คำว่าเมตตา!แต่ทำไมต้องเมตตา?ในหนังสือไม่ได้บอกเจ้าต้องศึกษาเอง ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองอ่านหนังสือร้อยรอบ ความหมายก็จะปรากฏเองถ้าตระหนักรู้ไม่ได้ล่ะ?แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนหัวทึบ ความสำเร็จในชีวิตมีจำกัด อย่างมากก็เป็นได้แค่ทงเซิงเท่านั้นเปรียบเสมือนว่าหลักธรรมในสี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ทำไมถึงเท่ากับสองในหนังสือไม่ได้บอก ต้องตระหนักรู้เองหากใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็สามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรุ่งเรืองถึงขีดสุดบางคนตระหนักรู้ไม่ได้ ก็เสียเวลาไปตลอดชี
“ลูกรัก”“ดื่มเหล้าพิษจอกนี้!”“แม่ร่วมเดินสู่ยมโลกพร้อมกับเจ้า!”หลี่หลงหลินลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ในชุดนักโทษ ถูกขังอยู่ในคุกที่มืดมิดหญิงงามในชุดชาววังแสนสง่า ร่ำไห้ดั่งสาลี่ต้องหยาดพิรุณ น้ำตานองหน้า มือถือจอกทอง ดวงหน้างามสะพรั่งเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังชั่วพริบตา ความทรงจำมากมายพรั่งพรูเข้ามาในความคิด!ราชวงศ์ต้าเซี่ย ราชวงศ์หนึ่งที่ไม่มีในหน้าประวัติศาสตร์!ข้าทะลุมิติกลายมาเป็นองค์ชายเก้า!หญิงงามในชุดชาววังตรงหน้า คือมารดาของข้า พระชายาโหรวสตรีที่ฮ่องเต้หวู่ทรงโปรดปรานมากที่สุด!ผู้สืบเชื้อสายแห่งราชวงศ์ สมาชิกราชสกุล ร่ำรวยสมบัติวิบูลย์ทรัพย์ สระสุราเมรัยพงไพรเนื้อ หญิงงามละลานตา ช่างเป็นสิ่งที่ผู้คนเสาะแสวงเสียเนี่ยกระไร!ทว่าหลี่หลงหลินกลับไม่ดีใจแม้แต่น้อยชื่อเสียงเรียงนามขององค์ชายเก้าแย่มาก เป็นเศษสวะที่ทุกคนทราบกัน!ไม่เพียงแค่นี้เขายังทำความผิดร้ายแรง ทำให้ฮ่องเต้หวู่พิโรธ สังหารสายเลือดเพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม!เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง!ต้องเป็นความผิดบาปใดกัน ทำให้ฮ่องเต้หวู่ไม่เห็นแก่ความเป็นพ่อเป็นลูก จำต้องสังหารตนให้ได้?ความทรงจำของหลี่
หลี่หลงหลินขมวดคิ้วเป็นปมคิดไม่ถึงว่า ตนเกิดเป็นมนุษย์มาถึงสองชาติภพ ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สิ้นหวังเช่นนี้!ความคิดความอ่านของฮ่องเต้หวู่ยากจะหยั่งถึง จิตใจลึกลับซับซ้อนดั่งเหวเสมือนทะเลราชวงศ์ต้าเซี่ย เต็มไปด้วยขุนนางน้อยใหญ่ ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ฉลาดปราดเปรื่องดูไม่ออกหรือว่า ตนถูกปรักปรำ?พวกเขาต่างรู้ดีแก่ใจ!ถึงขึ้นที่ว่า แม้แต่แม่ทัพผู้เฒ่าซูก็ตระหนักรู้ว่า เป็นฝีมือของขุนนางชั้นสูงในราชสำนักที่ปล่อยข่าวรั่วไหล ทำให้ทหารตระกูลซูตกอยู่ในวงล้อม นำมาซึ่งความพ่ายแพ้!ดังนั้น แม่ทัพผู้เฒ่าซูจึงสู้สุดชีวิต ปกป้องและพาตนเองตีฝ่าวงล้อมออกมา!เพียงแต่น่าเสียดาย แม่ทัพผู้เฒ่าซูสู้รบเพียงลำพัง จนหมดแรงแล้วสิ้นใจในที่สุดก่อนตาย เขาทิ้งจดหมายเขียนด้วยเลือดไว้หนึ่งฉบับ ให้ตนนำไปให้ฮ่องเต้หวู่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์!หลี่หลงหลินรีบกุมแผ่นอก พบว่าจดหมายเขียนด้วยเลือดยังอยู่ เขาจึงค่อยโล่งอก!จดหมายเขียนด้วยเลือดฉบับนี้ เป็นความหวังเดียวในการพลิกชะตาชีวิตของตน!ทว่าหลี่หลงหลินคิดทบทวนหลายครั้ง เขาไม่คิดจะเอาจดหมายเขียนด้วยเลือดฉบับนี้ออกมา แล้วให้ฮ่องเต้หวู่โดยตรงเหตุผลนั
เมืองหลวงจวนตระกูลซูพรึ่บ!ณ ลานกลางจวน ลำแสงสีเงินเคลื่อนผ่าน!นั่นไม่ใช่สายฟ้า แต่เป็นลำแสงสะท้อนจากหอกยาว!เงาตามติดการเคลื่อนไหวของหอก หอกพุ่งตัวดุจดั่งมังกร!นางสวมเสื้อเกราะ ด้านหลังมีผ้าคลุมสีแดงโบกสะบัด ไม่ได้สวมหมวกเกราะ ผมยาวสลวยถึงกลางหลังมัดรวบเป็นหางม้า พริ้วไหวขึ้นลงวีรชนผู้กล้าหาญ สตรีไม่แพ้บุรุษ!สตรีผู้นั้นคือซูเฟิ่งหลิงหลานสาวแม่ทัพผู้เฒ่าซู!ตึ้ง!หอกยาวในมือซูเฟิ่งหลิงทิ่มแทงด้วยความรุนแรง เจาะทะลุหุ่นไม้ แตกเป็นเสี่ยงๆ!บนศีรษะของหุ่นไม้มีแผ่นกระดาษติดไว้ สามตัวอักษร...หลี่หลงหลิน!หญิงสาวข้างกายปรบมือ “คุณหนู วิชาหอกของคุณหนูพัฒนาขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะ!”ซูเฟิ่งหลิงกำหมัดแน่น ทรวงอกอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ดวงตาหงส์น้ำตารื้น พูดด้วยความโมโห “วิชาหอกเก่งกาจ มีประโยชน์อะไร? ข้าเจ็บใจที่ไม่อาจสังหารไอ้คนสารเลวหลี่หลงหลินด้วยตนเอง ไม่อาจแก้แค้นให้ตระกูลซูที่จงรักภักดีได้!”พวกสตรีได้ยินเช่นนั้น ต่างก้มหน้าลง สีหน้าฉายความโกรธเคืองตระกูลซูจงรักภักดีทุกชั่วอายุคน ภักดีต่อต้าเซี่ย!เพราะคนสารเลวหลี่หลงหลิน ทำให้ผู้ชายของตระกูลซูตายอย่างอนาถ เหลือเพียงห
“ฮูหยินผู้เฒ่า!”คนทั้งตระกูลซูพากันทำความเคารพหญิงชราแม้ซูเฟิ่งหลิงจะหยุดการกระทำของตน ทว่ายังเจ็บใจยิ่งนัก “ท่านย่า! แทงครั้งเดียว ข้าก็สังหารเจ้าคนสารเลวหลี่หลงหลินได้แล้ว!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูหัวเราะในลำคอ “โชคดีที่ข้ามาทันเวลา หากเจ้าทำให้เว่ยกงกงบาดเจ็บ เช่นนั้นเจ้าก็เท่ากับว่าเจ้าทำความผิดร้ายแรง! ยังไม่รีบถอยออกไปอีก!”ซูเฟิ่งหลิงไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวแค่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าซูเวลาโมโหเท่านั้น แม้จะเจ็บใจ แต่นางก็ถอยไปยืนข้างๆ อย่างเชื่อฟังทว่าดวงตาหงส์คู่นั้น ยังคงจ้องเขม็งไปที่หลี่หลงหลิน แทบอยากจะกลืนกินเขาทั้งเป็น!เว่ยซวินดึงสติกลับมา ก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วทำเคารพ “คารวะฮูหยินผู้เฒ่าซู! ไม่พบเจอกันนาน ฮูหยินผู้เฒ่าซูเป็นเช่นไรบ้าง สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่?”เว่ยกงกงเป็นขันทีคนโปรดของฮ่องเต้หวู่ ถูกขนานนามว่าเก้าพันปีแต่กระทั่งเก้าพันปีท่านนี้ ยังต้องทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าซูอย่างว่าง่าย!เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ไม่เพียงมีอำนาจในตระกูลซู แม้แต่ในราชสำนัก ก็น่าเกรงขามยิ่งนัก!ถึงอย่างไร ทหารรักษาแคว้นสิบแปดนายของตระกูลซู นางเป็นคนสอนมากับมือ!เมื่อครั้นฮ
ฮูหยินผู้เฒ่าซูอ่านจดหมายเลือดวนซ้ำหลายรอบ พูดด้วยความไม่เข้าใจ “หลี่หลงหลิน! เหตุใดท่านไม่เอาจดหมายเลือด ให้ฝ่าบาท เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน?”หลี่หลงหลินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเศร้าหมอง “ไม่มีใครรู้จักลูกชายดีเท่ากับบิดา! นิสัยของเสด็จพ่อ ข้ารู้จักเป็นอย่างดี! ด้วยความหวาดระแวงและดื้อรั้นของเสด็จพ่อ จะเชื่อข้าหรือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าซูเงียบนางเองก็รู้ดีว่าฮ่องเต้หวู่เป็นคนอย่างไรตระกูลซู จงรักภักดีต่อต้าเซี่ย ปกป้องดินแดนทางเหนือมาหลายชั่วอายุคน ไม่รู้ว่ามีวิญญาณจงรักภักดีมากมายเพียงใดที่ถูกฝังในต่างแดน แต่ฮ่องเต้หวู่กลับยังคงหวาดระแวงและคอยกดตระกูลซูสถานการณ์ในราชสำนัก ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็พอได้ยินมาบ้างขุนนางฝ่ายบุ๋นรักเงินทอง ขุนนางฝ่ายบู๊รักชีวิตบวกกับฮ่องเต้หวู่ไม่ยอมแต่งตั้งองค์รัชทายาทนอกจากองค์ชายเก้าหลี่หลงหลินที่เสเพลเกินไป ไม่มีขุนนางคนใดสนับสนุนขุนนางคนอื่นล้วนลอบสนับสนุนองค์ชายพระองค์ เสมือนองค์ชายทั้งเก้าในสมัยราชวงศ์ชิงช่วงชิงบัลลังก์!หลายฝ่ายในราชสำนักแก่งแย่งชิงดี โจมตีซึ่งกันและกัน จนโกลาหลเสียงร้องทุกข์ของไพร่ฟ้าท่วมท้องถนน ชีวิตลำบากข้นแค้น!เวลานี้
หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ทหารที่เหลืออยู่หนึ่งพันนายของตระกูลซู บุกเข้าวัง ปรับราชวงศ์เปลี่ยนรัชสมัย! เขายืมมือของตระกูลซูกำจัดผู้เห็นต่าง ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ เพื่อให้ตระกูลซูถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ให้อาชญากรรมทั้งหมดตกอยู่กับตระกูลซู! ” “หากเขาสังหารตระกูลซู ล้างมลทินให้ตนเอง ยกดินแดนให้คนป่าเถื่อนเป็นการชดเชย เขาก็จะนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง!” “นี่คือภาพรวมแผนการของเขา!” “ยอดแม่ทัพยืนหยัดบนหมื่นกระดูก!” “ไม่ว่าจะเป็นข้า หรือตระกูลซู ล้วนเป็นบันไดของคนผู้นี้!” “คนไร้ประโยชน์อย่างข้า ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”“แต่ตระกูลซูมีแต่ด้วยความภักดี กลับต้องกลายเป็นกบฏ ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วลูกชั่วหลาน!” คําพูดนี้ ทําลายกำแพงในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซูไปโดยสิ้นเชิง!ตุ้บ!ฮูหยินผู้เฒ่าซูนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น ดวงตาของนางว่างเปล่า ร้องไห้คร่ำครวญ: “ไม่กลัวหากร่างกายจะแหลกเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงใจภักดิ์ไว้ในประวัติศาสตร์! ตระกูลซูของเราไม่กลัวความตาย! เพียงแต่หากตระกูลซูกลายเป็นกบฏจริงๆ แล้วข้าจะมีหน้าไปเจอบรรพบุรุษของตระกูลซูได้ยังไง...
หากเช้าตรู่ได้รู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋า แม้ตายตอนเย็นก็ไม่เสียดายเพียงแค่ “รู้แล้วลงมือทำ” สี่คำนี้ ก็ทำให้หนิงชิงโหวมองเห็นมุมหนึ่งของวิถีแห่งนักปราชญ์ ในชั่วพริบตาราวกับช่วงเวลาที่ความโกลาหลเพิ่งแยกออกจากกัน สายฟ้าแรกได้พลันฟาดลงมาฉีกกระชากความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์“รัชทายาท...”“การรู้แล้วลงมือทำ จะทำได้อย่างไร?”“ในปรัชญาแห่งจิตใจ มีคำอธิบายหรือไม่?”หนิงชิงโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังความรู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเป็นแบบแผนเช่นสี่ตำราห้าคัมภีร์ แก่นแท้อยู่ที่คำว่าเมตตา!แต่ทำไมต้องเมตตา?ในหนังสือไม่ได้บอกเจ้าต้องศึกษาเอง ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองอ่านหนังสือร้อยรอบ ความหมายก็จะปรากฏเองถ้าตระหนักรู้ไม่ได้ล่ะ?แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนหัวทึบ ความสำเร็จในชีวิตมีจำกัด อย่างมากก็เป็นได้แค่ทงเซิงเท่านั้นเปรียบเสมือนว่าหลักธรรมในสี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ทำไมถึงเท่ากับสองในหนังสือไม่ได้บอก ต้องตระหนักรู้เองหากใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็สามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรุ่งเรืองถึงขีดสุดบางคนตระหนักรู้ไม่ได้ ก็เสียเวลาไปตลอดชี
นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!ยิ่งกว่านั้นหลี่หลงหลินเป็นศัตรูกับเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า ตั้งแต่แรกก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ต่อให้เขาเขียนผลงานที่ทำให้โลกตะลึงออกมา เหล่าบัณฑิตก็ไม่มีทางยอมรับ!สรุปแล้วคำพูดของหลี่หลงหลินนั้นเกินจริงไปมาก เป็นการคุยโวเสียยิ่งกว่าความเป็นจริงซูเฟิ่งหลิงยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ราวกับแมวน้อยที่ถูกกระตุ้นให้คันจนทนไม่ไหว “ตกลงเจ้าเขียนอะไรไว้กันแน่ เอาออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ! อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย!” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ไม่ได้! ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวจะยุ่ง! แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่าสิ่งที่ข้าเขียนชื่อว่าปรัชญาแห่งจิต การรู้และการกระทำต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม!”อย่าว่าแต่หลี่หลงหลินที่เป็นองค์ชายเสเพลที่ไม่รู้หนังสือเลยต่อให้เป็นบัณฑิต หรือแม้แต่นักปราชญ์กลับชาติมาเกิดใช้เวลาสามวันเขียนตำราลัทธิขงจื๊อ แถมยังก่อตั้งสำนัก สร้างความรู้ใหม่ สืบทอดความรู้จากนักปราชญ์โบราณ มันช่างน่าตกตะลึงเกินไป!แต่เขาเป็นนักลอกเลียนวรรณกรรมเขียนเองไม่ได้ ก็ลอกไม่ได้หรือไง?ครั้งนี้สิ่งที่หลี่หลงหลินลอกมาคือปรัชญาแห่งจิตใจของหวังหยางหมิงแ
เมื่อจดหมายนิรนามมีจำนวนมาก ย่อมต้องมีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไปในบรรดาจดหมายเหล่านั้น มีจดหมายจำนวนมากที่เป็นเรื่องโกหก สร้างขึ้นเพื่อระบายความโกรธแค้นยังมีจดหมายอีกส่วนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นจดหมายจากบัณฑิตสำนักปราชญ์ ตั้งใจจะสร้างขึ้นให้เกิดความสับสนสิ่งที่ซูเฟิ่งหลิงต้องทำคือคัดเลือกจดหมายนิรนามที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ เหล่านี้ออกฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วเหนื่อยมากหลังจากสามวัน ซูเฟิ่งหลิงก็ตาลาย ปวดหัว มองจดหมายแล้วแทบจะอาเจียนในที่สุดหลี่หลงหลินก็มาถึงเขาประจิมในที่สุด“เจ้าสุนัข!”“มาสักทีนะ!”“เจ้ามัวแต่ซ่อนตัว ปล่อยให้พวกเรายุ่งจนแทบตาย!”ซูเฟิ่งหลิงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ระบายความไม่พอใจแต่ในสายตาของหลี่หลงหลิน นางดูเหมือนกำลังออดอ้อนมากกว่า เขาจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อ้ายเฟย ลำบากเจ้าแล้ว! ถ้าอย่างนั้นจูบเจ้าสักครั้งเป็นรางวัลแล้วกัน!”ซูเฟิ่งหลิงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหลบหนีราวกับเห็นผี ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “พวกพี่สะใภ้กำลังมองอยู่นะ! เจ้าไม่อายหรือไง!”หลี่หลงหลินหันไปเห็นลั่วอวี้จู๋ หลิ่วหรูเยียน และคนอื่นๆ เห็นพวกนางมีท่าทางเหนื่อยล้าก็รู้สึกสงสาร
ฟังแล้วดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วยากมากในอดีตจนถึงปัจจุบัน บัณฑิตในลัทธิขงจื๊อมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่มีสักกี่คนที่ได้รับการยกย่องเป็นนักปราชญ์?นับได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น!ทำไมนักปราชญ์ถึงยากนัก?คุณธรรม คุณูปการ และคำสอน ติดอยู่ที่ขั้นตอนไหนกันแน่? การสร้างคุณธรรมไม่ยากสุภาพบุรุษอ่านคัมภีร์ปราชญ์ ฝึกฝนตนเองและหล่อเลี้ยงจิตใจ ก็ย่อมมีคนดีมีศีลธรรมอยู่แล้วการสร้างคุณูปการก็ไม่ยากต่อให้สร้างคุณูปการใหญ่ไม่ได้ สร้างคุณูปการเล็กน้อย เช่น แก้ไขปัญหาน้ำท่วม สร้างประโยชน์สุขให้แก่ชาวบ้านอย่างน้อยที่สุด การบูรณะซ่อมแซมสำนักศึกษา ก็ถือเป็นการสร้างคุณูปการสิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างคำสอนการสร้างคำสอนคือการเขียนตำรา เผยแพร่แนวคิดลัทธิขงจื๊อของตนบางคนอาจจะบอกว่า การเขียนหนังสือไม่ใช่เรื่องยากไม่ว่าจะเป็นฉินฮั่นหยาง หรือเสิ่นชิงโจว บัณฑิตเหล่านี้ ใครบ้างที่ไม่เคยเขียนหนังสือสักสองสามเล่มจนลูกศิษย์ยกย่องแทบจะเหาะขึ้นฟ้าไปแล้วทำไมพวกเขาเป็นแค่บัณฑิต ไม่ใช่นักปราชญ์?เหตุผลง่ายๆหนังสือที่พวกเขาเขียน ไม่ว่าสำนวนจะไพเราะเลิศเลอเพียงใด ก็เป็นการเพิ่มเติมจากสี่ตำราห้าคัมภีร์เ
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย