หยุนเจิงยักไหล่ “ถึงเช่นไรช้าเร็วเสด็จพ่อก็จะสงสัยข้า แต่สงสัยข้าหน่อยจะดีกว่า!”หากให้จักรพรรดิเหวินรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือเขา จักรพรรดิเหวินไม่สงสัยเขาสิแปลกแม้จะยกผลงานให้เสิ่นลั่วเยี่ยนพวกเขาก็ไม่แน่ว่าว่าจะคลายความสังสัยของจักรพรรดิเหวินได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้จักรพรรดิเหวินเป็นอัมพาตไปชั่วคราว“ความจริง ต่อให้ฝ่าบาทรู้แล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้าหรอก”เยี่ยจื่อยิ้มเล็กน้อยกล่าว “ฝ่าบาทไม่มีทางไม่เข้าใจ พวกเราตอนนี้ขัดแย้งภายใน ก็จะเป็นโอกาสให้เป่ยหวน”“ใช่!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้า “ต่อให้เขาโง่ก็ไม่อาจแตะต้องเจ้าเวลานี้ได้!”“ไม่จำเป็นต้องแตะต้องพวกเรา”หยุนเจิงกรอกตาบนมองหญิงทั้งสอง “แค่เสด็จพ่อหยุดจัดสรรเสบียงให้พวกเรา ก็เพียงพอทำให้พวกเราหมดกำลังแล้ว!”หญิงทั้งสองอึ้ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มแห้งจริงด้วย!พวกนางคิดเพียงว่าตอนนี้พวกเขามีทหารแกร่งม้าแข็งแรง ก็มีต้นทุนลูบหน้าปะจมูกกับจักรพรรดิเหวินแล้ว แต่กลับไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องการจัดสรรแม้แต่น้อยพวกเขาต้องเลี้ยงคนหลายแสนคน!นี่เป็นฤดูหนาว หากไม่มีการจัดสรรจากราชสำนัก พวกเขาต้องไปซื้อเมล็ดพืช หรือไม่ก็ปล้
หยุนเจิงพา เยี่ยจื่อออกมานอกจวนทั้งสองคนสวมเสื้อคลุมขนมิ้งค์ เดินเล่นไปตามถนนพวกเกาเหอรู้ความ พวกเขาตามอยู่ไกลๆ ก็พอแล้วอากาศซั่วเป่ยหนาวมากฤดูกาลนี้ ไม่มีการทำการเกษตรชาวบ้านจำนวนมาก เวลานี้ล้วนขดตัวนอนอยู่ในบ้านร้านค้าบนถนนก็เปิดกันเล็กน้อยประปราย แทบจะไม่มีลูกค้า เงยหน้ามองไป ทุกหนแห่งล้วนเป็นทัศนยภาพเงียบเหงาและเหน็บหนาว“เจ้าว่า อาศัยแค่ซั่วฟาง สามารถเลี้ยงกองทัพได้เท่าไหร่?”หยุนเจิงถามเยี่ยจื่อขึ้นมากะทันหัน“นี่...”เยี่ยจื่อคิดชั่วครู่ ตอบ “ให้ตายก็ได้สามถึงหน้าหมื่นคนกระมัง! แต่ว่า ก็ทำได้เพียงแค่เลี้ยงชีพเท่านั้น ไม่อาจกล่าวได้ว่ากินดีอยู่ดีหรือไม่”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคิดว่า สามหมื่นคนก็มากสุดแล้ว”ที่ดินภายในด่าน ข้าวสาลีมักจะหว่านในฤดูหนาวแต่ที่ดินของซั่วเป่ย ฤดูหนาวไม่เหมาะกับการทำเกษตรกรรมอุณหภูมิในซั่วเป่ยโดยทั่วไปจะลดลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งเวลากลางคืนก็อาจลดลงไปถึงยี่สิบองค์ศาแม้ข้าวสาลีจะเป็นพืชที่สามารถทนหนาวได้ แต่ต้องเผชิญหน้ากับอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ดังนั้น ซั่วเป่ยจะปลูกข้าวสาลีในฤดูใบไม้ผลิที่ดินของซั่วเป่
หยุนเจิงไม่ได้เจรจากับพวกเกาเหอก่อนหน้านี้แต่ว่า พวกเกาเหออยู่ข้างกายหยุนเจิงมานานมากแล้ว ความคิดที่หยุนเจิงมีต่อเยี่ยจื่อนั้น หากพวกเขาไม่ตาบอด ก็ดูออกได้พวกเขารู้ดี ไม่ควรดูก็ไม่อาจดูได้“ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องอับอายตัวเองเพราะคนสารเลว!”เยี่ยจื่อหันหน้ากลับไป จ้องหยุนเจิงด้วยความโกรธและอับอาย แต่มือที่ดิ้นรนขัดขืนกลับเบาลงไปมาก“ข้าจะทนได้เช่นไร!”หยุนเจิงหัวเราะ ด้านหนึ่งจับมือเยี่ยจื่อเดินไปข้างหน้า ด้านหนึ่งคุยปัญหาของพวกเขาเรื่องเหล่านี้ เขาคุยกับเยี่ยจื่อเพียงคนเดียวเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินต่างก็ไม่สนใจเรื่องบัญชีภายในสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขานับว่าตั้งหลักได้อย่างมั่นคงแล้วต่อไป เรื่องที่ต้องกังวลใจที่สุดก็คือปัญหาการจัดสรรการเก็บเกี่ยวพืชผลครั้งต่อไป ต้องรอเวลาอีกเก้าเดือน!เขามีเงิน แต่เขากลัว่าาถึงตอนนั้นแม้แต่เมล็ดพืชพวกเขาก็ล้วนซื้อไม่ได้คิดจะเข้าด่านไปซื้อเมล็ดพืช ก็จำเป็นต้องเคี้ยวกระดูกแข็งอย่างด่านเป่ยลู่เยี่ยจื่อยิ่งฟังยิ่งกระวนกระวายสถานการณ์ยากลำบากเหล่านี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนหากหยุนเจิงไม่บอก นางล้วนคิดไม่ได้“หากไม่ได้จริงๆ ก็มีเพียงบัง
ได้ยินคำอนุญาตจากเยี่ยจื่อ หยุนเจิงดีใจในชั่วเวลาที่เยี่ยจื่อหลับตา หยุนเจิงก็ประทับรอยจูบลงไปเยี่ยจื่อตัวสั่น ราวกับถูกสายฟ้าฟาด“หอมแล้ว หอมแล้ว...”“ข้ารู้อยู่แล้ว ฮูหยินจื่อช้าเร็วก็ต้องเป็นคนขององค์ชาย!”“จิ๊ๆ โชคดอกท้อขององค์ชาย ช่างน่าอิจฉา!”ที่ไกลๆ เหล่าองครักษ์คุ้มกันมองมา โต้ตอบกันด้วยสีหน้าลามก“ไม่ควรดูก็อย่าดู! ระวังองค์ชายจะเฆี่ยนพวกเจ้า!”เกาเหอจ้องพวกเขา“เหล่าเกา รบกวนเจ้าช่วยเก็บสายตาเจ้ากลับมาก่อน”“แค่กๆ...ข้ากำลังชมวิวทิวทัศน์!”“รักษาหน้าหน่อย!”“นั่นสิ!”กลุ่มคนกระซิบหยอกล้อกัน แม้จะเก็บสายตากลับไปแล้ว แต่มุมหางตาก็ยังเหลือบมองหยุนเจิงและเยี่ยจื่อเยี่ยจื่อหน้าแดงตั้งนานแล้ว ถึงขั้นลืมผลักหยุนเจิงที่หอมนางนานแล้วออกไปหลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเยี่ยจื่อก็ได้สติกลับมา รีบผลักหยุนเจิงออก “พอแล้ว...”“อืม อืม”หยุนเจิงหัวเราะด้วยความพอใจ “วันนี้พอแค่นี้ ไว้ต่อครั้งหน้า!”“ไปตายซะ!”เยี่ยจื่อโกรธด้วยความเขินอาย หยิกหยุนเจิงอย่างแรง “รีบบอกข้ามา เจ้ามีแผนการใดกันแน่?”หอมก็หมอแล้ว หากยังถามหาแผนการของหยุนเจิงออกมาไม่ได้ นางก็ขาดทุนเกินไปแล้วหย
“ไม่ถูกสิ พวกเราไม่ได้ทำสงครามกับเป่ยหวน ข่าวดีมากจากที่ใด?”ทหารป้องกันหารือกัน ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางนี่คือกฎเหล็กของต้าเฉียนทหารส่งสารปักธงสามผืนไว้ด้านหลัง ห้ามผู้ใดขัดขวางไม่เพียงไม่อาจขัดขวาง ทั้งยังต้องอำนวยความสะดวกจุดพักม้าและจวนทั้งหมดด้วยธงแดงสามผืนเพื่อรายงานข่าวดีธงดำสามผืนเพื่อรายงานแพ้สงครามธงส้มสามผืนเพื่อรายงานข้อมูลทหารเร่งด่วน“ข่าวดี! ซั่วฟางข่าวดีใหญ่...”ม้าเร็วเข้าสู่เมือง ทหารส่งสารตะโกนตลอดทาง“ซั่วฟางข่าวดีใหญ่?”“ซั่วฟางข่าวดีใหญ่ที่ใด?”“คงไม่ใช่รายงานเท็จหรอกกระมัง?”“เจ้าโง่! รายงานเท็จต้องถูกสังหารสามชั่วคน!”“แต่ซั่วฟางข่าวดีใหญ่มาจากที่ใด? ได้ยินว่าซั่วฟางมีแค่ทหารชาวนาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”“ใครจะรู้...”ทหารรักษาเมืองวิพากษ์วิจารณ์“ข่าวดี! ซั่วฟางข่าวดีใหญ่...”ทหารส่งสารห้อตะบึงไปตลอดทาง ตะโกนเสียงสูง ตลอดจนถึงจวนแม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ยทุกหนทุกแห่งที่ทหารส่งสารผ่านไป ทุกคนล้วนสับสนมึนงงมาถึงประตูจวนแม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ย ทหารส่งสารลงจากม้าอย่างรวดเร็ว รีบร้อนวิ่งเข้าไปในจวนตลอดทางยังคงตะโกนประกาศข่าวดีของซั่วเป่ยเว่ยเหว
ตอนเช้า หยุนเจิงเพิ่งตื่นนอน คนของค่ายใหญ่ทางเหนือก็มารายงาน บอกว่าตู๋กูเช่อมาถึงค่ายใหญ่เหนือแล้ว“มาซะเร็วเลย!”หยุนเจิงยกยิ้มมุมปาก “พวกเจ้ากินข้าวกันก่อนเถอะ ข้าจะไปสักหน่อย!”“กินข้าวเสร็จค่อยไปเถอะ!”เมี่ยวอินเรียกหยุนเจิงเอาไว้“ไม่เป็นไร ไปค่ายแล้วค่อยกินก็เหมือนกัน!”หยุนเจิงโบกมือ ยิ้มเล็กน้อยกล่าว “อย่าทำให้คนรู้สึกว่าพวกเรารบชนะหนึ่งสนามแล้ว หางก็ยกชี้ฟ้าแล้ว”กล่าวจบ หยุนเจิงก็ออกไปอย่างรวดเร็วตอนที่หยุนเจิงมาถึงค่าย ตู๋กูเช่อกำลังพาพวกเฝิงอวี้ตรวจดูศพทหารม้าเป่ยหวนเมื่อเห็นศพกองเป็นภูเขา ในใจตู๋กูเช่อยิ่งสั่นสะท้านเมื่อหยุนเจิงที่เร่งรุดมา ตู๋กูเช่อรีบคาราวะหยุนเจิง “คาราวะท่านอ๋อง!”“อย่า อย่า!”หยุนเจิงโบกมือ “แม่ทัพตู๋กูเช่อเป็นรองผู้บัญชาการ ควรเป็นหยุนเจิงที่คาราวะท่าน”“ไม่ได้ ไม่ได้!”ตู๋กูเช่อรีบห้ามหยุนเจิงที่กำลังจะคาราวะ จากนั้นก็หัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็อย่าใส่ใจกับมารยามจอมปลอมเหล่านี้!”“ได้!”หยุนเจิงตอบรับอย่างสบาย“ท่านอ๋องการรบครั้งนี้ แสดงออกถึงศักดิ์ศรีของกองทัพมฆฑลทางเหนือของเรา!”ตู๋กูเช่อจับมือหยุนเจิง กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
การรบของซั่วเป่ยในอดีต แม้เขาไม่ได้เป็นรองผู้บัญชาการกองทหารมณฑลทางเหนือ แต่ก็เป็นแม่ทัพระดับสูงข้อมูลภายในบางส่วน เขาเองก็รับรู้กองทหารโลหิตเกือบถูกทำลายสิ้น เรื่องที่ตู้กุยหยวนถูกตัดแขนไปหนึ่งข้าง เขาย่อมรู้ดีต่อมาเขาได้ยินว่าตู้กุยหยวนเป็นฝ่ายขอลาออก ไปจากซั่วเป่ย เขาเองก็ไม่ได้ไปส่งเพียงเพราะในใจเขารู้สึกผิดต่อตู้กุยหยวนและกองทหารโลหิตหลายปีผ่านไป ได้พบตู้กุยหยวนอีกครั้ง ดวงตาตู๋กูเช่อแดงเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่หยุนเจิงยิ้มมองทั้งสองคน จากนั้นก็กล่าว “แม่ทัพตู๋กู ท่านเร่งเดินทางมาทั้งคืน ยังไม่ได้กินสิ่งใดใช่หรือไม่? ไม่สู้ข้าให้คนนำอาหารมา พวกเรากินไปคุยไป?”“ดีๆ!”ตู๋กูเช่อพยักหน้าไม่นาน อาหารก็ส่งเข้ามาสุดยอดมาก เป็นหัวม้าทั้งหัว“ท่านอ๋อง เช้าตรู่พวกท่านกินสิ่งนี้?”ตู๋กูเช่อมองหัวม้าทั้งหัวตรงหน้าด้วยความตะลึง ตาค้างเขาเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพทหารมณฑลทางเหนือ ไม่ใช่ว่าจะโลภเมื่อเห็นเนื้อเพียงแต่เขาคิดไม่ถึง ทหารชาวนาซั่วเป่ยจะกินสิ่งนี้ตั้งแต่เช้าหยุนเจิงหัวเราะ “ครั้งนี้ได้รับชัยชนะ ล้วนเป็นผลงานของทุกคน พวกเราได้เนื้อมาไม่น้อย ย่อมต้องให้รางวัลกับทุ
เวลาฟ้ามืด นักโทษที่หยุนเจิงปล่อยไปในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองชายแดนเว่ยและนำจดหมายที่หยุนเจิงเขียนด้วยตัวเองมอบให้ปานปู้ปานปู้เปิดอ่านจดหมาย เพียงแค่กวาดมองคร่าวๆ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่นาน ปานปูนำจดหมายนั้นมาหาอู้เลี่ย “เอาม้าศึกสองพันตัวของพวกเราไปแลกกับศพเหล่านั้น?”อู้เลี่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความบึ้งตึง เอาจดหมายที่อยู่บนมือทุบลงไปบนโต๊ะ กัดฟันคำรามเสียงต่ำ “หยุนเจิงไอคนสมควรตาย ความโลภไม่น้อยเลย!”ม้าศึกสองพันตัว สำหรับเป่ยหวนแล้ว ไม่นับว่าเป็นปัญหาทว่า ยกม้าศึกสองฟันตัวให้ชาวต้าเฉียน มันคนละเรื่องกัน “ตอนนี้พวกเราจะแลกเปลี่ยนหรือไม่?”ปานปู้ขมวดคิ้วกล่าว “หยุนเจิงเขียนไว้ในจดหมายชัดเจน หากภายในสิบวันไม่เห็นม้าศึก เขาจะนำศพของเหล่าผู้กล้าของเราส่งไปที่ป้องเมืองสุยหนิง แขวนศพเหล่านั้นไว้บนกำแพงเมืองสุยหนิง...” “แขวนก็แขวนสิ!”อู้เลี่ยสีหน้าเต็มๆ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงเช่นไรพวกเราได้ศพเหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์!”ปานปู้ขมวดคิ้วแน่น ถอนหายใจกล่าว “องค์ชายใหญ่ กองทัพของเราเพิ่งพ่ายแพ้ กำลังใจทหารเดิมก็ลดลงอย่างมาก หากหยุนเจิงทำเช่นนี้จริง เกรงว่าจะกระทบกับกำลังใจทห
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง