หมายความว่าทุกคนล้วนแต่รู้กันหมด มีเพียงนางเท่านั้นที่ยังไม่รู้อย่างนั้นหรือนี่ตนเองไม่รู้จักความเหมาะสมถึงขั้นนั้นเลยหรือ?เสิ่นลั่วเยี่ยนมองทั้งสองคนด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว และกล่าวถามหยุนเจิงว่า “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าเจ้าสามารถแย่งชิงอำนาจทหารที่ซั่วเป่ยได้ ด้วยสถานะความเป็นองค์ชายหกของเจ้านะหรือ?”“เรื่องนี้ข้ายังบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้” หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้มพลางกล่าว “และต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าข้าจะมีความสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้ ข้าพูดถูกหรือไม่?”“ก็ความจริงมันเป็นเช่นนั้น!”เสิ่นลั่วเยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก ก่อนกล่าว “เจ้าคิดว่าการแย่งชิงอำนาจทหารมันง่ายเช่นนั้นหรือ?”“มันไม่ง่าย แต่อย่างไรก็ต้องลองดูไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงกะพริบตาปริบๆ พลางกล่าว “เอาล่ะ เจ้าพูดคุยกับพี่สะใภ้เจ้าเถอะ! ข้าจะไปสั่งงานพวกเกาเหอสักหน่อย”กล่าวจบ หยุนเจิงก็รีบไปทันทีตอนนี้เล่าให้นางฟังเยอะไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีอย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เยี่ยจื่อกับท่านแม่ยายเองก็ยังสงสัยว่าเขาจะแย่งชิงอำนาจทหารมาได้หรือไม่ไปถึงซั่วเป่ยแล้วค่อยทำให้เห็นดีกว่า ไม่ต้องพูดมาก!มองดูหย
ในยามราตรี จักรพรรดิเหวินประทับอยู่ในตำหนัก ทว่า กลับไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใดในพระหัตถ์ถือจดหมายฉบับนั้นของหยุนเจิงอยู่แม้ว่าจะจำข้อความในจดหมายนั้นได้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังพลิกดูไปดูมาอยู่เช่นนั้นซ้ำๆพูดตามตรงว่าลายมือของหยุนเจิงนั้นไม่สวยเอาเสียเลยเรียกได้ว่าลายมืออัปลักษณ์ก็ว่าได้!เพียงดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าจดหมายฉบับนี้เขาใช้พู่กันเขียนแม้จะดูไม่ประณีตเรียบร้อยนัก แต่ก็ไม่ได้มีเสน่ห์แต่อย่างใดแต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อใจความสำคัญของจดหมายฉบับนี้เลยมองดูจดหมายฉบับนี้ และนึกถึงภาพที่เจ้าหกแบกโลงศพเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว น้ำตาก็คลอดเบ้าตาจักรพรรดิเหวินทันทีสุดท้ายเขาก็ติดค้างลูกคนนี้อยู่ดี!แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเกือบจะลืมลูกคนนี้แล้ว แต่ลูกคนนี้ก็ไม่ได้โกรธแค้นตนแต่อย่างใดเมื่อยามที่ต้าเฉียนประสบกับความยากลำบาก เขาก็ยังลุกขึ้นมาช่วยการกระทำของเขาในวันนี้ ยิ่งทำให้ขวัญกำลังใจกองทัพทหารและราษฎรฮึกเหิมยิ่งขึ้นที่ผ่านมาเมื่อยามมีศึกสงคราม ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพทว่า การกระทำของเจ้าหกในวันนี้ กลับทำให้ผู้คนพากันเข้ามาสมัครทหารบุตร
ใส่ร้าย!เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือการใส่ร้าย!เป็นพวกเจ้ารอง คนกลุ่มนั้นที่ใส่ร้ายตนเอง!คำกล่าวของเสด็จพ่อในวันนี้ทำให้พวกเขามองเห็นความหวังอีกครั้งพวกเขาคิดจะใส่ร้ายตนเองผ่านวิธีนี้ ให้เสด็จพ่อปลดตำแหน่งองค์รัชทายาทของตนเอง!สารเลว!พวกคนสารเลว!ไม่มีใครดีสักคน!ขอแค่มีความหวังเพียงน้อยนิด ก็คิดจะดึงตนเองลงมาจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!คอยดูเถอะ!รอตอนที่ตนเองขึ้นครองบัลลังก์ พวกเจ้าทุกคนอย่าได้คิดจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลย!ยังมีเจ้าหก เจ้าคนมากเล่ห์เพทุบายนั่นด้วย!ตนเองไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด!เขาหลอกเอาเงินตนเองไปมากขนาดนั้น ทั้งยังทำร้ายให้ตนเองถูกกักบริเวณในตำหนักตงกง บัญชีนี้ ตนเองจะต้องคิดกับเขาให้ชัดเจนแจ่มแจ้งแน่นอน!...วันรุ่งขึ้น ประชุมเช้า จักรพรรดิเหวินบริภาษองค์ชายหลายพระองค์ต่อหน้าบรรดาขุนนางในท้องพระโรงเมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงพิโรธของจักรพรรดิเหวิน องค์ชายรองและคนอื่นๆ เรียกร้องความเป็นธรรมกันอย่างต่อเนื่อง กล่าวคำสาบานว่าพวกเขาไม่ได้ส่งคนไปลอบวางเพลิงแต่ทว่า จักรพรรดิเหวินไม่เชื่อเลยสักนิดจักรพรรดิเหวินก็ไม่รู้ว่า ใครที่ส่งคนไปทำเรื่องนี้กันแน่ จึงทำ
สามวันให้หลัง ขบวนของหยุนเจิงก็เข้าสู่เขตแดนสุยโจวนี่เป็นครั้งแรกที่หยุนเจิงออกเดินทางไกลหลังจากมาถึงแคว้นต้าเฉียนเขาสัมผัสได้ถึงความเบื่อหน่ายจากการคมนาคมในยุคโบราณได้อย่างแท้จริงตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองจักรพรรดิจนถึงตอนนี้ ก็ห้าวันแล้วเดิมเขานึกว่า เวลาห้าวัน อย่างไรก็สามารถเดินทางไปได้เจ็ดแปดร้อยลี้แต่ทว่า แม้ว่าเขาจะเร่งรีบมาตลอดทาง พวกเขาก็เดินทางไปไม่ถึงหกร้อยลี้หลักๆ ก็คือ รถม้าขนเสบียงรั้งความเร็วเกินไปจริงๆ“ผ่านสุยโจวไป ก็จูโจวแล้วสินะ”ตอนพักผ่อน หยุนเจิงสอบถามกับตู้กุยหยวน“พ่ะย่ะค่ะ” ตู้กุยหยวนพยักหน้า “อ้างอิงจากความเร็วในการเดินทัพก่อนหน้านี้ อีกประมาณสามวัน ก็น่าจะไปถึงจูโจว ประตูหลินผิงเฉิง” “อีกสามวันเลยหรือ”หยุนเจิงยืนเจื่อนจะช้าเกินไปแล้ว!อาศัยความเร็วระดับนี้ บวกกับเวลาพักผ่อนรอคนที่หลินผิงเฉิง เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกครึ่งเดือนถึงจะไปถึงซั่วเป่ย!ในตอนที่หยุนเจิงทอดถอนใจเงียบๆ เกาเหอกับโจวมี่ก็ควบม้ากลับมาด้านหลังพวกเขา ยังมีรถม้าตามมาด้วยคันหนึ่งหืม?หยุนเจิงลุกขึ้น ขมวดคิ้วมองพวกเกาเหอพวกเขาพารถม้าคันหนึ่งกลับมาด้วยทำไมไม่นานนัก
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นเสร็จ หยุนเจิงก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้ว่าการมณฑลอู่หยางคนนี้มีปัญหานะ! เขาสู้โจรพวกนั้นไม่ได้ แล้วจะเชิญให้จวนเจ้าเมืองส่งทหารไปไม่ได้หรือ แม้ว่าจวนเจ้าเมืองจะมีความสามารถไม่เพียงพอเช่นกัน ก็ยังสามารถรายงานราชสำนักได้นี่!”“ท่านอ๋องไม่รู้”ซุนจ่างเซี่ยวเอ่ยอย่างโมโห “คนเหล่านี้ล้วนกลัวราชสำนักจะซักไซ้ไล่เลียงความรับผิดชอบที่ปราบโจรได้ไม่สำเร็จ ขอแค่เป็นเรื่องที่สามารถปิดบังราชสำนักได้ ก็ไม่มีทางรายงานขึ้นไปแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ...”แบบนี้เองหรือก็เป็นไปได้!หยุนเจิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “พวกจ้าวเฮยหู่มีกันกี่คน”“เรื่องนี้...กระหม่อมก็ไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”ซุนจ่างเซี่ยวเผยสีหน้าลำบากใจ พลางส่ายหน้า “ได้ยินคนพูดว่า โจรกลุ่มนั้นมีสองสามพันคน แต่สรุปว่ามีเท่าไร กระหม่อมก็ไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ…”แบบนี้เองหรือหยุนเจิงครุ่นคิดครู่หนึ่งนี่เป็นวิธีการฝึกฝนทหารที่ดีวิธีหนึ่ง!กองทหารแรกสุดที่เขารับสมัครมาห้าร้อยคน ล้วนยังไม่ผ่านการทดสอบและมีประสบการณ์ในสนามรบเลย!หากว่าสามารถรับโจรกลุ่มนั้นมาได้ทั้งหมด กำลังคนในมือตนเองจะต้องมากขึ้นแ
ในไม่ช้า ตู้กุยหยวนก็นำคนห้าสิบคนติดตามซุนจ่างเซี่ยวแล้วเริ่มออกเดินทางหยุนเจิงก็รีบวางแผนขึ้นมาทันทีเมื่อฟังการจัดการของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะแค่นแคะคนสารเลวผู้นี้นี่เหลี่ยมจัดจริงๆ!เหลี่ยมยิ่งกว่าโจรพวกนี้อีก!ไม่รู้จริงๆ ว่าสมองของสารเลวคนนี้รูปร่างเป็นอย่างไรเหตุใดจึงมีกลอุบายเช่นนี้ได้?รอจนหยุนเจิงพูดแผนการจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ถามอย่างสงสัยทันทีว่า “ทำไมเจ้าถึงให้ตู้กุยหยวนไป เกาเหอคนอื่นไปไม่ได้หรือ?”แม้ว่าตู้กุยหยวนเคยเป็นผู้นำกองทหารโลหิต แต่อย่างไรเสียเขาก็แขนหักไปข้างหนึ่งแล้วหากมีอันตราย ตู้กุยหยวนคงหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ“เพราะเขาแขนหักไปข้างหนึ่ง”หยุนเจิงอธิบายว่า "ถ้าเจ้าเป็นจ้าวเฮยหู่ เจ้าจะระวังคนที่แขนหักไหม?""นี่มัน……"เสิ่นลั่วเยี่ยนตะลึงงันเล็กน้อย ส่ายหัวเบาๆตราบใดที่ไม่รู้ตัวตนของตู้กุยหยวน ใครจะระวังตนกับคนคนพิการเล่า!“ก็ได้ สิ่งที่เจ้าพูดก็ดูสมเหตุสมผล”เสิ่นลั่วเยี่ยแค่นสียงเหอะเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าสามารถส่งคนหลายคนติดตามเขาไปได้ จะจับโจรก็จับราชาโจรเสียเลย!”เมื่อฟังเสิ่นลั่วเยี่ยนพูด เยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเช่นก
เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปทางหยุนเจิงอย่างไม่พอใจคราหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งจากไปหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อพอเห็นดังนั้น ก็อดมองตากันอย่างช่วยไม่ได้……ไปได้ครึ่งทาง ตู้กุยหยวนก็แยกตัวออกจากชายห้าสิบคนที่อยู่ภายใต้เขาคนพวกนั้นต้องซุ่มโจมตีก่อนรอจนโจรส่วนใหญ่ถูกล่อออกจากหมู่บ้านแล้ว พวกเขาสามารถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อโจมตีอย่างกะทันหันได้“เดี๋ยวตอนพบกับโจรเหล่านั้น เจ้าพยายามพูดให้น้อยที่สุดแล้วให้ข้าเป็นคนพูด!”เมื่อเข้าใกล้ภูเขาชิงหยาง ตู้กุยหยวนออกคำสั่งกับซุนจ่างเซี่ยวอย่างเคร่งขรึม"อืมๆ"ซุนจ่างเซี่ยวพยักหน้ารัวๆ แล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แบบนี้จะได้ผลจริงหรือ?”ตู้กุยหยวนตอบว่า "ขอแค่เจ้าไม่พูดไร้สาระก็พอ!""ก็ได้ ก็ได้……"ซุนจ่างเซี่ยวพยักหน้าซ้ำๆ สีหน้าไม่สบายใจไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็มาถึงตีนเขาชิงหยางพอเห็นจากระยะไกลว่าในป่ามีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ตู้กุยหยวนก็รู้ว่านั่นคือโจรที่คอยดูลาดเลาตู้ยหยวนพยุงซุนจ่างเซี่ยวลงจากรถม้า แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ และยืนมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางไม่สบายใจทันใดนั้น โจรหลายคนก็รีบวิ่งออกไปจากป่าที่อยู่ไม่ไกลตู้กุยหยวนรีบทำหน้าต
หนทางสู่ความมั่งคั่ง?จ้าวเฮยหู่มองตู้กุยหยวนอย่างสงสัย “หนทางสู่ความมั่งคั่งอะไร?”ตู้กุยหยวนลังเล ขณะที่กำลังจะพูด ซุนจ่างเซี่ยวในที่สุดก็จำคำแนะนำของหยุนเจิงได้ และปิดปากของตู้กุยหยวนอย่างรวดเร็วตู้กุยหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก และแอบคิดว่าตาแก่นี่นับว่าไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญไปจ้าวเฮยหู่พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบดึงซุนจ่างเซี่ยวออกไปทันทีและจ้องมองซุนจ่างเซี่ยวอย่างดุเดือด “ตาแก่ เจ้ายังกล้าล้อข้าเล่นอีกหรือ? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าสามารถสับเจ้าเป็นชิ้นๆ ได้?”ซุนจ่างเซี่ยวเต็มไปด้วยความกลัว แต่เขาระงับความกลัวและขยิบตาให้ตู้กุยหยวน ส่งสัญญาณให้ตู้กุยหยวนไม่พูดอะไรชิ้ง!จ้าวเฮยหู่ขี้เกียจเกินกว่าจะพูด จู่ๆ ก็ชักมีดจ่อไปที่คอของตู้กุยหยวน “พูดเร็วเข้า! ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปนรกก่อน!”มีปัญญาไม่น้อยจริงๆ!กระบวนการถอนดาบแล้วชักดาบเสร็จสิ้นในคราวเดียว สะอาดหมดจดจริงๆตู้กุยหยวนลอบชมอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของเขากลับตื่นตระหนก ลังเลและพูดว่า "ตอนที่เราออกจากเมืองเราได้พบกับกลุ่มพ่อ...พ่อค้า เดิมทีพวกเขาจะเดินมาทางนี้ แต่พอได้ยินนายท่านหู่อยู่ที่นี่ จึงอ้อ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ