หยุนเจิงรู้สึกว่าไอ้ตัวเลวนี่ไม่ได้มาว่าการทูต แต่มาเพื่อประกาศสงครามต่างหาก!เมื่อเห็นท่าทีสูงศักดิ์ของพวกคณะทูตเป่ยหวน พวกที่ยืนอยู่ฝั่งสนับสนุนให้ทำสงครามก็รู้สึกคันเหงือกขึ้นมาทันทีพระเนตรของจักรพรรดิเหวินก็ฉายแสงเย็นเฉียบ พยายามระงับความโกรธ สายตาจ้องไปที่ปานปู้เป็นชั่วเวลาหนึ่งห้าปีก่อนที่เขาเสด็จออกรับที่ซั่วเป่ย หลงกลอุบายของปานปู้ผู้นี้แหละ ถึงได้ถูกกองทัพของพวกเป่ยหวนล้อมรอบเอาไว้ได้แม้ว่าเสิ่นหนานเจิงจะเอาความชีวิตเข้าแลกเพื่อแก้กล แต่กำลังของต้าเฉียนนั้นร่อยหรอแล้ว สุดท้ายถูกบีบให้ขีดแบ่งสามเขตเมืองที่อยู่เหนือแม่น้ำไป๋สุ่ยเพื่อแลกกับความสงบสุขวันนี้ได้พบกับปานปู้อีกครั้ง ก็เท่ากับว่าเป็นการพบหน้ากันของศัตรูเก่าอีกครั้ง แน่นอนว่าตาต้องแดงขึ้นมา“ฮ่องเต้แห่งต้าเฉียน ไม่พานพบกันห้าปี สีหน้าของท่านดีขึ้นกว่าเดิมมากเลยนี่!”ปานปู้ยืนขึ้นมั่น มองไปที่จักรพรรดิเหวินหน้าเปื้อนรอยยิ้มเพียงแต่ รอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยการเสียดสี“บังอาจ!”อวี้กั๋วกงเซียวว่านโฉวตบโต๊ะเตี้ยแล้วลุกขึ้น กล่าวขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “คณะทูตเป่ยหวนเข้าเฝ้าพระพักตร์ เหตุใดจึงไม่คาราวะต่อฮ่องเต
นี่มันรูบิคยุคโบราณหรือนี่?แต่ก็เป็นเพียงรูบิคสามคูณสามขั้นพื้นฐานเท่านั้นอีกทั้งยังเป็นรูบิคที่ทำจากหยกเสียด้วยผู้คนมองสิ่งของที่อยู่ในมือของปานปู้ ผู้คนสงสัยกันอย่างยิ่งชาวต้าเฉียน นอกจากหยุนเจิงแล้ว ก็ไม่มีใครเคยเห็นสิ่งของเช่นนี้มาก่อนปานปู้มองไปที่ผู้คนด้วยแววตาหยิ่งยโส “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าต้าเฉียนนั้นวรรณกรรมสูงส่ง มีปราชญ์ที่มากความสามารถมากมาย”“วันนี้ ข้าผู้เป็นราชครูจึงได้นำของสิ่งนี้มาทดสอบทุกท่าน ดูสิว่าจะมีใครในต้าเฉียนที่สามารถแก้ของสิ่งนี้ได้หรือไม่!”“หากต้าเฉียนไม่มีนายทหารที่แกร่งกล้า และไม่มีทั้งปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องรอบรู้ แล้วเหตุใดราชครูเช่นข้าต้องทำการคาราวะด้วย?”ผู้คนพอได้ฟังคำของปานปู้ก็ฉงนใจยิ่ง“ข้าขอลอง!”เซียวว่านโฉวเป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกไป เขาตะคอกด้วยความรังเกียจ "ของพรรค์นี้ ข้าสามารถบดขยี้มันได้ด้วยมือเดียว!"“…”ใบหน้าหยุนเจิงกระตุก มองไปที่ชายชราอย่างหมดคำจะพูดผู้อื่นให้เจ้ามาแก้ลูกรูบิค!ไม่ใช่ให้เจ้ามาทุบจนแตก!“ท่านแม่ทัพใหญ่เจียง เกรงว่าเจ้าจะไม่เข้าใจคำของข้า”ปานปู้หัวเราะกล่าว “ข้าให้เจ้าแก้ของสิ่งนี้ ไม่ใช่ให้เจ้าทุบตีมั
ปานปู้มองไปทางหยุนลี่อย่างเหยียดหยามราวกับกำลังมองลิงอย่างไรอย่างนั้น “นี่เพิ่งจะแก้ได้ด้านเดียวเอง ยังมีอีกตั้งห้าด้าน!”“ล้วนใช้หลักการเดียวกันทั้งนั้น!”หยุนลี่หัวเราะอย่างได้ใจ “แก้ได้ด้านหนึ่งแล้ว ด้านที่เหลือก็เช่นเดียวกันมิใช่รึ?”ผู้คนพอได้ยินก็พยักหน้าตามหยุนเจิงที่มองหยุนลี่หมุนลูกรูบิควนอยู่กับที่เดิม ก็อดลอบส่ายหัวไม่ได้ไอ้งั่งเอ้ย!ของที่แก้ง่ายเช่นนี้ ยังให้ผู้อื่นนำมาข่มขู่พวกเจ้าได้?พวกเจ้าคิดว่าตนเป็นคนฉลาดจริงๆ หรือ?ล้วนเป็นพวกเก่งแต่โอ้อ้วดทั้งนั้น!เสิ่นลั่วเยี่ยนที่เห็นหยุนเจิงส่ายหัว ก็แค่นเสียงเหอะ “อิจฉารึไง”“ข้าเนี่ยนะอิจฉาเขา?”หยุนเจิงเบะปาก “เขาแก้ไม่ได้หรอก!”“เจ้าอิจฉาเขาชัดๆ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเหอะ “ถ้าเจ้าเก่งก็ลองไปแก้ดูสิ! หากทำไม่ได้ก็อย่ามาแช่งผู้อื่นด้วยความอิจฉาอยู่ที่นี่!”มุมปากหยุนเจิงกระตุก พูดถามขึ้นว่า “นี่เจ้าคงไม่ได้ชอบเจ้าสามหรอกนะ?”“ถุย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพ่นถุยเบาๆ พูดอย่างรังเกียจเต็มใบหน้า “เป็นคนที่ไร้น้ำใจที่สุดก็คือราชวงศ์! ข้าไม่อยากเกี่ยวดองกับใครทั้งนั้นในเชื้อพระวงศ์นี้!”เอ๋?ยัยเด็กนี่ก็ไม่ได้โง่นี
องค์ชายหก?หยุนเจิง?เศษสวะนั่น?ในแวบแรก ในสมองของแต่ละคนมีคำศัพท์ดังด้านบนผุดขึ้นแต่คำพวกนี้ พูดถึงหยุนเจิงคนเดียวเมื่อครู่เขาว่าเยี่ยงไรนะ?แค่ป้านน้ำชาเดียว เขาก็สามารถแก้ปริศนาของสิ่งนี้ได้?เศษสวะผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?มีผู้เพียบพร้อมทั้งด้านบู๊บุ๋นและองค์ชายพร้อมทั้งเครือญาติมากมายเพียงนี้ ยังไม่สามารถแก้ปริศนาของเจ้าสิ่งนี้ได้ เขายังจะมาพูดอีกว่าเพียงเวลาป้านน้ำชาเดียวก็สามาถแก้ปริศนาของสิ่งนี้ได้?แม้นจะอยากเรียกร้องความสนใจ แต่ก็ไม่ควรคุยโวถึงเพียงนี้!เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นผู้คนต่างมองมาทางนี้ นางแทบจะกระอักเลือด จึงรีบออกแรงดึงหยุนเจิง เพื่อส่งสัญญาณให้เขานั่งลงเจ้าคนขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถนี่ เป็นบ้าหรือไง!ตอนที่ควรจะลุกยืนขึ้นมาแก่งแย่งแสดงความสามารถกลับไม่ยืนคืน ตอนที่ไม่ควรจะยืนขึ้นมาหาแสง เขากลับกระตือรือร้นขึ้นมา?แถมยังจะเวลาแค่ป้านน้ำชาเดียวอีก?ให้เวลาเขาครึ่งปี เขาก็คงแก้ปริศนาของสิ่งนี้ไม่ได้!“น้องหก นั่งลง!”สีหน้าขององค์ชายรองย่ำแย่ทันที รีบแค่นเสียงดุว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของรัฐ ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาทำตัวไม่รู้หนักรู้เบา!”สวีสือฝู่มองไปทางห
ตายเสียเถอะ! ตายเสียเถอะ!ยิ่งตายเร็วยิ่งดี!หากเขาตายเร็วขึ้น ตนก็ไม่ต้องแต่งงานกับเขาแล้ว!หยุนเจิงยิ้ม “ท่านราชครูมั่นใจเพียงนี้เลยหรือว่าข้าจะแก้ปริศนาไม่ได้?”“แน่นอน!”ปานปู้พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “ของสิ่งนี้ข้าเป็นคนทำขึ้น ตัวข้าเองยังมิสามารถแก้ได้ภายในเวลาเพียงป้านน้ำชาเดียวเลย!”“หา?”หยุนเจิงชะงักงัน มองดูปานปู้อย่างตกตะลึงอะไรของท่าน!ของนี้ออกมาจากมือของตนเอง แต่กลับไม่สามารถทำให้กลับกลายเป็นดังเดิมได้?แล้วคนผู้นี้คิดจัดทำของเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรเล่า?หยุนลี่เห็นสภาพตะลึงงันของหยุนเจิง ก็ลอบหัวเราะในใจยกใหญ่เจ้าเศษสวะ ตะลึงค้างไปเลยล่ะสิ?ตอนนี้คุยโวเกินตัวไปแล้วล่ะสิท่าคนอย่างเขาเนี่ยนะ คิดอยากจะติดลมบนกับเขา!เหตุใดจึงไม่ลองตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตนเองเสียบ้าง!“หยุนเจิง!”ทันใดนั้นเสียงของจักรพรรดิเหวินก็เปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมาก ตรัสด้วยโทสะว่า “นั่งลง!”“เสด็จพ่อ ได้โปรดเชื่อลูกด้วย!”หยุนเจิงมองไปทางจักรพรรดิเหวินอย่างนิ่งสงบคราหนึ่ง แล้วพูดกับปานปู้ว่า “ท่านราชครู ในเมื่อท่านบอกว่าท่านไม่สามารถแก้ปริศนาของสิ่งนี้ได้ภายในชั่วเวลาป
จักรพรรดิเหวินไม่อยากทอดพระเนตรอีก จึงหันพระวรกายไปอีกด้านทันทีภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของผู้คน หยุนเจิงตรวจสอบรูบิครอบหนึ่ง จากนั้นสองมือก็เริ่มขยับ...ยังไม่รอจนผู้คนดึงสติกลับมาได้ หยุนเจิงก็หยุดท่าทางลงแล้วภายใต้สายตาที่งุนงงของผู้คน หยุนเจิงชูรูบิคขึ้นสูงรูม่านตาของปานปู้หดตัวลงทันที มองไปที่รูบิคในมือของหยุนเจิงอย่างงุนงง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเองเป็นไปไม่ได้!เหตุใดจึงว่องไวเพียงนี้?ผู้คนแห่งต้าเฉียนมองไปที่รูบิคในมือของหยุนเจิง ก็ล้วนอึ้งจนตาค้างแค่นี้ก็…แก้ปริศนาได้แล้ว?ผู้คนขยี้ตาของตนเองอย่างแรง ไม่อยากจะเชื่อฉากที่อยู่ตรงหน้าทว่า รูบิคก็ยังคงเป็นรูบิคนั่นเพียงแต่ ทั้งหกด้านนั้น แต่ละด้านเป็นสีเดียงกันแก้ปริศนาได้แล้วจริงๆ!นี่มันไม่ใช่ชั่วเวลาเพียงป้านน้ำชาเดียวที่หยุนเจิงพูด!แต่มันคือชั่วขณะหายใจเดียวต่างหาก เขาก็สามารถแก้ได้แล้ว!หยุนลี่กับองค์ชายท่านอื่นตะลึงค้างไปนี่เป็นไปได้อย่างไรพวกเขาลองแกะแงะไปครึ่งค่อนวัน อย่างมากก็แก้ได้เพียงด้านเดียว!แต่เจ้าเศษสวะผู้นี้เหตุใดจึงสามารถแก้ปริศนาของสิ่งนี้ได้ไวเพียงนี้?สมควรตาย!นี่มันเรื่อ
หยกกรุ๊งกริ๊ง?หยกกรุ๊งหยกกริ๊งบิดาเจ้าสิ!สอดส่องดูทิศทางแห่งสวรรค์ในยามค่ำคืนมารดาเจ้าสิ!หากบอกว่าเจ้าทะลุมิติมา ยังจะฟังดูน่าเชื่อถือหน่อย!หยุนเจิงกระแหนะกระแหนขึ้นอย่างรุนแรงในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวกล่าวว่า “ไม่ ของสิ่งนี้เรียกว่ารูบิค!”“รูบิค?”ปานปู้ขมวดคิ้วมุ่นนี่เป็นหยกกรุ๊งกริ๊งที่ตนเป็นคนคิดค้นขึ้นแท้ๆ!หยุนเจิงหัวเราะ จากนั้นกล่าวว่า “ไม่ปิดบังท่านราชครู ตอนที่ข้าอายุสิบขวบ ข้าก็เคยพบเห็นของสิ่งนี้ในบันทึกโบราณของราชวงศ์ข้าแล้ว ตอนที่ไม่มีอะไรทำข้าได้ลองใช้ไม้ทำของสิ่งนี้ขึ้นมา!”“อีกทั้ง รูบิคที่ข้าเล่น ทั้งหมดมีถึงสิบหกช่องแล้ว!”“ยากกว่าหยกกรุ๊งกริ๊งของเจ้ามาก!”กริ้บกริ้ว!พวกนางกำนัลกับองครักษ์ในเรือนปี้ปัวถูกกำจัดไปหมดแล้วตนจะแต่งอย่างไรก็ไม่มีใครคัดค้านได้ตนจะว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น!ปานปู้ฟังคำของหยุนเจิง ใบหน้าชราของเขาอดกระตุกไม่ได้สิบหกช่อง?เขาอายุเพียงสิบขวบก็สามารถทำหยกกรุ๊งกริ๊งออกมาได้แล้ว?นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”ปานปู้ดวงตาแดงก่ำ กัดฟันกล่าว “เจ้าก็แค่โชคดีเท่านั้น!”“งั้นรึ?”หยุนเจิงส่ายหัวยิ
หลับตา!ทั้งยังแก้ปริศนาของสิ่งนี้ภายในชั่วเวลาป้านน้ำชาเดียวอีก?บ้าไปแล้ว!หยุนเจิงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!เศษสวะไร้ประโยชน์ผู้นี้ ชนะเดิมพันเพราะโชคช่วยไปคราหนึ่ง ยังจะทำตัวเหลิงอีก!จักรพรรดิเหวินโกรธจนสั่นไปทั้งพระวรกาย ดวงเนตรทั้งคู่แทบลุกเป็นไฟ มองไปยังหยุนเจิงหยุนเจิงกลับไม่ได้ใช้เรื่องใหญ่ของรัฐไปเป็นเดิมพันยังคงใช้ศีรษะของเขาเป็นเดิมพันแถมยังจะปิดตาแก้ปริศนารูบิคอีกเหตุใดเขาจึงไม่พูดไปเสียเลยว่าเขาจะใช้วิธีของเทพเซียนมาแก้รูบิคไอ้เด็กเวรนี่ เขาอยากตายมากขนาดนี้เลยหรือไงจักรพรรดิเหวินโทสะพุ่งขึ้น หากไม่ใช่เพราะไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าคณะทูตเป่ยหวน่ะก็ เขาถีบหยุนเจิงไปตั้งนานแล้วเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็โกรธเป็นอย่างมากตอนแรก หยุนเจิงใช้วิธีเดิมพันเพื่อเรียกคือดินแดนของต้าเฉียนที่เสียไป ได้สร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ไว้แต่ปรากฏว่า ไอ้เวรนี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ยังจะเดิมพันกับราชครูแห่งเป่ยปวนอีก?และยังจะใช้ศีรษะของเขาเป็นเดิมพัน!นี่ยังไม่ได้รนหาที่ตายหรอกหรือ?หลับตาแก้ปริศนาของสิ่งนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้!พอคิดว่าตนฉุดเดิงหยุนเจิงกี่ครั้งก็มิอ
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่
สองวันต่อมา หยุนลี่ได้รับจดหมายตอบกลับจากหยุนเจิง เมื่อมองเนื้อหาในจดหมาย หยุนลี่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาถึงกับขยี้ตาหลายรอบ กลัวว่าตัวเองจะมองผิดไป ตกลงแล้ว! เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นตอบตกลงจริงๆ! หยุนเจิงยอมจ่ายเงิน หนึ่งล้านสองแสนตำลึง พร้อมกับส่งตัวหยางหุยโจว เพื่อแลกกับอิสรภาพของฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวทั้งสิบสามชีวิต ท้ายจดหมาย หยุนเจิงยังกล่าวข่มขู่ หากครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งมีอันเป็นไป อย่าได้โทษว่าเขาไม่ไว้หน้า! "ฮ่าๆๆ!" เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไป หยุนลี่ถึงกับหัวเราะลั่น หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แม้จะยังไม่เทียบเท่ากับจำนวนเงินที่เขาเคยถูกหยุนเจิงโกงไป แต่หนึ่งล้านสองแสนตำลึงก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว นี่มีความหมายไม่น้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถหลอกเอาเงินจากหยุนเจิงได้! และครั้งแรกนี้ก็เล่นไปถึง หนึ่งล้านสองแสนตำลึง! จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร!? ปากของฮั่วเหวินจิ้งแข็งเกินไป หากฆ่าฮั่วเหวินจิ้งทิ้งเพียงเพราะความโกรธ ก็มีแต่เสียเปล่า แต่ถ้าใช้เขามารีดเงินจากเจ้าหกได้… ไม่ใช่ว่าเป็นประโยชน์กว่าหรือ!? คิดไม่ถึงว่า มันสำเร
เมื่อหยุนเจิงกล่าวจบ ก็เล่าถึงข้อสันนิษฐานของตนให้เสิ่นควานฟัง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็นึกไม่ออกถึงสาเหตุอื่นเลย หยุนลี่คงไม่ถึงกับยากจนขนาดจับใครมาเรียกค่าไถ่จากเขาโดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่ไหม? หากมีสิ่งผิดปกติ ย่อมต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่! เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เสิ่นควานก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด ว่ากันตามตรง ข้อสันนิษฐานของฝ่าบาทก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก ฝ่าบาทจับตัวคนของหยุนลี่ แล้วเรียกค่าไถ่ หยุนลี่ก็ทำตามแบบเดียวกัน จับตัวคนที่เขาคิดว่าเป็นสายของฝ่าบาท แล้วเรียกค่าไถ่บ้าง? หรือว่านี่จะเป็นการใช้วิธีของศัตรูมาตอบโต้ศัตรูแบบที่ฝ่าบาทเคยพูดสินะ? “กราบทูลฝ่าบาท แม่ทัพอวี่ชื่อจงส่งสาสน์เร่งด่วนมา!” ในขณะนั้นเอง กองทหารองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ สาสน์ด่วนจากอวี่ชื่อจง? หรือว่าเจ้าสามคิดลงมือแล้ว!? เจ้าสามคงไม่บ้าถึงขั้นเปิดศึกในเวลานี้หรอกกระมัง? “นำมานี่!” หยุนเจิงรีบให้เสิ่นควานรับจดหมายมา เมื่อได้รับจดหมายจากเสิ่นควาน หยุนเจิงก็เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของเขากลั
อุทยานบุปผาหลวง หลังจากการประชุมเช้าเสร็จสิ้น จักรพรรดิเหวินรับสั่งให้คนไปแจ้งหยุนลี่ ให้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน บิดาและบุตรก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะที่มู่ชุ่นและขุนนางติดตามคนอื่นๆ จงใจเว้นระยะห่างออกไป "ฮั่วเหวินจิ้งยังไม่ยอมเปิดปากรึ?" จักรพรรดิเหวินทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลัง ตรัสถามด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม "ยังพ่ะย่ะค่ะ" หยุนลี่ส่ายศีรษะเบาๆ "ฮั่วเหวินจิ้งไม่กลัวทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ยืนกรานไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อพรรคพวก" จักรพรรดิเหวินตรัส "ในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็เปลี่ยนวิธีเถิด!" เปลี่ยนวิธี? หยุนลี่มองจักรพรรดิเหวินด้วยความฉงน "เสด็จพ่อทรงมีแผนใด?" "แผนการวิเศษอะไรนั้นไม่มี มีแค่แผนโง่ๆ แผนหนึ่ง" จักรพรรดิเหวินแย้มสรวล "เจ้าหกไม่เคยเล่นงานเจ้ารึ? เช่นนั้นเจ้าก็เอาฮั่วเหวินจิ้งมาเล่นงานเขาบ้างสิ! ให้เขานำเงินมาไถ่ตัวฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวของเขา!" อืม? หยุนลี่ได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวินเช่นนั้น พลันเกิดประกายความคิด สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ? "แผนนี้ของเสด็จพ่อแยบยลยิ่ง!" หยุนลี่รีบกล่าวคำเยินยอจักรพรรดิเวหิน ก่อนจะมีท่าทีล
"ข้าให้ความไว้วางใจเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าเอาความภักดีไปให้สุนัขกินแล้วหรือ?" "ข้าทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ?" ยิ่งพูดยิ่งโกรธ หยุนลี่กระทืบฮั่วเหวินจิ้งซ้ำอีกหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะต้องการเก็บชีวิตของมันไว้เพื่อรีดข้อมูล เขาคงสั่งให้จับมันไปประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว! "แค่กๆ..." ฮั่วเหวินจิ้งถูกเตะซ้ำๆ จนกระอักเลือดออกมาเป็นสาย หยุนลี่พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอฆ่ามันซะก่อน ตะคอกเสียงดัง "บอกมา! ยังมีพวกของเจ้ากี่คน!?" ฮั่วเหวินจิ้งนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น แววตาเจ็บปวด "กระหม่อม...ไม่รู้จริงๆ... แค่กๆ..." กล่าวจบฮั่วเหวินจิ้งก็สำลักเลือดออกมาอีก "ไม่รู้? คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง!?" หยุนลี่มองฮั่วเหวินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา "ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายังไม่เห็นค่าของมัน ข้าไม่เพียงจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แต่จะส่งคนไปสังหารทั้งตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก!" น้ำเสียงของหยุนลี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขาต้องรีดเอาข้อมูลออกมาให้ได้! ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าข้างกายเขายังมีคนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่! "กระหม่อมไม่รู้จริงๆ!" ฮั่วเหวินจิ้งส่งเสียงคร่ำครวญ "ต่อให้ฝ่าบาทสั
ยามดึกสงัด ณ จวนองค์รัชทายาท แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่เที่ยงคืนแล้ว แต่หยุนลี่ยังคงไม่ยอมนอน ฎีกาจากกรมกองต่างๆ ถูกส่งมารวมไว้ที่เขาทั้งหมด ปกติแล้วฎีกาเหล่านี้ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปริมาณฎีกาเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว ที่สำคัญ เนื้อหาในฎีกาส่วนใหญ่มีเพียงเรื่องเดียว ขอเงิน! แม้เขาจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินไปบางส่วนแล้ว แต่เงินในท้องพระคลังยังคงร่อยหรอ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นคิดหาวิธีหลอกเอาเงินอยู่ตลอด! ขณะหยุนลีกำลังอ่านฎีกาชุดสุดท้าย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก "ขอทูลองค์รัชทายาทฝ่าบาท ฮั่วเหวินจิ้งถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปทันที ฮั่วเหวินจิ้ง! สารเลว! ที่แท้มันก็คือเขาจริงๆ ! "เข้ามา!" ประกายสังหารพุ่งวาบขึ้นในดวงตาของหยุนลี่ เขาแทบอยากฉีกทึ้งฮั่วเหวินจิ้งเป็นชิ้นๆ ยังดีที่เขาระแวดระวังไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าชายชั่วผู้นี้จะซ่อนตัวอยู่ข้างกายเขาอีกนานเท่าใด! สมควรตาย! ไม่นานนัก องครักษ์ผู้รายงานข่าวก็เดินเข้ามา "จับตัวได้เมื่อใด?
ณ ชั่วขณะนั้น หยุนลี่พลันเข้าใจถึงความยากลำบากของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางในราชสำนักนั้น ทั้งต้องใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยให้พวกเขามีอำนาจมากเกินไป จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้งานกับการควบคุมพวกเขา ในราชสำนัก ย่อมไม่อาจปล่อยให้ขุนนางผู้ใดมีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่ผู้ที่เขาไว้วางใจที่สุด! … ยามโพล้เพล้ ณ จวนฮั่ว "ฮั่วผิง นี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจะออกไปไหน?" พ่อบ้านที่ประจำอยู่หน้าจวนฮั่วทักขึ้นเมื่อเห็นฮั่วผิงกำลังจูงม้าเทียมเกวียนออกจากจวน ฮั่วผิงตอบกลับ "ฟืนถ่านในจวนใกล้หมดแล้ว นายท่านสั่งให้ข้ารีบออกไปซื้อก่อนที่ฟ้าจะมืด" "เช่นนั้นเจ้าต้องรีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะ ถ้าพลาดเวลาอาหารก็ต้องอดข้าวแล้ว" พ่อบ้านที่เฝ้าประตูเตือนขึ้น ฮั่วผิงยิ้มขื่นๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะขับเกวียนออกไป ไม่นาน ฮั่วผิงก็มาถึงตลาดขายถ่านทางตอนใต้ของเมือง ขณะที่เขามาถึง ร้านค้าถ่านก็เตรียมจะปิดร้านกันแล้ว "พ่อค้า รอก่อน! ข้าจะซื้อถ่าน" ฮั่วผิงตะโกนเรียกพ่อค้าผู้กำลังจะปิดร้าน พ่อค้าหันมามอง ก่อนจะชะงักมือที่กำลังปิดประตูร้าน "พี่ฮั่ว ทำไมเจ้าถึง
แม้กู้ซิวจะคัดค้านอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของหยุนลี่ได้ ท้ายที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดลงไป หยุนลี่ยังสั่งกำชับทั้งห้าว่าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เมื่อทุกคนค่อยๆ ถอนตัวออกไป สวีสือฝู่กลับอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับหยุนลี่ และขออยู่ต่อ "ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?" สวีสือฝู่ขมวดคิ้ว ถามหยุนลี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ตกปลา!" หยุนลี่เผยรอยยิ้มลึกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ความกังวลของกู้ซิวนั้นช่างเกินเหตุไป เขาคือองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ และเป็นจักรพรรดิในอนาคต! ย่อมเข้าใจผลกระทบของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นปล่อยเงินปลอมเข้าสู่ตลาดโดยตรง "ตกปลา?" แววตาของสวีสือฝู่ฉายแววเย็นเยียบ "ฝ่าบาททรงสงสัยว่ามีคนในพวกเราห้าคนนี้ไม่น่าไว้วางใจหรือ?" "ไม่ ไม่ใช่!" หยุนลี่รีบโบกมือ "ข้าย่อมเชื่อใจท่านลุงและพ่อตาแน่นอน! ข้าเพียงแต่สงสัยฮั่วเหวินจิ้งเท่านั้น…" กล่าวพลาง หยุนลี่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฮั่วเหวินจิ้งพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เดินทางไปฟู่โจว เขาถึงขั้นสงสัยว่า ครั้งก่อนท
หากกองทัพเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ ต้าเฉียนก็จะเข้าสู่กลียุคในไม่ช้า"พวกเจ้าดูเถิด!" หยุนลี่ใบหน้ามืดครึ้ม หยิบจดหมายสองฉบับบนโต๊ะส่งให้ทั้งห้าคนดู ทั้งห้าคนไม่กล้าชักช้า รีบรุดเข้ามาอ่านเนื้อหาในจดหมาย "สามล้านตำลึงเงิน เสบียงอาหารสองแสนชั่ง ช่างต่อเรือหนึ่งพันคน เขาช่างกล้าขอจริงๆ…" "ก็ต้องให้สิ! ไม่ให้แล้วจะทำอย่างไร? นี่ล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทฝ่าบาทรับปากไว้ไม่ใช่หรือ?" "ต่อให้รับปากแล้ว ก็ยังสามารถถ่วงเวลาไปก่อนได้มิใช่หรือ?" "จะถ่วงเวลาอย่างไร? หากถ่วงไปอีก ก็จะเลยฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศแล้ว!" "ค่าไถ่ตัวหยางหุยโจวก็ต้องจ่าย หากปล่อยให้หยุนเจิงประหารหยางหุยโจว เช่นนั้นจะกระทบต่อพระเกียรติยศของฝ่าบาท…" ยังไม่ทันที่หยุนลี่จะเอ่ยถาม ทั้งห้าก็ถกเถียงกันขึ้นมาเอง การถ่วงเวลาออกไป ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเขา แต่ปัญหาก็คือ หยุนเจิงได้เตือนมาในจดหมายแล้ว หากยังไม่ส่งเงิน เสบียง และช่างต่อเรือไปยังฟู่โจว ฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศก็จะผ่านพ้นไป และหากต้องการมันเทศอีก ก็ต้องรอจนถึงปีหน้า ขณะที่ทั้งห้าคนยังวิตกกังวล หยุนลี่กลับเผยรอยยิ้มออกมา "ต้องให้แน่นอน! มันเทศต้