สองวันให้หลัง งานเลี้ยงฉลองจวนใหม่องค์ชายหกที่เชิญพวกขุนนางมาก็เริ่มขึ้นแล้วทว่า นอกจวนองค์ชายหกนั้นคึกคักยิ่ง มีขุนนางจากราชสำนักหรือไม่ก็พวกผู้อาวุโสที่จะส่งคนมามอบของขวัญเป็นพักๆ ไม่ขาดสาย แต่ล้วนมามอบของแล้วจากไปเลย ไม่แม้นแต่จะย่างเข้าประตูจวนเมื่อเทียบกับความคึกคักนอกจวนแล้ว ภายในจวนกลับเงียบเหงาจนวังเวงหยุนเจิงนั่งวางแผนของอนาคตของที่เรือนหลัง วันนี้รับของมามากมาย อย่างไรตอนนี้ก็จะมีเงินแล้วถัดมาก็ต้องสั่งสมกำลังคนของตนเองสักหน่อยแล้ว!แต่ก็ห้ามให้คนอื่นรู้แผนการในใจของเขาเด็ดขาด ดังนั้น เขาไม่สามารถเรียกบรรดาเหล่าจอมยุทธ์มาที่จวนได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นแล้ว“เรียนองค์ชาย คุณหนูเสิ่นมาแล้วเพคะ”เวลานี้ มีสาวรับใช้มารายงาน“นำนางเข้ามาเถิด!”หยุนเจิงแม้นจะโบกมือขึ้นอย่างเฉยเมย แต่ในใจกลับสงสัยเสิ่นลั่วเยี่ยนมาทำอะไร?คงไม่ได้มาหัวเราะเยาะตัวเองหรอกนะ?หรือว่า นางคิดตกแล้ว รู้ว่างานในวันนี้ ใครจะไม่มาก็ได้ แต่นางต้องมา?รอเสิ่นลั่วเยี่ยนเข้ามาแล้ว หยุนเจิงก็ให้สาวรับใช้ออกไป“เจ้าไม่ได้จัดงานเลี้ยงเข้าจวนหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่จัดสุราอาหารเลยล่ะ?”เสิ่นลั
หยุนเจิงหัวเราะเยาะ “อย่าพูดขู่อีกเลย! ความกล้าระดับนี้ของเจ้า เหตุใดตอนนั้นต้องรับราชโองการทั้งน้ำตาด้วยเล่า?”“ข้า…”เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดไม่ออก เจ็บใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัวนางอยากจัดหยุนเจิงสักยก แต่ก็ไม่อาจทำอะไรหยุนเจิงได้ ทำได้เพียงนั่งจมอยู่กับความโกรธตรงนั้นหยุนเจิงยิ้มองเสิ่นลั่วเยี่ยน แล้วถามขึ้นอีกว่า “เจ้ามาที่นี่เอง หรือเพราะคนอื่นบอกเจ้าให้มาล่ะ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเหอะ “หากไม่ใช่เพราะแม่ข้าไม่สบาย ข้าคงไม่มาเองหรอก!”นางไม่อยากมาจริงๆ แต่ไม่มาไม่ได้ก็เหมือนกับที่พี่สะใภ้รองเยี่ยจื่อบอกนาง ที่นี่อีกไม่นานก็จะเป็นบ้านของนางแล้ว!ต่อให้มาเพียงแค่เป็นพิธี นางก็ต้องมาสักครู่!หยุนเจิงมองสภาพที่ไม่ยินยอมพร้อมใจของนาง ก็ส่ายศีรษะแล้วหัวเราะ “หากเจ้าไม่อยากเห็นหน้าข้า เจ้าก็ไปที่อื่นเถิด หรือว่าเจ้าจะกลับบ้านก็ได้นะ”เสิ่นลั่วเยี่ยนพอได้ยินก็รีบลุกขึ้นทันทีกระนั้น นางก็ไม่ได้ขยับเท้าเดินไปไหนเวลาชั่วครั่วจากนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็นั่งลงอีก มองหยุนเจิงจากหัวจรดเท้า“นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”หยุนเจิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจเสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องตาของหยุนเจิง “พี่สะใภ้ร
งานเลี้ยงขึ้นจวนใหม่ของหยุนเจิงที่ไม่มีใครมาร่วม ทำให้เขาได้กำไรเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวจักรพรรดิเหวินแม้นจว่าจะไม่ได้มาร่วมงานด้วยพระองค์เองเนื่องจากมีพระราชกิจติดตัว แต่ก็สั่งให้คนนำของมามอบให้เขาแล้วจักรพรรดิเหวินได้มอบของขวัญแล้ว บรรดาองค์ชายองค์หญิงก็ต้องมอบของด้วยเช่นกันยังมีผู้คนมากมายที่เขาไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้ คนพวกนั้นล้วนส่งคนมามอบของขวัญแก่เขาแค่คิดคร่าวๆ ของพวกนี้ที่ได้รับมีมูลค่าราวหนึ่งแสนตำลึงเงินแล้วสิ่งที่น่าปวดหัวตอนนี้คือ จะทำยังไงให้เขามีกองทัพทหารในมือขึ้นจริงๆเพิ่งรับของมาวันนี้ วันรุ่งก็นำไปขายเลย หากบอกกล่าวออกไป ดูท่าคงไม่ดีนัก!หยุนเจิงคิดจนถึงดึกดื่น ก็ไม่สามารถหากเหตุผลที่ดีมากพอที่จะแปลงของพวกนี้เป็นเงินสด สุดท้ายจึงคร้านจะคิดต่ออย่างไรเสียในวันแต่งงานก็ต้องได้รับของกำนัลอีกมากโขถึงเวลานั้นค่อยคิดหาทางแปลงเป็นเงินสดก็แล้วกัน!กลางดึก ในพระราชวัง“สถานการณ์ทางเจ้าหกเป็นเช่นไรบ้าง”จักรพรรดิเหวินสั่งให้คนรอบกายออกไป เรียกองครักษ์เงามาพูดคุยด้วยเป็นการส่วนตัวองครักษ์เงาตอบว่า “ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งทั้งราชสำนัก ต่างก็ส่งของกำนัลไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพี
จะมาอย่างสันติหรือจะท้ารบ ก็ยังไม่ทราบได้กำลังทหารของเขาไม่เท่าเป่ยหวน คดีขององค์รัชทายาทก็ยังไม่นิ่งเสียทีเดียวแคว้นรอบๆ ก็คอยจ้องจะเขมือบตลอดเวลาต่อให้เอาชนะเป่ยหวนได้ หากต้าเฉียนได้รับบาดเจ็บสาหัด เขาจะหยุดยั้งพวกแคว้นที่หิวโซรอบๆ ได้อย่างไรเล่าพอถึงตอนนั้น แคว้นพวกนั้นก็จะโจมตีต้าเฉียน ต้าเฉียนก็สิ้นแล้วแต่จะให้ส่งเสบียงกรังแก่เป่ยหวน เขาก็ทนไม่ได้จริงๆ!ปวดเศียร ปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ!จักรพรรดิเหวินครุ่นคิดทั้งคืนจนถึงรุ้งเช้า ถึงตัดสินพระทัยได้ให้ไปเถอะ!ต้าเฉียนไม่ได้เตรียมมือพร้อมทำการสู้รบ หากเปิดศึกตอนนี้ โอกาสจะชนะแทบจะเป็นสูญ…ช่วงบ่าย สองวันให้หลังหยุนเจิงเพิ่งซื้อหญิงสาวที่ถูกพ่อผีพนันของนางขายไปที่หอโคมเขียวมา ในวังก็มีคนมาหาแล้ว“คืนนี้ฮ่องเต้จะทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตเป่ยหวนที่วังว่านโซ่ว เชิญองค์ชายหกพร้อมด้วยพระชายาองค์ชายหกเข้าร่วมงานตรงตามเวลาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“ได้เลย รบกวนกงกงมากแล้ว!”หยุนเจิงพูดตอบ แล้วให้คนมาตบรางวัลให้กงกงที่มาส่งข่าวกงกงที่เพิ่งได้รับเงินราลวัลก็กล่าวขอบพระทัย แล้วจากไปอย่างชื่นบาน“จากนี้ไป เจ้าก็ชื่อซินเซิงแล้วก
วังว่านโซ่วยังเร็วอยู่กว่าจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงค่ำทว่า ภายนอกพระราชวังมีคนคอยท่าอยู่เป็นจำนวนมากแล้วนี่เป็นถึงงานเลี้ยงที่จักรพรรดิเหวินจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะทูตเป่ยหวนเชียวนะ เป็นยามแสดงให้เห็นถึงความเกรียงไกรของราชวงศ์ต้าเฉียน ไม่มีใครกล้ามาสายเป็นดังที่เสิ่นลั่วเยี่ยนคาดไว้ นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว คนที่มาล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนักขุนนางที่ต่ำกว่าขั้นสาม แทบจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงาน“น้องหก วันนี้ลมอะไรหอบเจ้ามาได้ล่ะ?”“ข้าคิดว่าน้องหกจะแสร้งป่วยเสียอีก!”“นี่ก็คือพี่หกงั้นหรือ? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าไม่เคยพบมาก่อนเลยล่ะ?”“เจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง? อย่าว่าเจ้าไม่เคยเจอเลย ข้าเองก็เคยเห็นพี่หกเจ้ามากนัก เขาพบตัวได้ยากกว่านางนารีในป่าลึกเสียอีก …”องค์ชายและองค์หญิงที่ตามหลังหยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนมาต่างพูดหยอกเขาขึ้นมา แม้แต่เจ้าแปดที่เพิ่งอายุได้ 13 ชันษาก็หัวเราะเยาะเขากับเขาด้วยเสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการหัวเราะเยาะของผู้คน ในใจนางแค้นยิ่งนัก แต่หยุนเจิงกลับสงบนิ่งผิดปกติ ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดเลย“น้องหก เจ้าพูดอะไรสักอย่างสิ!”องค์ชายห้า
หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังบรรดาองค์ชายองค์หญิงด้วยสีหน้า ‘อมทุกข์’ สายตาที่ตอบรับหยุนเจิงนั้นราวกับมองเห็นเทพเจ้าแห่งโรคระบาด พวกเขารีบจากไปตามทางของตน กลัวว่าจะโดนเทพเจ้าโรคระบาดนี่มาขอยืมเงินในระหว่างนี้ คนที่มาล้อมรอบพวกเขาไว้หลีกหายไปจนหมดไม่มีคนกลุ่มนี้ หยุนเจิงรู้สึกว่าอากาศรอบตัวบริสุทธิ์ขึ้นไม่น้อย“เจ้าอายคนเขาบ้างไหมนั่น!”เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธจนตัวสั่น พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงย่ำแย่ว่า “รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาจะไม่ยืมเงินให้เจ้าแน่นอน เจ้ายังจะกล้าเปิดปากพูด? ข้าล่ะรู้สึกอายคนแทนเจ้าจริงๆ!”“ก็ข้าไร้ซึ่งหนทางแล้วนี่?” หยุนเจิงสูดจมูก สายตาตกไปบนตัวเสิ่นลั่วเยี่ยน “ไม่เช่นนั้น เจ้าให้ข้ายืมหน่อยไหม…”“อย่าแม้แต่จะคิด!”เสิ่นลั่วเยี่ยนสกัดความคิดของหยุนเจิง หันหน้าไปทางอื่นหากเป็นไปได้ นางอยากจะหารูมุดหนีไปจริงๆขณะนั้นเอง หยุนลี่มาถึงก็มีกลุ่มคนหนึ่งกรูกันเข้ามาพรรคพวกขององค์ชายสามมีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์นี้พอหยุนลี่มาถึงก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางทันทีหยุนลี่มองปราดเดียวก็เห็นหยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนที่ยืนกันอยู่สองคนด้านข้างจังหวะที่หยุนลี่เห็นหยุนเจิง มีความเฉี
ยืมเงิน?พอหยุนลี่ได้ยินคำพูดนี้ของหยุนเจิง หน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำไอ้เวรนี่!ไหลไปตามน้ำเก่งจริงๆ!เอาล่ะ!ให้ยืมก็ให้ยืมสิ!ดีเหมือนกันจะได้ทำเล่นบทเปลี่ยนความเกลียดชังเป็นมิตรภาพต่อหน้าผู้คนสักหน่อยหากในอนาคตเกิดเรื่องอะไรกับไอ้เวรนี่ ก็อย่าสาวมาถึงตัวเขาก็แล้วกัน!“น้องหก เจ้าจะยืมเงินสักเท่าไหร่ล่ะ?”หยุนลี่สอบถาม!“สามหมื่นตำลึง!”หยุนเจิงเปิดปากก็โลภเอาทรัพย์คำเลย พูดความต้องการของตัวเองขึ้นมาอย่างน่าสงสารความหมายนั่นก็คือ สามวันยังไม่พอเสียด้วยซ้ำ จะให้ดีก็เพิ่มเงินให้เขายืมอีกหน่อยสาม...สามหมื่นตำลึง?ใบหน้าหยุนลี่กระตุกแรงๆ หนึ่งที แทบจะกระทืบเขาไปทีหนึ่งองค์ชายอย่างพวกเขา เดือนหนึ่งได้รับเงินก็แค่หนึ่งพันตำลึงเจ้าสุนัขตัวนี้ เปิดปากก็จะเอาสามหมื่นตำลึง!คิดว่าเขาเป็นท้องพระคลังหรือไง?หยุนลี่โกรธจนจะตายแล้ว แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรได้มาก ทำได้เพียงนำตัวเงินหยัดเข้ามือหยุนเจิง “ตั๋วเงินที่พี่สามนำติดตัวมานี้เอาให้เจ้าทั้งหมด หากไม่พอ เจ้าก็ไปขอยืมกับพี่สองเจ้าเถอะ!”พูดจบ หยุนลี่ก็รีบวิ่งหนี ในใจคิดอย่างเกลียดแค้นว่า: แล้วข้าจะจัดการเจ้าอย่างสาสม!
หยุนเจิงรู้สึกว่าไอ้ตัวเลวนี่ไม่ได้มาว่าการทูต แต่มาเพื่อประกาศสงครามต่างหาก!เมื่อเห็นท่าทีสูงศักดิ์ของพวกคณะทูตเป่ยหวน พวกที่ยืนอยู่ฝั่งสนับสนุนให้ทำสงครามก็รู้สึกคันเหงือกขึ้นมาทันทีพระเนตรของจักรพรรดิเหวินก็ฉายแสงเย็นเฉียบ พยายามระงับความโกรธ สายตาจ้องไปที่ปานปู้เป็นชั่วเวลาหนึ่งห้าปีก่อนที่เขาเสด็จออกรับที่ซั่วเป่ย หลงกลอุบายของปานปู้ผู้นี้แหละ ถึงได้ถูกกองทัพของพวกเป่ยหวนล้อมรอบเอาไว้ได้แม้ว่าเสิ่นหนานเจิงจะเอาความชีวิตเข้าแลกเพื่อแก้กล แต่กำลังของต้าเฉียนนั้นร่อยหรอแล้ว สุดท้ายถูกบีบให้ขีดแบ่งสามเขตเมืองที่อยู่เหนือแม่น้ำไป๋สุ่ยเพื่อแลกกับความสงบสุขวันนี้ได้พบกับปานปู้อีกครั้ง ก็เท่ากับว่าเป็นการพบหน้ากันของศัตรูเก่าอีกครั้ง แน่นอนว่าตาต้องแดงขึ้นมา“ฮ่องเต้แห่งต้าเฉียน ไม่พานพบกันห้าปี สีหน้าของท่านดีขึ้นกว่าเดิมมากเลยนี่!”ปานปู้ยืนขึ้นมั่น มองไปที่จักรพรรดิเหวินหน้าเปื้อนรอยยิ้มเพียงแต่ รอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยการเสียดสี“บังอาจ!”อวี้กั๋วกงเซียวว่านโฉวตบโต๊ะเตี้ยแล้วลุกขึ้น กล่าวขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “คณะทูตเป่ยหวนเข้าเฝ้าพระพักตร์ เหตุใดจึงไม่คาราวะต่อฮ่องเต
เมื่อเจอคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธ ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยุนลี่ก็กัดฟันยอมรับ "ตกลง สี่ล้านตำลึง! เหมือนกับเรื่องเสบียง ให้ชำระภายในสิ้นปี!" เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หยุนลี่แทบกระอักเลือด เขาเคยคิดไว้ว่าจะพึ่งจางซูผู้เป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติเพื่อหาเงินได้อย่างมหาศาล ตอนนี้ เงินหาได้มาก็จริง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ให้คุ้ม เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มาจ้องตาเป็นมันแล้ว แถมยังต้องควักทุนสำรองออกมา และไปยืมเงินจากคนอื่นอีก! "ทีนี้มาพูดเรื่องช่างฝีมือกันเถอะ!" หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ "อย่ามาพูดเรื่องไปหาเอาจากกรมโยธาเลย แค่ช่างต่อเรือสองพันคนเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเรือรบสองพันลำ! ข้าอาจไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า" ไม่ยาก? ในใจหยุนลี่ด่าไม่หยุด นี่มันช่างต่อเรือที่มีการลงทะเบียนเอาไว้! ล้วนมีทะเบียนช่างฝีมืออยู่! ไม่ใช่พวกผู้อพยพสองพันคน! "หนึ่งพัน!" หยุนลี่พยายามระงับโทสะ "จะเคลื่อนย้ายคนที่มีทะเบียนช่างฝีมือเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย! การควบคุมช่างต่อเรืออาจไม่เข้มงวดเท่าช่างทำเกราะ แต่ถ้ามีทะเบียนติดตัว..."
ในห้องของหยุนเจิง เพิ่งจะจัดการความยุ่งเหยิงเรียบร้อย หยุนลี่ก็โผล่มาพอดี ในเวลานั้น หยุนเจิงเพิ่งจะตั้งตัวได้จากเรื่องวุ่นวายที่เกิดกับเจียเหยา "เจ้าหก เจ้าวางแผนได้ดีจริง!" หยุนลี่กำหมัดแน่น กัดฟันพูดว่า "ว่ามา เจ้าอยากได้อะไร?" หยุนลี่ไม่คิดจะอ้อมค้อมกับหยุนเจิง เจ้าสุนัขนี่วางแผนแบบนี้ก็เพื่อจะหาประโยชน์จากตนเองเท่านั้น หากมัวแต่เลี่ยงไปเลี่ยงมา คนที่ต้องเจ็บใจก็คือตัวเองอยู่ดี "พี่สาม ใจเด็ดดีจริง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง "เงินห้าล้านตำลึง กับช่างต่อเรืออีกสองพันคน!" "เจ้า..." หยุนลี่โกรธจนแทบระเบิด กัดฟันตะโกน "ทำไมเจ้าไม่ไปปล้นเอาเลยล่ะ?" เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! ยังแย่กว่าเดรัจฉานเสียอีก! เขารู้อยู่แล้วว่าหยุนเจิงต้องเรียกร้องมากแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ เงินห้าล้านตำลึง? ตนจะหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน? แม้จะมีจางซูผู้เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งโชคลาภช่วยหาเงิน แต่แม่เจ้า ก็ไม่ถึงขนาดนี้! ซั่วเป่ยก็ยกให้เขาไปแล้ว! เขายังมาอ้อมค้อมขอเงินและเสบียงจากราชสำนักอีก? ไม่สิ ต้องบอกว่าขอจากตนต่างหาก! เขาเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นปล่อยเจ้าหมอนี่ออกจากเมืองหล
เอาได้เท่าไรก็เท่านั้น หยุนเจิงหัวเราะเมื่อได้ยิน “เจ้าชอบว่าข้าว่าหน้าหนา แต่ดูเจ้าสิ ก็ไม่ได้บางไปกว่าข้าเลย!” เจียเหยาหัวเราะเบาๆ “ข้านี่แหละเรียนจากเจ้าไง?” “เช่นนั้นรบกวนเจ้าจ่ายค่าเล่าเรียนมาก่อนนะ” หยุนเจิงพูดพลางยื่นมือไปทางเจียเหยา เจียเหยาทำหน้างง ก่อนจะตบมือหยุนเจิงเบาๆ ทันทีที่มือของเจียเหยาสัมผัส ถูกลูกธนูหลายดอกยิงเข้ามาในห้องด้วยเสียง “ฟิ้ว ฟิ้ว” มีลูกธนูสองดอกที่ทะลุผ่านผ้าห่มด้านนอกมากระแทกบนโต๊ะ เกิดเสียง "ตึบ ตึบ" เจียเหยาตั้งใจจะพุ่งไปหยิบแส้ของนางที่ข้างเตียง แต่ถูกหยุนเจิงดึงตัวไว้ เจียเหยาเสียหลัก ล้มเข้าไปในอ้อมอกของหยุนเจิงทันที “ฟิ้ว ฟิ้ว…” ลูกธนูยังคงยิงเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง สองคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน เจียเหยาจ้องมองหยุนเจิงอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งสังเกตถึงสิ่งแปลกประหลาดก่อนจะถามด้วยใบหน้าแดงซ่าน “เจ้ายังพกของเล่นที่ทำไว้ให้ลูกติดตัวอยู่หรือ?” พูดจบ เจียเหยาก็คว้าสิ่งที่ดันตัวนางอยู่ พร้อมกระตุกมันออกมา นางอยากรู้ว่ามันคืออะไร ที่หยุนเจิงทำหล่นเมื่อคราวก่อน “อย่า…” หยุนเจิงพยายามห้าม แต
โต๊ะในห้องของเขาทั้งสองมีขนาดแค่นั้น ซ่อนตัวคนเดียวก็ดูกว้างขวางดี แต่พอซ่อนตัวสองคนหลังโต๊ะ ก็รู้สึกค่อนข้างแคบลง ในระยะนี้ หยุนเจิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเจียเหยาอย่างชัดเจน นางคงจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าใช่สบู่หอมหรือเปล่า หรือว่านางเหมือนเยี่ยจื่อ ที่ใส่กลีบดอกไม้จำนวนมากในอ่างอาบน้ำ หรือจะเป็นการอาบน้ำด้วยน้ำอบหอม? จู่ๆ ภาพเจียเหยาขณะอาบน้ำก็ผุดขึ้นมาในหัวของหยุนเจิง ทันใดนั้น หยุนเจิงรู้สึกเหมือนมีคนดึงตัวเขา จนถึงตอนนี้ หยุนเจิงถึงได้รู้สึกตัว หยุนเจิงหันศีรษะไป ก็เห็นเจียเหยาจ้องเขาด้วยสายตาสงสัย “อะไร? บนหน้าข้ามีดอกไม้หรือ?” หยุนเจิงถามด้วยสีหน้างงงวย “อะไร? ข้ากำลังอยากถามเจ้าว่ากำลังทำอะไรอยู่?” เจียเหยาหัวเราะเล็กน้อย “ข้าพูดกับเจ้านานแล้ว แต่เจ้าไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้ายังคิดว่าเจ้าถูกผีสิงเสียอีก!” “หา?” “เช่นนั้นหรือ?” หยุนเจิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ บ้าจริง! ยังไม่ทันถึงฤดูใบไม้ผลิเลย! เขานี่กำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่? หยุนเจิงรีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนพูดด้วยท่าทีจริงจัง “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดบางเรื่อง
เจียเหยาโกรธ “ข้าไม่ได้สงสัยว่าเจ้ามีสิ่งนั้นอยู่ในมือหรือไม่ ข้าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น!” “ข้าบอกให้เจ้าไป ก็ต้องไป!” หยุนเจิงจ้องเจียเหยาทีหนึ่ง “แม้ว่าเจ้าจะวิ่งกลับไป ถ้าสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี เจ้าก็ต้องวิ่งมาหาข้าอยู่ดี วิ่งไปวิ่งมานี่เจ้าไม่เหนื่อยหรือ? หรือเจ้าอยากทรมานตัวเองจนตายเพื่อแก้แค้นข้า?” “ข้า…” เจียเหยาอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ว่า คิดดูแล้วก็จริง หากสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี นางก็ต้องมาหาหยุนเจิงอยู่ดี คิดแบบนี้ การวิ่งไปมานั้นเหนื่อยมากจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไปดูเขาขยายช่องเขาหลางหยาก็น่าสนใจ “ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้า” เจียเหยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามด้วยสีหน้าล้อเลียน “เจ้ารู้สึกสงสารข้าหรือ?” “เจ้าอยากให้ข้าสงสารเจ้าหรือ?” หยุนเจิงถามกลับ “แน่นอน!” เจียเหยาตอบทันที “ถ้ามองในมุมของข้า ยิ่งเจ้าสงสารข้า ข้าและเป่ยหวนก็ยิ่งได้ประโยชน์” หยุนเจิงยักไหล่ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าสงสารเจ้าก็แล้วกัน อย่างไรเจ้าก็คิดอะไรก็ได้ที่ทำให้เจ้ามีความสุข” สงสารเจียเหยาหรือ? ก็มีอยู่เล็กน้อยแหล่ะ! ทว่าก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อรักษาอำนาจข่มขู่เจียเห
มีเรื่องต้องทำอีก?หยุนเจิงไม่กล้าจะเข้าหอกับนาง แล้วจะมีเรื่องอะไรอีก? “อย่าถามแล้ว รีบกินเถอะ! ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรกินแล้ว!” หยุนเจิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย เมื่อเห็นว่าหยุนเจิงไม่อยากพูดมาก เจียเหยาก็รู้ตัวและไม่ซักถามอีก “เจ้าไม่ดื่มกับข้าสักจอกจริงๆ หรือ?” เจียเหยาช้อนตาขึ้นมอง ใบหน้าฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย “นี่ก็คือสุรามงคลของเรา แม้จะเป็นเพียงพิธีผ่านๆ แต่สำหรับข้า นี่คืองานแต่งครั้งเดียวในชีวิต…” “เจ้าอย่ามายั่วข้าเลย” หยุนเจิงทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ข้านี่แหละเป็นคนที่แพ้ความงามที่สุด” “ข้ากลับหวังว่าเจ้าจะแพ้ความงามบ้าง” เจียเหยาหัวเราะเยาะตัวเอง “พูดตรงๆ เจ้าไม่ได้แค่ทำลายความมั่นใจในสนามรบของข้า แต่ยังทำให้ข้าหมดความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองด้วย” หยุนเจิงเอียงศีรษะมองเจียเหยาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “นี่เจ้าคิดจะใช้แผนแกล้งอ่อนล่อศัตรูหรือเปล่า?” “ใครกันที่ทำตัวอ่อนข้อให้เจ้า?” เจียเหยาฮึดฮัดเบาๆ อย่างขี้เล่น “เจ้าไม่คิดหรือว่าการแต่งงานครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดื่มสุราป้อนกัน มันน่าเสียดาย?” เสียดายหรือ? ก็น่าเสียดายจริงๆ อยา
พระราชโองการของจักรพรรดิเหวินมิได้แต่งตั้งให้หยุนเจิงเป็นเพียงฟู่โจวผู้ตรวจการมณฑลเท่านั้น แต่ยังประกาศจัดตั้งเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย เมื่อหยุนลี่อ่านพระราชโองการให้บรรดาขุนนางฟัง ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง การจัดตั้งเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือนั้นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก แม้จะยังไม่ได้ประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่ข่าวการจัดตั้งนั้นแพร่สะพัดออกไปนานแล้ว การประกาศครั้งนี้เป็นเพียงการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจวนี่มันอะไรกัน? หยุนเจิงก็เป็นทั้งเจ้าเมืองซั่วเป่ยและแม่ทัพใหญ่ประจำชาติอยู่แล้ว! ตอนนี้จักรพรรดิเหวินยังแต่งตั้งให้หยุนเจิงควบตำแหน่งฟู่โจวผู้ตรวจการมณฑลอีกหรือ? นี่บ้าหรือเปล่า? การแต่งตั้งให้หยุนเจิงเป็นผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจว เท่ากับว่าราชสำนักเปิดทางให้หยุนเจิงโดยสมบูรณ์เลยมิใช่หรือ? ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจักรพรรดิเหวินถึงตัดสินใจเช่นนี้ แต่เมื่อรวมกับท่าทีอ่อนแอของจักรพรรดิเหวิน ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติบางอย่าง “ลูกขอรับพระราชโองการด้วยใจขอบพระคุณ!” หยุนเจิงกล่าวรับพระราชโองการด้วยเสียงดัง “น้
วันถัดมา หยุนเจิงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจียเหยา ตามธรรมเนียม หยุนเจิงยังคงรีบไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวินเพื่อถวายพระพรในยามเช้า หลังจากได้พักผ่อนหนึ่งคืน สีพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเหวินที่ประทับอยู่ตรงนั้นยังคงดูมีพระอาการอ่อนล้า ถ้าไม่ใช่เพราะสายพระเนตรที่จักรพรรดิเหวินแอบส่งมา หยุนเจิงคงคิดว่าตาแก่คนนี้ประชวรจริงๆ ต้องยอมรับว่าตาแก่นี่เล่นละครได้เก่งจริงๆ จักรพรรดิเหวินไม่มีพระทัยมากนัก ตรัสเพียงไม่กี่ประโยคอย่างเป็นพิธี แล้วก็ส่งหยุนเจิงกลับไป หยุนเจิงถวายบังคมลา จากนั้นจึงนำขบวนใหญ่ไปยังที่พักชั่วคราวของเจียเหยาเพื่อรับตัวเจ้าสาว พิธีทั้งหมดเหมือนกับตอนที่เขาอภิเษกสมรสกับเสิ่นลั่วเยี่ยน แม้ว่าเจียเหยาจะไม่ได้เป็นพระชายาเอก แต่ครั้งนี้คือพิธีอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้น ขนาดของพิธีนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เขารับเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นชายาเสียอีก เมื่อมาถึงที่พักชั่วคราวของเจียเหยา ขุนนางกรมพิธีการกล่าววาจาเยิ่นเย้ออยู่พักใหญ่ จากนั้นหยุนเจิงจึงเชิญเจียเหยาขึ้นเกี้ยวใหญ่ที่เตรียมไว้ ด้านหน้าเกี้ยวมีทหารองครักษ์องอาจสง่ากำลังเป
ข้าไม่กล้ามอบต้าเฉียนให้กับเจ้า และไม่อาจให้เจ้าด้วย! ด้านนอกห้องหยุนลี่แสดงความกังวลอย่างหนัก ถามไถ่หมอหลวงถึงอาการของจักรพรรดิเหวิน หมอหลวงสีหน้าลำบาก ตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง "ฝ่าบาทชีพจรผิดปกติ มีไฟในหัวใจล้นหลาม กระหม่อมวินิจฉัยโรคของฝ่าบาทไม่ได้ และไม่กล้าจ่ายยาโดยสะเปะสะปะ..." หยุนลี่โกรธจัด แววตาเย็นชาเปล่งประกาย "เจ้าเป็นหมอหลวงประเภทไหนกัน? ถึงไม่รู้ว่าเสด็จพ่อป่วยเป็นโรคอะไร?" "กระหม่อมไร้ความสามารถ..." เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหมอหลวง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง หยุนลี่ยิ่งโมโหจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งเป็นองค์รัชทายาท เขาหวังเพียงให้จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็วเพื่อเขาจะได้ครองราชย์โดยราบรื่น แต่ตอนนี้ เขาต้องการให้จักรพรรดิเหวินยังมีชีวิตอยู่! เพราะตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังอยู่ หยุนเจิงก็จะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย! "ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีใด แต่ต้องรักษาเสด็จพ่อให้หาย!" หยุนลี่พยายามควบคุมสติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมมองไปที่หมอหลวง "หากรักษาเสด็จพ่อไม่ได้ เจ้าก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่!"