แม้ตระกูลซูในเวลานี้จะดำเนินการเช่นนี้โดยดูเหมือนไม่มีปัญหาใดๆ แต่ซูฮ๋วยหย่วนกลับรู้สึกไม่สู้ดีหากหยุนเจิงเป็นท่านอ๋องที่เมตตา หรือเป็นเพียงองค์ชายที่ไม่มีอำนาจทหาร แผนการนี้ย่อมใช้ได้ผลอย่างแน่นอนแต่เป็นที่น่าเสียดาย หยุนเจิงเป็นท่านอ๋องที่กุมกำลังทหารนับแสน!หากใช้วิธีนี้กับหยุนเจิง เกรงว่าจะเกิดผลตรงกันข้ามตระกูลซูมีผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางอยู่มากมาย ใครบ้างจะรับประกันได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน?อย่าว่าแต่ผู้อื่น เอาแค่ตัวเขาเองก็เถอะแม้เขาจะไม่ได้กระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็ใช้อำนาจหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กิจการของตระกูลซูไม่น้อยหากหยุนเจิงคิดจะตรวจสอบขึ้นมา เกรงว่าผู้ที่ลาออกจากราชการในตระกูลซูอาจยากจะรักษาตัวรอดท่านอ๋องที่สามารถล้มล้างแว่นแคว้นได้ ย่อมไม่มีทางไร้ความเด็ดขาดถึงเพียงนี้พวกเขาคงมิได้คิดว่าหยุนเจิงเป็นนักพรตผู้เคร่งศีลหรอกกระมัง?หากหยุนเจิงต้องการสอบสวนขุนนางตระกูลซูว่ามีการคดโกงหรือไม่ เช่นนั้นพวกเขาจะกล้าลอบสังหารหยุนเจิงกระนั้นหรือ?“เขาไม่กล้าแตะต้องคนของตระกูลซูแน่!”ซูเฮ่อเหนียนกล่าวด้วยความมั่นใจ “เว้นเสียแต่ว่า เขาอยากจุดชนวนให้เกิ
พวกเขาอยากอยู่ร่วมกันโดยสันติ แต่ไม่แน่ว่าหยุนเจิงจะคิดเช่นเดียวกัน!“ข้าแนะนำให้พวกท่าน ทั้งเจ็ดผู้อาวุโสควรหารือกันให้ดี!”ซูฮ๋วยหย่วนทอดถอนใจเบาๆ “พวกเราต้องการปกป้องตนเองก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ควรแสดงไมตรีต่อหยุนเจิงบ้าง! อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้หยุนเจิงเข้าใจผิด คิดว่าพวกเรากำลังท้าทายอำนาจเขา!”การปกป้องตนเองและการแสดงไมตรี ไม่ใช่เรื่องที่ขัดแย้งกันแต่อย่างใดแท้จริงแล้ว การแสดงไมตรีก็คือวิธีหนึ่งของการปกป้องตนเอง!เมื่อได้ฟังคำของซูฮ๋วยหย่วน ซูเฮ่อเหนียนก็พลันตกอยู่ในห้วงความคิดแสดงไมตรีต่อหยุนเจิงก่อนงั้นหรือ?อืม เรื่องนี้ก็ควรนำไปหารือกันให้รอบคอบอย่างไรเสีย ก็ไม่ควรปล่อยให้หยุนเจิงเข้าใจผิด คิดว่าตระกูลซูกำลังท้าทายอำนาจเขาอย่างไรก็ต้องให้เกียรติทหารใต้บัญชาของหยุนเจิงที่มีหลายแสนคนบ้าง!…“คนของตระกูลซูแห่งจวีผิงงั้นหรือ?”ขณะที่หยุนเจิงกำลังนำคนตรวจสอบที่ดินหลวงในเมืองฟู่โจว ทัวฮวนก็ส่งคนมารายงานว่า ตระกูลซูแห่งจวีผิงส่งตัวแทนมาขอเข้าพบที่จวนผู้ตรวจการมณฑล“ใช่ขอรับ”ผู้มาเยือนพยักหน้า “ผู้ที่มาคือซูเฮ่อเหนียนและบุตรชายของเขา ซูเฮ่อเหนียนเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้
ณ จวนผู้ตรวจการมณฑล ฟู่โจวพ่อลูกซูเฮ่อเหนียนเดินทางมาถึงจวนผู้ตรวจการมณฑลตั้งแต่ช่วงเที่ยง แต่จนฟ้าเกือบมืด หยุนเจิงก็ยังไม่ปรากฏตัวหยุนเจิงไม่เพียงแค่ไม่ปรากฏตัว แต่หลังจากช่วงแรกผ่านไป ก็ไม่มีแม้แต่ผู้ใดมาเติมน้ำชาให้หรือกล่าวต้อนรับความรู้สึกถูกเมินเฉยเช่นนี้ ทำให้ซูเฮ่อเหนียนซึ่งเคยชินกับการได้รับการต้อนรับอย่างแขกผู้มีเกียรติรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเขาเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้อาวุโสของตระกูลซู อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าตระกูลซู!ไปที่ใดก็ได้รับการยกย่องเป็นแขกคนสำคัญหากมิใช่เพราะหยุนเจิงมีอำนาจสูงส่ง ซูเฮ่อเหนียนคงปัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปนานแล้วเมื่อเห็นบิดาเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ซูฮ๋วยหย่วนจึงรีบกระซิบเตือน “ท่านพ่อ ในเมื่อพวกเรามาแล้ว ก็ต้องลดทิฐิลงบ้าง! ต่อหน้าท่านอ๋องผู้นี้ พวกเรายังมีหน้าจะวางท่าอวดเบ่งได้หรือ...”ซูฮ๋วยหย่วนได้แต่ทอดถอนใจในใจเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลซู ล้วนเคยชินกับการมีอำนาจอิทธิพลจนไม่อาจทนต่อการถูกลดเกียรติได้แม้แต่น้อยแต่พวกเขาไม่ดูบ้างเลยหรือว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด!ลองดูทัวฮวนสิ! เขาเคยเป็นมหาเสนาบดีแห่งแคว้นกุ่ยฟางเชียวนะ!แต่ตอนนี้เล่า?
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เขาแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว!หยุนเจิงครุ่นคิดเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความสนใจว่า "ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ หวังว่าท่านทั้งสองจะช่วยข้าไขข้อข้องใจได้""ท่านอ๋องเชิญกล่าว"สีหน้าของซูเฮ่อเหนียนดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยท่านอ๋องผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากอย่างที่คิดแม้ก่อนหน้านี้จะได้รับการต้อนรับที่ไม่สู้ดีนัก แต่หลังจากท่านอ๋องเสด็จมา ก็ยังถือว่าปฏิบัติตามมารยาทอย่างเหมาะสมอย่างน้อย ท่านอ๋องก็ไม่ได้วางท่าถือตัวเลยหยุนเจิงหรี่ตาเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า "ข้าได้ยินมาว่าบรรดาขุนนางที่ลาออกจากฟู่โจว ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซู ข้าอยากรู้ว่าทำไมพวกเขาจึงพร้อมใจกันลาออก?"สุดท้ายก็ยังคงต้องถามเรื่องนี้จนได้ซูเฮ่อเหนียนยิ้มแห้งๆ ก่อนตอบว่า "กระหม่อมไม่กล้าปิดบังท่านอ๋อง จริงๆ แล้วบรรดาบุตรหลานของตระกูลซูที่รับราชการอยู่ภายนอก ต่างก็ยื่นหนังสือลาออกถึงราชสำนักกันทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ"เรื่องนี้เขาไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังหยุนเจิง"ยื่นลาออกกันทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?"หยุนเจิงมองไปที่ซูฮ๋วยหย่วนด้วยความประหลาดใจ "เช่
การพบปะครั้งนี้ คงพูดได้ไม่เต็มปากนักว่าราบรื่นหรือเป็นที่น่าพึงพอใจหากหยุนเจิงไม่พูดถึงเรื่องการแบ่งภาษีตามที่ดิน การให้ตระกูลซูเพิ่มจำนวนเสบียงสำหรับทหารเป็นสองเท้าก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ท่าทีที่แข็งกร้าวของหยุนเจิงในเรื่องภาษีใหม่นั้น กลับทำให้ซูเฮ่อเหนียนไม่สบายใจอย่างยิ่งสุดท้าย ซูเฮ่อเหนียนกับบุตรชายก็ออกจากจวนผู้ตรวจการมณฑลโดยไม่ได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารค่ำ"เจ้าพอใจแล้วใช่หรือไม่?" เมื่อออกจากจวนผู้ตรวจการมณฑลได้ไม่นาน ซูเฮ่อเหนียนก็ระบายอารมณ์ใส่บุตรชายทันทีซูฮ๋วยหย่วนเองก็ไม่ต่างกัน อารมณ์ไม่สู้ดีนักเขามองสบสายตาพ่อที่เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองว่า "เรื่องภาษีใหม่นี่ไม่ใช่ข้าทำขึ้นมาเองเสียหน่อย! ท่านจะโมโหทำไม ถ้าจะโมโห ทำไมไม่โมโหใส่หยุนเจิงล่ะ?""เจ้า..."ซูเฮ่อเหนียนโกรธจัด ยกมือขึ้นเตรียมจะฟาดลงไปที่ใบหน้าของบุตรชายแต่สุดท้ายก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลดมือลงโดยไม่ทำอะไรในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว การโต้เถียงกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์สิ่งสำคัญในตอนนี้คือรีบกลับไปยังจวีผิง แจ้งข่าวเรื่องภาษีใหม่ให้คนในตระกูลรับรู้ และปรึกษากันถึงแนวทางรับม
"มืออ่อนกับพวกเรา? เจ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างนั้นหรือ?"ซูเฮ่อเหนียนหัวเราะเย็นๆ "ตระกูลซูของเราเป็นตัวอย่างชัดเจน! ต่อให้เขาใจอ่อนกับใคร ก็ไม่มีทางใจอ่อนกับตระกูลซู! ไม่เช่นนั้น เขาจะทำให้ผู้อื่นยอมรับได้อย่างไร?"ซูเฮ่อเหนียนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีการหวังให้หยุนเจิงเห็นแก่เสบียงเล็กน้อยที่มอบให้ แล้วใจอ่อนกับตระกูลซูนั้น เป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างสิ้นเชิงมันก็เหมือนกับการที่เจ้าจะลงโทษคนร้ายจะไม่ลงโทษตัวการหลัก แต่กลับลงโทษแค่พวกตัวรองหรือ?ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของซูเฮ่อเหนียน ซูฮ๋วยหย่วนก็อ้าปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้เขาจะไม่อยากยอมรับ แต่คำพูดของซูเฮ่อเหนียนก็เป็นความจริงตระกูลซูเป็นเป้าหมายที่เด่นชัดเกินไปต่อให้หยุนเจิงผ่อนปรนกับใคร เขาก็ไม่มีทางผ่อนปรนกับตระกูลซูเรื่องนี้ช่างเป็นปัญหาใหญ่เสียจริง!..."ท่านอ๋อง ท่านแน่ใจหรือว่าจะผลักดันระบบภาษีใหม่?"ภายในจวนผู้ตรวจการมณฑล จี้หรานเอ่ยถามหยุนเจิงด้วยความเป็นกังวล"ทำไม เจ้าก็ไม่เห็นด้วยกับภาษีใหม่นี้หรือ?"หยุนเจิงยิ้มมองจี้หราน"ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสนับสนุนการแบ่งภ
เมืองหลวงตั้งแต่ที่จักรพรรดิเหวินมอบอำนาจให้หยุนลี่ดูแลราชการแทน พระองค์ก็แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองอีกเลยในแต่ละวัน จักรพรรดิเหวินมักจะเล่นไพ่นกกระจอกกับสนมในวัง เพลิดเพลินกับการชมการร่ายรำของพวกนาง หรือไม่ก็ไปตามจวนของบรรดาเจ้าขุนมูลนายเพื่อหาของกินและดื่มจักรพรรดิเหวินไม่ได้ลำเอียง บ้านของขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด พระองค์ก็ไปหมดบางครั้ง จักรพรรดิเหวินยังพาสวีฮองเฮาและสนมคนอื่นๆ ติดตามไปด้วยจักรพรรดิเหวินอาจจะสบายใจ แต่บรรดาขุนนางต่างลำบากใจไม่น้อยการต้อนรับจักรพรรดิเหวินอย่างน้อยต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึง หากพระองค์พาสนมมาด้วย หรือเกิดนึกสนุกขึ้นมาเล่นไพ่นกกระจอกกับขุนนางในจวน เงินที่ต้องจ่ายอาจสูงถึงหลักพันหรือหลักหมื่นตำลึงถ้าปีหนึ่งจักรพรรดิเหวินมาที่จวนเพียงครั้งเดียว ทุกคนยังถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณแต่ผ่านไปสามวันสี่วันจักรพรรดิเหวินก็นำคนมาอีก ขุนนางที่ไหนเล่าจะทนไหว?หลายคนเริ่มสงสัยว่าจักรพรรดิเหวินกำลังประสบปัญหาทางการเงินหรือไม่ ถึงต้องมาอาศัยกินอาศัยดื่มที่จวนของพวกเขา พร้อมทั้งหากำไรจากการเล่นไพ่เพื่อเติมเต็มคลังหลวงคนเดียวที
จักรพรรดิเหวินยังคงแสดงความมั่นใจเต็มเปี่ยม “เรื่องการศึก ข้าอาจจะไม่ถนัดนัก แต่ในเรื่องอุบายและการควบคุมอำนาจ เจ้าสามกับพวกของเขารวมกัน ข้าก็ไม่เห็นจะต้องสนใจอะไรเลย!”เมื่อเห็นจักรพรรดิเหวินมั่นใจถึงเพียงนี้ ฉินลิ่วก่านก็ไม่อยากพูดอะไรต่ออีกเอาเถอะ!อย่างไรเสีย เจ้าหกก็ยังเป็นหลักประกันให้พระองค์ได้ถ้าเขาจะเล่นก็ให้เล่นไปเถอะ!หลังจากอาศัยทานอาหารที่จวนฉินลิ่วก่านเสร็จ จักรพรรดิเหวินก็เดินทางกลับวังหลวงอย่างสบายใจทันทีที่พระองค์กลับมาถึงตำหนัก มู่ซุ่นก็รีบเดินเข้ามารายงานทันที “ถวายบังคับฝ่าบาท องค์ชายหกได้ส่งสาสน์มาจากฟู่โจว พร้อมกับสุราดีหนึ่งไหและจดหมายอีกหนึ่งฉบับ”เมื่อพูดจบ มู่ซุ่นก็ส่งสัญญาณให้ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังนำไหสุราเข้ามา ก่อนจะส่งจดหมายของหยุนเจิงให้จักรพรรดิเหวินจักรพรรดิเหวินเปิดจดหมายอ่าน ใบหน้ากระตุกเล็กน้อยเจ้าลูกอกตัญญูนี่!ถึงกับส่งสุราดองของเสือมาให้ข้าเลยหรือ?ทำไม นี่คิดว่าข้าแก่แล้วหรือไร?ข้าไร้สมรรถภาพแล้ว?ลูกเวร!จักรพรรดิเหวินทั้งโกรธทั้งขำ แต่สายตาที่มองสุราดองของเสือกลับเต็มไปด้วยความลังเลขณะที่พระองค์กำลังคิดว่าจะลองดื่มสุร
“เช่นนี้หรือ…”หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเลาะไปตามแนวสันเขาของหุบเขาเมี่ยวอินและคนอื่นๆ ติดตามอยู่ไม่ห่างพวกเขาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จึงไปถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันตกของหุบเขาจากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของทั้งหุบเขาได้อย่างชัดเจนหุบเขาแห่งนี้กว้างใหญ่ รอบด้านล้อมด้วยแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนภายในหุบเขายังมีร่องรอยถูกเหยียบย่ำเป็นวงกว้าง คาดว่าเป็นรอยที่จ้าวจี๋และกองทัพของเขาทิ้งไว้เมื่อครั้งมาตั้งค่ายที่นี่หยุนเจิงกวาดตามองทั่วบริเวณคร่าวๆ ก็พบว่าหุบเขาแห่งนี้เหมาะสมกับการใช้เป็นสถานที่ตั้งสถาบันวิจัยยุทโธปกรณ์อย่างมากเพียงแต่ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ที่นี่อยู่ห่างจากติ้งเป่ยมากเกินไปเขาคงไม่สามารถเดินทางมาที่นี่บ่อยๆ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพวกช่างฝีมือได้อย่างไรก็ตาม งานพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ ต่อให้เขาคิดค้นแนวคิดใหม่ๆ ได้มากมาย สุดท้ายแล้วก็ยังต้องพึ่งพาฝีมือของพวกช่างเป็นหลัก เขาเป็นเพียงคนที่ให้แนวทางและแนวคิดเท่านั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็หันไปสั่งหวังเหิง “ไป นำทางข้าไปดูที่ลำธารสายเล็ก
เช้าตรู่ เสิ่นควานและพวกก็เริ่มวุ่นวายกันแล้วผู้ที่ดูแลม้าก็รีบให้อาหารม้า ผู้ที่ดูแลอาวุธก็รีบตรวจสอบอาวุธเพียงแค่ดูจากท่าทางของพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่า วันนี้หยุนเจิงจะต้องออกเดินทางแน่นอนอวี๋ฝู กำลังจัดการงานภายในจวนอ๋องอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนที่เสิ่นควานส่งมาตามตัว “พ่อบ้านอวี๋ แม่ทัพเสิ่นให้เจ้าช่วยเตรียมถั่วเลี้ยงม้าสองหาบ พวกเราจะนำไปด้วยในภายหลัง”ถั่วเลี้ยงม้า?อวี๋ฝูอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ได้ๆ ข้าจะสั่งให้คนเตรียมให้เดี๋ยวนี้! ท่านอ๋องจะเดินทางไกลรึ? สองหาบถั่วเลี้ยงม้าจะพอหรือ?”เขารู้ดีว่า หากต้องเดินทางไกล จำเป็นต้องมีถั่วเลี้ยงม้าเพื่อช่วยเพิ่มพละกำลังให้กับม้าแต่แค่สองหาบมันนับเป็นอะไรได้?เพียงแค่กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงก็มีกว่าสองพันนาย!คงจะไม่แบ่งกันแค่คนละหนึ่งถึงสองกำมือก็หรอกนะ?กองทหารองครักษ์ที่มารับคำสั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับว่า “แม่ทัพเสิ่นให้เตรียมสองหาบ ก็คงพอแล้ว”“ก็ได้!”อวี๋ฝูพยักหน้า “แต่ถ้าหากไม่พอ ก็บอกข้าล่วงหน้า ข้าจะได้ให้คนเตรียมเพิ่มเติม”“เข้าใจแล้ว!”กองทหารองครักษ์รับคำ ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินจากไปอวี๋ฝูมอง
แม้ว่าทุกคนในจวนอ๋องจะไม่ได้ถือว่าซินเซิงเป็นคนนอก แต่ไม่ว่าอย่างไร ซินเซิงก็เป็นเพียงสาวรับใช้ใหญ่หยุนเจิงอาจไม่ใส่ใจเรื่องยศศักดิ์ฐานะ แต่ซินเซิงกลับไม่อาจไม่ใส่ใจได้!เมื่อได้ยินคำของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงถึงกับหมดคำพูดส่วนซินเซิงใบหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนก “บ่าวไม่กล้าเพคะ!”“พอเถิด ข้าเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มพลางรับตัวหยุนชางจากมือซินเซิง “ชางเอ๋อร์คงหิวแล้ว ข้าจะให้นมเขา เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”“บ่าวขอตัวเพคะ!”ซินเซิงกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเดินออกไปด้วยท่าทางคล้ายกับหนีเอาตัวรอดเมื่อเห็นท่าทีของซินเซิง เสิ่นลั่วเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ นางอุ้มหยุนชางนั่งลงให้นมเด็กน้อย ก่อนจะหันไปเย้าแหย่หยุนเจิง “เจ้ามิได้คิดจะรับนางเข้าห้องหอจริงๆ หรือ?”“…”หยุนเจิงหมดคำพูด “เจ้าถึงกับหวังให้ข้ารับนางขนาดนั้นเลยหรือ?”พูดตามตรง หยุนเจิงไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นกับซินเซิงมาก่อนด้านหนึ่งก็เพราะตอนที่เขาซื้อนางเข้าจวนมา นางยังเด็กนัก จึงมองนางเป็นเหมือนน้องสาวมากกว่าอีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาพบพานหญิงงามมามากมายอีกด้านหนึ่งหากพูดถึ
เมื่อพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนสามคนเข้ามาแล้ว จวนอ๋องนี้ก็มีนายหญิงเสียทีแน่นอนว่าหลังจากพวกนางมาถึง หยุนเจิงก็ยิ่งเพิ่มมาตรการป้องกันให้กับจวนอ๋องมากขึ้นตกค่ำ หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยล้า หยุนเจิงแม้จะกระหายมานาน แต่ก็เกรงใจเกินกว่าจะรบกวนเสิ่นลั่วเยี่ยนและเยี่ยจื่อที่เดินทางไกลมา จึงคว้าตัวเมี่ยวอินมาจัดการเสียแทนดีที่เมี่ยวอินเกิดมาพร้อมความอ่อนหวานเย้ายวน สามารถรับมือกับหยุนเจิงได้อย่างทัดเทียมรุ่งเช้า เมื่อหยุนเจิงตื่นขึ้นมา เมี่ยวอินยังคงหลับใหลมองดูหญิงงามในห้วงนิทรา หยุนเจิงอดมิได้ที่จะเกิดความเอ็นดูขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงจุมพิตเบาๆบนแก้มงามของเมี่ยวอิน“อืม…”เมี่ยวอินส่งเสียงครางแผ่วเบาแฝงความเย้ายวน พลางพึมพำอย่างสะลึมสะลือ “ไม่เอาแล้ว…เจ้าไปหาเสิ่นลั่วเยี่ยนหรือเยี่ยจื่อเถอะ! ไม่อย่างนั้นก็ไปหาซินเซิงนั่นก็ได้…”ได้ยินเช่นนี้ หยุนเจิงถึงกับหมดคำพูดหรือว่าแม้แต่ในยามหลับ เมี่ยวอินก็ยังคงคิดว่าเขากำลังประลองฝีมืออยู่หยุนเจิงหัวเราะเบาๆมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแต่งกายให้เรียบร้อยทันทีที่ออกจากห้อง ก็พบว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังฝึกยุทธ์อยู่ในลานเรือ
หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสั่งให้คนไปเรียกอวี๋ฝูมา “พระชายาอ๋อง กล่าวว่าพวกเราไม่ได้พักอยู่ที่นี่บ่อยนัก การมีข้ารับใช้มากเกินไปในจวนอ๋อง ก็ไม่ใช่เรื่องดี! เช่นนี้แล้ว เจ้าจงคัดเลือกข้ารับใช้ที่มีไหวพริบดีสักห้าคนให้อยู่ต่อ ส่วนที่เหลือ แจกเงินให้คนละห้าตำลึง แล้วปล่อยพวกเขาไปเถอะ!”เมื่อจำนวนคนลดลง การจับตาดูก็จะง่ายขึ้นก่อนหน้านี้มีข้ารับใช้มากมาย หากต้องจับตาทุกคน คงเป็นเรื่องยากไม่น้อยอวี๋ฝูตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมา ก็กระวนกระวายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง จะให้เหลือเพียงห้าคนเท่านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? จะให้ข้าเก็บไว้มากกว่านี้อีกหน่อยดีหรือไม่?”“เก็บไว้มากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์”หยุนเจิงส่ายหน้า “ครั้งนี้พวกเราจะพักอยู่ที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจวนนี้ก็จะถูกปล่อยว่างเป็นส่วนใหญ่ ขอแค่มีคนดูแลทำความสะอาดก็เพียงพอแล้ว”อวี๋ฝูได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโค้งคำนับกล่าวว่า “ข้าน้อยขอขอบพระคุณในพระกรุณาธิคุณแทนพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางยิ้ม “อย่าขอบคุณข้า หากจะขอบคุณ ก็ไปขอบคุณ พระชายาอ๋องเถอะ”“ขอบพระคุณพระชายาอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”อวี๋ฝูรีบหันไปโค้ง
เมื่อได้รับฟังเรื่องราวจากสตรีทั้งสาม หยุนเจิงก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับพวกที่ดักซุ่มโดยตรงขณะเดินทางมาถึงบริเวณที่ศัตรูวางกับดัก หน่วยสำรวจเส้นทางของพวกเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ และตระหนักว่าสถานที่นั้นเหมาะสำหรับซุ่มโจมตี จึงรีบออกไปตรวจสอบเมื่อพวกเขาเคลื่อนเข้าไปใกล้ กลุ่มคนที่แฝงตัวอยู่เพิ่งจะล่าถอยไปไม่นาน ร่องรอยบนพื้นดินยังดูสดใหม่ทหารของพวกเขารีบไล่ติดตามไปทันที แต่ก็พบเพียงไม่กี่คนที่ล้าหลังอยู่ไกลๆ ในมือของพวกนั้นยังถือหน้าไม้กำลังสูง ดูจากอาวุธและอุปกรณ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกมันได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีคนเหล่านั้นล่าถอยไปอย่างเด็ดขาด ในที่สุดฝ่ายของหยุนเจิงก็ไม่สามารถไล่ตามทันจากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ ณ จุดซุ่มโจมตี คาดการณ์ได้ว่าพวกที่ซุ่มอยู่นั้นน่าจะมีประมาณหนึ่งร้อยคน และที่แน่ๆ พวกมันเป็นนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะก่อนหน้านี้ เนื่องจากอยู่ต่อหน้าข้ารับใช้ในจวนอ๋อง เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงไม่สะดวกกล่าวถึงเรื่องนี้ตรงๆ นางจึงโกหกว่าระหว่างทางไม่ได้พบเจอเรื่องใด“หน้าไม้กำลังสูง?”หยุนเจิงขมวดคิ้ว “ดูจากลักษณะแล้ว คงเป็นฝีมือ
ทัวฮวนและจี้หรานรับคำสั่งจากหยุนเจิง“พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปหัวเมืองสี่ทิศแล้ว ที่นี่ขอฝากให้พวกเจ้าดูแลแทนก่อน”หยุนเจิงกล่าวพลางมองไปที่จี้หราน “เจ้ารู้เรื่องของฟู่โจวดีที่สุด เจ้าต้องช่วยทัวฮวนให้เต็มที่”จี้หรานพยักหน้า เรื่องนี้หยุนเจิงเคยบอกกับเขามาก่อนแล้วทัวฮวนจะเป็นคนที่รับผิดชอบดูแลฟู่โจวโดยแท้จริง ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ช่วยส่วนอนาคตของเขาจะได้รับความสำคัญจากหยุนเจิงหรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับการแสดงฝีมือในครั้งนี้หลังจากนั้น หยุนเจิงกำชับอีกสองสามเรื่อง จึงให้ทั้งสองคนไปพักผ่อนรุ่งเช้า หยุนเจิงก็นำคนออกเดินทางไปหัวเมืองสี่ทิศในขณะเดียวกัน คำสั่งให้บังคับใช้ระบบภาษีใหม่ก็ถูกส่งไปยังทุกมณฑลในฟู่โจว บนถนนหนทางในจิงหยางฝู่เต็มไปด้วยประกาศของทางการ และยังมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายความหมายของภาษีตามที่ดินให้กับชาวบ้านที่อ่านไม่ออกสำหรับเหล่าราษฎรที่ไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย ระบบภาษีใหม่เปรียบเสมือนข่าวดีจากสวรรค์โดยแท้แต่สำหรับชนชั้นที่ครอบครองที่ดินเป็นจำนวนมาก ระบบภาษีใหม่นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการพรากชีวิตของพวกเขาเลยเมื่อข่าวเรื่องภาษีตามที่ดินแพร่กระจายในฟู่โ
จนกระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุด หยุนเจิงก็ยังไม่ปรากฏตัวแรงกดดันที่ควรมี เขาได้มอบให้กับเหล่าขุนนางไปแล้วส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้ทัวฮวนและจี้หรานเป็นคนจัดการ“ท่านอ๋อง ท่านจะไม่ไปตรวจดูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เสิ่นควานที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างหยุนเจิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“มีอะไรให้ต้องดูอีกเล่า?” หยุนเจิงส่ายหน้าพลางยิ้ม “เมื่อมีลูกน้องก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ ถ้าทุกเรื่องต้องทำเองหมด ข้าคงเหนื่อยตายก่อน!”“จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นควานหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนฮูหยินจื่อก็เพราะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถึงได้ล้มพับไปทีหนึ่ง”เมื่อเอ่ยถึงเยี่ยจื่อ หยุนเจิงจึงถามขึ้นทันที “แล้วพระชายาอ๋องกับคณะจะถึงหัวเมืองสี่ทิศเมื่อใด?”“คาดว่าราวสองหรือสามวันนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นควานตอบ “เมื่อวานเพิ่งมีข่าวมาว่าพวกนางข้ามด่านเป่ยลู่มาแล้ว แม้การเดินทางจะช้าหน่อย แต่ไม่เกินสามวันต้องถึงหัวเมืองสี่ทิศแน่”เช่นนั้นหรือ?หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เราออกเดินทางไปหัวเมืองสี่ทิศกันเถอะ”“หา?” เสิ่นควานตกตะลึง “ไปเลยหรือ? แล้วเรื่องที่นี่ไม่ต้องสนใจแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ตอนนี้เป็นช่วงสำคัญ
ซูหานซงขมวดคิ้วและถามจี้หราน “ใต้เท้าจี้ เรื่องสำคัญที่ท่านพูดถึงคือเรื่องอะไร?”เมื่อเขาถามขึ้น ขุนนางที่เหลือต่างก็เร่งถามตามไปด้วยหยุนเจิงทำเช่นนี้ ใครมันจะมีความอยากอาหารได้เล่า!ทุกคนต้องการรู้โดยเร็วว่าเรื่องสำคัญที่จี้หรานพูดถึงคืออะไรเมื่อได้ยินเสียงถามรอบข้าง จี้หรานก็หันไปมองทัวฮวนด้วยท่าทางลำบากใจ “ในเมื่อทุกคนอยากรู้ขนาดนี้ ใต้เท้าทัวฮวน ท่านคิดว่าเราควรบอกพวกเขาก่อนหรือไม่?”ทัวฮวนยิ้มเบาๆ “ก็บอกพวกเขาเถอะ!”จี้หราน “เชิญท่านใต้เท้าเป็นคนพูดเถอะ”ทัวฮวนส่ายหน้าและหัวเราะ “เจ้าเป็นคนบอกเถอะ ข้าเองก็แค่คนที่จะต้องรับความผิดแทนเท่านั้น!”รับความผิดแทนอย่างนั้นหรือ?เมื่อได้ยินคำพูดของทัวฮวน ทุกคนก็พากันหันมองด้วยความแปลกใจทัวฮวนหมายความว่าอย่างไร?เขายอมรับความผิดแทนหยุนเจิงอย่างนั้นหรือ?หรือว่า หยุนเจิงตั้งใจจะจัดการพวกเขาทั้งหมดแล้วโยนความผิดให้ทัวฮวน?นี่...มันจะเปิดเผยขนาดนั้นเชียวหรือ?“ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเป็นคนพูดเองก็แล้วกัน!”จี้หรานถอนหายใจ ก่อนจะหยิบหนังสือคำสั่งจากราชสำนักออกมา และกล่าวเสียงดัง “ราชสำนักต้องการปฏิรูประบบภาษี และได้ส