หยุนเจิงไม่ชอบให้ใครมาต่อรองกับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ชอบเจียเหยาให้มาต่อรองกับเขาเจียเหยาทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหยุนเจิง แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องเสบียงที่สามส่วน ข้ายอมตามเจ้า ส่วนอาวุธ ชุดเกราะ และม้าที่เรายึดได้จากที่นั่น เจ้าเอาไปห้าส่วน...”หยุนเจิงขมวดคิ้ว เตรียมจะปฏิเสธ แต่เจียเหยาก็รีบขัดขึ้นมา “อย่าเพิ่งปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”“ได้ พูดมา!”หยุนเจิงฮึเบาๆ “ข้าจะดูว่าเจ้าจะโน้มน้าวข้าได้อย่างไร”เจียเหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าไกลโพ้น สีหน้าเรียบเฉยพลางพูดว่า “ม้าที่ข้าให้เจ้าห้าส่วน ข้ารับรองว่าทุกตัวไม่มีบาดแผล! ชุดเกราะและอาวุธ ส่วนที่สมบูรณ์ข้าให้เจ้าไปทั้งหมด ของที่ชำรุดเสียหายจะเก็บไว้กับเราเอง”อ้อ?ยังมีข้อเสนอแบบนี้ด้วย?หยุนเจิงแปลกใจเล็กน้อยให้ม้าที่ไม่มีบาดแผลทั้งหมด?เงื่อนไขนี้ของเจียเหยา ดูน่าสนใจทีเดียว!ทว่า แบบนี้ไม่เหมือนนิสัยของเจียเหยาเลยสักนิด!หยุนเจิงคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและถามว่า “เจ้าแอบซ่อนของที่ยึดมาไว้เองหรือไม่?”เจียเหยาหันมามองเขา “พวกเจ้ายังมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น เจ้าว่าพวกเราจะแอบซ่อนของได้หรือ?”“ของที่ได้ม
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่
ค่ำคืนนั้น หยุนเจิงเรียกอวี่ซื่อจงและชวีจื้อเข้ามาในกระโจมเพื่อสั่งการระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เสียงองครักษ์ด้านนอกดังขึ้นว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงเจียเหยาขอเข้าเฝ้า”เจียเหยา?หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยตัวเขาเพิ่งคุยกับเจียเหยาไปเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?นางมาหาตนอีกทำไมกัน?ข้าให้เสบียงไปมากมายแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก?หรือว่านางจะมาเล่นบทเศร้า หรือใช้เรือนร่างอันงดงามของนางมาทดสอบจิตใจข้า?เมื่อเห็นหยุนเจิงเงียบไป อวี่ซื่อจงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาคุยกันอีกทีภายหลังดีไหม?”“ไม่ต้องสนใจ เรามาคุยกันต่อ”หยุนเจิงโบกมือ และพูดกับองครักษ์ด้านนอกว่า “ข้ามีธุระ ให้มาหาข้าทีหลัง!”“ขอรับ!”หยุนเจิงเลิกคิดฟุ้งซ่าน และสั่งการอวี่ซื่อจงกับชวีจื้อต่อเขายังต้องไปที่ด่านเทียนฉง งานเกี่ยวกับการถอนทัพที่นี่ จึงต้องฝากให้อวี่ซื่อจงและชวีจื้อเป็นผู้รับผิดชอบด้านนอกกระโจม เจียเหยาไม่ได้จากไป แต่ถอยออกไปยืนรอเงียบๆไม่นานนัก เมี่ยวอินที่ทำงานเสร็จเดินผ่านมา และเห็นเจียเหยายืนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย“เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม?”เมี่ยวอินเดินเข้ามา มองเจียเหยาด้วย
หวั่น...ไหว?เจียเหยาชะงักไป ราวกับถูกคำถามของเมี่ยวอินทำให้สับสนหยุนเจิงมีทั้งความแค้นของชาติและครอบครัวกับนาง เมี่ยวอินถามคำถามแบบนี้ได้อย่างไร?หรือเมี่ยวอินคิดว่านางจะปล่อยวางความแค้นทั้งหมดได้?เจียเหยามองเมี่ยวอินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังลองใจข้าหรือ?”“ข้าจะลองใจเจ้าทำไม?”เมี่ยวอินปฏิเสธทันที “ข้าแค่คิดว่า ในแง่หนึ่ง เจ้าและหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน! แม้จะมีความแค้นต่อกัน แต่พวกเจ้าคงจะมีความนับถือกันในใจบ้าง”เป็นเช่นนั้นหรือ?เจียเหยาดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจนัก นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเจ้าว่ามีความนับถือกัน ข้าคิดว่าคงมีบ้าง! แม้ยามที่ข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่อง การได้พบเขาในสนามรบถือเป็นโชคดี...และโชคร้ายในคราวเดียวกัน”เมี่ยวอินเม้มริมฝีปากเบาๆ มองเจียเหยาด้วยความสนใจ “โชคร้ายน่ะข้าเข้าใจ แต่โชคดีล่ะ หมายความว่าอย่างไร? หรือแค่เพราะได้พบคู่ต่อสู้อย่างเขา?”“เพราะเขามีขีดจำกัดในสิ่งที่เขาจะทำ”เจียเหยาพูดออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าเขาจะมีขีดจำกัดเช่นนี้ตลอดไป...”ขีดจำกัดหรือ?เมี่ยวอิ
เจียเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าหยุนเจิงมีจุดประสงค์อื่นอะไร จึงได้แต่ถามเขาด้วยท่าทีคล้ายขอคำชี้แนะ“ไม่ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “กองทหารมณฑณเหนือข้าส่งมาแต่ทหารฝีมือดี จะไม่ล้มซักแคว้นได้อย่างไร?”ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือ?เจียเหยาครุ่นคิดก่อนถามต่อ “ถ้าท่านคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดู การทำลายล้างกุ่ยฟางน่าจะน่ากลัวกว่าการทำลายโฉวฉือใช่หรือไม่?”เพราะว่ากุ่ยฟางแข็งแกร่งกว่าโฉวฉือมาก“เจ้าก็พูดเองว่า ข้าต้องการเปิดเส้นทางไปยังชนเผ่าโม่ซี”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนมองเจียเหยาด้วยความสนใจ “ว่าแต่ เจ้าสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? หรือว่าอาการหวาดระแวงของเจ้ากำเริบอีกแล้ว?”หวาดระแวงงั้นหรือ?เจียเหยาแอบหัวเราะขื่นๆนางก็ดูจะมีอาการหวาดระแวงอยู่บ้างจริงๆนางกังวลว่าหยุนเจิงเก็บกุ่ยฟางไว้เพื่อกดดันเป่ยหวนแต่เขาก็ได้ใช้ตัวตายตัวแทนอย่างทัวฮวนแล้ว ดังนั้นการที่กุ่ยฟางจะล่มสลายหรือไม่ก็ดูจะไม่ต่างกันนักในแง่ของการกดดันเป่ยหวนนางรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แต่ก็คิดไม่ออกว่าปัญหานั้นคืออะไรและนั่นทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไ
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”หยุนเจิงขมวดคิ้วพูด “หากข้าปลดเสื้อผ้าเจ้าที่นี่ คนที่เสียหน้าก็ยังคงเป็นเจ้าเอง!”เมื่อเห็นหยุนเจิงเริ่มไม่พอใจ เจียเหยาก็หยุดเรื่องนี้ทันที“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากถาม”เจียเหยาพยายามดึงเรื่องกลับมาที่ประเด็นหลัก“เรื่องอะไรล่ะ?”หยุนเจิงถามด้วยน้ำเสียงสบายๆเจียเหยาจ้องมองหยุนเจิง “เหตุใดท่านถึงไม่ใช้ของที่ใช้ระเบิดเปิดเขานั่นทำลายด่านเทียนฉงของโฉวฉือไปเลย? ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่า หากด่านนั้นถูกตีแตกเร็วกว่านี้ ท่านจะไม่ต้องสู้กันอย่างเหนื่อยยากที่แม่น้ำซัวเล่ย”เวรเอ๊ย!หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยเรื่องนี้แล้วรึ?นางช่างทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยจริงๆ!“ทำไมข้าต้องทำลายด่านเทียนฉงด้วยเล่า?”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากข้าทำลายด่านเทียนฉงไปแล้ว เจ้าจะส่งคนมาช่วยข้าสร้างใหม่หรืออย่างไร?”“เพียงเพราะเหตุนี้เองหรือ?”เจียเหยาฟังแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง“เจ้าสงสัยหรือว่าข้าไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว?”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยรอยยิ้มปริศนา “รอจนชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยหนาพอ ข้าก็คิดจะใช้สิ่งนั้นระเบิดเปิดเขาที่ปากทางภูเขาหลางหยา แล้วส
จางฮว๋าย…สิ้นไปแล้วหรือ?แม้ตอนที่จางซูเดินทางกลับเมืองหลวง หยุนเจิงก็พอคาดเดาได้ว่าจางฮว๋ายในครานี้คงจะไม่รอดแล้ว แต่เมื่อได้รับข่าวนี้ เขาก็ยังเผลอหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัวภาพของผู้เฒ่าจางฮว๋ายค่อยๆ ลอยขึ้นมาในห้วงความคิดของหยุนเจิงพูดตามตรง ตอนแรกหยุนเจิงไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อผู้เฒ่าจางฮว๋ายสักเท่าไรโดยเฉพาะเรื่องที่ผู้เฒ่าผู้นี้มักจะสนับสนุนแนวทางประนีประนอมในกรณีของเป่ยหวนอยู่เสมอแต่ต่อมา เมื่อเขาได้เข้าใจในตัวจางฮว๋ายมากขึ้น ความประทับใจของเขาที่มีต่อผู้เฒ่าคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นผู้เฒ่าผู้นี้แม้จะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้หัวดื้อจนเกินไปนอกจากนี้ ผู้เฒ่าผู้นี้ยังเป็นขุนนางที่จงรักภักดีอย่างแท้จริงน่าเสียดายจริงๆ!เขาไม่ได้มีโอกาสไปพบจางฮว๋ายเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่หยุนเจิงถอนหายใจเงียบๆ จั่วเหรินก็เริ่มเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมจางฮว๋ายสิ้นใจในวันที่สิบสองของเดือนเก้าจักรพรรดิเหวินรงโศกเศร้าอย่างยิ่ง ถึงกับงดราชกิจเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อแสดงความอาลัยในการป่วยจากไปของจางฮว๋าย จักรพรรดิเหวินยังทรงพระเมตตาอย่างล้นพ้น โดยพระราชทานแผ่นป้ายส
การชนะโดยไม่ต้องรบคือกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมที่สุด“กระหม่อมเข้าใจแล้ว”จั่วเหรินพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่องหลังจากทั้งสองสนทนากันได้สักพัก หยุนเจิงก็เตรียมตัวไปพบกับตู๋กูเช่อ แต่กลับถูกจั่วเหรินและเมี่ยวอินห้ามไว้เพราะตอนนี้พวกเขายังอยู่ในดินแดนของศัตรูกองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงมีจำนวนน้อย หากบังเอิญเจอศัตรูที่ยังขัดขืนและซุ่มโจมตี จะทำอย่างไร?แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก แต่ก็ยังต้องระวังไว้ก่อนเนื่องจากตอนนี้กองกำลังที่ด่านเทียนฉงมีเพียงทหารราบ จั่วเหรินจึงไม่สามารถส่งพวกเขาไปคุ้มกันหยุนเจิงได้ จึงขอให้หยุนเจิงพักผ่อนที่ด่านเทียนฉง และส่งคนไปแจ้งตู๋กูเช่อให้ส่งกำลังมารับหยุนเจิงแทนหยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมรับข้อเสนอนี้หลังจากที่เดินทางไกลมาหลายวัน คนและม้าก็จำเป็นต้องพักผ่อนในเมื่อตู๋กูเช่อได้เตรียมงานสำหรับการเคลื่อนทัพไปยังชนเผ่าโม่ซีไว้เรียบร้อยแล้ว การรออีกหนึ่งหรือสองวันก็ไม่ได้ทำให้เรื่องสำคัญล่าช้า อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้เขาได้วางแผนงานต่อไปค่ำคืนนั้น หยุนเจิงและเมี่ยวอินก็ได้อาบน้ำด้วยกันอย่างสบายใจที่ด่านเทียนฉงถึงแม้เมี่ยวอินจะติดตามหยุนเจิงมาตลอด
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่
สองวันต่อมา หยุนลี่ได้รับจดหมายตอบกลับจากหยุนเจิง เมื่อมองเนื้อหาในจดหมาย หยุนลี่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาถึงกับขยี้ตาหลายรอบ กลัวว่าตัวเองจะมองผิดไป ตกลงแล้ว! เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นตอบตกลงจริงๆ! หยุนเจิงยอมจ่ายเงิน หนึ่งล้านสองแสนตำลึง พร้อมกับส่งตัวหยางหุยโจว เพื่อแลกกับอิสรภาพของฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวทั้งสิบสามชีวิต ท้ายจดหมาย หยุนเจิงยังกล่าวข่มขู่ หากครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งมีอันเป็นไป อย่าได้โทษว่าเขาไม่ไว้หน้า! "ฮ่าๆๆ!" เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไป หยุนลี่ถึงกับหัวเราะลั่น หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แม้จะยังไม่เทียบเท่ากับจำนวนเงินที่เขาเคยถูกหยุนเจิงโกงไป แต่หนึ่งล้านสองแสนตำลึงก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว นี่มีความหมายไม่น้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถหลอกเอาเงินจากหยุนเจิงได้! และครั้งแรกนี้ก็เล่นไปถึง หนึ่งล้านสองแสนตำลึง! จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร!? ปากของฮั่วเหวินจิ้งแข็งเกินไป หากฆ่าฮั่วเหวินจิ้งทิ้งเพียงเพราะความโกรธ ก็มีแต่เสียเปล่า แต่ถ้าใช้เขามารีดเงินจากเจ้าหกได้… ไม่ใช่ว่าเป็นประโยชน์กว่าหรือ!? คิดไม่ถึงว่า มันสำเร
เมื่อหยุนเจิงกล่าวจบ ก็เล่าถึงข้อสันนิษฐานของตนให้เสิ่นควานฟัง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็นึกไม่ออกถึงสาเหตุอื่นเลย หยุนลี่คงไม่ถึงกับยากจนขนาดจับใครมาเรียกค่าไถ่จากเขาโดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่ไหม? หากมีสิ่งผิดปกติ ย่อมต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่! เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เสิ่นควานก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด ว่ากันตามตรง ข้อสันนิษฐานของฝ่าบาทก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก ฝ่าบาทจับตัวคนของหยุนลี่ แล้วเรียกค่าไถ่ หยุนลี่ก็ทำตามแบบเดียวกัน จับตัวคนที่เขาคิดว่าเป็นสายของฝ่าบาท แล้วเรียกค่าไถ่บ้าง? หรือว่านี่จะเป็นการใช้วิธีของศัตรูมาตอบโต้ศัตรูแบบที่ฝ่าบาทเคยพูดสินะ? “กราบทูลฝ่าบาท แม่ทัพอวี่ชื่อจงส่งสาสน์เร่งด่วนมา!” ในขณะนั้นเอง กองทหารองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ สาสน์ด่วนจากอวี่ชื่อจง? หรือว่าเจ้าสามคิดลงมือแล้ว!? เจ้าสามคงไม่บ้าถึงขั้นเปิดศึกในเวลานี้หรอกกระมัง? “นำมานี่!” หยุนเจิงรีบให้เสิ่นควานรับจดหมายมา เมื่อได้รับจดหมายจากเสิ่นควาน หยุนเจิงก็เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของเขากลั
อุทยานบุปผาหลวง หลังจากการประชุมเช้าเสร็จสิ้น จักรพรรดิเหวินรับสั่งให้คนไปแจ้งหยุนลี่ ให้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน บิดาและบุตรก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะที่มู่ชุ่นและขุนนางติดตามคนอื่นๆ จงใจเว้นระยะห่างออกไป "ฮั่วเหวินจิ้งยังไม่ยอมเปิดปากรึ?" จักรพรรดิเหวินทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลัง ตรัสถามด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม "ยังพ่ะย่ะค่ะ" หยุนลี่ส่ายศีรษะเบาๆ "ฮั่วเหวินจิ้งไม่กลัวทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ยืนกรานไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อพรรคพวก" จักรพรรดิเหวินตรัส "ในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็เปลี่ยนวิธีเถิด!" เปลี่ยนวิธี? หยุนลี่มองจักรพรรดิเหวินด้วยความฉงน "เสด็จพ่อทรงมีแผนใด?" "แผนการวิเศษอะไรนั้นไม่มี มีแค่แผนโง่ๆ แผนหนึ่ง" จักรพรรดิเหวินแย้มสรวล "เจ้าหกไม่เคยเล่นงานเจ้ารึ? เช่นนั้นเจ้าก็เอาฮั่วเหวินจิ้งมาเล่นงานเขาบ้างสิ! ให้เขานำเงินมาไถ่ตัวฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวของเขา!" อืม? หยุนลี่ได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวินเช่นนั้น พลันเกิดประกายความคิด สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ? "แผนนี้ของเสด็จพ่อแยบยลยิ่ง!" หยุนลี่รีบกล่าวคำเยินยอจักรพรรดิเวหิน ก่อนจะมีท่าทีล
"ข้าให้ความไว้วางใจเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าเอาความภักดีไปให้สุนัขกินแล้วหรือ?" "ข้าทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ?" ยิ่งพูดยิ่งโกรธ หยุนลี่กระทืบฮั่วเหวินจิ้งซ้ำอีกหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะต้องการเก็บชีวิตของมันไว้เพื่อรีดข้อมูล เขาคงสั่งให้จับมันไปประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว! "แค่กๆ..." ฮั่วเหวินจิ้งถูกเตะซ้ำๆ จนกระอักเลือดออกมาเป็นสาย หยุนลี่พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอฆ่ามันซะก่อน ตะคอกเสียงดัง "บอกมา! ยังมีพวกของเจ้ากี่คน!?" ฮั่วเหวินจิ้งนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น แววตาเจ็บปวด "กระหม่อม...ไม่รู้จริงๆ... แค่กๆ..." กล่าวจบฮั่วเหวินจิ้งก็สำลักเลือดออกมาอีก "ไม่รู้? คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง!?" หยุนลี่มองฮั่วเหวินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา "ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายังไม่เห็นค่าของมัน ข้าไม่เพียงจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แต่จะส่งคนไปสังหารทั้งตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก!" น้ำเสียงของหยุนลี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขาต้องรีดเอาข้อมูลออกมาให้ได้! ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าข้างกายเขายังมีคนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่! "กระหม่อมไม่รู้จริงๆ!" ฮั่วเหวินจิ้งส่งเสียงคร่ำครวญ "ต่อให้ฝ่าบาทสั
ยามดึกสงัด ณ จวนองค์รัชทายาท แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่เที่ยงคืนแล้ว แต่หยุนลี่ยังคงไม่ยอมนอน ฎีกาจากกรมกองต่างๆ ถูกส่งมารวมไว้ที่เขาทั้งหมด ปกติแล้วฎีกาเหล่านี้ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปริมาณฎีกาเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว ที่สำคัญ เนื้อหาในฎีกาส่วนใหญ่มีเพียงเรื่องเดียว ขอเงิน! แม้เขาจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินไปบางส่วนแล้ว แต่เงินในท้องพระคลังยังคงร่อยหรอ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นคิดหาวิธีหลอกเอาเงินอยู่ตลอด! ขณะหยุนลีกำลังอ่านฎีกาชุดสุดท้าย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก "ขอทูลองค์รัชทายาทฝ่าบาท ฮั่วเหวินจิ้งถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปทันที ฮั่วเหวินจิ้ง! สารเลว! ที่แท้มันก็คือเขาจริงๆ ! "เข้ามา!" ประกายสังหารพุ่งวาบขึ้นในดวงตาของหยุนลี่ เขาแทบอยากฉีกทึ้งฮั่วเหวินจิ้งเป็นชิ้นๆ ยังดีที่เขาระแวดระวังไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าชายชั่วผู้นี้จะซ่อนตัวอยู่ข้างกายเขาอีกนานเท่าใด! สมควรตาย! ไม่นานนัก องครักษ์ผู้รายงานข่าวก็เดินเข้ามา "จับตัวได้เมื่อใด?
ณ ชั่วขณะนั้น หยุนลี่พลันเข้าใจถึงความยากลำบากของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางในราชสำนักนั้น ทั้งต้องใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยให้พวกเขามีอำนาจมากเกินไป จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้งานกับการควบคุมพวกเขา ในราชสำนัก ย่อมไม่อาจปล่อยให้ขุนนางผู้ใดมีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่ผู้ที่เขาไว้วางใจที่สุด! … ยามโพล้เพล้ ณ จวนฮั่ว "ฮั่วผิง นี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจะออกไปไหน?" พ่อบ้านที่ประจำอยู่หน้าจวนฮั่วทักขึ้นเมื่อเห็นฮั่วผิงกำลังจูงม้าเทียมเกวียนออกจากจวน ฮั่วผิงตอบกลับ "ฟืนถ่านในจวนใกล้หมดแล้ว นายท่านสั่งให้ข้ารีบออกไปซื้อก่อนที่ฟ้าจะมืด" "เช่นนั้นเจ้าต้องรีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะ ถ้าพลาดเวลาอาหารก็ต้องอดข้าวแล้ว" พ่อบ้านที่เฝ้าประตูเตือนขึ้น ฮั่วผิงยิ้มขื่นๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะขับเกวียนออกไป ไม่นาน ฮั่วผิงก็มาถึงตลาดขายถ่านทางตอนใต้ของเมือง ขณะที่เขามาถึง ร้านค้าถ่านก็เตรียมจะปิดร้านกันแล้ว "พ่อค้า รอก่อน! ข้าจะซื้อถ่าน" ฮั่วผิงตะโกนเรียกพ่อค้าผู้กำลังจะปิดร้าน พ่อค้าหันมามอง ก่อนจะชะงักมือที่กำลังปิดประตูร้าน "พี่ฮั่ว ทำไมเจ้าถึง
แม้กู้ซิวจะคัดค้านอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของหยุนลี่ได้ ท้ายที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดลงไป หยุนลี่ยังสั่งกำชับทั้งห้าว่าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เมื่อทุกคนค่อยๆ ถอนตัวออกไป สวีสือฝู่กลับอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับหยุนลี่ และขออยู่ต่อ "ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?" สวีสือฝู่ขมวดคิ้ว ถามหยุนลี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ตกปลา!" หยุนลี่เผยรอยยิ้มลึกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ความกังวลของกู้ซิวนั้นช่างเกินเหตุไป เขาคือองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ และเป็นจักรพรรดิในอนาคต! ย่อมเข้าใจผลกระทบของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นปล่อยเงินปลอมเข้าสู่ตลาดโดยตรง "ตกปลา?" แววตาของสวีสือฝู่ฉายแววเย็นเยียบ "ฝ่าบาททรงสงสัยว่ามีคนในพวกเราห้าคนนี้ไม่น่าไว้วางใจหรือ?" "ไม่ ไม่ใช่!" หยุนลี่รีบโบกมือ "ข้าย่อมเชื่อใจท่านลุงและพ่อตาแน่นอน! ข้าเพียงแต่สงสัยฮั่วเหวินจิ้งเท่านั้น…" กล่าวพลาง หยุนลี่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฮั่วเหวินจิ้งพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เดินทางไปฟู่โจว เขาถึงขั้นสงสัยว่า ครั้งก่อนท
หากกองทัพเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ ต้าเฉียนก็จะเข้าสู่กลียุคในไม่ช้า"พวกเจ้าดูเถิด!" หยุนลี่ใบหน้ามืดครึ้ม หยิบจดหมายสองฉบับบนโต๊ะส่งให้ทั้งห้าคนดู ทั้งห้าคนไม่กล้าชักช้า รีบรุดเข้ามาอ่านเนื้อหาในจดหมาย "สามล้านตำลึงเงิน เสบียงอาหารสองแสนชั่ง ช่างต่อเรือหนึ่งพันคน เขาช่างกล้าขอจริงๆ…" "ก็ต้องให้สิ! ไม่ให้แล้วจะทำอย่างไร? นี่ล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทฝ่าบาทรับปากไว้ไม่ใช่หรือ?" "ต่อให้รับปากแล้ว ก็ยังสามารถถ่วงเวลาไปก่อนได้มิใช่หรือ?" "จะถ่วงเวลาอย่างไร? หากถ่วงไปอีก ก็จะเลยฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศแล้ว!" "ค่าไถ่ตัวหยางหุยโจวก็ต้องจ่าย หากปล่อยให้หยุนเจิงประหารหยางหุยโจว เช่นนั้นจะกระทบต่อพระเกียรติยศของฝ่าบาท…" ยังไม่ทันที่หยุนลี่จะเอ่ยถาม ทั้งห้าก็ถกเถียงกันขึ้นมาเอง การถ่วงเวลาออกไป ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเขา แต่ปัญหาก็คือ หยุนเจิงได้เตือนมาในจดหมายแล้ว หากยังไม่ส่งเงิน เสบียง และช่างต่อเรือไปยังฟู่โจว ฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศก็จะผ่านพ้นไป และหากต้องการมันเทศอีก ก็ต้องรอจนถึงปีหน้า ขณะที่ทั้งห้าคนยังวิตกกังวล หยุนลี่กลับเผยรอยยิ้มออกมา "ต้องให้แน่นอน! มันเทศต้