เมื่อหยุนเจิงตื่นขึ้นจากการหลับใหล ก็ล่วงเข้าสู่ยามบ่ายของวันที่สอง"มีการรายงานยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหรือยัง?"คำถามแรกที่หยุนเจิงพูดขึ้นหลังตื่น คือการถามไถ่ข้อมูลความสูญเสียเมี่ยวอินพยักหน้ารับ และรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดศึกครั้งนี้ กองกำลังที่สูญเสียมากที่สุดคือพวกทหารรับจ้างกองทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันนาย เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่าเจ็ดพันคน ส่วนกองทหารม้า หนึ่งหมื่นห้าพันนาย เสียชีวิตสี่พันกว่านาย ในส่วนของกองทหารองครักษ์ห้าพันนาย เสียชีวิตกว่าพันนาย แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่เพิ่งรับสมัครมากองกองทหารโลหิตก็เสียหายไม่น้อยแม้กองกองทหารโลหิตจะสวมใส่ชุดเกราะหนัก แต่ก็ถูกฆ่าตายได้กองกองทหารโลหิตสามพันนาย สูญเสียไปสองร้อยกว่านายส่วนชาวเมืองและกองกำลังเป่ยหมัวถัวรวมกันแล้ว เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่าหกพันคนหากนับรวมผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส จะอยู่ที่เกือบสองหมื่นนาย ส่วนพวกที่บาดเจ็บเล็กน้อย ก็ไม่นับรวมส่วนฝ่ายศัตรูบาดเจ็บล้มตายแค่ไหน พวกเขาก็ไม่รู้นี่ยังไม่นับรวมทหารที่ถูกเผาตายในค่ายของศัตรู เมื่อได้ยินยอดสูญเสีย หยุนเจิงไม่อาจห้ามตนเองให้ถอนหายใจ
เมื่อได้รับคำสั่งจากหยุนเจิง บรรดาแม่ทัพต่างเร่งรุดมาร่วมประชุมทันทีฟู่เทียนเหยียนและฉินชีหู่เป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นมา กล่าวคำขอโทษต่อหยุนเจิงสำหรับเรื่องที่พวกเขาเคยขัดแย้งกับเขา"เรื่องเช่นนี้ ครั้งหน้าอย่าให้เกิดขึ้นอีก!"หยุนเจิงพูดพลางมองสองคนด้วยสายตาดุดัน "เหตุผล ข้ากล่าวไปหมดแล้ว เจ้าจงไปใคร่ครวญให้ดี! หากยังคิดไม่ออก หลังศึกจบลง ให้พวกเจ้าไปลงโทษรับสามสิบหวาย แล้วค่อยกลับมาถามข้าอีกที!"สองคนได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ พยักหน้ารับคำโดยไม่อาจโต้แย้งหยุนเจิงไม่เสียเวลาให้ยืดเยื้อ หันไปสั่งให้เติ่งเป่าชี้แจงสถานการณ์แก่ทุกคนเมื่อเติ่งเป่ากล่าวจบ เหล่าแม่ทัพต่างตกตะลึงเห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครจะคาดคิดว่าศัตรูที่ควรแตกพ่ายกลับยังสามารถรวบรวมพลก่อตั้งแนวป้องกันขึ้นใหม่"พวกมันคงวางแผนใช้เส้นทางด่านเทียนฉง โจมตีแนวป้องกันที่ปากเขาเทียนฉงของเรา!"หยุนเจิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "หรือไม่ อาจเป็นไปได้ว่ากองทัพของพวกมันทั้งสองแคว้นจะรวมกำลังออกจากด่านเทียนฉง เราจำเป็นต้องส่งกำลังไปสนับสนุนแม่ทัพตู๋กูโดยเร็ว!"สนับสนุน?ฟังคำกล่าวของหยุนเจิงทำให้แม่ทัพทุกนายต้องนิ่งอึ้งพวกเขาเพิ
หลังจากหยุนเจิงมอบหมายหน้าที่ป้องกันแม่น้ำซัวเล่ยให้ตงกั่งและฟู่เทียนเหยียน เขาก็นำกองทหารองครักษ์เจ็ดร้อยนายพร้อมเชลยศึกจากแคว้นโฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่ว์จำนวนสองร้อยคน เดินทางไปยังค่ายของชวีจื้อระหว่างทาง มีกลุ่มคนฝึกเหยี่ยวของแคว้นเป่ยหวนร่วมเดินทางไปด้วยในเวลานี้ ศัตรูที่แม่น้ำซัวเล่ยมิอาจก่อคลื่นลมใดๆ ได้อีกต่อไปแม้เขาจะถอนกำลังบางส่วนไปเสริมทัพให้ตู๋กูเช่อเชื่อว่ากำลังพลที่เหลืออยู่ก็สามารถรักษาแนวป้องกันได้อย่างมั่นคงถัดมา ไม่ว่าจะเป็นแนวปากเขาเทียนฉงหรือค่ายของอวี๋ซื่อจงตราบใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะ ศึกครั้งนี้ก็แทบไร้ซึ่งความคลุมเครืออีกต่อไปอย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์นี้ การบุกโจมตีด่านเทียนฉงก็ยังเป็นเรื่องยากยิ่งจุดยุทธศาสตร์เช่นนี้ แม้จะมีเพียงห้าพันนายป้องกันไว้ ก็ไม่อาจบุกฝ่าได้ง่ายดายวิธีการที่ดีที่สุดยังคงเป็นการเจาะแนวป้องกันของศัตรูที่แม่น้ำซัวเล่ย เพื่อบุกตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงของด่านเทียนฉง บีบให้ฝ่ายป้องกันออกมารบ หรือจำยอมยกธงขาวแต่กองทัพเพิ่งผ่านศึกใหญ่มา แต่ละหน่วยจำเป็นต้องพักฟื้นกำลัง และจัดระเบียบเชลยศึกใหม่ จึงยังไม่สามารถเดินหน้าบุกได้
ช่างดียิ่งนัก!หลังจากได้แต่มองดูผู้อื่นรบกันมานาน ในที่สุดกองทัพของชวีจื้อก็จะได้มีโอกาสแสดงฝีมือเสียที!เขาไม่ต้องคอยรับฟังคำบ่นจากบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาอีกต่อไป!หนึ่งวันให้หลัง หยุนเจิงได้นำกองทัพส่วนหน้าของชวีจื้อไปสมทบกับกองทัพของอวี๋ซื่อจงกองทัพของอวี๋ซื่อจงประจำการอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าภูเขาเป่ยอูเหลียน ใกล้กับอาณาเขตของแคว้นเป่ยหวนและเขตแดนของแคว้นเป่ยหมัวถัวพื้นที่นี้โดยนัยยังถือว่าเป็นดินแดนของแคว้นเป่ยหวน แต่ชาวเป่ยหวนได้ละทิ้งพื้นที่นี้ไปแล้ว และกองทหารมณฑณทางเหนือก็ยังไม่ได้ส่งใครมารักษาดินแดนนี้พื้นที่นี้ ตอนนี้จึงกลายเป็นดินแดนไร้ผู้ครอบครอง มีเพียงชาวเป่ยหมัวถัวเท่านั้นที่บางครั้งจะเข้ามาเก็บเกี่ยวพืชผลป่าและล่าสัตว์บริเวณนี้ค่อนข้างโล่งและทัศนวิสัยกว้างขวางกองทัพของอวี๋ซื่อจงและหวังชี่ได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้กับต้นน้ำของแม่น้ำสายเล็กๆเมื่อหยุนเจิงมาถึงและทักทายกันพอสมควร อวี๋ซื่อจงก็กล่าวถามด้วยความคาดหวัง "องค์ชาย ศึกที่ฝั่งแม่น้ำซัวเล่ยเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่?""ไม่เร็วขนาดนั้น แต่ไม่มีปัญหาใหญ่แล้ว" หยุนเจิงหัวเราะเล็กน้อย เขายิ้มพร้อมชี้ไปยังเชลยศึกที่ถู
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวี๋ซื่อจงจึงสั่งให้คนไปแจ้งหวังชี่ให้รีบมาสมทบ ก่อนจะรีบไปพบหยุนเจิงและคณะเมื่อเจอหยุนเจิง อวี๋ซื่อจงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบรายงานสถานการณ์ที่นี่ทันทีกุ่ยฟางครั้งนี้ ได้นำกำลังทั้งหมดที่มีมา โดยมีทัวต๋า อ๋องแห่งกุ่ยฟางเป็นผู้นำทัพมาเองพวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่แดนเหนือสุดของเขตแดนเป่ยหมัวถัวซึ่งพื้นที่นี้เดิมเป็นของเป่ยหมัวถัว แต่ตอนนี้ถูกกุ่ยฟางยึดครองไปแล้วพื้นที่นั้น ทางทิศตะวันตกคือภูเขาเรียงราย ทางตะวันออกเป็นป่าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘ป่าหัวขาว’ก่อนหน้านี้ กุ่ยฟางได้ส่งทัพจำนวนสามหมื่นโจมตีทางด้านหน้าเพื่อเบนความสนใจของเรา ในขณะเดียวกัน พวกเขาได้ส่งทัพม้าอีกหนึ่งหมื่นคนลัดเลาะผ่านป่าหัวขาว หวังที่จะโจมตีค่ายของเราอย่างไม่ทันตั้งตัวดูเหมือนพวกเขาจะอยากล้างแค้นที่กองทหารโลหิตไปเผาเสบียงของพวกเขาในศึกก่อนหน้า ในใจจึงไม่พอใจอยากใช้วิธีเดียวกันมาต่อกรกับอวี๋ซื่อจงแต่ทว่าอวี๋ซื่อจงและหวังชี่มองแผนการของพวกเขาออกอวี๋ซื่อจงแบ่งกำลังห้าพันไปถ่วงเวลาแนวหน้าของกุ่ยฟาง ส่วนที่เหลือซุ่มโจมตีทัพม้าที่ผ่านป่าหัวขาว และสามารถบดขยี้พวกเขาได้สำเร็จแต่
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ แต่หากอยากยืนหยัดได้เช่นอวี๋ซื่อจง ก็ต้องรู้จักคิดให้รอบคอบไม่นานนัก หวังชี่ก็นำแม่ทัพสองนายติดตามมาด้วยอย่างเร่งรีบเมื่อทั้งสามทำความเคารพเสร็จ หยุนเจิงก็โบกมือให้พวกเขานั่งลง ก่อนจะหันไปถามอวี๋ซื่อจงว่า“คิดได้หรือยัง?”“ยังไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”อวี๋ซื่อจงหัวเราะอย่างเก้อเขิน “ปัญหาคือกระหม่อมยังไม่อาจคาดเดาทางเลือกของกุ่ยฟางได้...”หยุนเจิงยิ้มบาง “พูดต่อไป!”อวี๋ซื่อจงพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าหากเชลยศึกสองร้อยคนมีเพียงครึ่งหนึ่งที่หนีไปถึงฝ่ายกุ่ยฟางได้ ข้อมูลที่ว่ากองทัพโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์พ่ายแพ้ยับเยินที่แม่น้ำซัวเล่ยจะส่งตรงถึงกองทัพใหญ่ของกุ่ยฟางทันทีเมื่อทัวต๋าได้รับข่าวนี้ จะเหลือเพียงสามทางเลือกเท่านั้นหนึ่ง ถอนกำลัง!สอง บุกโจมตีเพื่อกอบกู้สถานการณ์ของทั้งสามแคว้นสาม ยังคงตั้งมั่นรอดูสถานการณ์ของโฉวฉือและแค้วนต้าเย่ว์เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวก่อนหน้าของกุ่ยฟางแล้ว ทางเลือกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือถอนกำลังแต่อวี๋ซื่อจงไม่ใช่ทัวต๋า จึงไม่อาจล่วงรู้เจตจำนงของเขาได้หรือทัวต๋าอาจจะตัดสินใจผิด
เป่ยหวนเจียเหยาได้รับข่าวจากหยุนเจิงที่ส่งผ่านเหยี่ยวขาวมาแล้วกองทัพของข้าชนะศัตรูที่สมรภูมิแม่น้ำซัวเล่ย ข้ากำลังเดินทางไปยังตำแหน่งของแม่ทัพอวี่ซื่อจงเพื่อบัญชาการรบต่อ คาดว่าอีกไม่นานฝ่ายกุ่ยฟางอาจถอนทัพ ข้าจะนำกำลังตามไล่โจมตี ขอให้กองกำลังของเจ้าร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวนี้เมื่ออ่านข้อความที่หยุนเจิงส่งมา เจียเหยาก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวหยุนเจิงเอาชนะกองทัพร่วมของโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ได้เร็วถึงเพียงนี้?กุ่ยฟางจะถอนทัพจริงหรือ?หากกุ่ยฟางถอนทัพจริง และกองทหารมณฑณทางเหนือของหยุนเจิงเปิดฉากตามไล่โจมตี ด้วยสติปัญญาของหยุนเจิงแล้ว กองทัพกุ่ยฟางคงต้องสูญเสียอย่างหนักแน่นอนสำหรับเป่ยหวน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในการรบครั้งก่อน เป่ยหวนได้ยึดเกราะ อาวุธ และม้าเป็นจำนวนมากมาเป็นเสบียงนอกจากนี้ยังได้เกณฑ์นักรบเพิ่มอีกกว่าหมื่นนายตอนนี้นางมีทหารในมือกว่า 30,000 คนแม้ในจำนวนนั้นจะเป็นทหารฝีมือดีเพียงหมื่นคน แต่ด้วยอาวุธและเกราะที่ยึดมาได้ แม้แต่นักรบที่เกณฑ์ใหม่ก็มีขีดความสามารถที่ไม่ด้อยกว่านักรบทั่วไปและที่สำคัญ การได้ลิ้มรสแห่งชัยชนะครั้งแรกในการรบกับกุ่ยฟาง ทำให้นั
พวกเขาเคยมีกองทัพใหญ่นับแสนคนแต่กองกำลังอีกสายหนึ่งถูกเป่ยหวนโจมตีเสียหายไปเกือบสามหมื่นนายทัวต๋าจึงไม่มีทางเลือก ต้องส่งทหารอีกสามหมื่นนายไปสนับสนุนตอนนี้กองทัพที่เหลืออยู่เพียงเจ็ดหมื่นนาย และในจำนวนนั้นมีทหารรับจ้างชาวเฉวียนหรงหนึ่งหมื่นคนหยุนเจิงนำทัพมาเอง กำลังพลเพียงเท่านี้อาจไม่พอให้หยุนเจิงเห็นเป็นคู่ต่อสู้"องค์ราชา พวกเราต้องถอนทัพแล้ว!""เป่ยหวนและกองทหารมณฑณทางเหนือร่วมมือกัน หากเราถูกตีแตกที่จุดหนึ่ง อีกจุดก็จะถูกโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง!""หากเราไม่ถอนกำลัง ศัตรูจากแม่น้ำซัวเล่ยอาจโจมตีผ่านแคว้นต้าเย่ว์เข้าสู่พื้นที่ตอนในของเราจากด้านหลัง! หรือศัตรูทางนั้นอาจเคลื่อนกำลังมาช่วยอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นภัยใหญ่หลวงต่อเรา!""หยุนเจิงตั้งแต่บัญชาการมาไม่เคยพ่ายแพ้เลย! องค์ราชา รีบสั่งถอนกำลังเถิด!""ใช่แล้ว หยุนเจิงชนะศึกด้วยกำลังน้อยกว่ามานับครั้งไม่ถ้วน เขาช่างน่ากลัวเกินไป เรารีบถอยเถิด!""..."ในช่วงเวลานั้น ขุนพลกุ่ยฟางต่างเร่งรัดโน้มน้าวให้ถอนกำลังชื่อเสียงคนก็เหมือนเงาไม้ใครบ้างไม่เคยได้ยินถึงชัยชนะของจิ้งเป่ยอ๋อง หยุนเจิง?เป่ยหวนที่เคยแข็งแกร่งมา
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ
ทันทีที่เสิ่นควานออกคำสั่ง กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงก็ลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่นาน อู๋เซิงไท่พร้อมทั้งพรรคพวกและผู้ที่ต้มยาสมุนไพรก็ถูกควบคุมตัวทั้งหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่หยุนเจิงเองก็ยังอึ้งไปชั่วครู่ “เกิดอะไรขึ้น?” หยุนเจิงขมวดคิ้วมองเสิ่นควานที่เต็มไปด้วยความดุดัน “กราบทูลฝ่าบาท น้ำนี้น่าจะมีพิษพ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานอ้าปากหายใจลึกสองครั้งก่อนจะพูดต่อ “เมื่อดื่มน้ำนี้เข้าไป ปากและลิ้นก็รู้สึกแสบร้อนอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!” แสบร้อนอย่างมากหรือ? หยุนเจิงหันไปมองอู๋เซิงไท่ ไม่น่าใช่หรอกนะ? หรือว่าอู๋เซิงไท่จะเป็นสายลับที่ถูกส่งมา? “ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่ตั้งสติได้ในที่สุด ก่อนจะร้องเสียงหลง “กระหม่อมไม่กล้าคิดร้ายต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้...น้ำนี้เมื่อดื่มแล้ว มันก็เป็นแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมกราบทูลท่านอ๋องไปก่อนหน้านี้แล้ว ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณา!” พูดไปแล้วหรือ? อู๋เซิงไท่ก็พูดไปแล้วจริงๆ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้เป็นแบบนี้เอง...” “ท่านอ๋อง คนงานที่เหมืองหินทุกคนดื่ม
หยุนเจิงโบกมือเบาๆ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมจ้องมองอู๋เซิงไท่ “ข้าดูเจ้าช่างคุ้นหน้าเหลือเกิน!” อู๋เซิงไท่โค้งตัวตอบ “กราบทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเคยอยู่ที่จวนอ๋องมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” “มิน่าล่ะ!” หยุนเจิงพยักหน้าเข้าใจ “ในเมื่อมากันแล้ว ก็มาเดินชมเมืองด้วยกันเถอะ!” “พ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่รับคำสั่ง ภายใต้การนำทางของอู๋เซิงไท่ คณะของพวกเขายังคงเดินสำรวจในเมืองต่อไป ระหว่างทาง อู๋เซิงไท่ได้เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในเล่ออานให้พวกเขาฟัง ปัจจุบัน เล่ออานมีประชากรประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยที่ย้ายมาจากดินแดนชั้นใน และมีเพียงส่วนน้อยที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาทำธุรกิจในเล่ออาน ในเล่ออานตอนนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมที่ดูดีอยู่แห่งเดียว และมีโรงแรมอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ที่ว่าการอำเภอและสถานที่ของทางการกลับสร้างได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ชาวบ้านที่ช่วยงานทางการจะได้รับค่าจ้างตามแรงงานที่ทำ โดยค่าจ้างรายวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณสามถึงสิบเหวิน ส่วนช่างฝีมือที่มีความชำนาญบางคนจะได้รับค่าจ้างสิบถึงยี่สิบเหวิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเล่ออานในตอนนี้คือการขาดแคลนเค
สองวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเล่ออาน ระหว่างทางที่เดินทางไปเล่ออาน พวกเขาได้ผ่านหิมะโปรยปรายหนึ่งระลอก หลังจากผ่านหม่าอี้ไป แม้จะไม่มีหิมะตกแล้ว แต่สภาพอากาศกลับหนาวเย็นยิ่งขึ้น หยุนเจิงเพิ่งพาเยี่ยจือลงมาจากรถม้า ก็มีลมหนาวพัดผ่านมาอย่างรุนแรง เยี่ยจือที่เพิ่งลงมาจากรถม้าอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น ซินเซิงเห็นดังนั้น รีบหยิบเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวออกมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินจื้อ หม่อมฉันจะช่วยท่านคลุมเสื้อคลุมเองเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะหนาวจนไม่สบาย” “อืม” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะทำเอง!” หยุนเจิงรับเสื้อคลุมจากมือของซินเซิง แล้วค่อยๆ คลุมให้เยี่ยจือ ก่อนจะพาผู้หญิงในกลุ่มเดินต่อไปข้างหน้า เยี่ยจือปล่อยให้หยุนเจิงจับมือ พร้อมกับเงยหน้ามองฟ้าหมอกเบื้องบนแล้วพูดว่า “อีกสองสามวันนี้น่าจะมีหิมะตกหนักพวกเราควรตรวจดูว่า ชาวบ้านในเล่ออานมีของใช้สำหรับฤดูหนาวเพียงพอหรือไม่ หากพวกเขาไม่มี คงต้องเบิกของจากคลังทหารมาให้” “แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” หยุนเจิงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “ของในคลังทหารก็คือของในคลังทหาร! ทหารอยู่ข้างนอกต้องเสียเลือดเสียเนื้อรบ แม้ตอนนี้จ
การพัฒนาการค้า ย่อมเป็นเส้นทางลัดที่ช่วยให้เมืองเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในอนาคต ผลิตภัณฑ์พิเศษจากเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็สามารถเข้ามาในซั่วเป่ยได้ แต่ไม่ควรนำทุกสิ่งทุกอย่างมาวางขายในหม่าอี้เท่านั้น ต้องให้โอกาสเมืองอื่นๆ ด้วย ยิ่งพ่อค้าเหล่านี้พักอยู่ในซั่วเป่ยนานเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของซั่วเป่ยมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้น ในหัวของหยุนเจิงก็ผุดคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ปรับปรุงการจัดสรรอุตสาหกรรมให้เหมาะสม! ถือโอกาสในฤดูหนาวนี้ วางแผนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของแต่ละเมืองให้ดี ดีที่สุดคือทำให้ทุกเมืองมีอุตสาหกรรมหลัก เพื่อดึงดูดให้พ่อค้าเหล่านี้เข้าไปในเมืองต่างๆ ของซั่วเป่ยมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเมืองอื่นๆ ได้ ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิดเงียบๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน เยี่ยจือเปิดม่านขึ้นเตรียมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นควานก็เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินจื้อ มีคนขวางทางอยู่ด้านหน้า ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว” “อืม ดีแล้ว” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ ก่อนเตือนเสิ่นควานว่า “เจ้าตอนนี้เป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ของฝ่าบาทแล้ว ควรแทนตัวเองว่า 'กระหม่อม'