หยุนเจิงอยู่ที่ด่านเป่ยลู่สามวันสามวันให้หลัง จางซูยังไม่เปลี่ยนความคิด ยังคิดจะพาหมิงเย่ว์กลับเมืองหลวงหยุนเจิงแม้กังวลความปลอดภัยของจางซู แต่ก็ทำได้เพียงเห็นด้วยก่อนออกเดินทาง หยุนเจิงดึงจางซูมาด้านข้าง“เจ้าจำไว้ หากพบอันตราย ควรยอมก็ยอม ควรขายข้าก็ขายซะ! หมักสุรา เกลือละเอียดของเหล่านี้ ล้วนสามารถมาเป็นแต้มต่อรับประกันชีวิตเจ้าได้!”หยุนเจิงกำชับจางซูอย่างตั้งใจวิธีหาเงินเหล่านี้ ล้วนเป็นทุนในการรับประกันชีวิตของจางซู“องค์ชาย นี่...ไม่ดีกระมัง?”จางซูมองหยุนเจิงอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได“ไม่ดีอะไรไร้สาระ!”หยุนเจิงถลึงตามองจางซู “ข้ายินดีให้เจ้าบอกสิ่งเหล่านี้ออกไปเพื่อรักษาชีวิต ทางนี้ข้ายังมีวิธีหาเงิน ไม่จำเป็นต้องนำชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งเพื่อรักษาสิ่งของเหล่านี้”“ขอบคุณองค์ชายมาก!”จางซูเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็กล่าวหยอกล้อ “ข้ากลับไปเมืองจักรพรรดิครั้งนี้ ดีไม่ดีไม่มีอันตรายแม้แต่น้อย องค์ชายไม่ต้องกังวลเพื่อข้า”“มีอันตรายหรือไม่ ในใจเจ้ารู้ดี!” หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “ข้ามอบจดหมายให้เสด็จพ่อแล้ว อธิบายถึงความสำคัญของเจ้า เสด็จพ่อน่าจะคุ้มครองเจ้าอย่างด
หลังจากส่งจางซูและหมิงเย่ว์แล้ว พวกหยุนเจิงไม่ได้ไปจากด่านเป่ยลู่ผู้ประสบภัยทางตอนใต้ต้องการมาซั่วเป่ย พวกเขาต้องทำมาตรการรับมือไว้ล่วงหน้าคนเหล่านี้ หยุนเจิงไม่อาจไล่ไปได้เด็ดขาดอย่าว่าแต่ผู้ประสบภัยจำนวนนับหมื่นเลย ต่อให้ผู้ประสบภัยนับแสนต้องการมาซั่วเป่ย เขาไม่มีทางขับไล่พวกเขาไปเสบียงอาหารไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็คิดวิธีจัดการอาหารหากไม่อาจซื้ออาหารภายในด่านได้ ก็ไปปล้นอาหารจากศัตรู!หากยามคับขัน เขาก็ส่งคนปลอมตัวเป็นโจร ไปปล้นเสบียงอาหารจากคหบดีทรงอิทธิพลร่ำรวยที่ไม่มีมโนธรรมเหล่านั้นก็ได้คนสามรถอึดอัดตายเพราะปัสสาวะหยดเดียวได้หรือ?หากพวกเขาอดทนผ่านสองปีนี้ไปได้ คนเหล่านี้ล้วนกลายเป็นกำลังของกองทัพ!ขอแค่ประชากรเพิ่มขึ้น ซั่วเป่ยก็จะพัฒนาไปได้เร็วขึ้นทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านคิดจะให้คนเหล่านี้มาล้างผลาญซั่วเป่ย ไม่มีแม้แต่ประตู!แผนการของหยุนเจิงคือ ระหว่างด่านเป่ยลู่และเมืองสู้ฉวี สร้างสถานที่ชุมนุม ใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราวของผู้ประสบภัยที่ลี้ภัยมายังซั่วเป่ยรอให้คนเหล่านั้นมาถึงแล้ว ซั่วเป่ยก็จะเป็นเวลาเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือหลังเวลาเก็บเกี่
จดหมายฉบับนี้ไม่ซับซ้อนในจดหมายจักรพรรดิเหวินดำรัสว่า รัชทายาทหยุนลี่จะย้ายทหารติดอาวุธสามพันคนจากฟู่โจวคุ้มกันส่งจางซูกลับเมืองหลวงต่อให้ถึงเมืองหลวงแล้ว ก็จะส่งคนมาคุ้มครองจางซูมากหน่อย บอกให้หยุนเจิงไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของจางซูเห็นได้ชัดว่าเจ้าสามถูกตาแก่หลอกอีกแล้วอีกทั้ง เจ้าสามนับว่าถูกหลอกให้ช่วยนับเงินแล้วอีกอย่าง จักรพรรดิเหวินยังเอ่ยถึงเรื่องชนเผ่าโม่ซีในจดหมายจักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงจัดการพันธมิตรสามแคว้นนั้นอย่างสบายใจ ชนเผ่าโม่ซีทางนั้น มีจ้าวจี๋จับตาดูชั่วคราวแต่ว่า ทันทีที่กองทหารประจำการทางตะวันตกเฉียงเหนือทนไม่ไหว จักรพรรดิเหวินหวังว่าหยุนเจิงจะสามารถโจมตีโฉวฉือ เคลื่อนทัพคุกคามชนเผ่าโม่ซีจากทางโฉวฉือ ลดแรงกดดันของกองทหารประจำการทางตะวันตกเฉียงเหนือแน่นอน นี่เป็นเพียงความคิดของจักรพรรดิเหวินลายละเอียดในการปฏิบัติจริง ต้องดูสถานการณ์ของหยุนเจิงทางนี้แต่หากกองทหารประจำการตะวันตกเฉียงเหนือพ่ายแพ้พังทหลาย กองทหารมณฑลทางเหนือก็จำเป็นต้องช่วยเหลือสนับสนุนข้อนี้ ท่าทางของจักรพรรดิเหวินแข็งขืนมาก ไม่มีที่ให้เจรจาต่อรองในตอนท้ายสุดของจดหมาย จักรพรรดิ
นี่เป็นวิธีทดสอบหรือ?จักรพรรดิเหวินคงไม่คิดถ่ายทอดตำแหน่งให้หยุนเจิงกระมัง?มองดูสองสาวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ หยุนเจิงยิ้มอย่างจนใจอีกครั้งเขาไม่รู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกหรือไม่ถึงเช่นไรจักรพรรดิเหวินให้เขาตระหนักรู้ด้วยตัวเอง เขาทำได้เพียงตระหนักรู้สิ่งนี้ออกมาบางทีจักรพรรดิเหวินอาจมีความหมายอื่น แต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ถึงให้ตายนี่ก็คือสิ่งที่เขาคิดได้ จักรพรรดิเหวินยืมมือเขามากำจัดปัญญาชนหัวคร่ำครึอย่างเกาซื่อเจินทว่า ด้วยความเคารพต่อจักรพรรดิเหวิน น่าจะไม่ถึงขั้นก่อเรื่องเช่นนี้ออกมาเพื่อจัดการเกาซื่อเจินหลังจากตกใจอยู่เนิ่นนาน เยี่ยจื่อได้สติกลับมาอย่างยากเย็นครุ่นคิดชั่วครู่ เยี่ยจื่อกล่าวเสียงต่ำ “เสด็จพ่ออาจทำเพื่ออำพรางบางอย่างหรือไม่?”“อำพรางสิ่งใด?”หยุนเจิงถามอย่างไม่เข้าใจเยี่ยจื่อดึงผ้าม่านขึ้นมองออกไปข้างนอก จากนั้นก็ปล่อยผ้าม่านลง กระซิบกล่าว “หากเสด็จพ่อเดิมมีความคิดในตอนแรก แต่เพราะเรื่องบางอย่าง ตอนนี้ต้องระงับแผนการของเขาไว้ ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายยอมรับเรื่องนี้?”เยี่ยจื่อกล่าวอ้อมค้อมทว่าหยุนเจิงเข้าใจความหมายของนางสิ่งที่เยี่ยจื่อกังวลคือเ
เวลาถัดไป ซั่วเป่ยเริ่มเข้าสู่ช่วงการพัฒนาและสร้างบ้านเรือนหลังจากหยุนกิจการบ่มสุราไปชั่วคราว กิจการค้าเกลือละเอียดกลายเป็นการค้าที่ทำเงินที่สุดของซั่วเป่ยอาศัยการขายตำแหน่งขุนนาง พวกเขายังหาเงินได้อีกเล็กน้อย สามารถช่วยเหลือสถานการณ์ทางงานเงินที่ย่ำแย่ของซั่วเป่ยได้คนเหล่านี้ซื้อตำแหน่งขุนนางแล้ว ก็มารายงานตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากตรวจสอบสักพัก คนจำนวนมากถูกทิ้งไปยังสามเมืองชายแดนช่วยเหลือจัดกรชาวเป่ยหวนที่อพยพมาและเชลยศึกเหล่านั้นคนเหล่านั้นคิดจะก่อความวุ่นวายทางนั้นเช่นไรก็ได้ทั้งนั้นถึงเวลานั้น คนที่สมควรตายก็ต้องตาย ควรเนรเทศไปชายแดนก็เนรเทศไปชายแดนเช่นไรคนเขาก็จ่ายเงินซื้อตำแหน่งขุนนางจริง เช่นไรก็ควรให้เขาเป็นขุนนางที่อยากเป็นก่อนไม่ใช่หรือ?ภายในคนที่ซื้อตำแหน่งขุนนาง นอกจากพวกชอบแอบอ้างแล้ว แต่ก็มีคนฉลาดหลายคนทว่า หยุนเจิงไม่อาจยืนยันได้ชั่วคราวว่าพวกเขาเป้นคนที่เจ้าสามหรือกองกำลังอื่นส่งมาหรือไม่ แม้จะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้พวกเขา ทว่ากลับส่งคนแอบสอดส่องพวกเขาหากอาศัยคนเหล่ารี้จุนมือมีดที่อยู่ด้านหลังม่านออกมาได้ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากแล้วด้วย
เพราะตั้งครรภ์ นางจึงพลาดโอกาสขี่ม้าย่ำสู่ราชสำนักเป่ยหวนแล้วสงครามใหญ่ครั้งต่อไป นางก็ต้องอดเข้าร่วมทุกครั้งที่นึกถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่แนวหน้า ภายในใจนางก็รู้สึกเหมือนแมวข่วน“ข้าก็หวังอยากให้พวกเขาโจมตีปีหน้า”หยุนเจิงยักไหล่ ดึงเสิ่นลั่วเยี่ยนลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ เรียนจื่อเอ๋อร์และเมี่ยวอิน พวกเราไปเตรียมของขวัญให้เจียเหยา!”“ของขวัญ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงอย่างผิดปกติ “ของขวัญใด?”“เจ้าว่าเช่นไรเล่า?”หยุนเจิงใบหน้าเผยรอยยิ้มชั่วร้ายกวนประสาทออกไปจากจวนอ๋อง พวกเขาไม่นานก็มาถึงสถานที่เพราะปลูกมันเทศดินเวลาฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆ เข้าใกล้มาแล้ว มันเทศดินเหล่านี้ไม่นานก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วหยุนเจิงจูงเสิ่นลั่วเยี่ยนเข้าไปในสถานที่ปลูกมันเทศดินปัดใบของมันเทศดินออก ภายในดินเบื้องล่างปรากฎรอยแยกใหญ่น้อยออกมาแล้วหยุนเจิงพบรอยแยกที่ใหญ่กว่านั้นและดึงดินที่อยู่ด้านบนออกไป รากของมันเทศดินสะท้อนสู่รูม่านตาของพวกเขาทว่า มันเทศดินเหล่านี้เล็กใหญ่ไม่เหมือนกันขนาดใหญ่ใหญ่กว่าประมาณกำปั้นของผู้ใหญ่ ขนาดเล็กมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง“เยอะเพียงนี้เชียว?”ในเมื่อเป็นเช่นน
สองวันให้หลัง หยุนเจิงพบกันเจียเหยาที่ชายแดนกู้ตอนที่เจียเหยาถูกคนพาเข้ามา หยุนเจิงกำลังเผามันเทศดินกลิ่นหอมหวนทันทีที่เจียเหยาเข้ามา ก็ได้กลิ่นหอมของมันเทศดินทันใดนั้น หยุนเจิงรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบยิงมาที่เขา“องค์ชาย องค์หญิงเจียเหยามาถึงแล้ว”ต่งกังก้มโค้งตัวกล่าว“องค์หญิงเจียเหยาอะไร?”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้น ถลึงตาใส่ต่งกัง “เรียกฮูหยินเจียเหยา!”“ขอรับ!”ต่งกังรับคำสั่ง จากนั้นก็เปลี่ยนคำเรียนทันที “ฮูหยินเจียเหยา”ฮูหยินเจียเหยา?เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ เจียเหยารู้สึกถากถางเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกจนปัญญาภายในใจนางรู้ดี หยุนเจิงและต่งกังจงใจแสดงละครต่อหน้านางส่วนจุดประสงค์คือ เพื่อเตือนสตินาง ให้นางจำสถานะของตัวเอง“ต่อไประวังหน่อย!”หยุนเจิงกวาดตามองต่งกัง จากนั้นก็โบกมือกล่าว “เจ้าออกไปก่อนเถอะ!”ต่งกังรับคำสั่ง โค้งตัวแล้วบอกลา“นั่งเถอะ อย่าเอาแต่ยืนตรงนั้นเลย”หยุนเจิงยิ้มให้เจียเหยาเล็กน้อย “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องให้ข้าเชิญเจ้านั่งลง?”“อนุไม่กล้ารบกวนท่านอ๋อง” เจียเหยาตอบหนึ่งประโยคด้วยความหงุดหงิด เดินไปนั่งลงตรงข้ามหยุนเจิง “เจ้าจงใจทำให้ข้าสะอิด
หยุนเจิงเดาได้แล้วแม้กระทั่งกุ่ยฟางคิดจะจู่โจมด้านหลังพวกเขาจากทางเดินทะเลทรายตะวันตกก็ถูกเขาเดาได้แล้ว!เขาเดาได้เช่นไร?หรือบางที เขาส่งสายมาอยู่ข้างกายนาง?ไม่มีเหตุผล!แต่ให้อยู่ที่เป่ยหวน คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมากคนที่รู้เรื่องนี้ ต่างก็เป็นคนที่นางเชื่อใจคนพวกนั้น ไม่มีทางเป็นหูเป็นตาให้หยุนเจิงหลังจากตกใจอยู่นาน เจียเหยาถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเดาได้เช่นไร?ไ“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ยากคาดเดาหรือ?”หยุนเจิงจ้องเจียเหยาด้วยรอยยิ้ม “โฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ตอนนี้กำลังใช้เรื่องความขัดแย้งกันระดมกำลังทหารบริเวณชายแดนสองแคว้น พวกเขาหากไม่เปิดศึก ก็มีเพียงแค่แสดงละครแล้ว...”จุดประสงค์การแสดงละครของโฉวฉือและแคว้นต้าเฉียน ย่อมเพื่อร่วมมือกันส่งทหารจู่โจมเป่ยหมัวถัวหลังจากพวกเขาโจมตีเป่ยหมัวถัวสายฟ้าแล่บแล้ว แนวหน้าของพวกเขาก็สามารถคุกคามทุ่งหญ้ามู่หม่าได้แล้วคนของโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ไม่ใช่คนโง่อาศัยแค่แคว้นทั้งสองของพวกเขา คิดจะเอาชนะกองทหารมณฑลทางเหนือ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พวกเขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ ทว่าก็ยังทำเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงตรึงกำลังด้านหน้ากับ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห