กู้จือโม่คลับคล้ายกับว่าจะไม่คิดว่าฉันจะเมารถ เห็นฉันอาเจียนอย่างหนักหน่วง เขาก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วรีบหยิบขวดน้ำแร่จากในรถยื่นมาส่งให้ฉันวันนี้ฉันแทบไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน อาเจียนไปสองสามครั้งก็อาเจียนอะไรไม่ออกสักอย่าง“ดื่มน้ำก่อน”ฉันโบกน้ำที่กู้จือโม่ยื่นให้ฉัน ลุกขึ้นยืนและมองเขาอย่างเย็นชา "นายพอใจแล้วสินะ?"“ฉันไม่รู้ว่า…” กู้จือโม่ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง “ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอไปแข่งรถกับฉัน เธอดูตื่นเต้นมาตลอด ฉันเลยคิดว่าเธอ..."กู้จือโม่มองฉันและพูดด้วยความสับสนเล็กน้อย "ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าเธอเมารถ"ฉันมองเขา มือที่ห้อยอยู่ข้าง ๆ ลำตัวกำแน่นขึ้นเล็กน้อยสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ในตอนที่ฉันหน้าด้านตามเกาะแกะเขา หมายมั่นว่าจะต้องมีเขาให้ได้ ฉันสามารถไปกับเขาได้ทุกที่ ไม่ว่าจะแข่งรถ ดำน้ำ หรือปีนหน้าผาฉันมีส่วนร่วมในกีฬาที่เขาชอบทุกอย่าง และสนใจกีฬาเหล่านั้นอย่างมากแต่ทว่า ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วฉันเองก็ไม่ใช่ฉันคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉันมีสิ่งที่ตัวเองชอบและอยากจะทำฉันจะไม่เสียพลังงานและความสนใจไปกับเขาอีกแล้ว“ฉันเหนื่อยแล้ว” ฉันมองกู้จือโม่ มอง
“ฉันไม่เข้าใจ” กู้จือโม่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วพูดต่อว่า “มีหลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ดังนั้นเฉียวซิงลั่ว เธอมีหน้าที่ทำให้ฉันเข้าใจเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ”น้ำเสียงของเขาแน่วแน่และดื้อดึง คล้ายว่าหากวันนี้ไม่อธิบายให้ชัดเจนก็จะไม่จบง่าย ๆฉันไม่เข้าใจเขาเลย แต่ถ้าอธิบายให้ชัดเจนได้ในครั้งเดียว หลังจากนั้นต่างคนต่างอยู่ ฉันก็ยินดีที่จะทำฉันอ้าปาก แต่ยังไม่ทันได้พูด โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้งเรายืนใกล้กันมาก ฉันจึงเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของเขาอย่างชัดเจน ชื่อของ ‘เฉินเยวี่ย’ ปรากฏอยู่บนหน้าจอฉันหันหลังแล้วเดินไปยังรถมาเซราติ “รับสายเถอะ เดี๋ยวแฟนของนายจะเป็นห่วงเอา”ในขณะที่กู้จือโม่รับโทรศัพท์ ฉันพยายามโบกรถจักรยานไฟฟ้าที่วิ่งผ่านหลังอธิบายความต้องการของฉันไปแล้ว ฉันก็ถูกปฏิเสธฉันไม่รู้ว่ากู้จือโม่คุยอะไรกับเฉินเยวี่ย และเมื่อไม่มีพาหนะอื่น ฉันจึงได้แต่พิงรถมาเซราติและรอเขาอย่างเรียบร้อยไม่รู้ว่าผ่านไปห้านาทีหรือสิบนาที กู้จือโม่ก็วางสายแล้วเดินเข้ามา“ดึกแล้ว ที่นี่ก็หนาวมากด้วย เรากลับกันเถอะ กู้จือโม่” ฉันเอ่ยขึ้นกู้จือโม่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุด ก่อนจะพยักหน้าแล
"หลี่หลินน่า เธอกินยาพิษมาอีกแล้วเหรอ?" หลี่เสี่ยวอวี่ซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง หันมาขมวดคิ้วมองหลี่หลินน่าหลังจากที่ถูกอาจารย์ที่ปรึกษาสั่งสอนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หลี่หลินน่าก็เงียบไปพักหนึ่งฉันรู้ว่าเธอเป็นพวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอแต่กลัวคนแข็งแรง อีกทั้งยังเป็นคนโง่ ฉันจึงจงใจยั่วเธอ "ถ้าเธอไม่มองฉัน แล้วเธอจะรู้ได้ยังไงว่าฉันมองเธออยู่?""เธอ!" หลี่หลินน่าโกรธจนจ้องฉันเขม็งฉันยิ้มเล็กน้อย แล้วเหลือบมองกระเป๋าที่เธอเพิ่งเก็บโทรศัพท์ลงไป "ฉันทำอะไรเหรอ?""ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าพรุ่งนี้เธอจะยังยิ้มได้อีกไหม" หลี่หลินน่าพยายามกลั้นความโกรธ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ระหว่างหันหลังเดินออกจากห้องไป พร้อมกับหยิบของออกไปจากหอ "ยัยชั่ว!"เธอพูดเบา ๆ แต่ฉันได้ยินชัดเจนฉันมองประตูห้องที่เปิดแล้วปิดลง ก่อนจะถอนสายตากลับมาฉันหวังว่าฉันจะเดาไม่ผิด เธอนี่แหละที่เป็นคนโพสต์แบบไม่เปิดเผยตัวตนฉันหลุบตาลง แล้วหยิบโทรศัพท์ส่งบัญชีโซเชียลของหลี่หลินน่าไปให้โปรแกรมเมอร์ ช่วยตามรอยดูหน่อย"บ้าไปแล้ว" หลี่เสี่ยวอวี่ที่มองประตูที่ปิดอย่างแรง พูดด่าออกมา ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างฉัน "หลี่หลินน่านี่ทำให้ปวดหั
นอกจากนี้ การที่กู้จือโม่ช่วยฉันและพาฉันไปด้วยนั้น ทุกคนก็เห็นกันหมดในขณะนั้นเฉินเยวี่ยกลายเป็นฝ่ายที่ได้รับความสงสาร ส่วนฉันกลายเป็นหนูที่ใคร ๆ ก็อยากไล่ตี ในขณะที่กู้จือโม่ซึ่งมีฐานะและตำแหน่งสูงส่ง ไม่มีใครกล้าวิจารณ์เขาฉันไปที่โรงอาหารเพื่อซื้ออาหาร ปกติแล้วป้าขายอาหารจะใจดี แต่ตอนนี้กลับมองฉันด้วยสายตาเหยียดหยามไม่ว่าฉันจะไปนั่งโต๊ะไหน โต๊ะนั้นก็จะเหลือฉันเพียงคนเดียวทันทีคนที่เดินผ่านฉันก็จะพูดคำหยาบใส่ว่า "ไร้ยางอาย"แม้แต่หลี่เสี่ยวอวี่กับเจี่ยนซินก็เริ่มถามฉันด้วยความสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับกู้จือโม่ฉันไม่ได้บอกพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องราววุ่นวายระหว่างฉันกับกู้จือโม่ เพราะมันไม่มีอะไรจะพูด ฉันตอบไปเพียงประโยคเดียวว่า "พวกเธอต้องเชื่อฉันนะ"แต่ความเชื่อใจนั้นสร้างยาก โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนั้นยังถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องหลี่เสี่ยวอวี่ยังดี หลังจากที่ฉันพูดแบบนั้น เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เจี่ยนซินกลับพูดว่า "จะให้เชื่อยังไงล่ะ เธอไม่บอกอะไรเลย แบบนี้ก็โดนด่าไม่เลิกสิ"ทางมหาลัยเองก็เข้ามาหาฉันเพราะเรื่องนี้กำลังบานปลาย พวกเขาบอกให้ฉันรีบจัดการให้เรียบร้อย
“เฉินเยวี่ยเป็นคนบงการฉัน” หลี่หลินน่าพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น มือของเธอจับมือฉันแน่นเหมือนกลัวว่าฉันจะไม่เชื่อเธอเธอปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วพูดตะกุกตะกัก “ครึ่งเดือนก่อน วันนั้นที่เธอไม่กลับมาที่หอ เธอมาหาฉัน บอกให้ฉันรายงานว่าเธอทำอะไรบ้าง ไปที่ไหนบ้าง ทุกวัน”“รูปพวกนั้นก็เป็นเธอที่บอกให้ฉันถ่าย โพสต์ก็เหมือนกัน” หลี่หลินน่าพยายามปาดน้ำตาออกจากหน้า พูดไปเรื่อย ๆ เสียงเริ่มเบาลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเริ่มรู้สึกผิด หรือเพราะกลัว “เธอบอกว่าถ้าฉันหาของที่มีประโยชน์ให้เธอได้ เธอจะให้เงินฉัน”ฉันไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่หลี่หลินน่าพูดเลยสักนิด แม้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงขั้นนี้ ก็เพราะฉันตั้งใจปล่อยให้มันเป็นไปฉันรู้จักเฉินเยวี่ยดีเกินไปตอนที่ฉันพยายามจะไล่ตามกู้จือโม่ แต่กู้จือโม่ไม่เคยสนใจฉัน เธอก็มักจะหาทางแข่งขันกับฉันอยู่เรื่อย ๆแล้วตอนนี้เมื่อฉันถอยห่างจากกู้จือโม่ แต่เขากลับเริ่มสนใจฉันบ้าง เธอจะยอมอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ฉันตบหน้าเธอในป่า เธอจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ ได้ยังไง?ฉันดึงมือออกจากการจับของหลี่หลินน่า “เฉินเยวี่ยให้เงินเธอเท่าไหร่?”“ห้าแ
“เฉียวซิงลั่ว” กู้จือโม่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดของฉัน เขายกมือขึ้นบีบจมูกอย่างหงุดหงิด “การที่เฉินเยวี่ยติดคุก มันไม่ได้ทำให้เธอได้ประโยชน์อะไรเลย”“บ้านเธอก็ทำธุรกิจ การทำอะไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด เธอคงเคยได้ยินมามากพอสมควร”“ถ้าเธอถอนคดี ฉันจะให้เงิน หรือส่งโปรเจกต์ให้กับครอบครัวเธอ”“คุณชายกู้นี่ช่างใจกว้างจริง ๆ” ฉันยิ้มเล็กน้อย รู้สึกว่าบางทีฉันกับกู้จือโม่คงพูดคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เขาต้องการปกป้องเฉินเยวี่ย ในขณะที่ฉันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาฉันหันหลังแล้วกดเปิดสวิตช์คอมพิวเตอร์ รอจนหน้าจอเริ่มเปิดขึ้นจู่ ๆ กู้จือโม่ก็โค้งตัวลงมาขวางฉันไว้ระหว่างโต๊ะกับร่างของเขา เขามองฉันด้วยสายตาที่ซับซ้อน “ลั่วลั่ว ฟังฉันหน่อย”ลั่วลั่ว…ฉันไม่รู้ว่ากู้จือโม่คิดอะไรอยู่ ที่ถึงกับเรียกฉันด้วยความสนิทสนมขนาดนี้เพื่อเฉินเยวี่ยลั่วลั่ว…ใครจะเรียกฉันแบบนี้ก็ได้ แต่กู้จือโม่ทำไม่ได้โดยเฉพาะตอนที่เขามาขอร้องให้ฉันช่วยเฉินเยวี่ย การที่เขาเรียกฉันแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงฉันทำหน้าเย็นชาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “อย่าเรียกฉันแบบนั้น เราไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะเรียกฉันอย่างส
ความเงียบในห้องนั้นแน่นเสียจนเสียงเข็มตกลงพื้นยังได้ยินหลังจากความเงียบที่ยาวนาน ในที่สุดกู้จือโม่ก็พูดขึ้นมา “ขอโทษที่ต้องเจอกันในสถานการณ์แบบนี้”ก่อนที่ฉันจะมา พวกเขาได้สั่งอาหารเต็มโต๊ะไว้แล้วทันทีที่กู้จือโม่พูด ฉันกลับจ้องมองอาหารที่จัดวางอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมและสีสันที่ดูน่าทาน แต่ท้องของฉันกลับรู้สึกไม่สบาย ไม่แน่ใจว่าหิวหรือมีอะไรผิดปกติ มันรู้สึกร้อนวูบวาบจนฉันอยากจะอาเจียนฉันยิ้มเล็กน้อย แต่คำขอโทษของกู้จือโม่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอะไรเลยเหมือนกับการที่เขาทำร้ายฉันด้วยมีด แล้วขอโทษทีหลังฉันไม่รู้ว่าคำว่า ‘ขอโทษ’ ของเขามีความหมายอะไรฉันหยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบอาหารจานหนึ่งเข้าปากโดยไม่สนใจอะไรมาก “นายสืบเรื่องของฉันใช่ไหม?”กู้จือโม่เงียบ มือที่จับแก้วแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวฉันกลืนอาหารลงไปแล้วหันไปมองหน้าเขาด้วยน้ำเสียงที่เสียดสีเล็กน้อย “แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าประธานฉางคือคู่ดูตัวที่เฉียวเจี้ยนกั๋วจัดหามาให้ฉัน?”สีหน้าของกู้จือโม่ดูแย่ลงไปตามคำพูดของฉัน เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างฉันหันกลับไปที่จานอาหารตรงหน้าและคีบอาหารใส่ปากอีกครั้ง “เฉียวเจี้ยนกั๋วใช้
ฉันรู้สึกไม่สบายอย่างมาก ทั้งตัวร้อนและปวดเมื่อยไปหมดฉันพยายามอดทนจนถึงเที่ยงคืน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องค่อย ๆ ลุกจากเตียงเพื่อหายาแต่ฉันประเมินตัวเองสูงไปหน่อย ทันทีที่ลุกขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็หมุนติ้วไปหมด ในวินาทีถัดมาฉันก็ล้มลงกับพื้นหลี่เสี่ยวอวี่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันได้ยินเสียงจึงรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟเมื่อเห็นว่าฉันนอนคว่ำอยู่บนพื้น เธอก็รีบกระโดดลงจากเตียงมาช่วยพยุงฉันขึ้น “ซิงลั่ว เธอเป็นอะไรไป?”“เจี่ยนซิน หลี่หลินน่า ช่วยกันหน่อย มาช่วยฉันพยุงซิงลั่ว”ในไม่ช้า ทุกคนในหอพักก็ตื่นขึ้นเพราะฉัน“ตัวร้อนจัง” หลี่เสี่ยวอวี่สัมผัสหน้าผากฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ซิงลั่ว เธอมีไข้สูงเลย ทำยังไงดี?”ฉันแทบจะนั่งไม่ไหว ต้องนั่งพิงหลี่เสี่ยวอวี่บนเตียง พร้อมกับหลับตาพูดเบา ๆ “กินยาแก้ไข้แล้วนอนพัก เดี๋ยวก็ดีขึ้น ไม่ต้องห่วง”เมื่อฉันพูดแบบนั้น พวกเธอก็ไม่พูดอะไรอีกโชคดีที่เจี่ยนซินมียาสามัญประจำบ้านที่เตรียมไว้ก่อนมาเรียน รวมถึงเครื่องวัดไข้ด้วยพวกเธอวัดอุณหภูมิให้ฉันแล้วให้ฉันดื่มน้ำอุ่นแก้วใหญ่ก่อนจะกินยาแก้ไข้ จากนั้นก็ช่วยฉันนอนพัก เมื่อจัดการทุกอย่างเร
เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ฉันรู้สึกผิดหวังทันที แต่ก็รีบรวบรวมกำลังใจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ฉันรู้ดีว่าโอกาสมักเป็นของคนที่เตรียมพร้อม ฉันจึงไม่อาจยอมแพ้ไปง่าย ๆ แบบนี้ นี่คือหนทางเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ตัวเองได้ และยังเป็นก้าวแรกในชีวิตของฉันด้วย ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ผู้อาวุโสหนาน ฉันเข้าใจถึงความกังวลของคุณค่ะ แต่ได้โปรดเชื่อว่าโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานใหม่สำหรับคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สามารถทำให้แสงแห่งศิลปะของคุณเปล่งประกายได้อีกครั้งด้วย อีกทั้งฉันเชื่อว่าโครงการที่คุณกำลังทำอยู่และโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ต้องมีความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง ซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ค่ะ” หลังจากที่ผู้อาวุโสหนานได้ยินดังนั้น แววตาก็ฉายแววความสงสัยขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนคำพูดของฉันจะดึงดูดความสนใจของเขา จนเขาเริ่มพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกครั้ง ฉันรีบฉวยโอกาสกล่าวต่อไปว่า “ผู้อาวุโสหนาน คุณทราบหรือเปล่าคะว่าฉันชื่นชมคุณมาโดยตลอด ผลงานของคุณมอบทั้งแรงบันดาลใจและข้อคิดให้ฉันมากมาย ส่วนโครงการเซาท์เ
ฉันสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจที่จะพูดคุยกับผู้อาวุโสหนานให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หวังว่าจะสามารถกระตุ้นความรักและความมุ่งมั่นที่เขามีต่อศิลปะสวนภูมิทัศน์ในใจของเขาได้ “ผู้อาวุโสหนาน คุณรู้ไหมคะ? ฉันคิดมาตลอดว่าสวนไม่ได้เป็นแค่การจัดวางสิ่งปลูกสร้างกับต้นไม้ แต่มันเหมือนภาพวาดที่มีชีวิต เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและเรื่องราว และในฐานะที่คุณเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะจีน น่าจะเข้าใจเสน่ห์ของการผสมผสานศิลปะกับการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ฉันมองผู้อาวุโสหนานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนา หวังว่าสายตานั้นจะสื่อความรู้สึกของฉันออกไปได้ ผู้อาวุโสหนานได้ยินดังนั้น แววตาก็เปล่งประกายวาบหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยชาลงและดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิด ฉันรู้ว่าฉันได้แตะต้องจุดที่อ่อนไหวบางอย่างในใจของเขาเข้าแล้ว คนระดับปรมาจารย์ในแวดวงวิชาการแบบนี้มักไม่ใส่ใจเรื่องเงินทอง สำหรับพวกเขา เป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น พวกเขาเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ลอยล่องกลางทะเล ซึ่งต้องการคนที่เข้าใจและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง และฉันสามารถมอบคุณค่าทางอารมณ์ที่เพียงพอให้กับเขาได้ อีกทั้งยังตอบสนองความปรารถนาของเขาได้อ
ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดหนักเพื่อหาเรื่องคุย ก็ไม่คาดคิดว่าผู้อาวุโสหนานจะเป็นฝ่ายพูดถึงโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ขึ้นมาก่อนเอง โครงการนี้เดิมทีตั้งใจจะสร้างสวนสไตล์พิเศษ คล้ายกับพระราชวังต้องห้ามสมัยโบราณ แต่ต้องตอบสนองความต้องการด้านความงามยุคสมัยใหม่ โดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับความงดงามของสวนโบราณอย่างลงตัว ตอนนี้แบบร่างเบื้องต้นได้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีรายละเอียดหลายจุดที่ยังไม่ได้ปรับแก้ มีเพียงโครงร่างคร่าว ๆ เท่านั้น แน่นอนว่าฉันหวังว่าเขาจะเข้าร่วมโครงการนี้ เพื่อช่วยเราเติมเต็มรายละเอียดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น “โครงการในตอนนี้ยังอยู่ขั้นตอนเริ่มต้น จำเป็นต้องมีแบบร่างและแนวคิดการออกแบบที่ยอดเยี่ยมเพียงพอ เพื่อให้โครงการนี้พัฒนาต่อไปได้อย่างราบรื่นในอนาคตค่ะ” ความหมายข้างต้นชัดเจนมาก หากเราไม่สามารถนำเสนอแบบร่างที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพึงพอใจได้อย่างเต็มที่ ก็จะไม่สามารถเจรจาธุรกิจนี้ต่อได้ ผู้อาวุโสหนานดูเหมือนจะใส่ใจอยู่ไม่น้อย แต่เพียงแค่นั่งจิบชาโดยไม่เอ่ยคำใด ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แววตาของเขาแฝงด้วยความคิดคำนึงเล็กน้อย บางครั้ง การอยู่
“เริ่มพยายามตั้งแต่เนิ่น ๆ งั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสหนานทวนคำพูดของฉัน ดวงตาแสดงความชื่นชมเล็กน้อย “หนุ่มสาวที่มีความคิดแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริง ๆ” เขาลุกขึ้นยืน เดินช้า ๆ ไปยังริมหน้าต่าง มองออกไปไกลราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งในความทรงจำ “เธอรู้ไหม สาวน้อยเฉียว ตอนฉันยังหนุ่ม ฉันเองก็เคยเป็นเหมือนเธอ มีทั้งความฝันและความมุ่งมั่น อยากสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาให้ได้” เสียงของผู้อาวุโสหนานเจือด้วยความเก่าแก่และความรู้สึกซาบซึ้ง “แต่กาลเวลาไม่เคยปรานีใคร ตอนนี้ฉันก็หมดเรี่ยวแรงไปมากแล้ว แค่หวังว่าจะหาหนุ่มสาวที่มีศักยภาพสักคน มารับช่วงต่อจากฉันได้” ฉันยืนอยู่เงียบ ๆ ที่ข้าง ๆ ฟังคำพูดของผู้อาวุโสหนาน พลันเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงกับความสำเร็จที่สุดสำหรับฉัน “ผู้อาวุโสหนาน คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ค่ะ” ฉันพูดอย่างจริงจัง “ไม่ใช่แค่เพื่อตัวฉันเอง แต่เพื่อความคาดหวังของคุณด้วย”ผู้อาวุโสหนานหันกลับมามองฉัน ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย “ดีมาก สาวน้อย ฉันเชื่อในตัวเธอ แต่จำไว้นะ ความสำเร็จไม่ใช
บนใบหน้าของลั่วอี้ฝานมีแววประหลาดใจเล็กน้อย คล้ายกับได้เจอเพื่อนรู้ใจที่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ผู้อาวุโสหนานก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “สาวน้อย เธอเล่นหมากรุกเป็นไหม?” จู่ ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ฉันนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วตอบว่า “เคยเล่นในมือถือไม่กี่ครั้งเองค่ะ ดูเหมือนว่าจะเล่นไม่เป็นค่ะ” ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งดูเหมือนผู้อาวุโสหนานจะชอบความตรงไปตรงมาของฉันเช่นกัน ท่านโบกมือเรียกฉันพร้อมพูดว่า “มานี่สิ เดี๋ยวฉันสอนให้” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปหา นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากรุก ผู้อาวุโสหนานอธิบายกฎของหมากล้อมให้ฉันฟัง ฉันตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ ไม่นานนักผู้ช่วยก็เอากระดานหมากรุกชุดใหม่มาให้ ผู้อาวุโสหนานส่งหมากสีดำให้ฉันพร้อมพูดว่า “ลองดูไหม?” ฉันรับมาก่อนจะพูดด้วยความลำบากใจปนลังเลว่า “แต่คุณปู่ต้องอย่าโกรธจนปาแผ่นกระดานนะคะ” “แล้วก็ห้ามไล่พวกเราออกไปด้วยนะคะ”ฉันกอดถ้วยหมากล้อมไว้ มือขวาหยิบหมากสองตัวขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า “แม่น้ำแยงซีคลื่นลูกเก่าผลักดันคลื่นลูกใหม่ คุณต้องให้โอกาสพวกเราเติบโตบ้างนะคะ” ความจริงตอนที่พูดคำพวก
ออกจากบ้านเดิมตระกูลเฉียว ฉันกับลั่วอี้ฝานขึ้นรถแล้วจากไปทันทีที่ขึ้นรถเสียงหยอกล้อของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นทันที "เฉียวซิงลั่ว เธอเตรียมตัวมาดีจริง ๆ ถึงขั้นพกเครื่องรูดบัตรมาเลยเหรอ? ในกระเป๋าเธอคงไม่ได้ใส่เครื่องนับเงินมาด้วยใช่ไหม? เอามาให้ฉันดูหน่อยสิ จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง"มือข้างหนึ่งของเขายื่นมาตรงหน้าฉันฉันตบมือลงบนฝ่ามือของเขาเสียงดัง "เพียะ!" พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญ "ฉันจะพกเครื่องนับเงินไปทำไมกันล่ะ"แถมหลี่เหม่ยอิงก็คงไม่พกเงินสดหนึ่งร้อยล้านบาทมาให้ฉันหรอกโง่จริง ๆ"นี่" ฉันคลายมือออก เผยให้เห็นบัตรเอทีเอ็มที่อยู่ด้านล่างลั่วอี้ฝานตาเป็นประกายทันที เขาหยิบบัตรเอทีเอ็มขึ้นมา พร้อมกับอุทานอย่างตกใจว่า “นี่มันไม่ใช่หนึ่งร้อยล้านบาทที่หลี่เหม่ยอิงให้เธอหรอกเหรอ?!”"ใช่แล้ว เอาไว้เป็นเงินสำรองสำหรับบริษัท""ดีขนาดนี้เชียว?" ลั่วอี้ฝานเลิกคิ้วฉันตอบ "ใช่ บริษัทมีปัญหา ฉันก็ช่วยได้แค่เรื่องเงินนี่แหละ""ว่าแต่ พรุ่งนี้ไปเจอผู้อาวุโสหนาน นายเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ"ฉันมองไปที่ลั่วอี้ฝานเขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ส่วนฉันก็แค่ช่วยเปิดทางเล็กน้อยถ้าเขาไม่ไป โครง
เมื่อมองเฉียวซิงอวี่ ฉันเผลอคิดเพลินไปว่าที่จริงแล้วเธอก็โชคดีไม่น้อยไม่ว่าจะอย่างไร หลี่เหม่ยอิงก็ยังรักเธอและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้สิ่งที่ดีที่สุดแม้ฉันจะเคยด่าว่าเธอทั้งโง่ทั้งไร้เดียงสา แต่บางทีความโง่และไร้เดียงสาแบบนี้อาจเป็นความสุขอย่างหนึ่ง“ฉันง่วงแล้ว จะไปนอนก่อน” ฉันลุกขึ้น ไม่สนใจลั่วอี้ฝาน “ถ้านายไม่กลับบ้านคืนนี้ ก็ไปนอนที่ห้องรับรองแล้วกัน”……เช้าวันรุ่งขึ้นฉันกับลั่วอี้ฝานพาบอดี้การ์ดคุมตัวเฉียวซิงอวี่กลับไปที่บ้านเก่าของตระกูลเฉียว ในตอนที่ไปถึงหลี่เหม่ยอิงก็รออยู่ที่นั่นด้วยสีหน้ากระวนกระวายเฉียวซิงอวี่อุทานออกมาด้วยความดีใจ “แม่คะ!”“ซิงอวี่!” หลี่เหม่ยอิงรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเราโดยไม่ทันคิด“หยุดอยู่ตรงนั้น!”ลั่วอี้ฝานตะโกนห้าม น้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยการข่มขู่ “ถ้าคุณกล้าเข้ามาอีกก้าวเดียว เราจะไม่ออมมือกับเธอ”หลี่เหม่ยอิงหยุดการเคลื่อนไหวทันที ดวงตามองฉันอย่างเย็นชา ราวกับงูพิษที่กำลังแลบลิ้น "เฉียวซิงลั่ว การลักพาตัวมันผิดกฎหมายนะ!"“แล้วการเอาน้ำกรดมาสาดคนอื่นไม่ผิดกฎหมายหรือไง?” ฉันสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาหลี่เ
ฉันโทรหาหลี่เหม่ยอิงครั้งแรกเธอไม่รับ ฉันจึงโทรซ้ำอีกครั้งเสียงของหลี่เหม่ยอิงเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเธอรับสาย “เฉียวซิงลั่ว นางเด็กสารเลว พ่อเธอตายเพราะเธอแล้ว ยังจะโทรมาหาฉันอีกทำไม!”ฉันไม่ได้ตอบอะไร ทว่าใช้เล็บที่เพิ่งทำใหม่ขึ้นมาแตะใบหน้าที่แดงก่ำจากการถูกตบของเฉียวซิงอวี่เฉียวซิงอวี่ร้องไห้ออกมาทันที “แม่คะ ช่วยหนูด้วย!”หลี่เหม่ยอิงเงียบไปชั่วขณะก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันที “ซิงอวี่เหรอ? เฉียวซิงลั่ว เธอทำอะไรลูกสาวฉัน!”“หึ” ฉันหัวเราะเยาะ เอาโทรศัพท์แนบหู “คุณป้าพูดผิดแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่ฉันที่ทำอะไรน้องสาวตัวเอง คุณป้าน่าจะถามลูกสาวที่แสนดีมากกว่าว่าเธอทำอะไรฉัน”“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง... ไม่สิ” ฉันหยุดคิดและเผยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้เช้าเก้าโมง เจอกันที่บ้านเดิมตระกูลเฉียว” พูดจบ ฉันก็ตัดสายทันที…… ที่อะพาร์ตเมนต์หลี่เสี่ยงลั่วอี้ฝานมัดมือและเท้าของเฉียวซิงอวี่ แล้วโยนเธอไว้ที่ระเบียงเฉียวซิงอวี่ยังคงร้องไห้เสียงดัง “เฉียวซิงลั่ว ปล่อยฉันนะ! เธอไม่มีสิทธิ์มาจับฉัน! ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!”ฉันรำคาญเสียงร้องไห้ของเธอ จึงเดินไปที่ครัว เพื่อหยิบผ้าขี้ริ้วออกมา
เมื่อเห็นว่าฉันปลอดภัย ลั่วอี้ฝานจึงลากร่างของคนที่สาดน้ำกรดใส่ฉันขึ้นมาฉันเดินเข้าไปใกล้พวกเขา ยกมือขึ้นถอดหน้ากากของคนร้ายทันใดนั้นเองใบหน้าของเฉียวซิงอวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉัน"เฉียวซิงอวี่?"ฉันจ้องมองใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาแดงก่ำ เธอตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “ทำไมเธอไม่ไปตายซะ! เฉียวซิงลั่ว ทำไมเธอไม่ไปตายซะ!""แกทำลายพ่อฉัน ทำลายครอบครัวฉันจนพังพินาศ!""เฉียวซิงลั่ว นางสารเลว! ไปตายซะ!""ฉันไม่น่าจะใช้แค่น้ำกรดสาดแก ฉันควรจะเอามีดแทงแกให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ!"ใบหน้าฉันเริ่มเย็นชาเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวซิงอวี่ เมื่อเธอพูดจบฉันก็ยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มีฉันใส่แรงทั้งหมดลงไปในฝ่ามือนั้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเฉียวซิงอวี่แดงก่ำและบวมขึ้นทันที หมวกที่เธอสวมหล่นลงพื้น เผยให้เห็นผมยาวสยายฉันมองเธอด้วยสายตาเย็นชา เธอคนที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนกับฉันเมื่อครั้งที่อยู่บนเรือ ฉันเคยรู้สึกผิดที่ทำร้ายเธอ เพราะต้องการปกป้องตัวเองจากแผนการของเฉียวเจี้ยนกั๋ว แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกดีใจที่ครั้งนั้นฉันไม่ลังเลที่จะลงมือสำหรับคนในตระกูลเฉียว นอกจากคุณ