พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็เหมือนนักมายากลที่ล้วงซองเอกสารออกมาจากเสื้อ แล้วยื่นให้ฉัน "ดูนี่สิ"ฉันมองหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนจะรับเอกสารมาเปิดดู ข้างในเขียนว่า ‘สัญญาพัฒนาโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์’ฉันอึ้งไปสองวินาที ก่อนจะเริ่มประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชาติที่แล้วที่ดินผืนนี้ถูกซื้อโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งพัฒนาให้กลายเป็นหมู่บ้านวิลล่าหรูสำหรับคนมีฐานะฉันจำได้ว่าตอนนั้นบริษัทต่างชาติเจ้าของโครงการถือหุ้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เรากลายเป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งในโครงการนี้ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?ฉันมองลั่วอี้ฝานด้วยความสงสัย "หมายความว่ายังไง? นายเอาที่ดินไปแลกสิทธิ์พัฒนากับบริษัทฝั่งนั้นเหรอ?"ลั่วอี้ฝานดีดนิ้วด้วยท่าทางภูมิใจ "ใช่ เธอบอกให้ฉันลองติดต่อกับบริษัทนี้ล่วงหน้าใช่ไหม? ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนเธอนั่นแหละ ว่าจะขายที่ดินให้พวกเขาในราคาสูงก็พอ""แต่ตอนที่ที่ดินผืนนี้ถูกตระกูลกู้เล่นงานจนเกิดปัญหา แม้สุดท้ายเราจะซื้อที่ดินมาได้ แต่ฉันรู้สึกอึดอัดใจมากที่ต้องกลืนคำพูดขม ๆ นั่นลงไปแบบนั้น""ก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ แทนที่จะขาย ฉันเจรจากับบริษัทต่างชาติเพื่อขอร่วมทุนแทน ที่ดินผืนนี้ฉ
“ก็ได้ ก็ได้! เจ้าแม่ความงามของเราอย่างเฉียวซิงลั่วพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้น!” ลั่วอี้ฝานพูดด้วยน้ำเสียงแซวพร้อมเดินไปทางห้องครัว“ฉันขอดูหน่อยนะว่าวันนี้เชฟเฉียวจะทำอะไรกิน? น้ำต้มผักหรือไข่ผัดมะเขือเทศอีกแล้วรึเปล่า?”คำพูดเขาทำเอาฉันปรี๊ดขึ้นมาทันที คว้าหมอนอิงบนโซฟาแล้วปาใส่เขา “ถ้าพูดจาแบบนี้อีก ฉันโยนออกไปนอกหน้าต่างแน่!”ลั่วอี้ฝานหันกลับมารับหมอนได้พอดี แล้วปามันกลับมาที่ฉันอีกที “ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”ฉันมองพื้นห้องที่เลอะเทอะ ก่อนจะก้มลงเก็บกวาดไปพลางพูดไปว่า “ฉันเหนื่อยแทบตาย แค่จัดบ้านไปได้ครึ่งเดียวเอง นายมาก็ดีแล้ว สองคนช่วยกันงานจะได้เสร็จไวขึ้น”ลั่วอี้ฝานถึงกับหยุดมองไปรอบ ๆ บ้าน ก่อนพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เออ แฮะ ดูดีเหมือนกันนะ”“แน่นอนอยู่แล้ว!” พวกเราช่วยกันจัดบ้านไปด้วยหยอกล้อไปด้วยจนเสร็จ ตอนนั้นฟ้ามืดพอดีฉันไปตั้งหม้อหุงข้าวไว้ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนโซฟา ลูบท้องตัวเองไปพลางบ่น “หิวจะตายอยู่แล้ว อยากกินตอนนี้เลย”ทันใดนั้นเอง เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้นลั่วอี้ฝานลุกไปเปิดประตู กลับมาพร้อมถุงใหญ่ในมือฉันมองเขาด้วยความสงสัย “ของในบ้านก็จัดเสร็จหมดแล้ว นี
ลั่วอี้ฝานหยิบโทรศัพท์ออกมากด ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมันลง แล้วเดินมาช่วยฉันเก็บจานชามที่เหลือจากมื้ออาหารเมื่อครู่ที่เคทีวี ไคเสวียนเหมินในห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดชั้นบนสุด มีชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ชายผมแดงคนหนึ่งที่เจาะริมฝีปากหันไปเรียกกู้จือโม่ที่นั่งอยู่มุมห้อง “พี่โม่ นั่งคนเดียวทำไม มาสนุกด้วยกันหน่อยสิ!”กู้จือโม่เพียงแค่มองผ่านไปด้วยสายตาเรียบเฉย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ของเขาต่อบนหน้าจอโทรศัพท์ หน้าโปรไฟล์ของเฉียวซิงลั่วถูกเลื่อนขึ้นเลื่อนลง แต่กลับไม่มีการอัปเดตอะไรเลยกู้จือโม่ขมวดคิ้ว ก่อนจะพิมพ์คำว่า “สวัสดีปีใหม่!” ลงไปในช่องข้อความระหว่างที่เขากำลังลังเลว่าจะกดส่งดีหรือไม่ ชายผมแดงก็เดินเข้ามานั่งข้าง ๆกู้จือโม่ยังไม่ทันได้ปิดหน้าจอ เนื้อหาในโทรศัพท์ก็ถูกอีกฝ่ายเห็นเข้าเต็ม ๆชายผมแดงชะงักไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ผมว่าอย่าส่งเลยดีกว่า”“ทำไมล่ะ?” กู้จือโม่หันมาถามด้วยความสนใจ“คือ...” ชายผมแดงพูดอึกอักอยู่พักหนึ่ง ราวกับกำลังตัดสินใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “งั้นผมให้พี่ดูอะไรบางอย่างแล้วกัน”เขาเปิดหน้ากรุ๊ปเพื่อนและเลื่อนหาข้อควา
มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกับเฉินเยวี่ยเดินเข้ามาเอาเสื้อคลุมมาคลุมให้เธอ "ใส่ซะเถอะ เดี๋ยวจะป่วยเอา"เฉินเยวี่ยมาจากครอบครัวธรรมดา การที่เธอสามารถเข้ามาอยู่ในกลุ่มของเหล่าลูกคนรวยได้นั้น เป็นเพราะกู้จือโม่ตั้งแต่มัธยมต้น กู้จือโม่ก็ถูกบังคับให้พาเฉินเยวี่ยมาเล่นด้วย ดังนั้นคนในกลุ่มจึงรู้จักเธอไม่มากก็น้อยในกลุ่มนี้มีเพียงส่วนน้อยที่มีท่าทีเป็นมิตรกับเธอ ส่วนใหญ่จะอยู่ในสถานะผู้สังเกตการณ์ และก็มีไม่น้อยที่ดูถูกเธออาจจะด้วยความต้องการให้คนยอมรับและความรู้สึกต่ำต้อย เฉินเยวี่ยจึงมักจะไม่ปฏิเสธคนในกลุ่ม แม้จะไม่เต็มใจแต่เธอก็สวมเสื้อคลุมนั้น"โอ๊ย เธอจะไปยุ่งอะไร? คนเขาอยากแต่งแบบนี้ก็เพื่ออาโม่ไม่ใช่หรือไง?"มีคนแซว ทำให้ทั้งห้องหัวเราะกันครืนเมื่อถูกจับได้ถึงความตั้งใจที่ซ่อนอยู่ เฉินเยวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่ก็ต้องหัวเราะไปพร้อมกับคนอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความอับอายเหตุการณ์เล็ก ๆ นี้ไม่ได้ทำลายบรรยากาศการเฉลิมฉลองข้ามปีของกลุ่ม ทุกคนกลับมาสนุกสนานได้อย่างรวดเร็วกู้จือโม่ยังคงคิดถึงแต่เฉียวซิงลั่ว จนดูแตกต่างจากบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฉินเยวี่ยค่อย ๆ เลื่อนต
ทุกคนดื่มเหล้าหมดแก้ว แล้วแยกย้ายกันออกจากห้องไปทีละกลุ่มไม่นานห้องคาราโอเกะที่เคยคึกคักก็เหลือเพียงกู้จือโม่อยู่คนเดียวเขานั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา สลับดูสองภาพถ่ายนั้น พร้อมดื่มเหล้าทีละแก้วในขณะเดียวกันแม่บ้านที่กำลังจะเข้ามาทำความสะอาดห้อง กลับถูกเฉินเยวี่ยหยุดไว้เฉินเยวี่ยยื่นเงินสดจำนวนหนึ่งให้ พร้อมยิ้มพลางอธิบาย "ข้างในมีคนเมาหลับอยู่ค่ะ เป็นคุณชายตระกูลกู้ เขาไม่ชอบให้ใครรบกวน"แม่บ้านดูอึดอัดใจเล็กน้อย แต่ก็รับเงินไว้เฉินเยวี่ยดันเงินใส่กระเป๋าของแม่บ้าน พลางกล่าว "เมื่อกี้ในห้องมีแต่ทายาทของบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ผู้จัดการของคุณต้องเข้าใจแน่ ไม่มีใครอยากเจอเรื่องยุ่งยากหรอก จริงไหมคะ?"เงินจำนวนนี้ดูเหมือนจะได้ผล แม่บ้านพยักหน้าอย่างลังเล ก่อนจะจากไปเฉินเยวี่ยสะพายกระเป๋าเดินไปที่ห้องน้ำ แล้วนำถุงผงสีขาวเทลงอ่างล้างหน้า ปล่อยให้มันไหลลงท่อระบายน้ำภายในห้องคาราโอเกะ กู้จือโม่ที่กำลังดื่มเหล้ารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างอุณหภูมิที่เคยปกติ เริ่มรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าประหลาดไม่นานใบหน้าของกู้จือโม่ก็ขึ้นสีแดงผิดปกติ ดวงตาเริ่มพร่ามัวเขาตระหนักได้ทันท
ฉันเดินตามลั่วอี้ฝานลงมาชั้นล่าง ตอนกลางคืนเราดื่มเหล้ากันไปบ้าง และคนขับรถที่เพิ่งเรียกก็ยังมาไม่ถึงความเร่งร้อนบนใบหน้าของลั่วอี้ฝานชัดเจนมาก ฉันเม้มริมฝีปากก่อนจะถามขึ้นมาเบา ๆ "เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?"ลั่วอี้ฝานยิ้มบาง ๆ ให้ฉัน เขายังคงถือโทรศัพท์ในมือ "แม่ฉันทะเลาะกับพ่ออีกแล้ว คราวนี้แม่ก็ยังใช้วิธีขู่ฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมืออีกเหมือนเคยน่ะ"ฉันเงยหน้ามองเขา รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อคิดว่าคืนนี้เขาเลือกอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงเพื่อเป็นห่วงฉันกับคุณย่าแทนที่จะกลับบ้าน ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมา "ขอโทษนะ ที่ฉันกับคุณย่า...""ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหรือคุณย่าเลย" ลั่วอี้ฝานพูดแทรก เขายกมือขึ้นบีบสันจมูก สีหน้าแฝงความรู้สึกประชดตัวเอง "แม่ฉันไม่ได้ทำแบบนี้ครั้งแรกหรอก ทุกปีในคืนวันสิ้นปี ที่บ้านคนอื่นเขามีเสียงหัวเราะ ส่วนบ้านฉันมีแต่เสียงทะเลาะกัน โยนจานแตกเป็นเรื่องปกติ""ในความทรงจำของฉัน ไม่มีเลยสักปีที่ฉันจะได้นั่งทานอาหารค่ำในวันสิ้นปีอย่างสงบสุขกับครอบครัว""ฉันอยู่ที่อวิ๋นเฉิงเพราะเรื่องโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ และเพราะฉันไม่อยากกลับไปเห็นพวกเข
ในหัวของฉันนึกถึงภาพของกู้จือโม่ที่เจอหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตโดยไม่รู้ตัวพอเปิดประตู ใบหน้าของกู้จือโม่ก็ปรากฏตรงหน้าฉันรีบตั้งสติและพยายามปิดประตู แต่เขากลับแทรกตัวเข้ามาในบ้านก่อนใบหน้าของเขาแดงผิดปกติ กลิ่นแอลกอฮอล์อบอวลในลมหายใจของเขา"ออกไป!"ฉันชี้ไปที่ประตูพร้อมกับทำหน้าเย็นชาดวงตาของกู้จือโม่มองฉันอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ฉันเห็นในแววตาของเขาคือความต้องการที่รุนแรงไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อ เขาก็กดตัวเข้ามาใกล้และจูบฉันอย่างรุนแรง"กู้จือโม่! ไอ้สารเลว! นายปล่อยนะ...""อื้อ..." ฉันพยายามดิ้นรน แต่ไม่มีแม้แต่ประโยคที่สมบูรณ์หลุดออกจากปากฉันเลยจูบของกู้จือโม่หนักแน่นและดุดัน ราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินฉันทั้งตัวในขณะที่เราทั้งสองเซไปมา เขาก็ลากฉันมาที่ห้องนั่งเล่นเสียงดอกไม้ไฟดังมาจากภายนอก รวมถึงเสียงพิธีกรในทีวีที่กำลังรายงานข่าวปีใหม่กู้จือโม่ดันฉันลงบนโซฟา ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงมา "ลั่วเป่า ฉันต้องการเธอ..."ฉันพยายามผลักเขาออก แต่แรงของฉันก็ไม่มีทางสู้เขาได้เลยเพดานที่อยู่เหนือหัวเหมือนจะหมุนไปหมด ทำให้ดวงตาของฉันพร่ามัว มือของกู้จือโม่ล้วงเข้าไป
"เพราะเป็นนายที่ช่วยฉันขึ้นจากขุมนรก แต่กลับเป็นนายอีกครั้งที่ผลักฉันลงไปในนรกนั้นด้วยมือของนายเอง"เมื่อฉันพูดจบ กู้จือโม่ดูเหมือนจะอึ้งไปชั่วขณะฉันหันหน้าหนีไป กลิ่นของเขา รวมถึงตัวเขา ทำให้ฉันรู้สึกพะอืดพะอมจนแทบจะอาเจียนในวินาทีที่ฉันเกือบจะอาเจียนออกมา เขาก็ลุกออกไปจากตัวฉันอย่างลนลาน เสียงเขาเบาจนแทบไม่ได้ยิน "ขอโทษ ฉัน..."กู้จือโม่ลุกขึ้นยืน สายตาซับซ้อนจับจ้องมาที่ฉันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดคำว่า "ขอโทษ" อีกครั้งก่อนจะเดินโซเซออกไปฉันมองแผ่นหลังของเขาแล้วหลับตาลง กำมือที่สั่นระริกไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ คลายออกความกลัวที่กัดกินหัวใจเริ่มจางหายไปเล็กน้อย แต่จู่ ๆ ก็มีเสียง "ตุ้บ!" ดังขึ้น ฉันลืมตา และเห็นกู้จือโม่ล้มลงไปนอนกับพื้นฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงเสื้อที่ถูกเขาดึงจนหลุดลุ่ยให้เข้าที่ แล้วลุกขึ้นยืน "กู้จือโม่ ถ้าจะนอน ไปนอนกลิ้งข้างนอก อย่ามานอนในบ้านฉัน!"แต่คนที่นอนอยู่บนพื้นกลับไม่มีการตอบสนอง"กู้จือโม่!"เขาก็ยังนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวฉันขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้ เห็นว่าเขานอนหลับตาอยู่บนพื้น ที่หน้าท้องเริ่มมีเลือดสีแดงซึมออกมา"กู้จือโม่ ถ้าจะ
จางเสี่ยวพยักหน้าเห็นด้วย และเสริมว่า “นอกจากนี้ เราต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เนื้อผ้าและความประณีตในการตัดเย็บ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงคุณภาพและมูลค่าของมันตั้งแต่แรกเห็น”ในช่วงเวลาต่อจากนี้ พวกเราก็รีบลงมือออกแบบอย่างรวดเร็วฉันวางแนวคิดเกี่ยวกับสไตล์โดยรวมและการออกแบบลวดลาย โดยมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกเนื้อผ้าและควบคุมกระบวนการผลิต พยายามทำให้ทุกองค์ประกอบสมบูรณ์แบบที่สุดหากต้องการออกแบบเสื้อผ้าที่โดดเด่นเพียงพอ เราต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี และตอนนี้ฉันต้องการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ผสมผสานองค์ประกอบของอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกันฉันรู้ดีว่า หากต้องการออกแบบเสื้อผ้าที่สามารถดึงดูดสายตาของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรักษาความนิยมในตลาดได้อย่างยาวนาน จำเป็นต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างความวินเทจและความทันสมัยให้ได้ฉันหลับตาลง จินตนาการถึงองค์ประกอบสุดคลาสสิกจากอดีต กระดุมแบบจีนที่ประณีต เส้นสายอันอ่อนช้อยของกี่เพ้า รวมถึงการตัดเย็บที่เรียบง่ายและการจับคู่สีที่ทันสมัยฉันพยายามผสานองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้เสื้อผ้ามีทั้งกลิ่นอายของประวั
“เธอกับฉันต่างก็รู้ดีว่าชื่อเสียงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาสั่งสมและสะสมผลงาน สำหรับปัญหาที่เธอพูดถึง ฉันมีแนวคิดเบื้องต้นอยู่สองสามข้อ”“ก่อนอื่น เราสามารถเริ่มต้นจากแนวคิด ‘เล็กแต่โดดเด่น’ โดยใช้โซเชียลมีเดียและการกำหนดตลาดเป้าหมายอย่างแม่นยำ เพื่อดึงดูดกลุ่มแฟนคลับที่ภักดีในช่วงแรก เราสามารถผสมผสานแนวคิดการออกแบบของฉันเข้ากับประสบการณ์ด้านการบริหารของเธอ ร่วมกันสร้างคอลเลกชันแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นหรือซีรีส์แนวคอนเซ็ปต์ ที่ให้แต่ละชิ้นงานมีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะช่วยให้ได้รับความสนใจได้ง่ายขึ้น”“นอกจากนี้ สำหรับปัญหาที่ว่า การออกแบบของเธออาจถูกตั้งคำถามหรือไม่ได้รับความสนใจมากพอ เราสามารถใช้กลยุทธ์ ‘คอนเทนต์คือสิ่งสำคัญ’ โดยการนำเสนอภาพถ่ายคุณภาพสูง บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์อย่างละเอียด และให้โมเดลสื่อสารอารมณ์ของเสื้อผ้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แต่ละชิ้นงานไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นการส่งต่อวัฒนธรรมและทัศนคติ นอกจากนี้ เราสามารถเชิญแฟชั่นบล็อกเกอร์หรือเคโอแอลที่มีอิทธิพลมาทดลองใส่และช่วยโปรโมต เพื่อใช้พลังของพวกเขาในการขยายอิทธิพลของแบรนด์ให้กว้างขึ้น”“นอ
พวกเรานัดกันที่ร้านกาแฟใกล้ ๆ“ฉันอยากร่วมมือกับเธอ เพื่อสร้างแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ด้วยกัน”ตอนนี้ฉันมีเงินทุนอยู่บ้าง จึงสามารถออกแบบเสื้อผ้าได้ แล้วเขาจะช่วยฉันบริหารจัดการ พวกเราจะร่วมกันออกแบบและผลิตเสื้อผ้าเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้เราสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ภายในร้านกาแฟ แสงไฟอ่อนโยนส่องกระทบใบหน้าของซูข่ายเหวิน เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น“ร่วมมือกัน? สร้างแบรนด์เสื้อผ้า? ฟังดูเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมมาก!” เขาเอนตัวมาข้างหน้าอย่างตื่นเต้น ชัดเจนว่าเขาสนใจข้อเสนอของฉันมากฉันพยักหน้าแล้วอธิบายแนวคิดของฉันอย่างละเอียด“ใช่เลย ฉันมีความสนใจอย่างมากในด้านการออกแบบเสื้อผ้า ส่วนเธอเองก็คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน สะสมทั้งประสบการณ์และทรัพยากรมากมาย ฉันคิดว่า ถ้าเราสามารถร่วมมือกันได้ มันคงจะสร้างประกายที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาแน่นอน”ซูข่ายเหวินคนกาแฟในถ้วยเบา ๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยความคิดของเขาออกมา“นี่เป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ แต่เราจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ก่อนอื่น เราต้องกำหนดตำแหน่งของแบรนด์ให้ชัดเจน ว่าเราจะเดินสายแฟชั่นระดับไฮเอนด์แ
ค่ำคืนค่อย ๆ ล่วงเลย ไฟริมทางในมหาวิทยาลัยเริ่มส่องสว่าง เงาของพวกเราถูกยืดออกยาวใต้แสงไฟฉันเงยหน้ามองกู้จือโม่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและความแน่วแน่ ทำให้หัวใจฉันสั่นไหวเล็กน้อยบางที ฉันอาจให้โอกาสเขา และให้โอกาสตัวเองด้วยเช่นกันมองเข้าไปในดวงตาของเขา อยู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าทำไมถึงเคยยึดติดกับเขามากขนาดนั้น? บางทีอาจเป็นเพราะความรักของฉันที่มีต่อเขามันลึกซึ้งกว่าที่คิดจริง ๆบางทีความรักอาจค่อย ๆ งอก เงยขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นเพราะบางเหตุการณ์ที่ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักถูกหว่านลงในใจฉัน พอรู้ตัวอีกที เมล็ดพันธุ์นั้นก็เติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ไปแล้ว“จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าเราสองคนจะมานั่งคุยอะไรกันที่นี่ในวันนี้ ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี ตอนนี้เรายังเด็กกันอยู่ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร บางทีตอนนี้เธออาจจะแค่รู้สึกผิดกับฉัน ถึงได้คิดแบบนี้ แต่พอถึงวันที่เธอเติบโตขึ้นจริง ๆ เธอจะยังคิดเหมือนเดิมอยู่ไหม?”ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเยวี่ยกับเขา ฉันไม่มีวันลืม ดังนั้นฉันรู้ดีว่า ตอนนี้เขายังไม่โตพอ แม้ว่าเขาจะดูเก่งกว่าคนทั่วไปมาก แต่ความคิด
แววตาของเขาสะท้อนอารมณ์ที่ซับซ้อนออกมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ฉันแค่เป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บหรือเจอเรื่องร้าย”ฉันถอนหายใจเบา ๆ ในใจรู้สึกซับซ้อนอยู่ไม่น้อยความห่วงใยของกู้จือโม่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันไปด้วยฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด และยิ่งไม่อยากให้เขาทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นเพราะความเข้าใจผิดนั้น“กู้จือโม่ ฉันรู้ว่านายหวังดี แต่ฉันกับซูข่ายเหวินเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ เราทั้งคู่กำลังพยายามเปิดโปงความผิดของศาสตราจารย์จาง ฉันหวังว่านายจะเข้าใจนะ”ฉันพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูจริงใจที่สุดเขาเงียบไปสักพัก แล้วค่อย ๆ พยักหน้า“ได้ ฉันเชื่อเธอ แต่เธอต้องระวังตัวให้ดี ศาสตราจารย์จางไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย ๆ”ฉันมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วพยักหน้าเบา ๆ“ฉันจะระวังตัว ขอบคุณนะ กู้จือโม่”เขายิ้มบาง ๆ ดวงตาสะท้อนความอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย“ไม่ต้องเกรงใจ ไปเถอะ ฉันจะไปส่งเธอที่หอพักเอง”พวกเราเดินไปด้วยกันในบริเวณโรงเรียน แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบตัวเรา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเงียบสงบฉันรู้สึกถึงความสงบและความมั่นใจที่
ฉันแค่นหัวเราะเย็นโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ส่วนผู้หญิงตรงหน้าดูจะไม่พอใจอย่างมากในตอนนี้“ฉันก็ไม่อยากพูดคำสวยหรูพวกนี้กับคุณ และก็ไม่มีเวลาจะเสียไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นพอแค่นี้เถอะ ฉันจะไปแล้ว”ฉันหันหลังแล้วเดินจากไป ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นตะโกนด่าทออยู่ข้างหลัง แต่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้เลยพอฉันกลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอยู่ไม่ไกลตามคาดกู้จือโม่เดินเข้ามาหาทันที พร้อมจ้องมองฉันด้วยสายตาร้อนแรง“ได้ยินมาว่าเธอได้รับบาดเจ็บ เป็นยังไงบ้าง?”ฉันยิ้มบาง ๆ พยายามทำให้ตัวเองไม่ดูอ่อนแอจนเกินไป“ไม่มีอะไรน่าห่วง แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”กู้จือโม่ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉันนัก เขาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล“เธอแน่ใจนะ? ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ต้องบอกฉันนะ”ฉันพยักหน้าเบา ๆ ความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นในใจในโลกที่ซับซ้อนใบนี้ การมีใครสักคนที่ห่วงใยอยู่เสมอเป็นเรื่องที่อบอุ่นใจฉันไม่ได้แหลมคมเฉียบขาดเหมือนเมื่อก่อน และก็ไม่มีออร่าที่แข็งแกร่งแบบเดิมอีกแล้ว“ขอบคุณนะ ฉันจะระวังตัว”กู้จือโม่ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของฉั
ในช่วงหลายวันต่อมา ฉันและซูข่ายเหวินให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งติดตามข่าวจากสื่ออย่างใกล้ชิดไม่นานนัก อาชญากรรมของศาสตราจารย์จางก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละเรื่องแต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ เรื่องนี้กลับถูกกลบด้วยเหตุการณ์อื่นอย่างรวดเร็วและเรื่องนี้ก็ถูกตำรวจจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคำตอบสุดท้ายจะทำให้ฉันประหลาดใจมาก โดยเฉพาะตอนที่ตำรวจยืนอยู่ตรงหน้าฉันและอธิบายทุกอย่างให้ฟัง“จากการสืบสวนของเรา พบว่าผู้ก่อเหตุเพียงแค่ต้องการปล้นเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาถูกจ้างวานให้ฆ่าแต่อย่างใด”ฉันเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินปล้นงั้นเหรอ?เป็นไปได้ยังไง?คนนั้นชัดเจนว่าเล็งเป้าหมายมาที่ฉันโดยตรง แถมยังทิ้งคำพูดที่เกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์จางไว้หลังจากก่อเหตุ นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้จริง ๆ เหรอ?“แต่... มีดในมือของเขา วิธีที่เขาโจมตีฉัน รวมถึงคำพูดนั้น...”ฉันพยายามอธิบาย แต่เสียงของฉันกลับอ่อนลงเรื่อย ๆซูข่ายเหวินจับมือฉันไว้ เป็นสัญญาณให้ฉันสงบสติอารมณ์ลงเขาหันไปมองตำรวจ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจตำรวจดู
ฉันตกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะลงมือทำร้ายฉันจริง ๆฉันรีบปรับสภาพจิตใจของตัวเองอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีที่อาจตามมาคนขี่มอเตอร์ไซค์ดูเหมือนไม่คิดจะให้ฉันมีโอกาสได้พักหายใจเลย เขาเงื้อไม้เบสบอลขึ้นอีกครั้งแล้วฟาดมาทางฉันอย่างรุนแรง!ฉันหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว พลางมองหาจังหวะที่จะตอบโต้กลับไปหลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง ฉันสังเกตได้ว่าคนคนนี้มีฝีมือพอตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการฉันรู้สึกยินดีอยู่ลึก ๆ ในใจ เพราะเห็นโอกาสเล็กน้อยที่จะเอาชนะเขาได้ฉันเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีก่อน พยายามทำลายจังหวะของเขาเพื่อให้เขาเสียสมดุลและเปิดช่องโหว่หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดอยู่พักหนึ่ง ฉันก็พบช่องโหว่และซัดหมัดตรงเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรง!เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นฉันถือโอกาสพุ่งเข้าไป หวังจะควบคุมตัวเขาให้สิ้นฤทธิ์แต่ในขณะนั้นเอง เขากลับควักมีดออกมาจากกระเป๋าแล้วพุ่งแทงมาทางฉัน!ฉันตกใจสุดขีด รีบถอยหลังออกไปทันทีแต่ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ไม่มีแรงมากนัก จะรับมือกับชายที่ดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?มีดสั้นพุ่งตรงมาทางฉัน ก่
“บางทีคุณอาจพูดถูก หากไม่มีการสนับสนุนจากคุณ ฉันอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากขึ้น แต่ฉันก็เชื่อว่า ตราบใดที่ฉันพยายามมากพอและยืนหยัดอย่างมั่นคง สักวันหนึ่งฉันจะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ และฉันก็เชื่อว่า บนโลกนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีความฝันและพรสวรรค์เหมือนฉัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคุณ แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในวงการนี้ได้!”เขาชัดเจนว่าโกรธจัดเพราะคำพูดของฉัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขณะที่จ้องมองฉันอย่างดุดัน“เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้งั้นเหรอ? ฉันจะบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าเธอคิดผิด! เธอจะต้องเสียใจในทุกสิ่งที่เธอทำในวันนี้แน่นอน!”ฉันยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน“บางทีฉันอาจจะเสียใจ แต่ฉันจะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ฉันเลือก เพราะฉันรู้ดีว่า มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง และทำให้ฉันสามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองได้ และสำหรับคุณ ศาสตราจารย์จาง คุณจะต้องกลายเป็นฝันร้ายของตัวเอง”พูดจบ ฉันหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปตอนนั้นเอง ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาซูข่ายเหวิน“หลักฐานทั้งหมดเก็บรวบรวมเรียบร้อยหรือ