“นายพูดถึงใครน่ะ?” ฉันเอียงคอมองลั่วอี้ฝานที่อยู่ข้าง ๆ แล้วทำหน้าจริงจังใส่เขาอย่างจงใจ “ใครไม่มีหัวใจเหรอ?”“ฉัน ๆ ๆ” ลั่วอี้ฝานเปลี่ยนสีหน้าแทบจะทันที พร้อมทำท่าฝืนยิ้มแบบไม่จริงใจ “ฉันนี่แหละไม่มีหัวใจ ดูแลคุณย่าแทนเธอตั้งยี่สิบกว่าวัน พอกลับมาแล้วก็ไม่เห็นเลี้ยงข้าวสักมื้อเลย”“ก็ไม่ได้เตรียมของขวัญให้เธอเลย ไม่ได้ทุบขา นวดไหล่ให้ด้วย”“ประชดเหรอ?” ฉันเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยืนขึ้นจ้องตากับลั่วอี้ฝานไม่กี่วินาทีต่อมา ท่าทีหยิ่งยโสของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย สายตาเริ่มหลบเลี่ยงไปมาผ่านไปอีกไม่กี่วินาที ลั่วอี้ฝานก็ยอมแพ้แบบหมดรูป ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้าง ๆ แล้วยกเท้าขึ้นวางบนโต๊ะ พร้อมทำหน้าตาเหมือนยังไม่ยอมรับแต่ก็แกล้งยอมไปก่อน “ก็ได้ ๆ ใครใช้ให้เธอเป็นหัวหน้า ส่วนฉันเป็นลูกน้องล่ะ การรับคำสั่งของเธอเป็นหน้าที่ที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว”ฉันกลั้นหัวเราะไว้ แล้วตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “อ้อ” ลั่วอี้ฝานทนไม่ไหวจริง ๆ กลอกตาใส่ฉันครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ท่าทางเหมือนจะบอกว่า “ถ้าฉันไม่โอเค ใครจะโอ๋ล่ะ”เสียงหัวเราะแทบจะหลุดออกมาจากลำคอ ฉันเลยไอเบา ๆ กลบเกลื่อน ก่อนจะหันไปเปิดกระ
ฉันไม่สามารถเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาได้ มันเหมือนดาบคมที่ทิ่มแทงฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหยุดนิ่งไปไม่กี่วินาที ก่อนที่ฉันจะสูดลมหายใจลึก “คุณย่าของฉัน...จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”หมอขยับแว่นขึ้นเล็กน้อย พวกเขาที่เคยชินกับความเป็นความตายพูดด้วยเสียงที่สงบนิ่ง “สามถึงหกเดือน”เหมือนก้อนหินใหญ่หล่นลงมาทับศีรษะ ฉันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณหมอแล้วเดินออกจากห้องทำงานฉันอยากกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยของคุณย่า อยากอยู่ข้าง ๆ ท่าน อยากจับมือที่อบอุ่นของท่านไว้ ไม่อยากแยกจากท่านแม้แต่วินาทีเดียว แต่ตอนที่เดินผ่านกระจกบานหนึ่ง ฉันเห็นตัวเองในกระจก ดวงตาแดงก่ำและดูอิดโรยมากฉันไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วงฉันอีก เลยหมุนตัวเดินไปที่สวนเล็ก ๆ ชั้นล่างของโรงพยาบาลครั้งที่แล้วที่กลับมาอวิ๋นเฉิง อากาศยังอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิเลย ตอนที่พวกเขาบอกว่าวันนี้จะหนาวเหมือนฤดูหนาวจัด ฉันยังไม่เชื่อเลยแต่ตอนนี้ แม้แต่อวิ๋นเฉิงที่ปกติอากาศอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปีก็เริ่มมีหิมะตกแล้วเกล็ดหิมะเล็ก ๆ ร่วงหล่นลงมาทีละนิด ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วเอื้อมมือไปรับ เกล็ดหิมะรูปหกเหลี่ยมตกลงบนมือของฉัน ไม่นานก็ละลาย
ลั่วอี้ฝานรีบยื่นมือมาตบหลังฉันเบา ๆ อย่างร้อนรน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าฉันหล่อจนเธอร้องไห้?”ฉันรู้ว่าเขาพยายามจะทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น เลยหยิบกระดาษเช็ดน้ำตาออก แล้วสงบสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ฉันเช่าห้องพักไว้แล้ว ฉันอยากพาย่ากลับไปอยู่ที่นั่นช่วงปีใหม่”“เฮ้อ” ลั่วอี้ฝานถอนหายใจอย่างโล่งอก “แค่นี้เองเหรอ? ได้ ได้ ได้ พาย่ากลับไปอยู่ด้วยกันช่วงปีใหม่ เธอเลิกร้องไห้เถอะนะ”ลั่วอี้ฝานยื่นกระดาษมาให้อีกแผ่น “เธอร้องจนฉันรู้สึกผิดไปหมดแล้ว ถ้าใครไม่รู้ คงคิดว่าฉันรังแกเธอแน่ ๆ”ฉันรับกระดาษมาแล้วพยักหน้า “ฉันจะไม่ร้องแล้ว”ลั่วอี้ฝานจ้องหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจอีกครั้ง “กลางวันอยากกินอะไรล่ะ? เดี๋ยวฉันไปซื้อให้”ฉันส่ายหน้าแล้วหันไปมองย่า ความร้อนที่ดวงตากลับมาอีกครั้ง“กินอะไร?”ฉันสูดลมหายใจลึก กุมมือย่าไว้แน่น “หอยลายผัดเบียร์”“แค่นี้?” ลั่วอี้ฝานเกาหัว “ฉันอุตส่าห์ไปไกลถึงร้านจุ้ยเซียงจวีเพื่อซื้ออาหารกลับมาให้ เธอกลับขอแค่หอยลายผัดเบียร์?”ฉันพยักหน้า ลั่วอี้ฝานยืนอยู่สักพักก่อนถอนหายใจอีกครั้ง “ก็ได้ ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปจัดการให้”พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็เดินออ
เหนื่อยเมื่อไหร่ เจ็บเมื่อไหร่ ฉันก็สามารถกลับมาหาย่าได้เสมอฉันรู้ดีว่าย่าจะอยู่ข้างฉันเสมอฉันสูดลมหายใจลึกโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ก่อนจะกะพริบตาแล้วถามลั่วอี้ฝานว่า “นายมาที่นี่ได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าบริษัทมีเรื่องต้องจัดการเหรอ?”ลั่วอี้ฝานย่อตัวลงไปพูดกับย่าสองสามคำ ก่อนลุกขึ้นมายืน เขารับรถเข็นจากมือฉัน “จัดการเสร็จไปแล้วล่ะ”“ก่อนวันส่งท้ายปีเก่า...” ลั่วอี้ฝานหันมามองฉัน ฉันมองเขากลับ เขายิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “ไว้ถึงเวลาฉันจะบอกเธออีกทีนะ”ฉันเลิกคิ้วพร้อมเดินตามเขาออกไป “ในฐานะที่ฉันเป็นหุ้นส่วนในการทำงานของนาย ฉันว่าปิดบังกันมันไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไหร่เลยนะ”ลั่วอี้ฝานก้มตัวตรวจดูว่าที่คาดเข็มขัดนิรภัยของย่าถูกล็อกเรียบร้อยแล้ว ก่อนพูดว่า “ย่าครับ ผมพาเหาะเลยดีไหมครับ?”พูดจบ เขาก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับมองฉันด้วยสายตาท้าทาย “ถ้าไม่พอใจ ก็ลองตีฉันดูสิ?”ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไร เขาก็เข็นรถเข็นของย่าออกไปด้วยความเร็วฉันยืนอึ้งกับความเป็นเด็กของเขา ก่อนจะได้แต่หัวเราะออกมาบรรยากาศในโรงพยาบาลใกล้ช่วงปีใหม่ดูผ่อนคลายกว่าปกติคนไข้หลายคนที่เห็นลั่วอี้ฝานตะโกนว่า “พี่พยาบาล
ลั่วอี้ฝานรอบคอบกว่าที่ฉันคิดไว้มาก เขาขับรถสำหรับครอบครัวมารับ บอกว่ารถแบบนี้พื้นที่กว้างกว่า จะทำให้คุณย่าสบายขึ้นแถมรถยังเป็นรุ่นหรูที่เบาะสามารถปรับเอนนอนได้ ทำให้คุณย่าสามารถนอนพักได้สบายเขาอุ้มคุณย่าขึ้นรถด้วยตัวเอง จากนั้นก็หยิบผ้าห่มมาคลุมให้ ก่อนจะลงมาจากรถฉันอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ถูก มันทั้งซาบซึ้งและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกันเขาเป็นแค่เพื่อนของฉันแท้ ๆ แต่กลับดูแลครอบครัวของฉันได้ดีขนาดนี้ฉันกลัวว่าเขาจะให้มากเกินไป ในขณะที่ฉันไม่มีอะไรที่เท่าเทียมกันตอบแทนเขาเลย“เป็นอะไรไป?” ลั่วอี้ฝานยืนกอดอก ทำหน้ามั่นอกมั่นใจ “หรือรู้สึกว่าฉันหล่อจนทนไม่ไหว อยากมาเป็นแฟนฉันแล้ว?”ความซาบซึ้งในใจฉันหายวับไปทันที ฉันจ้องมองเขานิ่งอยู่สองสามวินาที ก่อนจะชี้ไปที่ปกเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ? ดูเหมือนนายจะใส่เสื้อกลับด้านอยู่นะ”ลั่วอี้ฝานชะงัก “...”ประมาณสิบเอ็ดโมง ในที่สุดเราก็พาคุณย่ามาถึงอะพาร์ตเมนต์ฉันจัดห้องพักให้คุณย่าเรียบร้อย แล้วป้อนอาหารกลางวันให้เสร็จ ก่อนจะออกมาจากห้องเมื่อออกมาที่ห้องนั่งเล่น ฉันพบว่าลั่วอี้ฝานยังนั่งอยู่ที่โ
รถติดหนักจนใช้เวลาเดินทางถึงสี่สิบนาที ทั้งที่ปกติแค่สิบนาทีก็ถึงแล้วหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตคนแน่นเอี๊ยด ที่จอดรถข้างทางเต็มหมด แม้แต่ที่จอดในชั้นใต้ดินก็ไม่มีเหลือลั่วอี้ฝานก็เลยบอกให้ฉันลงจากรถก่อนแล้วรอเขาอยู่ที่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ตฉันกวาดตามองรอบ ๆ ตัว ทุกที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ฉันไม่อยากรอที่นี่ แต่ลั่วอี้ฝานไม่เปิดโอกาสให้ฉันปฏิเสธเลย รถเขาแล่นออกไปในพริบตาทันใดนั้นฉันก็อยากจะสบถออกมาดัง ๆฉันหาที่ที่คนน้อยหน่อยเพื่อยืนรอลั่วอี้ฝาน แต่ไม่นานคนที่ซื้อของเสร็จแล้วก็เริ่มมายืนรอรถกันในบริเวณนี้อีกไม่มีทางเลือก ฉันเลยต้องหามุมใหม่ที่คนน้อยกว่าเดิมแต่พอเจอมุมที่ดูสงบขึ้น จู่ ๆ ก็มีคนผลักฉันจากด้านหลัง"ขอโทษครับ ๆ!"ฉันเซไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยืนทรงตัวได้ในทันทียังไม่ทันมองเลยว่าใครเป็นคนพูดขอโทษ ดูเหมือนผู้คนรอบตัวจะผลัดเปลี่ยนหน้าไปหมดแล้วทันใดนั้นฉันรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ตัวเองเมื่อหันกลับไปมองก็เห็นกู้จือโม่ยืนอยู่ข้างรถเบนซ์สีดำ มือจับประตูรถไว้ ดูไม่ออกว่าเขากำลังจะขึ้นรถหรือเพิ่งมาถึงสายตาเราประสานกัน แต่ดวงตาของเขาแฝงความรู้สึกบางอย่างที่ฉั
ลั่วอี้ฝานชอบซื้อของจริง ๆ กว่าพวกเราจะเดินออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตได้ เราสองคนก็มีของเต็มสองมือจนแทบถือไม่ไหวพอจัดการขนของเข้าใส่ท้ายรถจนเรียบร้อย เขาก็โบกมือใหญ่ ๆ อีกครั้งแล้วพูดว่า "เสร็จเรื่องซื้อของในซูเปอร์ฯ แล้ว เดี๋ยวไปตลาดอาหารทะเลกันต่อ ซื้อกุ้งอาร์กติกกับปูจักรพรรดิกลับบ้านกัน!""ไม่ไปแล้ว! ฉันไม่ไหวแล้ว!" ฉันยกมือทั้งสองที่โดนถุงรัดจนแดงขึ้นให้เขาดู "ฉันถืออะไรไม่ไหวแล้ว ถ้าจะไป นายไปเองเถอะ ฉันเรียกแท็กซี่กลับบ้านดีกว่า"พูดจบก็พอดีมีแท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมา ฉันยกมือโบกแท็กซี่ให้จอดลงทันที แต่ก่อนที่ฉันจะเดินไปถึง กลับมีคนอื่นพุ่งเข้าไปขึ้นแท็กซี่ก่อน"...!" ฉันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ส่วนลั่วอี้ฝานหัวเราะลั่นเขาหัวเราะจนพอใจ เดินเข้ามาหาฉันก่อนจะผลักฉันไปที่รถ "โอเค โอเค วันนี้ไม่ไปแล้ว ไว้ค่อยไปพรุ่งนี้แทนแล้วกัน"พวกเรากลับถึงอพาร์ตเมนต์ตอนหกโมงครึ่ง ขนของที่ซื้อกลับมาจัดเข้าที่เรียบร้อย พอหันมามองกัน ท้องของเราทั้งคู่ก็ร้องโครกออกมาพร้อมกันเราจ้องหน้ากันอยู่นานจนลั่วอี้ฝานเป็นฝ่ายพูดก่อน "ให้ฉันทำบะหมี่ให้กินไหม?""นายทำเป็นเหรอ?"ฉันมองหน้าเขาด้วยความสงสัย แน่
พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็เหมือนนักมายากลที่ล้วงซองเอกสารออกมาจากเสื้อ แล้วยื่นให้ฉัน "ดูนี่สิ"ฉันมองหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนจะรับเอกสารมาเปิดดู ข้างในเขียนว่า ‘สัญญาพัฒนาโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์’ฉันอึ้งไปสองวินาที ก่อนจะเริ่มประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชาติที่แล้วที่ดินผืนนี้ถูกซื้อโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งพัฒนาให้กลายเป็นหมู่บ้านวิลล่าหรูสำหรับคนมีฐานะฉันจำได้ว่าตอนนั้นบริษัทต่างชาติเจ้าของโครงการถือหุ้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เรากลายเป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งในโครงการนี้ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?ฉันมองลั่วอี้ฝานด้วยความสงสัย "หมายความว่ายังไง? นายเอาที่ดินไปแลกสิทธิ์พัฒนากับบริษัทฝั่งนั้นเหรอ?"ลั่วอี้ฝานดีดนิ้วด้วยท่าทางภูมิใจ "ใช่ เธอบอกให้ฉันลองติดต่อกับบริษัทนี้ล่วงหน้าใช่ไหม? ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนเธอนั่นแหละ ว่าจะขายที่ดินให้พวกเขาในราคาสูงก็พอ""แต่ตอนที่ที่ดินผืนนี้ถูกตระกูลกู้เล่นงานจนเกิดปัญหา แม้สุดท้ายเราจะซื้อที่ดินมาได้ แต่ฉันรู้สึกอึดอัดใจมากที่ต้องกลืนคำพูดขม ๆ นั่นลงไปแบบนั้น""ก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ แทนที่จะขาย ฉันเจรจากับบริษัทต่างชาติเพื่อขอร่วมทุนแทน ที่ดินผืนนี้ฉ
จางเสี่ยวพยักหน้าเห็นด้วย และเสริมว่า “นอกจากนี้ เราต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เนื้อผ้าและความประณีตในการตัดเย็บ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงคุณภาพและมูลค่าของมันตั้งแต่แรกเห็น”ในช่วงเวลาต่อจากนี้ พวกเราก็รีบลงมือออกแบบอย่างรวดเร็วฉันวางแนวคิดเกี่ยวกับสไตล์โดยรวมและการออกแบบลวดลาย โดยมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกเนื้อผ้าและควบคุมกระบวนการผลิต พยายามทำให้ทุกองค์ประกอบสมบูรณ์แบบที่สุดหากต้องการออกแบบเสื้อผ้าที่โดดเด่นเพียงพอ เราต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี และตอนนี้ฉันต้องการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ผสมผสานองค์ประกอบของอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกันฉันรู้ดีว่า หากต้องการออกแบบเสื้อผ้าที่สามารถดึงดูดสายตาของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรักษาความนิยมในตลาดได้อย่างยาวนาน จำเป็นต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างความวินเทจและความทันสมัยให้ได้ฉันหลับตาลง จินตนาการถึงองค์ประกอบสุดคลาสสิกจากอดีต กระดุมแบบจีนที่ประณีต เส้นสายอันอ่อนช้อยของกี่เพ้า รวมถึงการตัดเย็บที่เรียบง่ายและการจับคู่สีที่ทันสมัยฉันพยายามผสานองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้เสื้อผ้ามีทั้งกลิ่นอายของประวั
“เธอกับฉันต่างก็รู้ดีว่าชื่อเสียงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาสั่งสมและสะสมผลงาน สำหรับปัญหาที่เธอพูดถึง ฉันมีแนวคิดเบื้องต้นอยู่สองสามข้อ”“ก่อนอื่น เราสามารถเริ่มต้นจากแนวคิด ‘เล็กแต่โดดเด่น’ โดยใช้โซเชียลมีเดียและการกำหนดตลาดเป้าหมายอย่างแม่นยำ เพื่อดึงดูดกลุ่มแฟนคลับที่ภักดีในช่วงแรก เราสามารถผสมผสานแนวคิดการออกแบบของฉันเข้ากับประสบการณ์ด้านการบริหารของเธอ ร่วมกันสร้างคอลเลกชันแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นหรือซีรีส์แนวคอนเซ็ปต์ ที่ให้แต่ละชิ้นงานมีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะช่วยให้ได้รับความสนใจได้ง่ายขึ้น”“นอกจากนี้ สำหรับปัญหาที่ว่า การออกแบบของเธออาจถูกตั้งคำถามหรือไม่ได้รับความสนใจมากพอ เราสามารถใช้กลยุทธ์ ‘คอนเทนต์คือสิ่งสำคัญ’ โดยการนำเสนอภาพถ่ายคุณภาพสูง บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์อย่างละเอียด และให้โมเดลสื่อสารอารมณ์ของเสื้อผ้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แต่ละชิ้นงานไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นการส่งต่อวัฒนธรรมและทัศนคติ นอกจากนี้ เราสามารถเชิญแฟชั่นบล็อกเกอร์หรือเคโอแอลที่มีอิทธิพลมาทดลองใส่และช่วยโปรโมต เพื่อใช้พลังของพวกเขาในการขยายอิทธิพลของแบรนด์ให้กว้างขึ้น”“นอ
พวกเรานัดกันที่ร้านกาแฟใกล้ ๆ“ฉันอยากร่วมมือกับเธอ เพื่อสร้างแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ด้วยกัน”ตอนนี้ฉันมีเงินทุนอยู่บ้าง จึงสามารถออกแบบเสื้อผ้าได้ แล้วเขาจะช่วยฉันบริหารจัดการ พวกเราจะร่วมกันออกแบบและผลิตเสื้อผ้าเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้เราสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ภายในร้านกาแฟ แสงไฟอ่อนโยนส่องกระทบใบหน้าของซูข่ายเหวิน เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น“ร่วมมือกัน? สร้างแบรนด์เสื้อผ้า? ฟังดูเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมมาก!” เขาเอนตัวมาข้างหน้าอย่างตื่นเต้น ชัดเจนว่าเขาสนใจข้อเสนอของฉันมากฉันพยักหน้าแล้วอธิบายแนวคิดของฉันอย่างละเอียด“ใช่เลย ฉันมีความสนใจอย่างมากในด้านการออกแบบเสื้อผ้า ส่วนเธอเองก็คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน สะสมทั้งประสบการณ์และทรัพยากรมากมาย ฉันคิดว่า ถ้าเราสามารถร่วมมือกันได้ มันคงจะสร้างประกายที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาแน่นอน”ซูข่ายเหวินคนกาแฟในถ้วยเบา ๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยความคิดของเขาออกมา“นี่เป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ แต่เราจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ก่อนอื่น เราต้องกำหนดตำแหน่งของแบรนด์ให้ชัดเจน ว่าเราจะเดินสายแฟชั่นระดับไฮเอนด์แ
ค่ำคืนค่อย ๆ ล่วงเลย ไฟริมทางในมหาวิทยาลัยเริ่มส่องสว่าง เงาของพวกเราถูกยืดออกยาวใต้แสงไฟฉันเงยหน้ามองกู้จือโม่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและความแน่วแน่ ทำให้หัวใจฉันสั่นไหวเล็กน้อยบางที ฉันอาจให้โอกาสเขา และให้โอกาสตัวเองด้วยเช่นกันมองเข้าไปในดวงตาของเขา อยู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าทำไมถึงเคยยึดติดกับเขามากขนาดนั้น? บางทีอาจเป็นเพราะความรักของฉันที่มีต่อเขามันลึกซึ้งกว่าที่คิดจริง ๆบางทีความรักอาจค่อย ๆ งอก เงยขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นเพราะบางเหตุการณ์ที่ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักถูกหว่านลงในใจฉัน พอรู้ตัวอีกที เมล็ดพันธุ์นั้นก็เติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ไปแล้ว“จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าเราสองคนจะมานั่งคุยอะไรกันที่นี่ในวันนี้ ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี ตอนนี้เรายังเด็กกันอยู่ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร บางทีตอนนี้เธออาจจะแค่รู้สึกผิดกับฉัน ถึงได้คิดแบบนี้ แต่พอถึงวันที่เธอเติบโตขึ้นจริง ๆ เธอจะยังคิดเหมือนเดิมอยู่ไหม?”ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเยวี่ยกับเขา ฉันไม่มีวันลืม ดังนั้นฉันรู้ดีว่า ตอนนี้เขายังไม่โตพอ แม้ว่าเขาจะดูเก่งกว่าคนทั่วไปมาก แต่ความคิด
แววตาของเขาสะท้อนอารมณ์ที่ซับซ้อนออกมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ฉันแค่เป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บหรือเจอเรื่องร้าย”ฉันถอนหายใจเบา ๆ ในใจรู้สึกซับซ้อนอยู่ไม่น้อยความห่วงใยของกู้จือโม่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันไปด้วยฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด และยิ่งไม่อยากให้เขาทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นเพราะความเข้าใจผิดนั้น“กู้จือโม่ ฉันรู้ว่านายหวังดี แต่ฉันกับซูข่ายเหวินเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ เราทั้งคู่กำลังพยายามเปิดโปงความผิดของศาสตราจารย์จาง ฉันหวังว่านายจะเข้าใจนะ”ฉันพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูจริงใจที่สุดเขาเงียบไปสักพัก แล้วค่อย ๆ พยักหน้า“ได้ ฉันเชื่อเธอ แต่เธอต้องระวังตัวให้ดี ศาสตราจารย์จางไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย ๆ”ฉันมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วพยักหน้าเบา ๆ“ฉันจะระวังตัว ขอบคุณนะ กู้จือโม่”เขายิ้มบาง ๆ ดวงตาสะท้อนความอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย“ไม่ต้องเกรงใจ ไปเถอะ ฉันจะไปส่งเธอที่หอพักเอง”พวกเราเดินไปด้วยกันในบริเวณโรงเรียน แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบตัวเรา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเงียบสงบฉันรู้สึกถึงความสงบและความมั่นใจที่
ฉันแค่นหัวเราะเย็นโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ส่วนผู้หญิงตรงหน้าดูจะไม่พอใจอย่างมากในตอนนี้“ฉันก็ไม่อยากพูดคำสวยหรูพวกนี้กับคุณ และก็ไม่มีเวลาจะเสียไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นพอแค่นี้เถอะ ฉันจะไปแล้ว”ฉันหันหลังแล้วเดินจากไป ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นตะโกนด่าทออยู่ข้างหลัง แต่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้เลยพอฉันกลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอยู่ไม่ไกลตามคาดกู้จือโม่เดินเข้ามาหาทันที พร้อมจ้องมองฉันด้วยสายตาร้อนแรง“ได้ยินมาว่าเธอได้รับบาดเจ็บ เป็นยังไงบ้าง?”ฉันยิ้มบาง ๆ พยายามทำให้ตัวเองไม่ดูอ่อนแอจนเกินไป“ไม่มีอะไรน่าห่วง แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”กู้จือโม่ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉันนัก เขาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล“เธอแน่ใจนะ? ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ต้องบอกฉันนะ”ฉันพยักหน้าเบา ๆ ความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นในใจในโลกที่ซับซ้อนใบนี้ การมีใครสักคนที่ห่วงใยอยู่เสมอเป็นเรื่องที่อบอุ่นใจฉันไม่ได้แหลมคมเฉียบขาดเหมือนเมื่อก่อน และก็ไม่มีออร่าที่แข็งแกร่งแบบเดิมอีกแล้ว“ขอบคุณนะ ฉันจะระวังตัว”กู้จือโม่ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของฉั
ในช่วงหลายวันต่อมา ฉันและซูข่ายเหวินให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งติดตามข่าวจากสื่ออย่างใกล้ชิดไม่นานนัก อาชญากรรมของศาสตราจารย์จางก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละเรื่องแต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ เรื่องนี้กลับถูกกลบด้วยเหตุการณ์อื่นอย่างรวดเร็วและเรื่องนี้ก็ถูกตำรวจจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคำตอบสุดท้ายจะทำให้ฉันประหลาดใจมาก โดยเฉพาะตอนที่ตำรวจยืนอยู่ตรงหน้าฉันและอธิบายทุกอย่างให้ฟัง“จากการสืบสวนของเรา พบว่าผู้ก่อเหตุเพียงแค่ต้องการปล้นเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาถูกจ้างวานให้ฆ่าแต่อย่างใด”ฉันเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินปล้นงั้นเหรอ?เป็นไปได้ยังไง?คนนั้นชัดเจนว่าเล็งเป้าหมายมาที่ฉันโดยตรง แถมยังทิ้งคำพูดที่เกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์จางไว้หลังจากก่อเหตุ นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้จริง ๆ เหรอ?“แต่... มีดในมือของเขา วิธีที่เขาโจมตีฉัน รวมถึงคำพูดนั้น...”ฉันพยายามอธิบาย แต่เสียงของฉันกลับอ่อนลงเรื่อย ๆซูข่ายเหวินจับมือฉันไว้ เป็นสัญญาณให้ฉันสงบสติอารมณ์ลงเขาหันไปมองตำรวจ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจตำรวจดู
ฉันตกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะลงมือทำร้ายฉันจริง ๆฉันรีบปรับสภาพจิตใจของตัวเองอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีที่อาจตามมาคนขี่มอเตอร์ไซค์ดูเหมือนไม่คิดจะให้ฉันมีโอกาสได้พักหายใจเลย เขาเงื้อไม้เบสบอลขึ้นอีกครั้งแล้วฟาดมาทางฉันอย่างรุนแรง!ฉันหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว พลางมองหาจังหวะที่จะตอบโต้กลับไปหลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง ฉันสังเกตได้ว่าคนคนนี้มีฝีมือพอตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการฉันรู้สึกยินดีอยู่ลึก ๆ ในใจ เพราะเห็นโอกาสเล็กน้อยที่จะเอาชนะเขาได้ฉันเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีก่อน พยายามทำลายจังหวะของเขาเพื่อให้เขาเสียสมดุลและเปิดช่องโหว่หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดอยู่พักหนึ่ง ฉันก็พบช่องโหว่และซัดหมัดตรงเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรง!เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นฉันถือโอกาสพุ่งเข้าไป หวังจะควบคุมตัวเขาให้สิ้นฤทธิ์แต่ในขณะนั้นเอง เขากลับควักมีดออกมาจากกระเป๋าแล้วพุ่งแทงมาทางฉัน!ฉันตกใจสุดขีด รีบถอยหลังออกไปทันทีแต่ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ไม่มีแรงมากนัก จะรับมือกับชายที่ดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?มีดสั้นพุ่งตรงมาทางฉัน ก่
“บางทีคุณอาจพูดถูก หากไม่มีการสนับสนุนจากคุณ ฉันอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากขึ้น แต่ฉันก็เชื่อว่า ตราบใดที่ฉันพยายามมากพอและยืนหยัดอย่างมั่นคง สักวันหนึ่งฉันจะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ และฉันก็เชื่อว่า บนโลกนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีความฝันและพรสวรรค์เหมือนฉัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคุณ แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในวงการนี้ได้!”เขาชัดเจนว่าโกรธจัดเพราะคำพูดของฉัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขณะที่จ้องมองฉันอย่างดุดัน“เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้งั้นเหรอ? ฉันจะบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าเธอคิดผิด! เธอจะต้องเสียใจในทุกสิ่งที่เธอทำในวันนี้แน่นอน!”ฉันยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน“บางทีฉันอาจจะเสียใจ แต่ฉันจะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ฉันเลือก เพราะฉันรู้ดีว่า มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง และทำให้ฉันสามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองได้ และสำหรับคุณ ศาสตราจารย์จาง คุณจะต้องกลายเป็นฝันร้ายของตัวเอง”พูดจบ ฉันหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปตอนนั้นเอง ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาซูข่ายเหวิน“หลักฐานทั้งหมดเก็บรวบรวมเรียบร้อยหรือ