"นายน้อยขอรับสตรีผู้นี้เป็นคนรักขององค์ชายสามนะขอรับ แล้วทำไมเขาต้องแต่งงานกับนายน้อยด้วยหรือขอรับ "
ซูเสวี่ยถามผู้เป็นนายขึ้น "ก็เรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ มันเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยที่ข้าต้องแต่งกับสตรีผู้นี้ หรือเจ้าอยากให้ข้าผิดใจกันกับแม่ทัพหลิวซึ่งเขาเป็นหัวหน้าของหองกำลังทหารองครักษ์ที่อยู่ในวังหลวง ถึงแม้ว่าเราจะมีกองทัพในมือหลายกองแต่ข้าว่าเราก็ไม่ควรที่จะผิดใจกับกองกำลังรักษาวังหลวงหรอกเอาเป็นว่าเจ้าไปสืบเรื่องของฮองเฮาและองค์ชายสามมาก็แล้วกัน" หนามกงฟู่กล่าวขึ้น เขาไม่เคยให้ลูกน้องคนสนิทของเขาเรียกเขาว่าองค์ชายรัชทายาทให้เรียกนายน้อยแทนเพราะว่าเวลาที่เขาออกไป ณ สถานที่ต่างๆกับลูกน้องคนที่สนิทเขาจำเป็นที่จะต้องปิดบังตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทไว้ แม้นกับวังหลวงในครั้งนี้ซูเสวี่ยต้องออกไปสืบสถานการณ์ต่างๆอยู่บ่อยๆ เขาก็ไม่ค้านที่จะทำเพื่อเจ้านายของตัวเองเขาเต็มใจไปสืบด้วยตัวเองเนื่องจากว่าข้อมูลจะได้ไม่ผิดพลาด และไม่ไว้ใจคนอื่นอีกด้วย ที่เขาไปสืบเรื่องขององค์ชายสามอาจเป็นเพราะว่าสตรีผู้นั้นชอบพอกับองค์ชายสามอยู่ เขาแอบตามองค์ชายสามก็พบว่าองค์ชายสามได้จองโรงเตี๊ยมเพื่อไปดื่มน้ำชากับใครสักคน ซูเสวี่ยจึงเข้าห้องข้างๆที่พวกเขาจองไว้ และสั่งน้ำชาและขนมมาสักเล็กน้อย และสั่งให้คนอย่ารบกวนเพราะเขานัดสหายไว้ "คุณชายขอรับข้ายังไม่อาจเชิญสหายของท่านมาได้เพราะตอนนี้องค์ชายสามเสด็จมา และได้จองห้องข้างๆไว้ ถ้าหากท่านยังไม่เข้ามาข้าเกรงว่าคงไม่ได้รับอณุญาติให้เข้าแล้ว วันนี้ข้าถือว่าข้าเสียมารยาทแต่ท่านเห็นแก่หน้าข้าสักหน่อยเถอะนะ ท่านช่วยอยู่ในนี้ด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมด้วยเถอะขอรับ แล้อาหารมื้อนี้จะให้ท่านทานไม่คิดเบี้ย" เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมพูดขึ้น ซูเสวี่ยพยักหน้าทำท่าราวกับจนใจ "แล้วเจ้าไม่ต้องไล่ข้าออกหรอกหรือ" ซูเสวี่ยถามขึ้น "ไล่ได้ที่ไหนล่ะขอรับ องค์ชายสามกำลังขึ้นมาแล้วหากเขาเห็นทางก็คงสั่งคนจับท่านไปประหารสิ ท่านอยู่ที่นี้อย่าส่งเสียงนะขอรับ" เฒ่าแก่โรงเตี้ยมกล่าว และเร่งที่จะออกไป ซูเสวี่ยจึงใช้หลอดดักฟังพวกเขาคุยกัน พอเฒ่าแก่เดินออกไปเขาก็ติดตั้งมันไว้แล้วมานั่งดื่มอย่างเงียบฉี่ เขาไม่ต้องการให้ใครมารบกวนอยู่แล้ว เมื่อนั่งจิบน้ำชาอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆมีความเคลื่อนไหว "หวังว่าเจ้าคงไม่ต้อนรับแขกผู้อื่นหรอกนะ เจ้าคงรู้ว่าข้าไม่ชอบมานั่งจิบน้ำชาร่วมกับแขกผู้อื่น แล้วผู้ที่จข้านัดมาหรือยังหากนางขึ้นมาด้านบนแล้วห้ามผู้ใดขึ้นมาด้านบนเป็นเด็ดขาด" เสียงองค์ชายสามดังขึ้น "ขอรับองค์ชายสามไม่มีใครอยู่ณโรงเตรี๊ยมแห่งนี้เลยขอรับ" เสียงผู้ให้บริการกล่าวขึ้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีคนที่อยู่ข้างๆห้อง ที่องค์ชายสามอยู่หรือไม่เพราะเฒ่าแก่ได้กันไม่ให้ทุกคนเข้าโรงเตรียมนานแล้วเมื่อองค์ชายสามมาถึง ซูเสวี่ยได้ฟังคนพูดก็หยิบหลอดดักฟังขึ้นมาเอาอีกด้านใส่หูของตัวเอง ไม่นานก็มีเสียงประตูเปิดขึ้น "คารวะองค์ชายสามเพคะ" เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นซึ่งซูเสวี่ยเองไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เสียงสตรีผู้นั้นก้าวเข้ามาด้านในและนั่งลงที่จุดไหนสักที่หนึ่ง และเสียงรินน้ำชาเสียงทุกอย่างแม้อยู่ห้องข้างๆก็ยังได้ยินชัดเจน "เรื่องของเสียงเหย่า ไปถึงไหนแล้วเพคะ ครั้นข้าจะไปเยี่ยมนางที่จวนตระกูลหลิว ก็ห้ามมิให้ข้าเข้าไปเยี่ยม ข้าจึงไม่รู้เลยว่านางเป็นเยี่ยงไรบ้างแล้วนางจะทำตามแผนเราหรือไม่เพคะ" เสียงสตรีผู้นั้นกล่าวขึ้น แผนมันเป็นแผนขององค์ชายสามกับคู่รักคู่นั่นหรือที่ทำให้เจ้านายตัวเองต้องลำบากขนาดนี้ "นางหัวอ่อนจะตายเดี๋ยวข้าจะเข้าไปเยี่ยมเองแล้วบอกกับนางว่านางต้องทำอย่างไรให้บิดาของนางเอาเรื่องเจ้าองค์ชายรัชทายาทจนมันต้องสละตำแหน่งนี้ถึงมันไม่สละพวกเราก็ต้องบีบมันบีบให้เสด็จพ่อสละให้มันเอง และอีกอย่างแม่ทัพหลิวนั้น รักบุตรีมากไม่ยอมให้บุตรีตัวเองเสียเปรียบบุรุษผู้ใดหรอก ขั้นนี้เจ้าองค์ชายรัชทายาทนั้นจบเห่เลยทีเดียว" เสียงองค์ชายสาม ดังขึ้น ทำให้ซูเสวี่ยคิดเดือดดาลอยู่ในใจแต่เขาเป็นชายชาตินักรบย่อมที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เขาถือจอกน้ำชาโดยไม่วางเพราะเขารู้ดีว่าหากวางตอนนี้มันจะทำให้ผู้ที่อยู่ห้องข้างต้องรู้ว่าเขามีตัวตน แอบฟังขนาดนี้ต้องโดนตัดหัวเป็นแน่เรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อย "แล้วท่านก็คงจะแต่งกับเสียงเหย่าแทนองค์ชายรัชทายาทถึงเพคะ" เสียงสตรีผู้นั้นเก่าขึ้น "เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าสตรีผู้นั้นก็เป็นดังบุปผาที่ต้องมือชายแล้วเสด็จแม่ข้าเป็นถึงฮองเฮาจะให้เขามาเป็นชายาอีกได้อย่างไร ถ้าแต่งเข้ามานางก็ได้เป็นแค่อนุเท่านั้น เจ้าต่างหากที่สำคัญกับข้ามาก ข้าแค่ต้องการกองกำลังสนับสนุนของทหารรักษาการณ์วังหลวงแค่เท่านั้น" องค์ชายสามกล่าวขึ้นอีก ซูเสวี่ยสมน้ำหน้าหลิวเสียงเหย่าอยู่ในใจ สตรีผู้นี้บังอาจทำร้ายเจ้านายน้องของเขา แต่สุดท้ายนางก็ถูกหลอกใช้หลังจากที่คุยกันได้สักพัก ซูเสวี่ยเอ็งก็ปะติปะต่อแล้วรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่อดทนให้ทั้งสองออกจากห้องแล้วเขาจะได้จากไป "เดี๋ยวท่านจะไม่จัดการนางหรือเพคะ จะให้นางอยู่เป็นหนามตำอกของหม่อมฉันหรือเพคะ" เสียงสตรีผู้นั้นดังขึ้นอีก "ข้าต้องจัดการนางอยู่แล้วแต่ตอนนี้นางยังมีประโยชน์ครั้งนี้หากจัดการองค์ชายรัชทายาทได้ให้สละตำแหน่งแล้ว สักวันเขาก็ต้องมาทวงตำแหน่งคืนเพราะฉะนั้นบุตรที่อยู่ในครรภ์ของสตรีผู้นั้นย่อมมีประโยชน์กับพวกเราในภายหลัง เจ้าเองก็ต้องทำดีกับนาง ไว้หากเราได้ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทเมื่อใดกำจัดนางแน่ ตอนนี้ข้ายังหาวิธีที่จะกำจัดองค์ชายรัชทายาทนั้นให้สิ้นซากไม่ได้ เพราะถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นข้าก็จะเข้าไปรับผิดชอบเสียงเหย่าทำให้องค์ชายรัชทายาทนั้นถูกปลดเพียงแค่ถูกปลดแต่เขาก็ยังไม่ได้ตายเสียหน่อย เพราะคงไม่มีเหตุผลอะไร ความผิดแค่นี้ ไม่ถึงกับประหารชีวิต" เสียงองค์ชายสามดังขึ้นมาอีก ถึงขนาดต้องฆ่ากันเลยหรือซูเสวี่ยได้แต่คิด "นางจะมีบุตรได้อย่างไรในเมื่อนั้นท่านให้นางดื่มยาหยุดตั้งครรภ์แล้วนี่" เสียงสตรีผู้นั้นดังขึ้น "ข้าก็บอกเจ้าอยู่ไงว่าสตรีผู้นั้นมันหน้าโง่บอกว่ายาหยุดตั้งครรภ์มันก็คิดว่าเป็นยาหยุดตั้งครรภ์มันจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่ายานั้นเป็นยาบำรุงครรภ์ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตั้งครรภ์ก็จะทำให้มันตั้งครรภ์อยู่ดี" เสียงองค์ชายสามดังขึ้นอีก หลังจากการสนทนาผ่านไปสักพักเขาก็ได้ยินความเคลื่อนไหวของห้องนั้นเปลี่ยนออกไปเสียงเหมือนมีอะไรเสียดสีกับพื้นและสักพักก็เหมือนได้ยินเสียงหายใจที่หื่นหอบไม่นานนักก็ได้ยินเสียงสตรีคราง ซูเสวี่ยจึงดึงหลอดดักฟังออกจากหูและเก็บมันเข้าในย่านทันทีบทรักของของข้างๆดำเนินไปอย่างช้าๆเสียงก็ยังไม่ได้ดังมาก เมื่อไม่ได้ใช้หลอดดักฟังแล้วซูเสวี่ยเพียงแค่ได้ยินเสียงของสตรีครางเล็กน้อย เขาเริ่มดื่มน้ำชาไปด้วยเหงื่อที่รินไหล ถึงเขาจะเป็นบุรุษหนุ่มแต่เขาก็ไม่เคยมีเรื่องอย่างว่าแบบนี้มาก่อนืทำให้เขานั้นจินตนาการไปตามหนังสือภาพที่เคยเห็น แล้วทำให้เหงื่อเขาไหล สักพักเหมือนห้องข้างๆได้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเสียงครางของทั้งสองประสงค์ปนเปกันไปทั้งเสียงกระแทกที่เป็นจังหวะเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ของอะไรสักอย่างซูเสวี่ยอดทนไม่ได้เปิดหน้าต่างแง้มๆและห้องข้างๆไม่มีวี่แววที่จะสงบลงเลยเขาจึงเปิดสุดและกระโดดออกจากหน้าต่างไปทันที เมื่อเขาออกไปไกลแล้วมองไปด้านบนก็ไม่เห็นว่ามีผู้ใดจะเปิดหน้าต่างมาดูเขา แสดงว่าห้องข้างๆนั้นน่าจะเมามันจนไม่รู้ว่าเขาอยู่เป็นแน่ เขาจึงรีบกลับตำหนักขององค์ชายรัชทายาททันที ด้วยความที่หนักอึ้งและคับแน่น เมื่อไปถึงตำหนักเขาก็ไม่ได้เข้าไปหาผู้เป็นเจ้านายทันที เขาไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่สักพัก จนในที่สุดองค์ชายรัชทายาทก็รู้ว่าเขากลับมาแล้วจึงเรียกตัวเข้าพบ"เจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง ที่เจ้าออกไปติดตามองค์ชายสาม และฮองเฮานั้น"องค์ชา
"องค์ชายรัชทายาทมีธุระอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ "หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้นพลางมองสบตาองค์ชายรัชทายาท ทำให้เขานั้นรู้สึกหวั่นไหวสตรีผู้นี้ช่างแข็งแกร่งเสียเหลือเกินไม่กลัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว"ก็มาเรื่องอภิเษกสมรสของเราทั้งสอง วันนี้ข้านำของมากราบไหว้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้า แล้วข้าก็จะมาตกลงกับเจ้าอีกเรื่องที่เราอภิเษกสมรสกันแล้ว ฮ่องเต้อยากให้ข้าอยู่ที่วังหลวงต่อ แต่ข้าคิดว่ากองทัพในด่านทิศเหนือนั้นต้องการข้าเป็นไหนไหน หาข้าอภิเษกสมรสแล้ว ข้าต้องกลับไปยังค่ายทางทิศเหนือ ข้าจึงอยากมาเจรจากับเจ้า เพราะถ้าเจ้าแม่ยินยอมข้าก็ไม่สามารถที่จะไปได้"องค์ชายรัชทายาทกำลังพูดยังไม่ทันจะจบดี"หม่อมฉันรู้ดีเพคะ เรื่องบ้านเมืองนั้นสำคัญความจริงหม่อมฉันยังไม่ได้อยากอภิเษกสมรสแต่อย่างใด อยากให้ท่านกลับไปป้องกันด่านทิศเหนือก่อน และข้ายังคิดอีกว่าด่านที่เป็นทะเลนั้น น่าจะมีคนป้องกันอยู่บ้าง เพราะตอนนี้เหมือนข้าศึกจะล้อมพวกเราอยู่ทุกด้านยกเว้นด้านทะเล ข้าเกรงว่าจะเป็นด้านนั้นที่ข้าศึกช่วยกันโจมตีแคว้นตงของเรา"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น ทำให้องค์ชายรัชทายาทมองเสียงเหย่าที่เปลี่ยนไป เดิมทีเขาคิดว่าการอภิเษกสมร
เมื่อแผนของฮองเฮาและองค์ชายสามนั้นจบลง เนื่องจากว่าเป็นการยอมความของแม่ทัพหลิวก็ทำให้ฮองเฮาไม่พอใจเป็นอย่างมากเขาจึงไปกราบทูลกับฮ่องเต้เรื่องนี้"เสด็จพี่เพคะทำไมบุตรีแม่ทัพหลิวถึงต้องอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาททั้งๆที่ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าองค์ชายสามกับนางรักใครกัน"ฮองเฮากล่าวขึ้นเหมือนไม่รู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับหลิวเสียงเหย่า คำพูดของนางทำราวกลับว่าองค์ชายรัชทายาทนั้นแย่งคนรักขององค์ชายสามอย่างใดอย่างนั้น"ฮองเฮาเจาก็จงปล่อยวางเสียเถอะ เรื่องของคนรุ่นหลังเจ้าก็ถือว่ามารดาของแผ่นดิน เป็นมารดาขององค์ชายรัชทายาท เจ้าต้องรักบุตรที่เท่ากัน ฟู่เออร์กับบุตรีแม่ทัพหลิวชอบพอกันก็ให้เขาแต่งกันเถอะ"ฮ่องเต้กล่าวขึ้น"รักกันหรือเพคะเสด็จพี่ หม่อมฉันเห็นแต่เฉียวเออร์ที่รักกับแม่นางหลิวผู้นั้นแต่ทำไมถึงเป็นองค์ชายรัชทายาทไปได้เพคะ หรือเป็นเพราะว่าตำแหน่งของเขาถึงจะแย่งคนรักของบุตรชายของหม่อมฉันก็ได้หรือเพคะ"ฮองเฮากล่าวขึ้นและเดินจากไปทันทีโดยไม่ฟังว่าฮ่องเต้จะกล่าวยังไงอีก เขารีบไปคุยกับบุตรชายของเขาว่าห้องเต้กล่าวมาแบบนี้ องค์ชายสามจึงไปขอพบกับหลิวเสียงเหย่า ในที่สุดก็ได้เข้าไปพบแต่ครั้งนี้นางไม่ได้
"แม่นางหลิวขอรับองค์ชายรัชทายาทให้ข้ามาถามว่า ครั้งนั้นที่จวนของแม่ทัพหลิวองค์ชายรัชทายาทได้ติดค้างเรื่องสำรับกับแม่นางหลิวอยู่ ครั้งนี้แม่นางหลิวจะสะดวกที่จะรับสำรับกับองค์ชายรัชทายาทหรือไม่ขอรับ"ซูเสวี่ยกล่าวเชื้อเชิญหลิวเสียงเหย่าจนหลายๆคนได้ยินและมองพวกเขากัน ความสัมพันธ์สองคนนั้นไปถึงไหนกัน ไปหาทีจวนหลิวอีกต่างหาก"ข้าว่างอยู่พอดี แต่ข้าบอกกับคนในตระกูลว่ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพียงสักครู่ก็จะกลับ ข้าไม่ได้แจ้งกลับทางนั้นว่าจะมารับสำหรับด้วย"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น "ถ้าอย่างนั้นข้าขอเชิญท่านไปตำหนักองค์ชายรัชทายาทก่อนเดียวข้าจะไปจวนแม่ทัพหลิวเพื่อกล่าวบอกกับทางนั้นเองขอรับ"ซูเสวี่ยกล่าวขึ้นและผายมือเชิญหลิวเสียงเหย่าไปตำหนักองค์ชายรัชทายาทเพื่อไปรอรับสำหรับในห้องรับรอง "ถ้าได้สั่งให้คนไปเตรียมสำหรับแล้ว "องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่กล่าวขึ้น หลิวเสียงเหย่า เห็นบ่าวรับใช้อยู่ผู้หนึ่งทหารจริงเดินไปใกล้ๆแล้วนางก็มองร้อยสายตาที่ขมิ้นแล้วนางก็สะดุดล้มลง"แม่นางหลินเจ้าเป็นอะไรหรือไม่"องค์ชายรัชทายาทนามกงฟู่ถามขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปประคอง บ่าวผู้ที่นั่งอยู่นั้นก็ตกใจกำลังจะยื่นมือไปสัมผัส
"องค์ชายสามขอรับกระหม่อมไปรอแม่นางจางที่ตำหนักองค์ชายรัชทายาทราวๆสามก้านธูปแล้วแม่นางก็ไม่ออกมาพบกระหม่อม เกรงว่าจะมีปัญหากับนางเป็นแน่ขอรับ แม่นางหลิวก็กลับไปยานมากแล้ว แม่นางจางก็ไม่ได้มาส่งข่าวเสียที"ลูกน้องคนสนิทขององค์ชายสามซ่ากัวกงกล่าวขึ้น องค์ชายสามรอให้นางมารายงานว่าหลิวเสียงเหย่านั้นพูดคุยสิ่งใดกัน เขาสงสัยยิ่งนั้งเรื่องความสัมพันธ์ของตนและหลู่ชิงเหยานั้นทำไมหลินเสียงเหย่านั้นรับรู้ ที่นางเปิดเผยครั้งนี้มันร้ายแรงมากเลยที่เดียวนางรู้มานานแล้วหรือพึ่งรู้กันนะ แล้วนางรู้อะไรมาบ้าง ตอนนี้องค์ชายสามกำลังวุ่นวายในใจ ใจหนึ่งก็กระวนกระวายเรื่องที่หลิวเสียงเหย่ารู้เรื่องตนกับหลู่ชิงเหยา อีกใจหนึ่งก็ร้อนใจที่จางจินซูไม่มารายงานเขาเสียทีว่าเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง หลิวเสียงเหย่ากับองค์ชายรัชทายาทเขาคุยอะไรกันบ้าง นางรู้อะไรเกียวกับเขาบ้างนะ เขาน่าจะต้องส่งคนไปจวนหลิวแล้วล่ะ จะได้รู้ว่านางรู้เรื่องอะไรบ้าง"ซ่ากัวกง เจ้าออกไปหาซื้อตัวบ่าวในจวนตระกูลหลิวคอยสืบข่าวให้ข้าที เอาคนที่ค่อนข้างสนิทกับคุณหนูตระกูลหลิวผู้นั้น บ่าวที่รับใช้ข้างกายนางก็ได้ หรือไม่ก็คนที่เข้าออกเรือนของนางบ่อยๆก็ได้
"เสียงเหย่าพ่อมีบ่าวผู้หนึ่งมาให้เจ้าดูตัว เห็นเขามาหางานในจวน จะให้พ่อซื้อเป็นทาสพ่อก็เลยคิดถึงเจ้าที่กำลังจะออกเรือน เผื่อเจ้าจะต้องการบ่าวพูดซื่อสัตย์เพิ่ม บ้านของสตรีผู้นั้นน่าสงสาร ที่บ้านนางยากจน นางอยู่กับพ่อกับแม่ที่พิการ นางจึงใช้ตัวเองมาขายเพื่อที่จะนำเบี้ยไปรักษาซื้อหยุกซื้อยาให้พ่อกับแม่ เจ้าลองดูเสียหน่อยเถอะ สตรีผู้นี้ไม่ได้มีความงามราวกับสตรีที่อยู่ในวังหลวงเจ้านั้น สบายใจได้เลยเรื่องนี้"แม่ทัพหลิวกล่าวกับบุตรสาว เมื่อได้ฟังว่าบ้านของนางยากจน พ่อแม่พิการหลิวเสียงเหย่าก็รู้สึกสงสัยว่า แล้วแต่ก่อนนั่นนางทำอันใดอยู่นางจึงไม่หางานทำ หรือว่าจริงๆแล้วบิดากับมารดาของนางพึ่งจะพิการกันนะ แล้วอีกอย่างที่บิดาของตนพูดว่าหน้าตาธรรมดาไม่งามเท่าหญิงที่เป็นบ่าวในวัง แสดงว่าข่าวที่นางจัดการสตรีผู้นั้นคงมาถึงหูผู้เป็นบิดาของนางเรียบร้อยแล้ว"ท่านพ่อไม่ใช่ว่าลูกไม่อยากได้บ่าวนะเจ้าค่ะ แต่ทำไมนางพึ่งมาหางานทำหรือเจ้าคะ ทำไมบิดามารดาของนางพึ่งพิการหรืออย่างไรเจ้าคะ แล้วท่านางมาทำงานกับเรา แล้วใครจะดูแลบิดามารดาของนางละเจ้าค่ะ เห็นท่านพ่อพูดมาข้าก็นึกสงสารนางอยู่หรอก แต่ตอนนี้ข้าก็บังอาจไป
"องค์ชายสามขอรับกระหม่อมให้สตรีนางหนึ่งเข้าไปในจวนตระกูลหลิวแล้วขอรับ แต่นางได้ไปรับใช้ที่เรือนฮูหยินหลิว นางไม่ได้ไปรับใช้ที่เรือนของคุณหนูหลิวนะขอรับ เห็นว่าบ่าวรับใช้ของคุณหนูตระกูลหลิวนั้นมีมากมายอยู่แล้ว และอีกอย่างนางน่าจะออกจากเรือนในเร็ววันจึงไม่รับเพิ่มขอรับ"ซ่ากัวกงกล่าวรายงาน ระหว่างที่องค์ชายสามกับหลูชิงเหยากำลังนั่งคุยกันในศาลา"เรือนของนางนั้นบ่าวรับใช้มีมาก หรือว่านางจ้องจะระวังตัวกันแน่นะ ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้เสียงเหย่าแปลกๆ บางครั้งสายตาที่นางมองข้า เหมือนโกรธเกลียดสักอย่าง แล้วเรื่องที่เจ้ากับข้านั้นอีก ครั้งนั้นที่ฮ่องเต้เรียกเข้าพบ นางก็พูดให้ฮ่องเต้รู้เรื่องของเราทั้งสองแล้ว ดีหน่อยที่ฮ่องเต้ไม่สืบสาวราวเรื่อง ให้ข้าจบแต่เพียงเท่านั้น"องค์ชายสามหนามกงเฉียวกล่าวขึ้น"แล้วองค์ชายสามต้องการให้นางรักองค์ชายสามหรือเพคะ "หลู่ชิงเหยากล่าวถาม"มันเป็นแผนของเราที่เราเคยปรึกษากันแล้วนิ ว่าจะให้นางตกหลุมรักข้า แต่ค่าสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่คืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในครั้งนั้นข้าก็เหมือนรู้สึกว่านางเปลี่ยนไป และอีกอย่างเหมือนข้ามีแผนใด นางก็ต้องรู้แผนของข้าอยู่ร่ำไป ครั้งท
"ท่านว่าอะไรนะ บ่าวรับใช้ที่อยู่ตำหนักท่านวันนั้นตายในกรมราชทัณฑ์แล้วหรือ มันเรื่องอะไรกัน ใครเป็นคนฆ่านาง"หลิวเสียงเหย่ากล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย ชาติที่แล้วแม่นางจางผู้นั้นยังไม่ได้ตาย ตอนที่พวกเขาสามคนตาย แม่นางจางนั้นยังมาดูพวกเขาอยู่เลย แต่ทำไมกลับมาครั้งนี้ นางตายเสียได้ "เพราะข้าไม่รู้อะไร จึงได้มาถามแม่นางนี่แหละ แหละ คิดว่าทำไมเจ้าถึงมีปัญหากับบ่าวผู้นั้นทำไมท่านถึงไม่ชอบเขา"องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟูถามขึ้น"หม่อมฉันไม่ใช่ไม่ชอบเขาเสียหน่อย เอาเป็นว่าท่านกลับไปก็ไปหาเอกสารความเป็นนายเป็นบ่าวของนาง แล้วก็ดูประวัติของนางเสียหน่อย ท่านจะได้มีหลักฐานไว้ในมือ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้จัดการ แต่คนเหล่านั้นน่าจะพุ่งเป้ามาที่ตำหนักขององค์ชายรัชทายาทนั่นแหละ"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น "เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ข้าให้ซูเสวี่ยไม่จัดการรอข้าแล้ว เจ้าไม่มีอะไรจะบอกข้าจริงไปหรือ"องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟูถามขึ้น"หม่อมฉันไม่มีอะไรที่หม่อมฉันรู้จริงๆเพคะ เพราะหากมีเรื่องใดที่หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันก็จะบอกพระองค์"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น เพราะเขาเองก็กำลังวิตกเช่นเดียวกัน เพราะมันนอกเหนือสถา
เมื่อองค์ชายรัชทายาทจะออกจากค่ายด้านเหนือจึงเขียนจดหมายกลับไปหาฮ่องเต้เพื่อที่จะขอคนจากวังหลวงเพื่อที่จะไปศึกษาเส้นทางที่อยู่ดินแดนติดกับแม่น้ำฝั่งตะวันออก เขายื่นจดหมายให้รองแม่ทัพเพื่อที่จะหาคนไปส่งให้เขา ยังวังหลวงมีจดหมายจากวังหลวงมาถึงองค์ชายรัชทายาทหนึ่งฉบับ"นายน้อยขอรับน่าจะเป็นจดหมายจากพระชายาขอรับ"ซู่เสวี่ยกล่าวขึ้น องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่รีบคว้าจดหมายนั้นมาเปิดทันที "หวังว่าท่านพี่คงสบายดี น้องนั้นได้ตั้งครรภ์ตามที่เราปรารถนาแล้ว หวังว่าท่านพี่คงจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีเพื่อที่จะกลับมาอยู่กับน้องและบุตร ทางชายแดนด้านตะวันออกของแคว้นตรงนั้นติดกับแม่น้ำหนองหว้าท่านพี่ไม่น่าจะวางใจทางแม่น้ำท่านน่าจะรีบจัดคนไปเฝ้าไว้ น้องได้ข่าวจากท่านพ่อว่าแคว้นอื่นๆตอนนี้เหมือนว่าจะคุ้มกันค่ายที่ติดกับแคว้นตงของเราเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดที่จะโจมตีแต่อย่างใด น้องคิดว่ามันเป็นอุบายเพื่อให้เราตายใจ และจะก่อตัวโจมตีอีกครั้งหลังที่วางคนให้เดินทางข้ามแม่น้ำนั้นมาแล้ว ท่านพี่ให้คนไปสังเกตการณ์ทางด้านทิศแม่น้ำหรือยังเพคะหากยังน้องว่าท่านที่ต้องรีบเร่งแล้ว "พระชายาเขียนจดหมายถึงสวามีเขาจำได้ว่าใน
พระชายาหลิบกลับตำหนักและเขียนจดหมายถึงองค์ชายรัชทายาททันที ทางด้านองค์ชายรัชทายาทเมื่อเขียนจดหมายให้พระชายาก่อนที่ตนออกจากเมืองหลวงแล้ว ก็เฝ้ารอจดหมายของพระชายาตอบกลับแต่ก็ไร้วี่แววยิ่งนัก เมื่อไปถึงชายแดนเหนือพระองค์ชายรัชทายาทนั้นก็ออกสำรวจเส้นทางทันที ภายในกระโจมในยามค่ำคืนองค์ชายรัชทายาทเปิดแผนที่ตรวจดูอีกครั้ง สายสืบที่ไปสืบยังแคว้นอี้กลับคืนมาบอกว่าทางค่ายของแคว้นอี้นั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อแคว้นอี้ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ และแคว้นเป้ยกับแคว้นจิ้นเองก็น่าจะไร้ความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ทั้งทั้งที่ทุกที่ทุกทางกำลังตึงเครียดแต่ก็เพียงแค่ปกป้องค่ายของตนเองไว้เฉยๆแต่ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ กลุ่มเหล่านั้นน่าจะกำลังเสนอกำลังทำให้เกิดสงครามแก่แคว้นตงของพวกเขาอย่างเดียวเป็นแน่ เขามองดูแผนที่ที่แคว้นตัวเองอยู่ตรงกลางและทิศเหนือทิศตะวันออกและทิศใต้นั้นติดกับแคว้นต่างๆ แต่ยังมีทิศตะวันออกนั้นซึ่งติดกับแม่น้ำ ซึ่งข้ามแม่น้ำไปก็จะมีแคว้นเหว่ยอีกหนึ่งแคว้น ก่อนที่ตนจากมาพาชายาก็ยังเอ่ยถึงเรื่องทิศที่เป็นแม่น้ำ ในการที่พระชายากล่าวในหลายๆเรื่องเหมือนนางรู้เรื่องอะไรมาและก็ถูกดั่งที่นางใจเ
หลิวเสียงเหย่าปล่อยเรื่องที่เสี่ยวไป๋สืบได้ไปก่อน นางได้ข้อมูลคร่าวๆแล้วและนางก็คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่นางพยายามเปลี่ยนแปลงจากอดีตในชาติที่แล้ว แต่ยังมีคนของสำนักเต๋าผู้นี้ซึ่งให้คำปรึกษากับหลู่ชิงเหยาอยู่ จึงทำให้เมื่อนางปรับเปลี่ยนสถานการณ์ไปจากเดิม คนผู้นั้นก็จับทางนางได้และให้คำปรึกษากับหลู่ชิงเหยา ให้ปรับเปลี่ยนแก้เกมของนาง สตรีผู้นี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ที่เพียงแค่คิดจะแย่งชิงดวงของนางพวกเขาก็แย่งชิงได้ เพราะมีคนอยู่เบื้องหลังนี่เอง เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ที่อยู่สำนักเต๋าผู้นั้นเป็นใครกัน แต่นางเองยังไม่เข้าใจคำว่าสำนักเต๋าเลยด้วยซ้ำ นางจึงต้องศึกษาให้มากกว่านี้ นางจึงไปหาตำราจากห้องตำราของตำหนักองค์ชายรัชทายาท นางหาตำราที่เกี่ยวกับสำนักเต๋าได้มาราวๆสามเล่ม นางจึงนำมันกลับไปศึกษา ทางด้านองค์ชายสามส่งคนไปตรวจสอบตามที่หลู่ชิงเหยากล่าวให้ฟัง ก็ไม่ได้ความว่าทางการส่งบุรุษผู้นั้นไปแต่อย่างไร เขาจึงให้คนไปช่วยจัดการงานอย่างรวดเร็ว และให้เบี้ยกับคนในครอบครัวของผู้นั้นและสอบถามเขาว่าผู้นั้นทำงานให้ผู้ใดกันหรือ"ข้าเองก็เป็นมารดาของเขาแต่ข้าไม่เคยรู้เลย ว่าเขาทำงานให้ผู้ใด เพราะปกติเขาก็
"เสี่ยวไป๋เจ้าเป็นคนกว้างขวางเจ้ารู้หรือไม่ว่าฟังที่บุรุษผู้นั้นกล่าวถึงนั้น คือสถานที่ใดกันละแวกนั้นมีสิ่งใดที่น่าไป แต่เป็นทีปิดบังหากเจ้ามีเวลาลองออกไปตรวจตาดูสักหน่อยเถอะข้าเชื่อในฝีมือเจ้า"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น กับผู้ที่อยู่ในเงามืด ตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้อีกครั้ง นางก็ต้องระวังตัวตลอดเวลาจึงสั่งให้เสี่ยวไป๋คอยอยู่ดูแลนางไม่ห่างและนางก็รับรู้ได้ว่าเขาฟังบุรุษผู้ที่มารายงานเรื่องนี้แล้ว เงานั้นหายไปทันทีไร้ซึ่งการตอบใดๆ เสี่ยวไป๋เป็นคนที่พูดน้อย และประวัติของเขานั้นางก็ไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่ เนื่องจากบิดาเป็นผู้หาให้ ครั้นจะสืบดูประวัตินางก็ไม่ค่อยมีเวลาแต่เขาเป็นคนที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง นางจึงใช้งานเขา ทางการได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุและศพของบุรุษผู้นั้น จนในที่สุดก็รู้ว่าบุรุษผู้นั้นยามค่ำคืนได้กินเหล้าที่หน้าจนตระกูลหลู่ และตอนเช้าก็พบศพอยู่นอกหมู่บ้านทางการจึงแพ่งเล็งมาที่จวนทุกคนหลู่"เป็นใครกันที่ให้การว่าบุรุษผู้นั้น อยู่หน้าจวนของเราทั้งที่พ่อเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นคือใคร และใครทำให้มันตายแล้วแบบนี้จะให้จัดการได้อย่างไร"เสนาหลู่กล่าวกับบุตรี ครั้นหลู่ชิงเหยาจะไม่บ
เมื่อเช้าตรู่ของวันใหม่หลู่ชิงเหยาก็เร่งเดินทางออกจากจวนตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะไปหาท่านนักพรตผู้นั้น ซึ่งนางเองไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนที่คอยตามนางอยู่ ครั้งที่หลิวเสียงเหย่าสงสัยในตัวของสหายผู้นี้ นางจึงให้คนสอดส่องตลอดเวลา เมื่อหลิวชิงเหยาออกเดินทางตั้งแต่รุ่งเช้าจึงทำให้ผู้ที่ติดตามเกิดความสงสัย และติดตามนางไปจนถึงทางออกหมู่บ้านสตรีนางนี้ที่มากับบ่าวราวๆหกถึงเจ็ดคน ก็ไม่ลดละเอาเสียเลย พวกเขามุ่งไปด้านหน้าเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ระหว่างตัวเนื่องจากว่าที่ผ่านมานั้นเมื่อรุ่งเช้าแบบนี้พวกเขาเดินทางได้ชำนาญแล้ว จึงไม่ทันสังเกตว่ามีคนแอบติดตาม ผู้ที่ติดตามสองคนได้แต่แอบติดตาม ตามเดิมพวกเขาติดตามนางในระยะประชั้นชิดแต่ตอนนี้เหมือนไร้ผู้คนรอบข้างพวกเขาทั้งแปดคนได้เดินออกจากผู้คนแล้ว หนึ่งในนั้นจึงอาสาที่จะตามไปเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนนั้นกลับไปรายงานยังตำหนักขององค์ชายรัชทายาททันที "เมื่อมีคนมายังตำหนักองค์ชายรัชทายาทแต่พระชายาหลิวนั้นยังหลับอยู่และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญทีแรกบ่าวรับใช้ก็เกรงว่าจะปลุกพระชายาดีหรือไม่แต่หลิวเสียงเหย่านั้นรู้สึกตัวจึงถามบ่าวหน้าแท่นบรรทม"ใครกันหรือที่มาแต่เช
"ฮ่องเต้พะยะค่ะจดหมายขององค์ชายรัชทายาทกล่าวถึงอะไรพะยะค่ะทำไมถึงใช้ซองจดหมายสีดำกัน"เสนาหลู่กล่าวถามขึ้น เมื่อสักครู่ฮ่องเต้กับเขากำลังคุยเรื่องขององค์ชายรัชทายาทกับหลู่ชิงเหยาอยู่ดีๆ ก็มีผู้รายงานวิ่งลู่เข้ามาบอกว่าพระชายาหลิวได้รับจดหมายซองสีดำจากองค์ชายรัชทายาท เรื่องนี้คงปิดไม่ได้แล้ว"เป็นเพียงจดหมายขององค์ชายรัชทายาทส่งถึงพระชายาเพียงเท่านั้น เนื้อหาภายในนั้นข้าไม่อาจที่จะแพร่งพรายบอกกับผู้อื่นได้ เอาเป็นว่ามันเป็นจดหมายส่วนตัว ไม่ใช่จดหมายเกี่ยวกับการรบแต่อย่างใด แต่ที่ใช้ซองสีดำนั้นพวกเขาอาจจะหาซองจดหมายสีชมพูไม่ทัน"ฮ่องเต้กล่าวขึ้น แต่เสนาหลู่ก็ยังมีสีหน้าที่สงสัย"วันนี้พอแค่นี้แหละข้าจะต้องจัดการสิ่งอื่นแล้ว"ฮองเต้กล่าวขึ้น"แล้วเรื่องของบุตรีของกระหม่อมกระกับองค์ชายรัชทายาทล่ะพะยะคะ"เสนาหลู่รีบถามขึ้น"เรื่องนั้นให้มันจบเพียงเท่านั้นเถอะมันคงไม่มีสิ่งใดกระมัง"ฮ่องเต้กล่าวขึ้นเพราะเขาอ่านจดหมายของบุตรชายของตัวเองแล้ว จึงกล่าวปฏิเสธออกไป"ไม่ได้นะพะยะค่ะฮ่องเต้เรื่องนี้มันเสียชื่อเสียงของบุตรดีของกระหม่อม"เสนาหลู่ลนลานทีจะพูด"แบบนั้นเจ้าก็ไปสืบเรื่องให้มันกระจ่างแล้ว
เมื่อกลุ่มองค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่หยุดพักผ่อนในระหว่าเดินทาง เขาก็เรียกคุยกับลูกน้องคนสนิท"ซูเสี่ยเจ้าคิดว่าเรื่องที่ตลาดนั้นทางวังหลวงจะรู้หรือเปล่า"องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟูถามขึ้น"กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะถึงวังหลวงแล้วและตอนนี้พระชายาอาจจะไม่พอใจอยู่ก็เป็นได้ขอรับ หากกระหม่อมเป็นนายน้อยกระหม่อมจะเขียนจดหมายไปสารภาพผิดกับพระชายาก่อนที่เรื่องจะถึงหูพระนางเสียอีก"ซูเสวี่ยกล่าวขึ้น"แล้วถ้าหากเรื่องไปถึงหูนางแล้วล่ะ ข้าจะต้องทำเช่นไรดี หากเขียนจดหมายไปตอนนี้จะทันหรือไม่"องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่ถามลูกน้องคนสนิทขึ้น เพราะว่าตัวเขาเองไม่เคยมีความรักไม่รู้ว่าจะต้องเอาใจเยี่ยงไร หรือต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายไม่คิดมาก"กระหม่อมคิดว่านายน้อยน่าจะเขียนจดหมายไปสำนึกผิดขอรับ แล้วก็บอกความในใจแก่พระนาง ให้พระองค์บอกเล่าถึงความเป็นมาว่าเป็นอย่างไร และพระองค์รักพระนางเพียงผู้เดียวเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วขอรับ"ซูเสวี่ยกล่าวขึ้น"งั้นเจ้าไปหาซองจดหมายสีชมพูมาแล้วข้าจะส่งให้พระชายา"องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่กล่าวขึ้น"หากเป็นซองจดหมายสีชมพูพระชายาจะยิ่งโกรธหรือไม่ล่ะขอรับ ในเมื่อนายน้อ
เมื่อกลุ่มขององค์ชายรัชทายาทออกจากวังหลวงแล้ว ชาวบ้านก็ยังไม่ไหวที่จะพูดถึงเรื่องที่คุณหนูตระกูลหลู่ยื่นถุงหอมที่มีเครือเถาย์หลงอยู่ในนั้นให้กับองค์ชายรัชทายาท จนเรื่องไปถึงหูของฮ้องเต้ ฮ้องเต้ทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าพระชายาหลิวจะโกรธเคือง เขาจึงเรียกพระชายาหลิวเสียงเหย่ามาพูดคุย"ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น เมื่อมาถึงห้องทรงอักษรแล้ว"ไม่ต้องมากพิธีหรอกเจ้าขึ้นมานั่งตั่งนี้ ยังไงเจ้าก็คือลูกสะใภ้ของข้า เรื่องที่บุตรชายของข้านั้นนัดพบสตรีนอกวังหลวงนั้น ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่พอใจบุรุษส่วนมากก็จะเป็นแบบนี้ยิ่งพวกเขาเป็นชายชาตินักรบซึ่งไม่ค่อยพบเห็นอีรสตรีสักเท่าไหร่ ก็จะมีพฤติกรรมอย่างนี้หากเจ้าไม่ถือสา ข้าก็ว่าหากกลับจากรบแล้วจะให้สตรีผู้นั้นเป็นชายารองเจ้าจะว่าอย่างไร"ฮ่องเต้กล่าวถามลูกสะใภ้ขึ้น"หม่อมฉันจะว่าอย่างไรได้ล่ะเพคะ หม่อมฉันก็แค่พระชายาจะไปบงกาลชีวิตขององค์ชายรัชทายาทได้อย่างไร เรื่องสมรสนั้นแล้วแต่ฮ่องเต้เพคะ แต่หม่อมฉันอยากเตือนสติสักนิด สตรีผู้นั้นคือแม่นางหลู่ หลู่ชิงเหยาซึ่งเป็นสหายของหม่อมฉัน เขาชอบพออยู่กับองค์ชายสามหนามกงเฉียว หากฮ่องเ
องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่เดินทางเกือบออกจากหมู่บ้านในวังหลวง ก็พบกับรถม้ารถหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถม้าหรูนั้นรู้เลยว่าเป็นของตระกูลหลู่ องค์ชายรัชทายาทเองไม่ได้ลงจากหลังม้าแต่อย่างใด แต่เป็นซู่เสวี่ยลูกน้องคนสนิทขององค์ชายรัชทายาทนั้นกระโดดลงไปและจูงม้าเข้าไปหารถม้าคันหรูคันนั้น"ขอทางด้วยพวกเราเร่งที่จะเดินทางไปค่าย ขอให้รถม้าของตระกูหลู่นั้นหลบทางให้องค์ชายรัชทายาทด้วย หากยังจอดขวางอยู่เยี่ยงนี้ข้าจะคิดว่าพวกเจ้าขัดขวางการทำงานของทางหลวงต้องมีการนำไปกราบลงฝ่าบาท"ซูเสวี่ยกล่าวขึ้น ผู้คนที่เดินทางสัญจรไปมากำลังจับจ่ายซื้อสอยในตลาดทางเข้าหมู่บ้านนั้นก็มองดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อมีรถมาคันหรูคันหนึ่งจอดขวางขบวนขนเสบียงของทหารพวกเขาจึงพากันดูว่าคนที่อยู่ในรถมานั้นเป็นผู้ใด ถึงกล้ามีเรื่องกับทางหลวงขนาดนั้น ไม่นานสตรีผู้หนึ่งที่แต่งชุดที่สวยหรูกำลังเดินลงมาจากรถม้า ดูท่าทีที่สะโอดสะองทั้งสองมือของนางกำชายกระโปรงยกขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินลงจากรถม้าไป รอยยิ้มของนางโปรยลงมาตั้งแต่ไกลทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ๆนั้นแทบจะหยุดหายใจเมื่อมองใบหน้าของนาง"ข้าเพียงมาลาองค์ชายรัชทายาทให้เขาคุยกับข้าสักครู่จะได้ห