พี่สาวที่เธอพูดถึงก็คือบุตรสาวของอรวรรณที่อายุมากกว่าเธอ 2 ปีนั่นแหละ พริมาอยากกลอกตามองบนสักร้อยรอบ เหอะ ถ้านายฉัตรอะไรนั่นดีขนาดนั้น ทำไมไม่ให้รู้จักกับลูกสาวตัวเองล่ะ? มายุ่งกับเธอทำไม!
“นะ นั่น” คุณอรวรรณที่ได้ฟังคำพูดของลูกเลี้ยงถึงกับหาเสียงตัวเองไม่เจอ ริมฝีปากเม้มแน่น มองดูลูกเลี้ยงสาวอย่างขัดใจ
เรื่องอะไรจะยอม แม้ครอบครัวตาฉัตรจะมีฐานะที่ดีแต่ก็ยังด้อยกว่าตระกูลเลิศลักษณ์อยู่มาก เป็นคนดีแล้วอย่างไร หากไม่ใช่ระดับแนวหน้า ก็ไม่เหมาะสมกับคนที่ทั้งสวยทั้งรวยทั้งเก่ง อย่างลูกสาวของเธอหรอก
‘หึ นังเด็กบ้านี่ ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจหาคนใช้ได้มาให้กลับไม่รับไว้ มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ อวดดีอวดเก่งเหมือนนังพริ้มเพราแม่ของมันไม่มีผิด แต่ดูเหมือนว่าปากมันจะร้ายกว่าแม่มันเยอะเลย เมื่อก่อนไม่เห็นมันปากดีแบบนี้ ทำไมตอนนี้ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้กันเนี่ย?’ คุณอรวรรณขบคิดกับตนเองในใจ หากพริมาได้ยินคงตอบว่า ที่ร้ายก็เป็นเพราะโดนคนใจยักษ์ใจมารอย่างคุณป้าและลูกกลั่นแกล้ง คุณพ่อเข้มงวดกดดันจนหมดความอดทนนั่นแหละค่ะ! ถึงได้สู้กลับแบบนี้ โชคดีที่เธอไม่ได้ยิน คุณอรวรรณจึงไม่ได้ฟังถ้อยคำถากถางจากเธอ
“พูดไม่ออกเลยเหรอคะ คุณฉัตรที่ว่าคงจะยังดีไม่พอกับพี่สาวของฉันสินะคะ คุณป้าถึงได้อยากให้ฉันรู้จักกับชายคนนั้นขนาดนี้ คงอยากรีบผลักภาระไปไกล ๆ สินะคะ”
“นี่” คุณอรวรรณใบหน้ากระตุก ไม่คิดเลยว่าเด็กพริมาจะรู้ทันเธอขนาดนี้! แต่ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกันที่วันนี้ลูกเลี้ยงสาวจะกล้าผิดวิสัย ปกติบอกอะไรมันทำตามตลอด ไม่เคยตอบโต้เธอแบบนี้ วันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้เถียงคำไม่ตกฟาก
ยิ่งมองใบหน้าที่เหมือนนางพริ้มเพราอย่างกับแกะยกยิ้มเย้ยหยันมาให้ ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ! เธอเกลียดใบหน้าและสายตานี้ เห็นทีไรก็เหมือนเห็นเงานางเมียน้อยนั่นซ้อนทับมาตลอด เป็นดังหนามยอกอกที่คอยทิ่มแทงเธอไม่เลิก!
“นี่อะไรเหรอคะคุณป้า” พริมายกยิ้มยอกย้อน
“พอได้แล้ว!” คุณเดชาที่ทนฟังทั้งสองคนกระทบกระทั่งกันไปมาไม่ไหวตะโกนบอกให้หยุดทันที ท่านหลับตาสงบสติอารมณ์แล้วหันไปพูดกับบุตรสาวว่า
“พริมา ยังไงก็ตามอีกสามวันฉันต้องได้เห็นเเกที่บ้าน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก เเล้วก็นะ เลิกต่อต้านฉันได้แล้ว อย่าลืมว่าฉันเป็นพ่อแก แกเป็นคนตระกูลเลิศลักษณ์ และตระกูลนี้มีฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว คำสั่งของฉันคือสิทธิ์ขาดจำเอาไว้”
ก้อนเนื้อในอกบีบรัด รู้สึกจุกไปทั้งใจ เมื่อได้ยินคำพูดของคนเป็นพ่อ หญิงสาวอดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้จริง ๆ ขนาดแสดงจุดยืนขนาดนี้ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดอีก
ได้! งั้นมาเจอกันสักตั้ง
พริมาใช้สายตาขบขันมองหน้าบิดา เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนตัดสินใจพูดตอกย้ำสถานะของตัวเอง โดยไม่กลัวว่าคนฟังจะโกรธหรือเสียใจ
“ใช่ค่ะ พริมเป็นลูกคุณพ่อ คุณพ่อเป็นพ่อพริม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพริมจะต้องทำตามความต้องการของคุณพ่อทุกอย่างนะคะ พริมโตแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว พริมมีสิทธิ์ในการตัดสินใจชีวิตของตัวเอง อีกอย่าง... คุณพ่อลืมไปหรือเปล่าคะว่าที่พริมมาอยู่อาศัยบ้านคุณพ่อมันเป็นเพราะอะไร ถ้ามันไม่ใช่คำสั่งเสียของคุณแม่ก่อนตายพริมไม่มาหรอกค่ะ บ้านที่ไม่ใช่บ้านแบบนี้ อยู่ไปก็ไม่มีความสุข ใครจะอยากอยู่กัน” พริมาหยุดหายใจเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า
"และอีกอย่างนะคะ พริมใช้นามสกุลสาระกุลของคุณแม่ ไม่ใช่นามสกุลเลิศลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของคุณพ่อ ดังนั้นคุณพ่อจะใช้อำนาจกะเกณฑ์ชีวิตพริมไม่ได้! ถือว่าพริมขอนะคะ เลิกสักทีเถอะค่ะ”
“ยัยพริม!” คุณเดชากดเสียงต่ำเรียกชื่อบุตรสาว นัยน์ตาแดงก่ำร่างกายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ ลมหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าพริมาไม่ใส่ใจ
“เอาเป็นว่าอีกสามวันพริมจะไปทานข้าวเย็นกับคุณพ่อนะคะ เพราะเราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนานแล้ว ย้ำนะคะ ว่าพริมไปเพราะคุณพ่อ ไม่ได้ต้องการไปดูตัวอะไรกับใครทั้งนั้น ถ้าไม่ต้องการขายหน้า ก็อย่าพาเขามานะคะ เพราะวันนั้นพริมจะพาคนรักของพริมไปด้วย อยากรู้จักกันมากไม่ใช่เหรอคะ อย่าพากันตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็แล้วกัน อ้อ คิดดี ๆ เรื่องจับคู่ให้พริมด้วยนะคะ หน้าแตกพริมไม่รู้ด้วยนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพริมกลับคอนโดก่อนนะคะ ขอตัว”
พริมาสะบัดหน้าเดินออกจากห้องทำงานของคุณเดชาไป ทิ้งเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยความโกรธเกรี้ยวไว้เบื้องหลัง มาทำงานวันนี้มีแต่ความวุ่นวาย เธอเหนื่อยและปวดหัวมากจริง ๆ สิ่งเดียวที่จะเยียวยาหัวใจแสนบอบบางและอ่อนล้านี้ได้ คงมีแค่รพีพัฒน์เท่านั้น
เหนื่อยจัง
ขอกำลังใจหน่อยได้ไหมคะ
พี่พี... พริมต้องการกอดพี่พีจังเลยค่ะ
ต้องการมาก ๆ เลย
พริมากดส่งข้อความหาชายคนรักแล้วเร่งรีบขับรถออกจากบริษัทตรงกลับคอนโดมิเนียมทันที
พริมากลับถึงคอนโดมิเนียมอย่างหมดแรง เธอเปิดไฟในห้องแล้วเข้าไปหยิบน้ำเย็นขึ้นมาดื่ม ความเย็นของน้ำช่วยเรียกความสดชื่นให้ร่างกายเล็กน้อย หลังเก็บขวดน้ำเข้าตู้เย็นเช่นเดิม ก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาห้องนั่งเล่นรอรพีพัฒน์กลับมา “หากแม่ยังอยู่มันคงดีกว่านี้”พอได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวก็เริ่มฟุ้งซ่าน ยิ่งวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะด้วยแล้ว อารมณ์ของเธอตอนนี้มันไม่ปกติอย่างมาก พริมาคิดถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง ตอนที่ยังเป็นเด็ก พริมาอาศัยอยู่กับมารดาในอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางเพียงสองคนเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าพ่อตัวเองคือใคร เพราะทุกครั้งที่ตั้งคำถาม นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังแอบเห็นมารดาหลบไปร้องไห้เงียบ ๆ สุดท้ายด้วยความไม่อยากเห็นคนที่รักทุกข์ใจ เธอจึงไม่ถามและไม่สนใจเรื่องของบิดาอีก ขอแค่ทุก ๆ วันมีมารดาอยู่เคียงข้าง เธอก็มีความสุขที่สุดแล้วกระทั่งพริมาอายุ 10 ขวบ มารดาที่ไม่เคยคิดบอกเล่าเรื่องราวของบิดา ก็กล่าวต่อเธอทั้งหมด ว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร คราแรกที่รับรู้ว่าตนเองมีบิดาเหมือนคนอื่นเขาเธอรู้สึกดีใจอย่างมาก รวมทั้งสงสัย ว่าบิดาที่ไม่เคยเห็นหน้าจะรักเธอไหม จะดีต่อเธอเหมือนมารดาหรือเปล่า เด็
และการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเลิศลักษณ์ตลอดเวลาที่ผ่านมา เด็กหญิงพริมาต้องทนฟังถ้อยคำดูถูกถากถาง ที่แม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาคอยพูดกรอกหูทุกวัน ถูกกลั่นแกล้งทุกครั้งที่ลับสายตาเขา มีสักครั้งไหมที่เขาคอยปรามให้ หึ ไม่มีนานวันเข้าเด็กหญิงก็ไม่ยอม เธอเริ่มโต้กลับ เพราะรู้แล้วว่าไม่มีใครปกป้องเธออีกแล้ว ถ้าเธอไม่สู้ ก็ต้องถูกรังแกแบบนี้ต่อไป แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรล่ะ?ทันทีที่เธอปกป้องตัวเอง เธอก็กลายเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่มีสัมมาคารวะ ไร้มารยาท ถ้อยคำดุด่ายาวเป็นพืด ต่อให้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเริ่ม เธอก็ผิดอยู่ดี นอกจากบิดาจะไม่เชื่อแล้ว เขายังไม่เคยคิดปกป้องเธอด้วยเช่นกันนับตั้งแต่นั้นมา พริมาจึงเลิกคาดหวังทุกอย่างเกี่ยวกับบิดา คอยหลีกเลี่ยงสองแม่ลูกเพราะไม่ต้องการความวุ่นวาย อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเลิศลักษณ์อย่างคนไม่มีตัวตน วันใดมีปัญหาวิ่งเข้ามาหา ก็ยอม ๆ ให้มันจบ ๆ กันไป เพราะต่อให้ไม่ยอมเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เดิมที่เคยรู้สึกโกรธ น้อยใจ เสียใจ และความอัดอั้นตันใจต่าง ๆ นานา ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชาในที่สุด เฝ้าบอกตัวเองให้อดทนจนกว่าจะดูแลตัวเองได้ เพราะเมื่อไรที่โตเป็นผู้ใหญ่ เธอจะได
“ดีขึ้นหรือยังครับ คนเก่งของพี่” รพีพัฒน์เห็นคนตัวเล็กในอ้อมกอดหยุดร้องไห้แล้วก้มหน้าถามด้วยความห่วงใยพริมาพยักหน้ารับน้อย ๆ มุดหน้าซุกแผงอกและกอดชายคนรักแน่นขึ้น สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นของเจ้าตัวเยียวยาจิตใจตัวเอง“เล่าให้พี่ฟังได้ไหมครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนเก่งของพี่ถึงได้ร้องไห้แบบนี้ เล่าให้พี่ฟังได้ไหมคนดีว่าไปเจออะไรมา หืม”“ค่ะ”เรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกถ่ายทอดให้รพีพัฒน์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีตกหล่น ชายหนุ่มหางคิ้วกระตุกบ่อยครั้งเมื่อรู้ว่าบิดาของคนรักสั่งให้เธอมาเลิกกับเขา! ตาแก่คนนี้เห็นผู้หญิงของเขาเป็นตุ๊กตาหรือไร จะจับไปไหนหรือสั่งอะไรก็ได้ เหอะ อยากให้เลิกนักใช่ไหม ได้!“พริมครับ”“คะ”“พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ” เสียงทุ้มที่กล่าวเบา ๆ อยู่ข้างหูกลับก้องกังวานและสั่นคลอนไปทั้งหัวใจ พริมาถึงกับเงยหน้ามองคนพูดแล้วถามย้ำ “พี่พีว่าไงนะคะ?”“พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ... ในเมื่อคุณพ่อของพริมอยากให้พริมเลิกกับพี่ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักกันเลยว่าคนรักของพริมเป็นใคร แถมยังจะยกพริมให้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้อีก งั้นเราก็จดทะเบียนสมรสกันเถอะครับ แก้เผ็ดพวกเขา พี่ละอยากรู
3 วันต่อมาพริมาเดินทางมายังบ้านเลิศลักษณ์ หญิงสาวกวาดตามองบ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่อาศัยด้วยแววตาเฉยเมย เธอไม่รู้สึกผูกพันใด ๆ กับที่แห่งนี้ เพราะถึงมันจะใหญ่โตน่าอยู่ขนาดไหนก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นและความสุข “นังพริม แกมาที่นี่ทำไม ไหนว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกไงล่ะนังลูกเมียน้อย” น้ำเสียงแข็งกร้าวดังออกมาจากในตัวบ้านก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงเสียอีก น้ำเสียงจิกกัดแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอรวรรณแม่เลี้ยงตัวร้ายของเธอหญิงสาวกลอกตาอย่างนึกรำคาญ ไม่มีสักครั้งหรอกที่ลับหลังบิดา อีกฝ่ายจะไม่พูดจาว่าร้ายหรือกระแนะกระแหนใส่ “ก็ไม่ได้อยากมานักหรอกค่ะ ถ้าไม่ได้รับปากคุณพ่อเอาไว้ว่าจะมากินข้าวด้วย”“หึ! ทำเป็นพูดดี พูดจาสวยหรู แกอย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันแกนะ แกก็เหมือนแม่ของแกนั่นแหละ หน้าซื่อใจคด เสแสร้งตอแหล น่ารังเกียจ!”ใบหน้าหญิงสาวถมึงทึง เธอถลึงตาตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว “มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ! ฉันถามหน่อยเถอะ ฉันไปทำอะไรให้คุณป้าเหรอคะ ถึงได้จ้องแต่หาเรื่องกันอยู่แบบนี้ ไม่เหนื่อยบ้างเหรอคะ แก่แล้วนะคะ หยุดได้หยุดเถอะค่ะ”“อ๊าย! นังพริม นี่แกด่าฉันเหรอ!”“ค่ะ! ถ้าไม่อยากให้ด่าก็อย่าเที่ยวไปด่
“อีกอย่างที่ผ่านมาคุณแม่ของฉันก็ยอมคุณป้ามาโดยตลอดไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไม่ใช่คุณป้าไปโพนทะนาว่าคุณแม่เป็นชู้กับคุณพ่อ ท่านจะลำบากขนาดนั้นไหม แค่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นก็หนักพอแรงแล้ว ยังต้องมีปัญหาที่ทำงานอีก สุดท้ายเป็นไงคะ หอบฉันที่อยู่ในท้องลาออกจากบริษัท ไปอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ เพื่อหลีกหนีคำประณาม เริ่มทำขนมขายซึ่งได้วันละไม่กี่ร้อยบาทเลี้ยงปากท้อง ตรากตรำทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหาเลี้ยงชีวิตตนเองและเด็กในท้อง ซึ่งกว่าจะได้งานประจำที่การเงินมั่นคงก็นานแสนนานทั้งยังเป็นโรงงานเล็ก ๆ”“ในขณะที่คุณแม่ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ตรากตรำทำงานเพราะไม่มีที่พึ่งพิง ชีวิตของคุณป้ากลับสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง ครอบครัวสมบูรณ์พร้อมหน้าพร้อมตา แม้จะไม่สุขใจแต่คุณป้าก็ไม่ลำบากนี่คะ จะจองเวรจองกรรมกันไปถึงไหน คุณแม่ท่านก็ไปสบายแล้ว คนที่ผิดมากที่สุดคือคุณพ่อนะคะ ทำไมคุณป้าไม่ต่อว่าคุณพ่อ ไม่ไปลงที่ท่านบ้างล่ะคะ เอาแต่ว่าคุณแม่ฉันลูกเดียวใช้ได้ที่ไหน คุณป้าเอาแต่บอกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วสิ่งที่คุณแม่ฉันต้องเจอมันยุติธรรมกับท่านแล้วงั้นเหรอคะ?”“..
“อ้าวคุณเดช ตาฉัตร มากันแล้วเหรอคะ มา ๆ มานั่งพักให้หายเหนื่อยกันก่อนค่ะ” พริมาเอี้ยวตัวกลับไปมองก็เห็นบิดาเดินมากับผู้ชายคนหนึ่ง หญิงสาวมองสำรวจชายคนนั้นก่อนหันกลับมาดังเดิม ยอมรับว่าหน้าตาดี แต่ยังไม่ดีพอ เพราะสุดที่รักของเธอหล่อกว่าเยอะเลย “ฉัตร นี่ลูกสาวที่อาพูดให้ฟังบ่อย ๆ ชื่อพริม ส่วนพริมนี่ฉัตร ที่พ่อเคยบอก ทักทายทำความรู้จักกันไว้นะ จะได้สนิทกันไว ๆ”พริมากลอกตา สมกับเป็นพ่อเธอจริง ๆ ขนาดบอกไว้แล้วเเท้ ๆ ว่าถ้าไม่อยากหน้าแตกอย่าพาเขามาให้รู้จัก ก็ยังไม่เลิกพยายามอีก เอาเถอะ เดี๋ยวก็ได้รู้เองว่าเธอไม่ได้ขู่“สวัสดีค่ะ พริมาค่ะ”“สวัสดีครับ พี่ชื่อฉัตรครับ เป็นพี่พริมสามปี พี่ขอเรียกพริมว่าน้องนะครับ ส่วนพริมก็เรียกพี่ว่าพี่ฉัตรก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ มองข้ามท่าทีไม่ยินดียินร้ายของหญิงสาวตรงหน้าไปเดิมทีตัวฉัตรไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับวิธีจับคู่แบบนี้ ที่มาเพราะปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรคุณอาเดชาก็เป็นเพื่อนสนิทของบิดาตน เขาจึงต้องไว้หน้าเสียหน่อย ที่สำคัญธุรกิจครอบครัวเขายังต้องพึ่งพาเส้นสายด้านการค้าของตระกูลเลิศลักษณ์อยู่ ให้เขายืนกรานเสียงแข็งกระด้างกระเดื่อ
พริมาเดินควงแขนผู้มาใหม่กลับเข้ามายังห้องรับแขกด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า สามคนที่เฝ้ารอในตอนแรกพลันตีหน้ายุ่งก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มที่หญิงสาวควงแขนเข้ามาชัด ๆ คุณเดชา คุณอรวรรณ และฉัตร เบิกตากว้างมองไปยังพริมาด้วยไม่อยากเชื่อสายตา ข้างกายของเธอปรากฏชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแบรนด์เนมด์ โดยเฉพาะนาฬิกาหลักล้านรุ่นอลิมิเต็ดเอดิชันที่หาซื้อในประเทศไทยไม่ได้ ทว่านี่ยังไม่น่าทึ่งเท่ากับสำนึกได้ว่าผู้ชายที่โอบเอวพริมาอยู่ตอนนี้คือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลผู้ดีเก่ารพีพัฒน์ เลิศเกียรติคุณ! “สวัสดีครับ” รพีพัฒน์ทักทายคนทั้งสาม แต่เหมือนทั้งสามคนในห้องจะยังไม่ได้สติ พริมาไม่สนใจ พาชายหนุ่มไปนั่งโซฟาข้าง ๆ ที่เธอนั่งในคราแรกทันทีคนทั้งสามมองตามอากัปกิริยาของชายหญิงทั้งสองตาไม่กะพริบ เพราะไม่อาจละสายตาไปไหนได้ รพีพัฒน์ผุดรอยยิ้มร้ายก่อนตีหน้าเรียบนิ่ง มองไปยังบิดาของคนรักก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยไล่ไปหาอีกสองคนทีหลัง“คุณพ่อคุณป้าคะ นี่พี่พีค่ะ คนรักพ่วงตำแหน่งสามีหมาด ๆ ที่พริมเพิ่งไปจดทะเบียนสมรสมาเมื่อสามวันที่แล้วค่ะ คุณฉัตรคะ นี่พี
สายตาผ่านกาลเวลาของคุณเดชาหรี่ลงมองสบคนอายุน้อยกว่า ทั้งสองคนพยายามมองเข้าไปให้ลึกในดวงตาของกันและกัน หากนี่เป็นละครละก็จะต้องมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปมาระหว่างทั้งสองแน่ และแล้วคนที่อายุมากกว่าก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ “ใช่ ฉันบอกให้ยัยพริมไปเลิกกับคนรัก และบีบบังคับให้พริมหมั้นกับตาฉัตรเอง ทำไม มีปัญหา?” หากเป็นปกติคุณเดชาคงแทนตัวเองว่าผมตามมารยาท แต่ในเมื่อไม่ชอบขี้หน้า แทนตัวเองว่าฉันก็เหมาะสมเเล้ว!“ใจร้ายจังเลยนะครับ ขัดขวางความรักและความสุขของลูก ไปผ่าตัดหัวใจดูดีไหมครับ ผมออกค่าใช้จ่ายเอง อยากรู้ว่าข้างในมันมีสีแดงหรือเปล่า หหรือจะเป็นสีดำทั้งหมด”คำพูดตรง ๆ ของรพีพัฒน์เสียดแทงความรู้สึกคนฟังอย่างจัง แม้รู้สึกเสียใจแต่คุณเดชาก็สมกับคนที่อายุมากมีประสบการณ์โชกโชน ท่านไม่เผยความรู้สึกใดออกมา มีเพียงหางคิ้วที่กระตุกยิก ๆ กับคำพูดจิกกัดของหนุ่มรุ่นลูก “ใจฉันจะดำจะแดงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย แล้วจะบอกให้นะ ที่ฉันทำไปก็เพราะหวังดีต่อยัยพริม ฉันผิดเหรอที่อยากให้ลูกได้รับสิ่งดี ๆ อีกอย่าง ยัยพริมก็ไม่ได้บอกนี่ว่าเธอคบกับนาย” รพีพัฒน์เผยยิ้มบาง“รู้หรือเปล่าครับว่าความหวังดีที่คุณลุงมีบางทีพริมอาจไม่
20:00 น. รพีพัฒน์กลับจากทำงานก็เข้ามาเห็นภรรยาสาวนั่งหน้าบูดอยู่ในห้องนอนเด็ก ซึ่งเป็นห้องว่างข้าง ๆ ห้องนอนพวกเขา ที่เอามารีโนเวทให้เป็นห้องนอนของลูก“เป็นอะไรครับ ทำไมนั่งหน้าบูดแบบนี้” ชายหนุ่มถามคนนั่งหน้าบึ้งอย่างสงสัยไม่รู้มีใครทำอะไรให้เธอไม่สบายใจหรือไม่พอใจ วันนี้คนสวยของเขาถึงได้อารมณ์ไม่ดีแบบนี้“ก็คุณพ่อคุณแม่สิคะ ซื้อของเล่นกับชุดเด็กมาอีกแล้ว พริมบอกว่าให้พอก่อน ๆ ดูสิคะเนี่ย เต็มห้องไปหมด ไม่รู้จะจัดการยังไงแล้ว” เจ้าตัวชี้ไปยังกองของเล่นที่เพิ่งมาใหม่สด ๆ ร้อน ๆ ที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง รพีพัฒน์เลิกคิ้วแล้วมองตามมือขาวผ่องที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อนก็เห็นจริงดังว่า เขาพรูลมหายใจออกจากปาก ห้ามพ่อแม่เขา? คงยาก! ยิ่งหลานคนแรกด้วยแล้ว หึหึ“ไม่ต้องมายิ้มเลยนะคะพี่พี พริมเครียดจะตายอยู่แล้วเนี่ย! ฮึก”เขาว่าอารมณ์คนท้องมักแปรปรวน รพีพัฒน์แจ่มแจ้งแก่ใจแล้ว ภายในหนึ่งวันเขาต้องปรับตัวรับกับอารมณ์แม่ของลูกอยู่ตลอด เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ ผสมปนเปกันไปหมด เช่นเดียวกับตอนนี้ “โอ๋ อย่าร้องสิครับ ไหนเครียดอะไร ไม่เห็นมีอะไรให้น่าเครียดเลย
“มีความสุขไหมคะ” พริมาเอ่ยถามคนที่ตระกองกอดเธออยู่ข้างหลัง มือบางกอบกุมมือใหญ่ที่โอบกอดเธอไว้ ขณะที่สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า ชมความงามของธรรมชาติที่รังสรรค์ขึ้น ประเทศที่มีสีเขียวที่เธอชื่นชอบ ประเทศที่มีเทือกเขาเยอะที่สุดในโลก มองไปทางไหนก็งดงาม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์“มีความสุขครับ” เสียงทุ้มตอบกลับก่อนกระชับกอดให้แน่นขึ้น พร้อมทั้งโน้มใบหน้าหอมแก้มนุ่มเข้าปอดฟอดใหญ่“ชอบไหมครับ ได้มาฮันนีมูนและพักผ่อนยังประเทศที่พริมชอบ”“ชอบสิคะ ชอบที่สุดเลย ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกล่าวตอบเสียงใสพาใจคนฟังชุ่มชื้น“หนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมายเหมือนกันนะครับ”“ใช่ค่ะ ทั้งงานทั้งคนวุ่นไปหมดเลย”“นั่นสิครับ ดีจังที่เราได้มาฮันนีมูนและพักผ่อนกันแบบนี้”“ใช่ค่ะดีมากเลย ที่นี่สงบมากเลยค่ะ วิวก็สวย พริมอยากอยู่ไปนาน ๆ เลย”“ได้เลยครับ หยุดตามวันที่เราแพลนไว้เลยเนอะ ความจริงเราควรมาฮันนีมูนกันตั้งนานแล้ว นี่อะไร แต่งงานกันมาสามเดือนแล้วเพิ่งจะได้มาฮันนีมูน”“อย่าบ่นสิคะ ช่วงนั้นเราสองคนงานยุ่งนี่นา คุณพ่อเพิ่งวางมือให้พี่อิงรับตำแหน่งประธานบริษัทแบบเต็มตัว แม้พริมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งบริ
หนึ่งปีผ่านไป... “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีครับ”“ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาดละ”“ครับ”เสียงพูดคุยระหว่างออแกไนซ์และทีมงานดังขึ้นเป็นระยะให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าแทบทุก 3 นาที 5 นาที ที่เป็นเเบบนี้เพราะว่างานนี้เป็นงานใหญ่ จึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด ทุกอย่างต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดซุ้มประตูดอกไม้ขนาดใหญ่สีขาวแซมสีชมพูที่อยู่หน้าประตู ถูกเซตเข้ากันอย่างลงตัว ตั้งแต่ทางเดินเข้าไปจนถึงเวทีปูด้วยพรมสีแดง ภายในห้องบอลรูมสุดหรูถูกตกแต่งไปด้วยไม้ดอกหลากสีนานาพรรณ โต๊ะแชมเปญทาวเวอร์จัดเรียงแก้วลดหลั่นกันมาดูงดงามหรูหราเข้ากับบรรยากาศของงานอย่างมาก โต๊ะเก้าอี้ต่างถูกจัดเรียงไว้อย่างลงตัว ข้างเวทีมีเครื่องดนตรีถูกติดตั้งไว้อย่างเพียบพร้อม และหากทอดสายตามองขึ้นไปบนเวทีจะเห็นชื่อของคนสองคนประดับไว้โดยมีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง‘รพีพัฒน์ พริมา’ ใช่แล้ว!วันนี้คือวันแต่งงานของรพีพัฒน์และพริมา วันคืนที่ชายหนุ่มเฝ้ารอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มาถึงสักที! “โอ๊ย ๆ หุบยิ้มหน่อยเถอะพ่อคุณ ยิ้มจนปากจะฉีกแล้วนั่น” ภายในห้องวีไอพีของโรงแรมห้องหนึ่ง เสียงเย้าแหย่เอ่ยแซวของเพื่อนชายดังขึ้นหลายค
หนึ่งเดือนต่อมาจากคำขอร้องกึ่งบังคับของคนในครอบครัว ทำให้คุณเดชาใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากคนปลดเกษียณ เขาหยุดงานเพื่อพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้านนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เวลาว่างส่วนใหญ่ถ้าไม่ปลูกผักทำสวนก็จะทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายปลอดโปร่ง เพราะได้กำลังใจดี กำลังกายจึงดีตามไปด้วย สุขภาพของเขาจึงกลับมาแข็งแรงอย่างรวดเร็วกระนั้นคุณเดชาก็ยังไม่กลับไปทำงานที่บริษัทแต่อย่างใด เพราะหลังจากได้หยุดยาว มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น จึงคิดอะไรได้หลายอย่าง เริ่มคิดถึงบั้นปลายชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีความสุข ชายวัยกลางคนจึงคิดอยากวางมือจากบริษัท แล้วหันมาใช้ชีวิตเรียบง่ายปลูกผักทำสวนอยู่ที่บ้านมากกว่างานบริษัทตอนนี้เขาจึงมอบหมายให้ลูก ๆ และผู้บริหารคนอื่น ๆ ดูแลรับผิดชอบ เพื่อว่าหากเขาวางมือจริง ๆ ขึ้นมาจะได้ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องงานที่สำคัญจริง ๆ คุณเดชาจะประชุมอยู่บ้าน เอกสารสำคัญตัวไหนที่เขาต้องเซ็น เลขาส่วนตัวก็จะนำมามอบให้ที่บ้านเช่นกัน กล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัว ระหว่างคุณเดชาและบุตรสาวทั้งสองนับว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่างฝ่ายต่างปรับตัวเขาหากัน แม้แรก ๆ พริมาจะมีอาการเกร็งและฝื
“พริม พ่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ค่อยดี และพ่อก็ได้ทำร้ายจิตใจลูกมามาก แต่พ่อก็อยากบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อรักลูกนะ รักไม่น้อยไปกว่าพี่สาวของลูกเลย แล้วพ่อก็อยากขอโทษ ขอโทษที่เข้มงวดกับลูกเกินไป ขอโทษที่ทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดีพอ ขอโทษที่ให้ครอบครัวที่สมบูรณ์กับลูกไม่ได้ ขอโทษนะลูก พ่อขอโทษ” คุณเดชามองแผ่นหลังของบุตรสาวด้วยแววตาวูบไหว หน้าอกรู้สึกปวดแปลบเพราะหัวใจบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นมากุมไว้ แต่ก็ยังฝืนพูดต่อว่า“มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัว แต่พ่อขอโอกาสอีกสักครั้งได้ไหม ขอให้พ่อได้ทำหน้าที่พ่อที่ดี เป็นที่พึ่งพาแก่ลูกบ้าง สักครั้งก่อนตายก็ยังดี ลูกจะให้โอกาสพ่อได้ไหมพริมา” ไหล่บางสั่นน้อย ๆ ก่อนที่หยดน้ำตาจะกลิ้งหล่นลงบนใบหน้างาม ใจดวงน้อยสั่นระรัว เมื่อได้ยินคำว่ารักและคำขอโทษ ที่เธอเฝ้ารอออกจากปากเขา หญิงสาวรู้สึกดีกับสิ่งที่ได้ยิน แต่มันยังไม่พอจะปลดล็อกความรู็สึกทั้งหมดได้ กำแพงที่เธอมีต่อเขามันสูงเกินไป หากอิงอรมีปมเรื่องการถูกละเลยความรู็สึก เธอก็มีปมที่คิดว่าตัวเองและแม่ไม่สำคัญสำหรับเขาเช่นกันร่างบางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนเป็
08:30 น. เช้าวันที่แปดคุณเดชาตื่นขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลด้วยใบหน้าผ่องใสเบิกบานกว่าเดิม มองขวดน้ำเกลือที่พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนให้ใหม่ด้วยแววตาเบื่อหน่ายเขาแข็งแรงดีแล้วคุณหมอก็ยังไม่ยอมให้กลับบ้านเสียที เฮ้อ!ดวงตาคมดุกวาดมองไปรอบตัวพลันรู้สึกว่าห้องพักผู้ป่วยดูคับแคบขึ้นทันตาเพราะทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด ไม่ว่าจะเป็นอรวรรณ อิงอร พริมา รพีพัฒน์ ฉัตร“ทนหน่อยนะคะคุณ หายดีกว่านี้เดี๋ยวหมอก็อนุญาตให้กลับเองแหละค่ะ” คุณอรวรรณรีบพูดเมื่อเห็นสายตาเบื่อหน่ายของสามีคุณเดชาไม่ตอบ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังบุตรสาวทั้งสอง ที่คนหนึ่งเกิดจากหน้าที่ อีกคนเกิดจากความรัก แต่ถึงจะเกิดจากคนละแม่ เขาก็รักลูกทั้งสองคนมากอยู่ดี ไม่เคยรักใครน้อยกว่าใครเลย แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ พี่น้องไม่รักกันก็ว่าแย่แล้ว คิดร้ายต่อกันไม่พอ ถึงขนาดไล่ให้อีกคนไปตาย คนเป็นพ่ออย่างเขาจะรับได้หรือ? ลูกสองคนเป็นแบบนี้แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างไร?คุณเดชาหลับตากล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้ให้ลึกที่สุด ภายในห้องพักผู้ป่วยเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ คิดว่าหากมีใครสักคนทำเข็มตกต้องได้ยินชัดเจนแน่ สถานการณ์ดูเหมือนจะน่า
ทันใดนั้นเองประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกโดยนายแพทย์วัยกลางคน“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ เดี๋ยวบุรุษพยาบาลและพยาบาลจะเข็นเตียงคนไข้ไปยังห้องวีไอพีตามที่ญาติคนไข้ทำเรื่องไว้เลยนะครับ แล้วก็หมอขอคุยกับญาติคนไข้หน่อยนะครับ หมอขอตัวเปลี่ยนชุดก่อนสักครู่ เดี๋ยวจะมีพยาบาลนำทางไปยังห้องของหมอนะครับ” นายแพทย์พูดจบก็ปลีกตัวออกไปผู้เกี่ยวข้องทั้งสามเมื่อได้รับคำยืนยันจากแพทย์ผู้ชำนาญการว่าคุณเดชาปลอดภัยแล้วต่างโล่งอกถอนหายใจไปตาม ๆ กัน ก่อนตามพยาบาลไปยังห้องทำงานของนายแพทย์เจ้าของคนไข้ เพื่อพูดคุยอาการของคุณเดชาทั้งสามพูดคุยกับแพทย์เจ้าของคนไข้อยู่นานเกี่ยวกับอาการของคุณเดชา ก่อนจะเดินกลับมายังห้องพักคนป่วยด้วยอาการเลื่อนลอย ตั้งรับไม่ทันถึงสิ่งที่ได้รับรู้...โรคหัวใจ‘หมอไม่รู้นะครับว่าคนไข้มีปัญหาอะไรถึงได้ไม่ยอมบอกครอบครัวว่าเป็นโรคหัวใจทั้ง ๆ ที่คนไข้รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ตั้งนานแล้ว ซึ่งการที่คนไข้ปิดบังครอบครัวแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ตอนนี้ครอบครัวก็รู้แล้วว่าคนไข้เป็นโรคหัวใจ ดังนั้นช่วยกันสอดส่องและเฝ้าระวังด้วยนะครับ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันแบบวันนี้อีก’ ‘เพราะคนไข้ห
หลังคุณเดชาทรุดลงไปกับพื้นความชุลมุนก็เกิดขึ้น ทีมแพทย์ที่รพีพัฒน์เตรียมพร้อมไว้รับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งรีบเข้าช่วยชีวิตชายวัยกลางคนได้อย่างทันท่วงที ร่างแน่นิ่งของคุณเดชาถูกนำส่งโรงพยาบาลและหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมทีมแพทย์ตั้งแต่ที่มาถึงแล้ว กระนั้นสถานการณ์ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไรบ้างยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่คนที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากเท่านั้น ไม่มีใครสามารถสบายใจได้จนกว่าจะได้ทราบว่าชายวัยกลางคนปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำอิงอรสะเทือนใจไม่น้อย เธอหวาดกลัวว่าจะสูญเสียบิดา เอาแต่กอดร่างแน่นิ่งของบิดา และเอ่ยขอโทษไม่หยุดตั้งแต่อยู่บนรถฉุกเฉิน กระทั่งร่างบิดาถูกเข็นหายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สติหญิงสาวก็ยังไม่กลับมาคุณอรวรรณที่ทราบข่าวว่าคุณเดชาเข้าโรงพยาบาลจากพริมาที่โทรไปแจ้ง ก็เร่งรีบมาทันที ยังไม่ทันได้ไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น บุตรสาวก็โผลเข้ากอดเธอพร้อมร้องไห้อย่างหนัก ปากก็พร่ำบอกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จนคุณอรวรรณงงไปหมด สงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่หล่อนกอดปลอบบุตรสาวอยู่น
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าพี่อิงจะคิดร้ายกับฉันขนาดนี้ ทำไมคะ ฉันทำอะไรให้พี่นักหนาเหรอ ทำไมพี่ถึงคิดอะไรทุเรศ ๆ อุบาทว์ ๆ แบบนี้ออกมา” หญิงสาวตวาดถามเสียงกร้าว“...” อิงอรก็ยังไม่ยอมผลิปาก เธอยืนนิ่ง ผินหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากมองหน้าผู้เป็นน้องสาว เนื่องจากขายหน้าที่ถูกจับได้ อีกทั้งส่วนหนึ่งในใจลึก ๆ ยังรู้สึกละอายใจ เมื่อครู่ไม่ใช่น้องสาวคนนี้หรือที่พยายามช่วยเธอ ที่หยุดยั้งไม่ให้ผู้ชายคนนั้นฉีกกระชากชุดเธอให้ขาดไปมากกว่านี้น่าตลก คนที่เธอคิดร้าย กลับเป็นคนแรกที่ยื่นมือช่วยเหลือเธอ ความจริงใจที่พริมามีให้นั้นเธอสัมผัสถึงมันได้แต่จริง ๆ แต่ว่าจะมีประโยชน์อะไรล่ะ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้วพริมาพุ่งตัวเข้าไปจับหัวไหล่มนของอิงอรแล้วเขย่าสุดแรง ทั้งตะคอกถามกดดันให้อิงอรตอบคำถาม“ตอบสิคะ! เงียบทำไม ทำไมถึงมีความคิดน่ารังเกียจได้ขนาดนี้ ทำไมคะ ทำไม! ตอบสิ ตอบ!”“เพราะฉันเกลียดเเกไง! ถ้าไม่มีแกสักคนคุณพ่อก็จะรักฉันห่วงฉันคนเดียว ฉันเคยเป็นที่หนึ่ง เคยได้รับความสนใจมาก่อนใครตลอด แต่พอมีแกเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป คุณพ่อสนใจแกมากกว่าฉัน รักแกห่วงแกมากกว่าฉัน แ