“ใจเย็น ๆ หน่อยเถอะหนูพริม ที่คุณพ่อเขาเลือกผู้ชายดี ๆ อย่างตาฉัตรให้ ก็เพราะคุณเดชเขาอยากให้เธอได้ดี จะได้ไม่หลงไปคว้าผู้ชายที่ไม่มีอนาคต ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นคู่ชีวิต หนูพริมคิด ๆ ดีนะ ฐานะครอบครัวของตาฉัตรก็ดี เหมาะสมกับหนูพริมทุกอย่าง คุณเดชเขาหวังดีกับหนูพริมขนาดนี้ ทำไมไม่รับความหวังดีนี้เอาไว้ล่ะ?”
“พริมไม่ได้ขอค่ะ ไม่ต้องยุ่ง”
“ไม่อยากให้ยุ่งก็พาคนรักมาแนะนำให้รู้จักสิจ๊ะ เอ้... หรือที่ไม่พามาเป็นเพราะไม่สามารถเปิดเผยได้กันแน่ หนูพริมคงไม่ได้...” คุณอรวรรณแสร้งลากเสียงยาวบิดริมฝีปากส่งสายตาเย้ยหยันแล้วกล่าวถามอย่างตกใจว่า “เป็นเมียน้อยใครเหมือนแม่ของหนูใช่ไหมจ๊ะ?”
“อย่าลามปามแม่ฉัน! เเม่ฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และคุณป้าก็ไม่ได้มีอะไรดีพอที่จะพูดถึงแม่ฉัน เพราะฉะนั้น อย่าล้ำเส้นค่ะ” เมื่อสิ่งต้องห้ามถูกแตะต้องคำแทนตัวว่าพริมก็เปลี่ยนเป็นฉันทันที สายตาที่มองแม่เลี้ยงทั้งแข็งกร้าวและดุดันพร้อมกระโจนเข้าไปเชือดเฉือน
คุณอรวรรณกดยิ้มมุมปาก แสร้งพูดอย่างรู้สึกผิด แต่กลับส่งสายตาถากถางให้หญิงสาว “ป้าขอโทษจ้ะ อย่าโกรธเลยนะ ป้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
พริมาปรายตามองบิดาหวังว่าเขาจะช่วยปรามภรรยาของตนก็หมดหวัง เมื่อเห็นว่าคนที่ควรออกหน้าในเรื่องนี้กลับทำตัววางเฉย หญิงสาวกำมือแน่นเมื่อเห็นสายตาถากถางระคนเยาะเย้ยที่ส่งมาจากแม่เลี้ยงใจยักษ์ พยายามระงับความโกรธเอาไว้อย่างถึงที่สุด เพราะเกรงว่าตัวเองจะเผลอกระโจนเข้าไปประทุษร้ายคนหน้าเนื้อใจเสือ[1] ตรงหน้า เมื่อความโกรธถูกควบคุมหญิงสาวพลันฉีกยิ้มหวานตอกกลับคำพูดอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน
“แหม!.. ฉันไม่โกรธแล้วก็ได้ค่ะ ก็อย่างที่คุณป้าพูดนั่นแหละค่ะ มันคือเรื่องจริง ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว คุณแม่จะถูกคุณพ่อหลอกก็ตามที” พริมาปรายตามองท่าทางขึงขังของบิดาแล้วเลือกที่จะไม่สนใจ หันมองหน้าแม่เลี้ยงที่นั่งยิ้มอยู่บนโซฟาด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม
“ว่าไปแล้วฉันก็เห็นใจคุณป้าเหมือนกันนะคะ มีสามีทั้งทีดั้น... คุมสามีไม่อยู่” หญิงสาวแสร้งลากเสียงยาวอย่างเห็นใจแล้วพูดต่อ “อย่างว่าละค่ะ ในบ้านมันร้อน คนเขาก็ต้องออกไปหาความเย็นนอกบ้านเป็นธรรมดา เฮ้อ ก็คนไม่ได้รักกันนี่เนอะ แต่งกันเพราะธุรกิจก็เป็นแบบนี้แหละ จะอยู่ด้วยกันอย่างสุขสันต์ได้ยังไง จริงไหมคะ คุณ ป้า!”
“พริมา!” อรวรรณที่รู้สึกว่าตนชนะในคราแรกรู้สึกจุกในอก รอยยิ้มที่มีค่อย ๆ แข็งค้าง แต่เธอกลับเถียงไม่ได้ เพราะที่ลูกเลี้ยงของเธอพูดมันเป็นความจริง! ยิ่งเห็นความเยาะหยันบนใบหน้านางลูกเมียน้อยอารมณ์ของเธอก็ยิ่งคุกรุ่น
พริมามองแม่เลี้ยงใจยักษ์ที่กำลังโกรธอย่างท้าทาย หลุบตามองมือเหี่ยวย่นไปตามวัยที่กำแน่น ก่อนเงยหน้ามองสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“โกรธเหรอคะ ทีพูดถึงคุณแม่คนอื่นไม่เห็นกลัวว่าเขาจะโกรธ ทีหลังถ้าไม่อยากให้ใครมาว่าถากถาง ก็อย่าไปว่าใครก่อนสิคะ คุณป้าก็อายุมากแล้วนะคะ อยู่ให้คนเคารพเถอะค่ะ อย่าอยู่ให้คนสมเพชเวทนาเลย เป็นแบบนี้ต่อไปคนเขาจะถอนหงอกเอาหมด”
“พริมา!”
“ว่าไงคะคุณพ่อ”
“ขอโทษคุณอรซะ เขาอายุมากกว่าแกนะ ทั้งสถานะตอนนี้เขาก็เป็นเหมือนแม่ของแก”
“ไม่ค่ะ! พริมไม่ขอโทษ ทีคุณป้าพูดถึงคุณแม่คุณพ่อไม่เห็นจะว่าอะไรเลย พอพริมพูดบ้างรับไม่ได้เหรอคะ ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่พริมพูด พริมก็เอาความจริงมาพูดเช่นกัน อย่าสองมาตรฐานสิคะ” พริมามองบิดาวาววับสายตาเอาเรื่อง รู้ว่าตัวเองพูดจาไม่น่ารักดูไม่มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ แต่แล้วไงล่ะ จะยอมให้เขาดูถูกตัวเองและมารดาไปตลอดเลยหรือไง ไม่มีทาง! หญิงสาวกดยิ้มลึกมุมปากกล่าวว่า “อีกอย่างนะคะ พริมมีแม่คนเดียว และแม่ของพริมชื่อพริ้มเพรา ไม่ใช่อรวรรณค่ะ”
“ยัยพริม!” พริมาเมินเฉยต่อเสียงตะคอกของบิดา ใช้สายตาขึงขังมองกลับ คุณเดชาพยายามสะกดกั้นความโกรธแล้วบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“ช่างเถอะ ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เอาเป็นว่าอีกสามวันแกมาทานข้าวที่บ้าน ฉันจะนัดตาฉัตรมาด้วย พวกแกจะได้รู้จักกัน”
“นี่คุณพ่อยังไม่ล้มเลิกความคิดจับคู่ให้พริมอีกเหรอคะ พริมบอกแล้วไงคะว่าพริมไม่ต้องการ พริมมีคนรักแล้วค่ะ!” พริมาย้ำเสียงเเข็ง
“ฉันไม่สน! ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ แล้วแกก็เลิกต่อต้านฉันสักที กับผู้ชายคนนั้นก็เหมือนกัน เลิกกับมันซะ!”
พริมาหัวเราะหยันในลำคอก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าพริมบอกจะพาคนรักมาแนะนำให้คุณพ่อรู้จัก บอกว่าเขามีหน้าที่การงานที่ดี มีชาติตระกูลดีและรักพริมมาก คุณพ่อยังจะให้พริมเลิกกับเขาไหมคะ”
คุณเดชาชะงักไปเล็กน้อย แต่ความอยากเอาชนะบุตรสาวมีมากกว่าจึงโพล่งออกไปว่า “ใช่ ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ฉันสั่งให้แกเลิกแกก็ต้องเลิก แกไม่มีสิทธิ์มาขัดคำสั่งของฉัน!”
จากตอนแรกที่คิดว่าอาจจะพูดคุยตกลงกันด้วยดีได้ ความผิดหวังก็ประดังประเดเข้ามาในใจของหญิงสาวทันทีที่ได้ยินคำตอบของบิดา หญิงสาวเวทนาตัวเองในใจ พ่อคนอื่นอยากเห็นลูกมีความสุข แต่พ่อของเธอ... เหอะ เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางพอ ๆ กับหยดน้ำสีใสที่เอ่อคลอบริเวณหน่วยตา หญิงสาวมองบิดาด้วยสายตาเจ็บปวดก่อนกลับมาแข็งกร้าวดังเดิม
ยินยอมไป อ่อนแอไปก็ไม่ได้ผล งั้นก็ให้มันหักกันไปข้าง!
“ไม่ค่ะ! คุณพ่อบังคับพริมเรื่องนี้ไม่ได้ นี่มันชีวิตพริม พริมจะคบจะแต่งกับใคร คุณพ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่ง ผู้ชายที่จะมาเป็นพ่อของลูกพริม พริมจะเลือกเขาด้วยตัวเอง พริมมั่นใจ ว่าคนที่พริมเลือกดีกว่าผู้ชายที่พ่ออยากให้พริมรู้จักแน่นอน”
“สามหาว! อวดดี! เหมือนแม่แกไม่มีผิด” คุณเดชาโกรธจนตัวสั่น ด้วยทิฐิและความอยากเอาชนะจึงมองข้ามความเจ็บปวดของบุตรสาว แม้ลึก ๆ ในใจจะรู้สึกวูบโหวงอยู่บ้างก็ตาม
อรวรรณยกยิ้มมุมปากอย่างสะใจที่เห็นพ่อลูกทะเลาะกัน แค้นใจไม่หายที่ก่อนหน้านี้โดนเด็กรุ่นลูกอย่างพริมาต่อว่า แต่เธอจะวางความโกรธไว้ก่อน อย่างไรก็ต้องพูดช่วยสามี
“ใจเย็นกันก่อนนะคะ ทั้งคู่เลย นี่ยัยพริม เธอจะต่อต้านอะไรนักหนา เธอไม่รู้เหรอว่าตาฉัตรหล่อและรวยขนาดไหน ถ้าเธอได้รู้จักและแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ ชีวิตเธอจะสบายไปตลอดเลยนะ เลิกดื้อรั้นและหยุดต่อต้านความหวังดีของคุณเดชสักทีเถอะ”
พริมาแค่นเสียงหัวเราะ มองแม่เลี้ยงหน้าเนื้อใจเสือด้วยสายตารู้ทัน ที่ทำมาพูดดีหว่านล้อมให้เธอยอมตกลงเห็นด้วยแบบนี้คงต้องการให้เธอออกจากบ้านและตระกูลเลิศลักษณ์เต็มทนสินะ เธอจะได้ไม่ต้องเป็นก้างขวางคอรกหูรกตา หรือมีส่วนแบ่งในมรดกอีกต่อไป...
ขอโทษนะ ถามเธอหรือยังว่าเธอต้องการมรดกอะไรนั่นไหม?
“ถ้าผู้ชายที่ชื่อฉัตรอะไรนั่นดีขนาดนั้น ทำไมคุณป้าไม่ให้พี่สาวคนดีของฉันรู้จักกับเขาล่ะคะ ทั้งหล่อ ทั้งรวย โอ้... ช่างดูเหมาะสมกับพี่สาวมากเลยไม่ใช่เหรอคะ?”
[1] หน้าเนื้อใจเสือ = หน้าตาดูใจดีมีเมตตาแต่ใจคอดุร้ายโหดเหี้ยม
พี่สาวที่เธอพูดถึงก็คือบุตรสาวของอรวรรณที่อายุมากกว่าเธอ 2 ปีนั่นแหละ พริมาอยากกลอกตามองบนสักร้อยรอบ เหอะ ถ้านายฉัตรอะไรนั่นดีขนาดนั้น ทำไมไม่ให้รู้จักกับลูกสาวตัวเองล่ะ? มายุ่งกับเธอทำไม!“นะ นั่น” คุณอรวรรณที่ได้ฟังคำพูดของลูกเลี้ยงถึงกับหาเสียงตัวเองไม่เจอ ริมฝีปากเม้มแน่น มองดูลูกเลี้ยงสาวอย่างขัดใจเรื่องอะไรจะยอม แม้ครอบครัวตาฉัตรจะมีฐานะที่ดีแต่ก็ยังด้อยกว่าตระกูลเลิศลักษณ์อยู่มาก เป็นคนดีแล้วอย่างไร หากไม่ใช่ระดับแนวหน้า ก็ไม่เหมาะสมกับคนที่ทั้งสวยทั้งรวยทั้งเก่ง อย่างลูกสาวของเธอหรอก‘หึ นังเด็กบ้านี่ ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจหาคนใช้ได้มาให้กลับไม่รับไว้ มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ อวดดีอวดเก่งเหมือนนังพริ้มเพราแม่ของมันไม่มีผิด แต่ดูเหมือนว่าปากมันจะร้ายกว่าแม่มันเยอะเลย เมื่อก่อนไม่เห็นมันปากดีแบบนี้ ทำไมตอนนี้ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้กันเนี่ย?’ คุณอรวรรณขบคิดกับตนเองในใจ หากพริมาได้ยินคงตอบว่า ที่ร้ายก็เป็นเพราะโดนคนใจยักษ์ใจมารอย่างคุณป้าและลูกกลั่นแกล้ง คุณพ่อเข้มงวดกดดันจนหมดความอดทนนั่นแหละค่ะ! ถึงได้สู้กลับแบบนี้ โชคดีที่เธอไม่ได้ยิน คุณอรวรรณจึงไม่ได้ฟังถ้อยคำถากถางจากเธอ“พูดไม่ออกเลย
พริมากลับถึงคอนโดมิเนียมอย่างหมดแรง เธอเปิดไฟในห้องแล้วเข้าไปหยิบน้ำเย็นขึ้นมาดื่ม ความเย็นของน้ำช่วยเรียกความสดชื่นให้ร่างกายเล็กน้อย หลังเก็บขวดน้ำเข้าตู้เย็นเช่นเดิม ก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาห้องนั่งเล่นรอรพีพัฒน์กลับมา “หากแม่ยังอยู่มันคงดีกว่านี้”พอได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวก็เริ่มฟุ้งซ่าน ยิ่งวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะด้วยแล้ว อารมณ์ของเธอตอนนี้มันไม่ปกติอย่างมาก พริมาคิดถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง ตอนที่ยังเป็นเด็ก พริมาอาศัยอยู่กับมารดาในอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางเพียงสองคนเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าพ่อตัวเองคือใคร เพราะทุกครั้งที่ตั้งคำถาม นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังแอบเห็นมารดาหลบไปร้องไห้เงียบ ๆ สุดท้ายด้วยความไม่อยากเห็นคนที่รักทุกข์ใจ เธอจึงไม่ถามและไม่สนใจเรื่องของบิดาอีก ขอแค่ทุก ๆ วันมีมารดาอยู่เคียงข้าง เธอก็มีความสุขที่สุดแล้วกระทั่งพริมาอายุ 10 ขวบ มารดาที่ไม่เคยคิดบอกเล่าเรื่องราวของบิดา ก็กล่าวต่อเธอทั้งหมด ว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร คราแรกที่รับรู้ว่าตนเองมีบิดาเหมือนคนอื่นเขาเธอรู้สึกดีใจอย่างมาก รวมทั้งสงสัย ว่าบิดาที่ไม่เคยเห็นหน้าจะรักเธอไหม จะดีต่อเธอเหมือนมารดาหรือเปล่า เด็
และการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเลิศลักษณ์ตลอดเวลาที่ผ่านมา เด็กหญิงพริมาต้องทนฟังถ้อยคำดูถูกถากถาง ที่แม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาคอยพูดกรอกหูทุกวัน ถูกกลั่นแกล้งทุกครั้งที่ลับสายตาเขา มีสักครั้งไหมที่เขาคอยปรามให้ หึ ไม่มีนานวันเข้าเด็กหญิงก็ไม่ยอม เธอเริ่มโต้กลับ เพราะรู้แล้วว่าไม่มีใครปกป้องเธออีกแล้ว ถ้าเธอไม่สู้ ก็ต้องถูกรังแกแบบนี้ต่อไป แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรล่ะ?ทันทีที่เธอปกป้องตัวเอง เธอก็กลายเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่มีสัมมาคารวะ ไร้มารยาท ถ้อยคำดุด่ายาวเป็นพืด ต่อให้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเริ่ม เธอก็ผิดอยู่ดี นอกจากบิดาจะไม่เชื่อแล้ว เขายังไม่เคยคิดปกป้องเธอด้วยเช่นกันนับตั้งแต่นั้นมา พริมาจึงเลิกคาดหวังทุกอย่างเกี่ยวกับบิดา คอยหลีกเลี่ยงสองแม่ลูกเพราะไม่ต้องการความวุ่นวาย อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเลิศลักษณ์อย่างคนไม่มีตัวตน วันใดมีปัญหาวิ่งเข้ามาหา ก็ยอม ๆ ให้มันจบ ๆ กันไป เพราะต่อให้ไม่ยอมเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เดิมที่เคยรู้สึกโกรธ น้อยใจ เสียใจ และความอัดอั้นตันใจต่าง ๆ นานา ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชาในที่สุด เฝ้าบอกตัวเองให้อดทนจนกว่าจะดูแลตัวเองได้ เพราะเมื่อไรที่โตเป็นผู้ใหญ่ เธอจะได
“ดีขึ้นหรือยังครับ คนเก่งของพี่” รพีพัฒน์เห็นคนตัวเล็กในอ้อมกอดหยุดร้องไห้แล้วก้มหน้าถามด้วยความห่วงใยพริมาพยักหน้ารับน้อย ๆ มุดหน้าซุกแผงอกและกอดชายคนรักแน่นขึ้น สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นของเจ้าตัวเยียวยาจิตใจตัวเอง“เล่าให้พี่ฟังได้ไหมครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนเก่งของพี่ถึงได้ร้องไห้แบบนี้ เล่าให้พี่ฟังได้ไหมคนดีว่าไปเจออะไรมา หืม”“ค่ะ”เรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกถ่ายทอดให้รพีพัฒน์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีตกหล่น ชายหนุ่มหางคิ้วกระตุกบ่อยครั้งเมื่อรู้ว่าบิดาของคนรักสั่งให้เธอมาเลิกกับเขา! ตาแก่คนนี้เห็นผู้หญิงของเขาเป็นตุ๊กตาหรือไร จะจับไปไหนหรือสั่งอะไรก็ได้ เหอะ อยากให้เลิกนักใช่ไหม ได้!“พริมครับ”“คะ”“พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ” เสียงทุ้มที่กล่าวเบา ๆ อยู่ข้างหูกลับก้องกังวานและสั่นคลอนไปทั้งหัวใจ พริมาถึงกับเงยหน้ามองคนพูดแล้วถามย้ำ “พี่พีว่าไงนะคะ?”“พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ... ในเมื่อคุณพ่อของพริมอยากให้พริมเลิกกับพี่ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักกันเลยว่าคนรักของพริมเป็นใคร แถมยังจะยกพริมให้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้อีก งั้นเราก็จดทะเบียนสมรสกันเถอะครับ แก้เผ็ดพวกเขา พี่ละอยากรู
3 วันต่อมาพริมาเดินทางมายังบ้านเลิศลักษณ์ หญิงสาวกวาดตามองบ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่อาศัยด้วยแววตาเฉยเมย เธอไม่รู้สึกผูกพันใด ๆ กับที่แห่งนี้ เพราะถึงมันจะใหญ่โตน่าอยู่ขนาดไหนก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นและความสุข “นังพริม แกมาที่นี่ทำไม ไหนว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกไงล่ะนังลูกเมียน้อย” น้ำเสียงแข็งกร้าวดังออกมาจากในตัวบ้านก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงเสียอีก น้ำเสียงจิกกัดแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอรวรรณแม่เลี้ยงตัวร้ายของเธอหญิงสาวกลอกตาอย่างนึกรำคาญ ไม่มีสักครั้งหรอกที่ลับหลังบิดา อีกฝ่ายจะไม่พูดจาว่าร้ายหรือกระแนะกระแหนใส่ “ก็ไม่ได้อยากมานักหรอกค่ะ ถ้าไม่ได้รับปากคุณพ่อเอาไว้ว่าจะมากินข้าวด้วย”“หึ! ทำเป็นพูดดี พูดจาสวยหรู แกอย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันแกนะ แกก็เหมือนแม่ของแกนั่นแหละ หน้าซื่อใจคด เสแสร้งตอแหล น่ารังเกียจ!”ใบหน้าหญิงสาวถมึงทึง เธอถลึงตาตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว “มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ! ฉันถามหน่อยเถอะ ฉันไปทำอะไรให้คุณป้าเหรอคะ ถึงได้จ้องแต่หาเรื่องกันอยู่แบบนี้ ไม่เหนื่อยบ้างเหรอคะ แก่แล้วนะคะ หยุดได้หยุดเถอะค่ะ”“อ๊าย! นังพริม นี่แกด่าฉันเหรอ!”“ค่ะ! ถ้าไม่อยากให้ด่าก็อย่าเที่ยวไปด่
“อีกอย่างที่ผ่านมาคุณแม่ของฉันก็ยอมคุณป้ามาโดยตลอดไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไม่ใช่คุณป้าไปโพนทะนาว่าคุณแม่เป็นชู้กับคุณพ่อ ท่านจะลำบากขนาดนั้นไหม แค่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นก็หนักพอแรงแล้ว ยังต้องมีปัญหาที่ทำงานอีก สุดท้ายเป็นไงคะ หอบฉันที่อยู่ในท้องลาออกจากบริษัท ไปอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ เพื่อหลีกหนีคำประณาม เริ่มทำขนมขายซึ่งได้วันละไม่กี่ร้อยบาทเลี้ยงปากท้อง ตรากตรำทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหาเลี้ยงชีวิตตนเองและเด็กในท้อง ซึ่งกว่าจะได้งานประจำที่การเงินมั่นคงก็นานแสนนานทั้งยังเป็นโรงงานเล็ก ๆ”“ในขณะที่คุณแม่ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ตรากตรำทำงานเพราะไม่มีที่พึ่งพิง ชีวิตของคุณป้ากลับสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง ครอบครัวสมบูรณ์พร้อมหน้าพร้อมตา แม้จะไม่สุขใจแต่คุณป้าก็ไม่ลำบากนี่คะ จะจองเวรจองกรรมกันไปถึงไหน คุณแม่ท่านก็ไปสบายแล้ว คนที่ผิดมากที่สุดคือคุณพ่อนะคะ ทำไมคุณป้าไม่ต่อว่าคุณพ่อ ไม่ไปลงที่ท่านบ้างล่ะคะ เอาแต่ว่าคุณแม่ฉันลูกเดียวใช้ได้ที่ไหน คุณป้าเอาแต่บอกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วสิ่งที่คุณแม่ฉันต้องเจอมันยุติธรรมกับท่านแล้วงั้นเหรอคะ?”“..
“อ้าวคุณเดช ตาฉัตร มากันแล้วเหรอคะ มา ๆ มานั่งพักให้หายเหนื่อยกันก่อนค่ะ” พริมาเอี้ยวตัวกลับไปมองก็เห็นบิดาเดินมากับผู้ชายคนหนึ่ง หญิงสาวมองสำรวจชายคนนั้นก่อนหันกลับมาดังเดิม ยอมรับว่าหน้าตาดี แต่ยังไม่ดีพอ เพราะสุดที่รักของเธอหล่อกว่าเยอะเลย “ฉัตร นี่ลูกสาวที่อาพูดให้ฟังบ่อย ๆ ชื่อพริม ส่วนพริมนี่ฉัตร ที่พ่อเคยบอก ทักทายทำความรู้จักกันไว้นะ จะได้สนิทกันไว ๆ”พริมากลอกตา สมกับเป็นพ่อเธอจริง ๆ ขนาดบอกไว้แล้วเเท้ ๆ ว่าถ้าไม่อยากหน้าแตกอย่าพาเขามาให้รู้จัก ก็ยังไม่เลิกพยายามอีก เอาเถอะ เดี๋ยวก็ได้รู้เองว่าเธอไม่ได้ขู่“สวัสดีค่ะ พริมาค่ะ”“สวัสดีครับ พี่ชื่อฉัตรครับ เป็นพี่พริมสามปี พี่ขอเรียกพริมว่าน้องนะครับ ส่วนพริมก็เรียกพี่ว่าพี่ฉัตรก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ มองข้ามท่าทีไม่ยินดียินร้ายของหญิงสาวตรงหน้าไปเดิมทีตัวฉัตรไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับวิธีจับคู่แบบนี้ ที่มาเพราะปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรคุณอาเดชาก็เป็นเพื่อนสนิทของบิดาตน เขาจึงต้องไว้หน้าเสียหน่อย ที่สำคัญธุรกิจครอบครัวเขายังต้องพึ่งพาเส้นสายด้านการค้าของตระกูลเลิศลักษณ์อยู่ ให้เขายืนกรานเสียงแข็งกระด้างกระเดื่อ
พริมาเดินควงแขนผู้มาใหม่กลับเข้ามายังห้องรับแขกด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า สามคนที่เฝ้ารอในตอนแรกพลันตีหน้ายุ่งก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มที่หญิงสาวควงแขนเข้ามาชัด ๆ คุณเดชา คุณอรวรรณ และฉัตร เบิกตากว้างมองไปยังพริมาด้วยไม่อยากเชื่อสายตา ข้างกายของเธอปรากฏชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแบรนด์เนมด์ โดยเฉพาะนาฬิกาหลักล้านรุ่นอลิมิเต็ดเอดิชันที่หาซื้อในประเทศไทยไม่ได้ ทว่านี่ยังไม่น่าทึ่งเท่ากับสำนึกได้ว่าผู้ชายที่โอบเอวพริมาอยู่ตอนนี้คือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลผู้ดีเก่ารพีพัฒน์ เลิศเกียรติคุณ! “สวัสดีครับ” รพีพัฒน์ทักทายคนทั้งสาม แต่เหมือนทั้งสามคนในห้องจะยังไม่ได้สติ พริมาไม่สนใจ พาชายหนุ่มไปนั่งโซฟาข้าง ๆ ที่เธอนั่งในคราแรกทันทีคนทั้งสามมองตามอากัปกิริยาของชายหญิงทั้งสองตาไม่กะพริบ เพราะไม่อาจละสายตาไปไหนได้ รพีพัฒน์ผุดรอยยิ้มร้ายก่อนตีหน้าเรียบนิ่ง มองไปยังบิดาของคนรักก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยไล่ไปหาอีกสองคนทีหลัง“คุณพ่อคุณป้าคะ นี่พี่พีค่ะ คนรักพ่วงตำแหน่งสามีหมาด ๆ ที่พริมเพิ่งไปจดทะเบียนสมรสมาเมื่อสามวันที่แล้วค่ะ คุณฉัตรคะ นี่พี
20:00 น. รพีพัฒน์กลับจากทำงานก็เข้ามาเห็นภรรยาสาวนั่งหน้าบูดอยู่ในห้องนอนเด็ก ซึ่งเป็นห้องว่างข้าง ๆ ห้องนอนพวกเขา ที่เอามารีโนเวทให้เป็นห้องนอนของลูก“เป็นอะไรครับ ทำไมนั่งหน้าบูดแบบนี้” ชายหนุ่มถามคนนั่งหน้าบึ้งอย่างสงสัยไม่รู้มีใครทำอะไรให้เธอไม่สบายใจหรือไม่พอใจ วันนี้คนสวยของเขาถึงได้อารมณ์ไม่ดีแบบนี้“ก็คุณพ่อคุณแม่สิคะ ซื้อของเล่นกับชุดเด็กมาอีกแล้ว พริมบอกว่าให้พอก่อน ๆ ดูสิคะเนี่ย เต็มห้องไปหมด ไม่รู้จะจัดการยังไงแล้ว” เจ้าตัวชี้ไปยังกองของเล่นที่เพิ่งมาใหม่สด ๆ ร้อน ๆ ที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง รพีพัฒน์เลิกคิ้วแล้วมองตามมือขาวผ่องที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อนก็เห็นจริงดังว่า เขาพรูลมหายใจออกจากปาก ห้ามพ่อแม่เขา? คงยาก! ยิ่งหลานคนแรกด้วยแล้ว หึหึ“ไม่ต้องมายิ้มเลยนะคะพี่พี พริมเครียดจะตายอยู่แล้วเนี่ย! ฮึก”เขาว่าอารมณ์คนท้องมักแปรปรวน รพีพัฒน์แจ่มแจ้งแก่ใจแล้ว ภายในหนึ่งวันเขาต้องปรับตัวรับกับอารมณ์แม่ของลูกอยู่ตลอด เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ ผสมปนเปกันไปหมด เช่นเดียวกับตอนนี้ “โอ๋ อย่าร้องสิครับ ไหนเครียดอะไร ไม่เห็นมีอะไรให้น่าเครียดเลย
“มีความสุขไหมคะ” พริมาเอ่ยถามคนที่ตระกองกอดเธออยู่ข้างหลัง มือบางกอบกุมมือใหญ่ที่โอบกอดเธอไว้ ขณะที่สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า ชมความงามของธรรมชาติที่รังสรรค์ขึ้น ประเทศที่มีสีเขียวที่เธอชื่นชอบ ประเทศที่มีเทือกเขาเยอะที่สุดในโลก มองไปทางไหนก็งดงาม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์“มีความสุขครับ” เสียงทุ้มตอบกลับก่อนกระชับกอดให้แน่นขึ้น พร้อมทั้งโน้มใบหน้าหอมแก้มนุ่มเข้าปอดฟอดใหญ่“ชอบไหมครับ ได้มาฮันนีมูนและพักผ่อนยังประเทศที่พริมชอบ”“ชอบสิคะ ชอบที่สุดเลย ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกล่าวตอบเสียงใสพาใจคนฟังชุ่มชื้น“หนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมายเหมือนกันนะครับ”“ใช่ค่ะ ทั้งงานทั้งคนวุ่นไปหมดเลย”“นั่นสิครับ ดีจังที่เราได้มาฮันนีมูนและพักผ่อนกันแบบนี้”“ใช่ค่ะดีมากเลย ที่นี่สงบมากเลยค่ะ วิวก็สวย พริมอยากอยู่ไปนาน ๆ เลย”“ได้เลยครับ หยุดตามวันที่เราแพลนไว้เลยเนอะ ความจริงเราควรมาฮันนีมูนกันตั้งนานแล้ว นี่อะไร แต่งงานกันมาสามเดือนแล้วเพิ่งจะได้มาฮันนีมูน”“อย่าบ่นสิคะ ช่วงนั้นเราสองคนงานยุ่งนี่นา คุณพ่อเพิ่งวางมือให้พี่อิงรับตำแหน่งประธานบริษัทแบบเต็มตัว แม้พริมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งบริ
หนึ่งปีผ่านไป... “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีครับ”“ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาดละ”“ครับ”เสียงพูดคุยระหว่างออแกไนซ์และทีมงานดังขึ้นเป็นระยะให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าแทบทุก 3 นาที 5 นาที ที่เป็นเเบบนี้เพราะว่างานนี้เป็นงานใหญ่ จึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด ทุกอย่างต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดซุ้มประตูดอกไม้ขนาดใหญ่สีขาวแซมสีชมพูที่อยู่หน้าประตู ถูกเซตเข้ากันอย่างลงตัว ตั้งแต่ทางเดินเข้าไปจนถึงเวทีปูด้วยพรมสีแดง ภายในห้องบอลรูมสุดหรูถูกตกแต่งไปด้วยไม้ดอกหลากสีนานาพรรณ โต๊ะแชมเปญทาวเวอร์จัดเรียงแก้วลดหลั่นกันมาดูงดงามหรูหราเข้ากับบรรยากาศของงานอย่างมาก โต๊ะเก้าอี้ต่างถูกจัดเรียงไว้อย่างลงตัว ข้างเวทีมีเครื่องดนตรีถูกติดตั้งไว้อย่างเพียบพร้อม และหากทอดสายตามองขึ้นไปบนเวทีจะเห็นชื่อของคนสองคนประดับไว้โดยมีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง‘รพีพัฒน์ พริมา’ ใช่แล้ว!วันนี้คือวันแต่งงานของรพีพัฒน์และพริมา วันคืนที่ชายหนุ่มเฝ้ารอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มาถึงสักที! “โอ๊ย ๆ หุบยิ้มหน่อยเถอะพ่อคุณ ยิ้มจนปากจะฉีกแล้วนั่น” ภายในห้องวีไอพีของโรงแรมห้องหนึ่ง เสียงเย้าแหย่เอ่ยแซวของเพื่อนชายดังขึ้นหลายค
หนึ่งเดือนต่อมาจากคำขอร้องกึ่งบังคับของคนในครอบครัว ทำให้คุณเดชาใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากคนปลดเกษียณ เขาหยุดงานเพื่อพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้านนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เวลาว่างส่วนใหญ่ถ้าไม่ปลูกผักทำสวนก็จะทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายปลอดโปร่ง เพราะได้กำลังใจดี กำลังกายจึงดีตามไปด้วย สุขภาพของเขาจึงกลับมาแข็งแรงอย่างรวดเร็วกระนั้นคุณเดชาก็ยังไม่กลับไปทำงานที่บริษัทแต่อย่างใด เพราะหลังจากได้หยุดยาว มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น จึงคิดอะไรได้หลายอย่าง เริ่มคิดถึงบั้นปลายชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีความสุข ชายวัยกลางคนจึงคิดอยากวางมือจากบริษัท แล้วหันมาใช้ชีวิตเรียบง่ายปลูกผักทำสวนอยู่ที่บ้านมากกว่างานบริษัทตอนนี้เขาจึงมอบหมายให้ลูก ๆ และผู้บริหารคนอื่น ๆ ดูแลรับผิดชอบ เพื่อว่าหากเขาวางมือจริง ๆ ขึ้นมาจะได้ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องงานที่สำคัญจริง ๆ คุณเดชาจะประชุมอยู่บ้าน เอกสารสำคัญตัวไหนที่เขาต้องเซ็น เลขาส่วนตัวก็จะนำมามอบให้ที่บ้านเช่นกัน กล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัว ระหว่างคุณเดชาและบุตรสาวทั้งสองนับว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่างฝ่ายต่างปรับตัวเขาหากัน แม้แรก ๆ พริมาจะมีอาการเกร็งและฝื
“พริม พ่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ค่อยดี และพ่อก็ได้ทำร้ายจิตใจลูกมามาก แต่พ่อก็อยากบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อรักลูกนะ รักไม่น้อยไปกว่าพี่สาวของลูกเลย แล้วพ่อก็อยากขอโทษ ขอโทษที่เข้มงวดกับลูกเกินไป ขอโทษที่ทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดีพอ ขอโทษที่ให้ครอบครัวที่สมบูรณ์กับลูกไม่ได้ ขอโทษนะลูก พ่อขอโทษ” คุณเดชามองแผ่นหลังของบุตรสาวด้วยแววตาวูบไหว หน้าอกรู้สึกปวดแปลบเพราะหัวใจบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นมากุมไว้ แต่ก็ยังฝืนพูดต่อว่า“มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัว แต่พ่อขอโอกาสอีกสักครั้งได้ไหม ขอให้พ่อได้ทำหน้าที่พ่อที่ดี เป็นที่พึ่งพาแก่ลูกบ้าง สักครั้งก่อนตายก็ยังดี ลูกจะให้โอกาสพ่อได้ไหมพริมา” ไหล่บางสั่นน้อย ๆ ก่อนที่หยดน้ำตาจะกลิ้งหล่นลงบนใบหน้างาม ใจดวงน้อยสั่นระรัว เมื่อได้ยินคำว่ารักและคำขอโทษ ที่เธอเฝ้ารอออกจากปากเขา หญิงสาวรู้สึกดีกับสิ่งที่ได้ยิน แต่มันยังไม่พอจะปลดล็อกความรู็สึกทั้งหมดได้ กำแพงที่เธอมีต่อเขามันสูงเกินไป หากอิงอรมีปมเรื่องการถูกละเลยความรู็สึก เธอก็มีปมที่คิดว่าตัวเองและแม่ไม่สำคัญสำหรับเขาเช่นกันร่างบางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนเป็
08:30 น. เช้าวันที่แปดคุณเดชาตื่นขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลด้วยใบหน้าผ่องใสเบิกบานกว่าเดิม มองขวดน้ำเกลือที่พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนให้ใหม่ด้วยแววตาเบื่อหน่ายเขาแข็งแรงดีแล้วคุณหมอก็ยังไม่ยอมให้กลับบ้านเสียที เฮ้อ!ดวงตาคมดุกวาดมองไปรอบตัวพลันรู้สึกว่าห้องพักผู้ป่วยดูคับแคบขึ้นทันตาเพราะทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด ไม่ว่าจะเป็นอรวรรณ อิงอร พริมา รพีพัฒน์ ฉัตร“ทนหน่อยนะคะคุณ หายดีกว่านี้เดี๋ยวหมอก็อนุญาตให้กลับเองแหละค่ะ” คุณอรวรรณรีบพูดเมื่อเห็นสายตาเบื่อหน่ายของสามีคุณเดชาไม่ตอบ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังบุตรสาวทั้งสอง ที่คนหนึ่งเกิดจากหน้าที่ อีกคนเกิดจากความรัก แต่ถึงจะเกิดจากคนละแม่ เขาก็รักลูกทั้งสองคนมากอยู่ดี ไม่เคยรักใครน้อยกว่าใครเลย แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ พี่น้องไม่รักกันก็ว่าแย่แล้ว คิดร้ายต่อกันไม่พอ ถึงขนาดไล่ให้อีกคนไปตาย คนเป็นพ่ออย่างเขาจะรับได้หรือ? ลูกสองคนเป็นแบบนี้แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างไร?คุณเดชาหลับตากล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้ให้ลึกที่สุด ภายในห้องพักผู้ป่วยเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ คิดว่าหากมีใครสักคนทำเข็มตกต้องได้ยินชัดเจนแน่ สถานการณ์ดูเหมือนจะน่า
ทันใดนั้นเองประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกโดยนายแพทย์วัยกลางคน“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ เดี๋ยวบุรุษพยาบาลและพยาบาลจะเข็นเตียงคนไข้ไปยังห้องวีไอพีตามที่ญาติคนไข้ทำเรื่องไว้เลยนะครับ แล้วก็หมอขอคุยกับญาติคนไข้หน่อยนะครับ หมอขอตัวเปลี่ยนชุดก่อนสักครู่ เดี๋ยวจะมีพยาบาลนำทางไปยังห้องของหมอนะครับ” นายแพทย์พูดจบก็ปลีกตัวออกไปผู้เกี่ยวข้องทั้งสามเมื่อได้รับคำยืนยันจากแพทย์ผู้ชำนาญการว่าคุณเดชาปลอดภัยแล้วต่างโล่งอกถอนหายใจไปตาม ๆ กัน ก่อนตามพยาบาลไปยังห้องทำงานของนายแพทย์เจ้าของคนไข้ เพื่อพูดคุยอาการของคุณเดชาทั้งสามพูดคุยกับแพทย์เจ้าของคนไข้อยู่นานเกี่ยวกับอาการของคุณเดชา ก่อนจะเดินกลับมายังห้องพักคนป่วยด้วยอาการเลื่อนลอย ตั้งรับไม่ทันถึงสิ่งที่ได้รับรู้...โรคหัวใจ‘หมอไม่รู้นะครับว่าคนไข้มีปัญหาอะไรถึงได้ไม่ยอมบอกครอบครัวว่าเป็นโรคหัวใจทั้ง ๆ ที่คนไข้รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ตั้งนานแล้ว ซึ่งการที่คนไข้ปิดบังครอบครัวแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ตอนนี้ครอบครัวก็รู้แล้วว่าคนไข้เป็นโรคหัวใจ ดังนั้นช่วยกันสอดส่องและเฝ้าระวังด้วยนะครับ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันแบบวันนี้อีก’ ‘เพราะคนไข้ห
หลังคุณเดชาทรุดลงไปกับพื้นความชุลมุนก็เกิดขึ้น ทีมแพทย์ที่รพีพัฒน์เตรียมพร้อมไว้รับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งรีบเข้าช่วยชีวิตชายวัยกลางคนได้อย่างทันท่วงที ร่างแน่นิ่งของคุณเดชาถูกนำส่งโรงพยาบาลและหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมทีมแพทย์ตั้งแต่ที่มาถึงแล้ว กระนั้นสถานการณ์ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไรบ้างยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่คนที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากเท่านั้น ไม่มีใครสามารถสบายใจได้จนกว่าจะได้ทราบว่าชายวัยกลางคนปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำอิงอรสะเทือนใจไม่น้อย เธอหวาดกลัวว่าจะสูญเสียบิดา เอาแต่กอดร่างแน่นิ่งของบิดา และเอ่ยขอโทษไม่หยุดตั้งแต่อยู่บนรถฉุกเฉิน กระทั่งร่างบิดาถูกเข็นหายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สติหญิงสาวก็ยังไม่กลับมาคุณอรวรรณที่ทราบข่าวว่าคุณเดชาเข้าโรงพยาบาลจากพริมาที่โทรไปแจ้ง ก็เร่งรีบมาทันที ยังไม่ทันได้ไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น บุตรสาวก็โผลเข้ากอดเธอพร้อมร้องไห้อย่างหนัก ปากก็พร่ำบอกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จนคุณอรวรรณงงไปหมด สงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่หล่อนกอดปลอบบุตรสาวอยู่น
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าพี่อิงจะคิดร้ายกับฉันขนาดนี้ ทำไมคะ ฉันทำอะไรให้พี่นักหนาเหรอ ทำไมพี่ถึงคิดอะไรทุเรศ ๆ อุบาทว์ ๆ แบบนี้ออกมา” หญิงสาวตวาดถามเสียงกร้าว“...” อิงอรก็ยังไม่ยอมผลิปาก เธอยืนนิ่ง ผินหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากมองหน้าผู้เป็นน้องสาว เนื่องจากขายหน้าที่ถูกจับได้ อีกทั้งส่วนหนึ่งในใจลึก ๆ ยังรู้สึกละอายใจ เมื่อครู่ไม่ใช่น้องสาวคนนี้หรือที่พยายามช่วยเธอ ที่หยุดยั้งไม่ให้ผู้ชายคนนั้นฉีกกระชากชุดเธอให้ขาดไปมากกว่านี้น่าตลก คนที่เธอคิดร้าย กลับเป็นคนแรกที่ยื่นมือช่วยเหลือเธอ ความจริงใจที่พริมามีให้นั้นเธอสัมผัสถึงมันได้แต่จริง ๆ แต่ว่าจะมีประโยชน์อะไรล่ะ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้วพริมาพุ่งตัวเข้าไปจับหัวไหล่มนของอิงอรแล้วเขย่าสุดแรง ทั้งตะคอกถามกดดันให้อิงอรตอบคำถาม“ตอบสิคะ! เงียบทำไม ทำไมถึงมีความคิดน่ารังเกียจได้ขนาดนี้ ทำไมคะ ทำไม! ตอบสิ ตอบ!”“เพราะฉันเกลียดเเกไง! ถ้าไม่มีแกสักคนคุณพ่อก็จะรักฉันห่วงฉันคนเดียว ฉันเคยเป็นที่หนึ่ง เคยได้รับความสนใจมาก่อนใครตลอด แต่พอมีแกเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป คุณพ่อสนใจแกมากกว่าฉัน รักแกห่วงแกมากกว่าฉัน แ