"ไม่ดื่ม ไปให้พ้น" สามคําง่าย ๆ ทําให้สถานการณ์เงียบกริบ ตั้งแต่ฉาวอี้หมิงเข้าประตู สายตาของทุกคนมองไปที่เขา ไม่รู้มีกี่คน ก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อเอาใจ ดังนั้นเมื่อเห็นฉาวอี้หมิงดื่มอวยพรให้ลู่เฉิน กลุ่มคนรอบข้างรวมถึงจูชิง หลัวทงและเจิ้งเจี้ยน ต่างก็ประหลาดใจมาก ถึงกับอิจฉาริษยา สามารถทําให้ฉาวอี้หมิงดื่มอวยพรแบบนี้ได้ เป็นเพียงเรื่องของการให้เกียรติบรรพบุรุษเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยคาดฝันว่าลู่เฉินจะปฏิเสธ แถมยังตอบคําว่า "ไปให้พ้น" อย่างหยิ่งผยองอีกด้วย ทำแบบนี้หมายความว่าอะไรวะ ไม่ไว้หน้ากันเลยหรอ "คุณเพิ่งพูดว่าอะไร?" นาทีนี้ไม่ใช่แค่คนรอบข้างที่ประหลาดใจ แม้แต่กับฉาวอี้หมิงก็สงสัยบ้างว่าตัวเองฟังผิด เขาเป็นใคร เจ้าชายแห่งตระกูลฉาว นายทหารอาวุโสของทหารม้าเสือเสือดาว นายพลที่เขย่าอนาคต! ปกติไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเป็นดาวเด่น แค่ทำหน้ายิ้มๆ ก็ปลื้มใจแล้ว เหล้าที่เขาชนแก้ว คนธรรมดาควรขอบคุณไม่ใช่เหรอ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงกล้าปฏิเสธ "ไม่ได้ยินเหรอ ผมบอกให้ไปให้พ้น" ลู่เฉินพูดซ้ําอีกครั้ง ยังคงเย็นชาและตรงไปตรงมา "กล้าหาญนัก!" "กําเริบเสิบ
"ถ้าพวกคุณใครอยากดื่มก็ดื่มเอง ยังไงผมก็ไม่ดื่ม" ลู่เฉินไม่เปลี่ยนใจ ไม่กลัวภัยคุกคามแม้แต่น้อย "ฮึ่ม! ดื่มหรือไม่ดื่มก็แล้วแต่คุณ!" ฉาวอี้หมิงสีหน้าเย็นชา "เอาคนมารินเหล้าให้ผม!" "ใช่!" ทันทีที่นายพลทหารทั้งสองได้ยิน พวกเขาก็รีบเข้ามาจับบุคคลนั้นทันทีและเตรียมจะบังคับให้เขาดื่ม "ไปให้พ้น" ลู่เฉินตบนายพลทหารทั้งสองลงกับพื้นด้วยการตบหลังมือสองครั้ง ตบจนทั้งคู่เลือดกำเดาไหลนอง ฟันกระจาย ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้สักพัก "ให้ตายเถอะ! ผู้ชายคนนี้ยังกล้าลงมืออีก?" เมื่อเห็นภาพนี้ทุกคนก็ตกใจและโกรธ การตีเจ้าหน้าที่อย่างโจ่งแจ้งนี่ไม่ใช่ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าจําเป็น แม้แต่ปืนก็สามารถยิงได้ "เด็กน้อย คุณหาความตาย!" เมื่อเห็นนายพลหทารถูกทุบตี ในที่สุดฉาวอี้หมิงก็โกรธ เดินหน้าชกต่อยเข้าหน้าลู่เฉิน ในฐานะนายทหารอาวุโสของทหารม้าและเสือดาว ความสำเร็จด้านศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นสูงโดยธรรมชาติ ตอนนี้เทียบเป็นระดับการฝึกร่างขั้นเซียนเทียน ในบรรดาเพื่อนวัยเดียวกัน เรียกได้ว่าเขาเก่งที่สุด เมื่อเผชิญกับการโจมตี ลู่เฉินไม่ได้หลบ เขาวางมือซ้ายไว้ด้านหลังแล้วยื่นมือขวาออก
วางยาในเหล้า?" เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ทุกคนก็ตกตะลึง สายตาทุกคู่ก็มองไปที่ฉาวอี้หมิง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ การไม่ดื่มเหล้าก็ให้อภัยได้จริง ๆ "คุณ คุณพูดเหลวไหล!" เปลือกตาของฉาวอี้หมิงยกขึ้น ก็ดื่มอย่างใจเย็น "ผมเป็นใคร จะวางยาคุณได้อย่างไร นี่แหละคือการใส่ร้ายป้ายสี!" แม้จะไม่เข้าใจว่าลู่เฉินมองออกได้อย่างไร แต่เวลานี้เขาไม่ยอมรับแน่นอน "ใช่แล้ว น้องชายของผมให้เกียรติดื่มอวยพรคุณหนึ่งแก้ว คุณไม่ดื่มก็ช่างเถอะ ยังใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ เป็นความทะเยอทะยานของหมาป่าจริง ๆ" ฉาวจื่อยวนแสร้งทําเป็นโกรธ "ฮึ่ม! ผมเห็นใครบางคนตั้งใจก่อเรื่องที่นี่!" "ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ บาปร้ายแรงนัก" "ถ้าให้ผมพูด ไล่เขาออกไปเลย มันน่าเกลียดจริง ๆ" คนทั้งปวงก็พากันพูดจาต่อว่า ด้วยความคิดอุปาทานของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเชื่อฉาวอี้หมิงมากกว่า "ลู่เฉิน คุณบอกว่าอี้หมิงวางยา มีหลักฐานไหม" ฉาวก้วนถามด้วยเสียงดัง "ใช่ๆ! ไม่มีหลักฐานอย่าพูดจาโผงผาง!" สมาชิกตระกูลฉาวบางคนแสดงความไม่พอใจต่อหน้าพวกเขา “หาหลักฐานไม่ง่ายเหรอ?” ลู่เฉินยกแก้วเหล้าขึ้นมาและส่งไปที่หน้าฉาวอี้หมิง "เนื่องจากคุณบอกว่าค
“เรื่องมันจบแล้วเหรอ?” ฉาวซวนเฟยไม่เต็มใจเล็กน้อย ผู้ชายของตัวเองถูกรังแก เธอย่อมไม่ยอมกลืนฝืนทน "ซวนเฟย สถานการณ์โดยรวมสําคัญที่สุด นั่งลงเถอะ" ฉาวก้วนขยิบตาแล้วพาคนกลุ่มหนึ่งไปนั่งในที่นั่งพิเศษของตระกูลฉาว สิบโต๊ะด้านหน้าสุดของห้องจัดเลี้ยงล้วนเป็นสมาชิกหลักของตระกูลฉาวและตําแหน่งของผู้มีอํานาจบางคน แขกทั่วไป ขึ้นไปแถวหลังได้เท่านั้น “สามี ฉันทำให้คุณโดนรังแก ฉันจะหาโอกาสช่วยคุณระบายความโกรธอย่างแน่นอนในอนาคต!” ฉาวซวนกัดฟันของเธอ "ไม่มีอะไรหรอก เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น คุณไม่จําเป็นต้องสนใจผม ไปอยู่กับพ่อของคุณเถอะ" ลู่เฉินยิ้มเบา ๆ มีคําพูดของอีกฝ่ายหนึ่งก็เพียงพอแล้ว "ทำไมล่ะ คุณไม่นั่งกับฉันเหรอ" ฉาวซวนเฟยเลิกคิ้ว "ไม่ได้ เจ้าบ้านและแขกอยู่ในระเบียบ ผมนั่งตรงนี้ก็พอ อีกอย่างการอยู่ใกล้ฉาวอี้หมิงมากเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีเลย" ลู่เฉินส่ายหัว ตําแหน่งแถวหน้าเป็นที่จับตามอง เขาไม่ชอบให้คนให้ความสนใจมากเกินไป "เอางั้นก็ได้" พูดมาถึงจุดนี้แล้ว ฉาวซวนเฟยก็ไม่ได้ฝืน หลังจากทักทายเพื่อนร่วมชั้นหลายคนแล้ว ก็กลับไปที่นั่งของตัวเอง "ลู่เฉิน ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะ
อีกทางด้านหนึ่ง ภายในคฤหาสน์ของตระกูลซ่างกวน ซ่างกวนหงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ กําลังศึกษาหนังสือทางการทหารอยู่อย่างเงียบ ๆ อ่านอย่างมีสมาธิ ไม่ตกหล่นแม้ตัวอักษรเดียว "ปึงๆๆ..." ในขณะนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “มีเรื่องอะไร?" ซ่างกวนหงไม่ได้หันกลับไป "คุณชาย วันฤกษ์งามยามดีได้มาถึงแล้ว พวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว" เสียงที่ดูแก่ชราดังขึ้นที่ข้างนอกประตู ซ่างกวนหงวางหนังสือทางการทหารลง เขาลุกขึ้นยืน จัดระเบียบเสื้อผ้า จากนั้นถึงจะเปิดประตูและเดินออกไป นอกประตูมีคนใช้ชราคนหนึ่งยืนอยู่ กําลังก้มหน้ารอเขาอยู่ “ทางตระกูลฉาวมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง?" ซ่างกวนหงมีสีหน้าเฉยเมย “ครับ คุณชาย ตระกูลฉาวไม่ได้มีการเตรียมการสู่ขอแต่อย่างใด แต่มีการจัดงานเลี้ยงวันเกิดอายุยืนขึ้นโดยเฉพาะ" คนใช้ชราก้มหน้า “จัดงานวันเกิดอายุยืน?" ซ่างกวนหงแสยะมุมปาก “นี่คือจะเพิ่มความกดดันให้ผมงั้นเหรอ? น่าสนใจนะเนี่ย" "คุณชายครับ พวกเราควรจะต้องเปลี่ยนวันค่อยไปสู่ขอไหมครับ?” คนใช้ชรากล่าวถามหยั่งเชิง "ในเมื่อที่นัดหมั้นหมายกันไว้คือวันนี้ งั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ กำหนดการเดินทางยังคงเหมือนเดิม" ซ่
เจิ้งเจี้ยนพูดเสริมตามว่า "ไอ้คนแซ่ลู่ ขอแนะนําคุณสักหนึ่งประโยค ทางที่ดีที่สุดควรรีบออกห่างจากฉาวซวนเฟย ไม่งั้นจะมีแต่หาเรื่องใส่ตัว" สำหรับเรื่องนี้ ลู่เฉินก็ขี้เกียจที่จะให้ความสนใจ แค่ดื่มชาอยู่กับตัวเองไป แต่ทว่าท่าทีที่หยิ่งผยองเช่นนี้ ทําให้หลาย ๆ คนไม่พอใจมากขึ้นไปอีก "เหอะ! เมื่อกี้คุณไม่ใช่ว่าอวดดีมากหรอกเหรอ? ทําไมตอนนี้ไม่กล้าพูดแล้วล่ะ? คุณก็มีอนาคตแค่หน่อยเดียวนี่แหละ” จูฉิงยิ้มเย็นชา ในมุมมองของเธอ อีกฝ่ายรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างเห็นได้ชัด "พอได้แล้ว ไว้หน้าใครบางคนบ้างเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็เป็นหมาจนตรอกแล้ว" หลัวทงยิ้มหยอกล้อ แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ออกหมัดต่อยเตะเป็นนิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาก็ไม่เอามาอยู่ในสายตาจริง ๆ "เอ๊ะ... คนนั้นเป็นใครอีก? หน้าตาหล่อจริง และมีออร่าเป็นพิเศษด้วย" ในเวลานี้ จูฉิงดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างเข้า ทันใดนั้นเธอก็ชี้ไปที่ประตู หลาย ๆ คนมองไปตามเสียง ระหว่างนั้นมีชายที่หล่อเป็นประกายคนหนึ่งที่ถือพัดไว้ในมือ เดินเข้ามาอย่างผ่อนคลายสบายใจ ผู้ชายหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่วงท่าสง่างาม ทุกกิริยาท่าทางล้วนแสดงออร่าความรวยออกมาเต็มที่
"หา?" เมื่อมองดูหวงฝู่เจี๋ยที่มีท่าทางนอบน้อมและสุภาพต่อลู่เฉินมากขึ้น พวกหลัวทงหลาย ๆ คนก็ตะลึงตาค้างเลย แต่ละคนเบิกตากว้าง รู้สึกยากที่จะเชื่อเล็กน้อย คุณชายตระกูลหวงฝู่ผู้เพียบพร้อม หนึ่งในสิบคุณชายแห่งมณฑลหนาน หวงฝู่เจี๋ยที่รู้จักกันในนามที่สุดของผู้มีอำนาจ คาดไม่ถึงว่าจะต้อนรับไอ้กระจอกคนหนึ่งด้วยหน้าเปื้อนรอยยิ้ม? เป็นไปได้ยังไงกัน?! "ไม่สิ ไม่ใช่มั้ง? ลู่เฉินถึงกับรู้จักกับคุณชายเจี๋ยเหรอ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของจูฉิงแข็งทื่อไปแล้ว เดิมทีคิดว่าหวงฝู่เจี๋ยพุ่งมาหาหลัวทง แต่ผลที่ได้นั้นคาดไม่ถึงว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือลู่เฉิน และดูจากการแสดงออก ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายดูเหมือนว่าจะค่อนข้างดีเลยทีเดียว “ไอ้หมอนี่มันมีดีอะไร คาดไม่ถึงว่าจะไต่เต้าไปถึงคุณชายเจี๋ย?!” นอกจากความประหลาดใจของเจิ้งเจี้ยนแล้ว ยังเป็นความริษยาที่มีมากกว่า ไอ้กระจอกคนหนึ่ง เอาคุณสมบัติมาจากไหนมาพูดคุยอย่างสนุกสนานกับขุนนางชั้นสูงสุด? “ทําไมถึงเป็นแบบนี้?" หลัวทงตะลึงงันอยู่ตรงที่เดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ถูกหวงฝู่เจี๋ยมองข้ามไปก็แล้วไปเถอะ แต่เขาไม่มีทางยอมรับได้จริง ๆ การดํารง
“เอาล่ะ ผมจะขอชนแก้วแก้วหนึ่งกับทุกคนก่อน" ฉาวก้วนทั้งสองมือถือแก้วเหล้าไว้อยู่ กวาดตาผ่านผู้คนทุกคนไปทีละคน และดื่มจนหมดในครั้งเดียว เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ทุกคนก็พากันลุกขึ้น และยกแก้วขึ้นเพื่อชนกลับ หลังจากการทักทายกันผ่านไป ก็ถึงขั้นตอนของการมอบของขวัญอย่างรวดเร็ว "ท่านฉาว นี่คือม้าสีทองที่ผมสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อท่าน ขออวยพรให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงและสมปรารถนาในทุก ๆ เรื่อง” “ท่านฉาว หยกก้อนนี้เป็นเครื่องประดับเดียวของท่านอ๋องในยุคโบราณ หวังว่าท่านจะชื่นชอบ” "ท่านผู้นำฉาว ภาพวาดนี้เป็นของแท้ของถังป๋อหู เป็นของล้ำค่าอย่างแท้จริง ณ ที่นี้ ผมขอให้ท่านมีสุขภาพที่ดีและยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด!” แขกเหรื่อคนแล้วคนเล่า ถือของขวัญเดินขึ้นไปข้างหน้า และเริ่มแสดงความยินดีทุกรูปแบบ ในสถานที่จัดงานมีเศรษฐีมากมายและผู้มีอํานาจรวมตัวกัน ขั้นตอนการมอบของขวัญนี้ มีความหมายแอบแฝงด้วยการประลองเปรียบเทียบฐานะ ใครให้ของขวัญที่มีค่ามากที่สุด และหายากที่สุด ก็สามารถได้หน้าครั้งใหญ่ ด้านหนึ่งสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้ ในอีกด้านหนึ่งก็สามารถสานสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉาวได้ ดัง
กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แล้วก็หยุดกะทันหันแสงแดดส่องลงมา เสื้อเกราะสีทองของเหลยว่านจุนส่องแสงประกาย และสะดุดตาเป็นพิเศษ"ดาบนี้เรียกว่าโพ่หยวีนกวน ผมเคยเก็บตัวมาสามปี ถึงจะเรียนรู้เทคนิคนี้ให้ได้""จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยแสดงต่อหน้าคนนอกเลย""วันนี้ จะเป็นเกียรติในชีวิตของคุณที่สามารถตายด้วยดาบนี้ของผม!""ดูดาบผมสิ!"พูดจบ ดาบทองของเหลยว่านจุนก็สั่นอย่างกะทันหัน ตัวเขาก็กลายเป็นแสงสีทองที่แสบตา พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วโมเมนตัมของมันยิ่งใหญ่เหมือนแม่น้ำไหลลง ไม่สามารถหยุดยั้งได้และอยู่ยงคงกระพัน"ดาบที่เร็วมาก ลมดาบที่น่ากลัวมาก""โอ้พระเจ้า นี่คือการลงโทษจากพระเจ้าหรือ น่ากลัวเกินไป!"“เมื่อดาบนี้ใช้ออกมา จะไม่มีใครหยุดยั้งได้ การฝึกร่างขั้นจงซือหนุ่ม ถึงตายก็ยังได้รับเกียรติ”ดาบที่น่าตกใจของเหลยว่านจุนทําให้เกิดความโกลาหลเหล่านักสู้ต่างสะเทือนใจแสงสีทองนั้นพราวเหมือนดวงอาทิตย์ ทําให้คนไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อยดาบนั้นตกลงมาเหมือนวันสิ้นโลกมาถึงมากพอที่จะทำลายทุกอย่าง!"ชางฉง!"ในขณะที่เหลยว่านจุนออกดาบ ลู่เฉินก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหันเห็นเพียงว่าเขาตบเบาๆ ดาบสีดำท
เมื่อที่เกิดเหตุสงบเหล่านักสู้ที่อยู่ด้านล่างเวที รู้สึกแต่หลังเย็นและหวาดกลัวคลื่นกระทบของการโจมตีเมื่อกี้นั้นน่ากลัวเกินไปหากไม่ได้เตรียมการมานานและหลบได้ทัน เกรงว่าจะถูกประแทกจนได้รับบาดเจ็บสาหัสทันทีถึงกระนั้น พลังทําลายล้างที่น่ากลัวนั้นยังคงทําให้คนกลัวในใจ"ไม่เลว ความแข็งแกร่งของคุณแข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในป่าดำเลย"เหลยว่านจุนแบกมือข้างเดียวไว้ด้านหลัง และยิ้มเบา ๆ ดูเหมือนว่าชัยชนะอยู่ในมือแล้ว "น่าเสียดายที่คุณยังคงต้องตายในวันนี้""เหลยว่านจุน มีความสามารถจริง ๆ อะไร ก็ใช้ออกมาเลย มิฉะนั้นคุณจะไม่มีโอกาสแล้ว"ลู่เฉินยืนตัวตรงอย่างช้า ๆ สายตายังคงเย็นชาการโจมตีเมื่อกี้นั้น ทำให้เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของเหลยว่านจุนเป็นยังไงถ้าไม่มีอะไรที่เกินความคาดคิด อีกฝ่ายใกล้จะมาถึงการฝึกร่างขั้นจงซือใหญ่แล้วโชคดีที่ยังไม่ได้ทะลุไปอย่างเต็มที่เพราะเวลา ไม่งั้นจะรับมืออย่างลำบาก"ฮึ่ม! คุณไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ"เหลยว่านจุนหรี่ตาเล็กน้อย โมเมนตัมเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เสื้อคลุมทั้งตัวไม่มีลมพัดแต่ปลิวอยู่ และส่งเสียงด้วย "คุณต้องดูความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผมไม่ใช่
การฝึกร่างขั้นจงซือก็มีคนที่แข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนแอกว่า ช่องว่างของดินแดนเล็ก ๆ แต่ละระดับจะยากที่จะข้ามได้"หัวหน้าอู๋ประเมินคนนี้สูงเกินไปแล้ว"เจี่ยงซิวเจินส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม "ถ้าผมมองไม่ผิด หลังจากหัวหน้าเหลยเก็บตัวครั้งนี้ ความแข็งแกร่งได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จัดการกับลู่เฉิน ใช้สามท่าก็สามารถจัดการได้แล้ว""อ้อ เหรอ"อู๋หงต๋ายักคิ้ว ค่อนข้างประหลาดใจเหลยว่านจุนได้ประสบความสําเร็จอย่างมากในการฝึกร่างขั้นจงซือเมื่อหลายปีก่อน หากมีความก้าวหน้าอีก เขาจะใกล้มาถึงการฝึกร่างขั้นจงซือใหญ่แล้สไม่ใช่หรือถ้าเป็นเช่นนั้น สำนักงานเจิ้นอู่ก็ต้องประเมินมูลค่าของเขาใหม่แล้ว"ลู่เฉิน คุณไม่ควรมาท้าทายผม ตอนอยู่ในป่าดำ ผมเคยให้โอกาสคุณแล้ว ไม่คิดว่าคุณจะยังเอาไข่มากระทบหินอีก วันนี้ ไม่มีใครช่วยคุณได้แล้ว"เหลยว่านจุนยังคงเข้าใกล้ต่อไป โมเมนตัมที่น่ากลัวในตอนแรกก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งราวกับคลื่นสึนามิกวาดมา"แกร็บ แกร็บ...” ภายใต้การบีบอัดอย่างรุนแรง ออร่าที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ลู่เฉินก็เริ่มมีรอยแตกทีละรอยเกิดขึ้นเหมือนกระจกขนาดใหญ่ที่กําลังจะแตกรอยแตกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และหนาแน่นขึ้นเรื
ภายใต้เสียงตะโกนของเหลยว่านจุน ใบไม่ต้องรับผิดชอบก็ส่งมาทั้งสองคนไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ เซ็นชื่อบนใบไม่ต้องรับผิดชอบและพิมพ์ลายนิ้วมือติดต่อกันการดวลกันสังเวียน จะเป็นหรือจะตายนั้นกำหนดโดยโชคชะตามาตลอด แต่โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่มีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง ฝ่ายชนะจะออมมือ นี่เป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้แต่หลังจากเซ็นใบไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว กฎนี้ก็ถูกทําลายแล้วไม่ได้ออมมือ ไม่มีทางถอย มีแค่สู้ชีวิตจะอยู่หรือตาย ไม่มีทางเลือกอื่น"ลู่เฉิน นี่เป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดในชีวิตของคุณ"หลังจากเซ็นชื่อเสร็จแล้ว โมเมนตัมของเหลยว่านจุนก็เปลี่ยนไปแล้วจากการสง่างามกลายเป็นคนเฉียบคม และมีบารมีแรงกดดันที่เหมือนภูเขาถูกปล่อยออกจากร่างกายเขา และปกคลุมทั้งที่เกิดเหตุทันทีหลังจากนั้น เหล่านักสู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีรู้สึกเพียงว่าร่างกายหนักขึ้น เหมือนมีก้อนหินที่มองไม่เห็นก้อนหนึ่งกดลงบนไหล่ของพวกเขา แม้แต่การหายใจก็เริ่มถี่ขึ้นคนที่อ่อนแอ ยิ่งหอบและเหงื่อออกเต็มหัว"แรงกดดันจากการฝึกร่างขั้นจงซือที่น่ากลัว หรือว่านี่ก็คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหัวหน้าพันธมิตรศิลปะการต่อสู้หรือ"ทุกคนสั่นใ
นี่อะไรกันเนี่ยไม่ใช่เพื่อตำแหน่งและอำนาจ เพื่อสร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก ถึงมาท้าทายหัวหน้าพันธมิตรศิลปะการต่อสู้หรือทำไมจะฟังดูเหมือนเป็นการแก้แค้นระหว่างทั้งสองคน มีความแค้นอะไรหรือ"พวกบ้าที่ใจกล้า คุณกล้าดูถูกหัวหน้าพันธมิตรอย่างโจ่งแจ้ง เป็นบาปชั่วร้ายที่ให้อภัยไม่ได้จริง ๆ"เหลยเชียนฉงลุกขึ้นและตําหนิเสียงดังสมาชิกของพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ ก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองในใจและตะโกนไม่หยุดเหลยว่านจุน เป็นหน้าเป็นตาของทั้งพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ ถูกใส่ร้ายในที่สาธารณะ ย่อมจะทนไม่ได้"ได้แล้ว เงียบหน่อย"เหลยว่านจุนยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ หยุดเสียงอึกทึกครึกโครมของสมาชิกพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ แล้วก็พูดอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า "ลู่เฉิน ความยุติธรรมอยู่ในใจคน ที่ผมทําสิ่งต่าง ๆ จะเปิดเผยเสมอ คุณคิดว่าการพูดพล่อย ๆ ไม่กี่คําจะทําให้ชื่อเสียงของผมเสื่อมเสียได้หรือ""ใส่ร้ายเหรอ ฮึ่ม..."ลู่เฉินส่งเสียงฮื่มอย่างเย็นชา "คุณเขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า กระทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของอาจารย์และศีลของบรรพบุรุษ สู้สัตว์ไม่ได้ด้วยซ้ำ คนหน้าซื่อใจคดอย่างคุณ ต้องถูกทุกคนลงโทษเลย""กําเริบเสิบสาน!"
"ถึงแล้วหรือ?"เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลายคนก็มองตามสายตาของเจี่ยงซิวเจินไปทันทีได้เห็นว่าหลังคาของสํานักงานใหญ่พันธมิตรศิลปะการต่อสู้ มีเงาสีขาวหนึ่งกระโดดลงมาอย่างกะทันหันเงามนุษย์แกว่งไปแกว่งมาตามลม เบาเหมือนไม่มีอะไร เหมือนขนนกสีขาว"มาแล้ว หัวหน้าเหลยมาแล้ว"เมื่อมองดูเงามนุษย์ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ทั้งสนามสู้ก็ฮือฮาขึ้นมาทันทีเหลยว่านจุน หัวหน้าพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ได้ปรากฏตัวในที่สุดท่ามกลางสายตาของทุกคน เหลยว่านจุนในชุดขาว แบกมือทั้งสองข้างไว้ข้างหลัง เสื้อผ้าปลิว เท้าเหยียบบนลม ราวกับเป็นเทพเจ้าตกลงมาบนโลกลอยละลิ่วลงมาด้วยอารมณ์ที่ลึกลับและสูงส่งไม่มีบารมีที่บีบบังคับ ไม่มีออร่าที่แข็งแกร่ง มีแค่ความศักดิ์สิทธิ์ที่ทําให้คนไม่กล้ามองตรง ๆ และไม่สามารถดูหมิ่นได้ในขณะนี้ เหลยว่านจุนเป็นเหมือนแสงที่สว่างที่สุดในโลกนี้ส่องบนแผ่นดิน สลายความมืดทำให้คนเคารพจากใจ"ขอต้อนรับหัวหน้าเหลยเก็บตัวออกมา"ในเวลานี้ เหลยเชียนฉงลุกขึ้นก่อน และทําความเคารพ"ขอต้อนรับหัวหน้าเหลยเก็บตัวออกมา"เหล่าสาวกพันธมิตรศิลปะการต่อสู้จํานวนมากที่อยู่ข้างหลังเขาก็พากันลุกขึ้น และตะโกนพร้
"น้อง ตราบใดที่คุณเข้าร่วมสำนักงานเจิ้นอู่ ผมสามารถตัดสินใจได้ อนุญาตให้คุณขึ้นตำแหน่งผู้ที่คอยปรนนิบัติหัวหน้า!" อู๋หงต๋าเสนอเงื่อนไขที่ดีในสำนักงานเจิ้นอู่ ตำแหน่งผู้ที่คอยปรนนิบัติหัวหน้า อยู่เหนือผู้จัดการด้วยซ้ำเพิ่งเข้าร่วมก็ขึ้นสองระดับติดต่อกัน นี่เป็นการเลื่อนตําแหน่งเกินมาตรฐานแล้ว"ขอโทษครับ ผมยังคงไม่สนใจ"ลู่เฉินส่ายหัวอีกครั้งการปฏิเสธซ้ำๆทําให้อู๋หงต๋าขมวดคิ้วเขาไว้หน้ามากพอแล้ว ไม่คิดว่าเด็กตรงหน้านี้จะไม่รู้จักชั่วดีขนาดนี้"ไม่ใช่มั้ง ขนาดตําแหน่งผู้ที่คอยปรนนิบัติหัวหน้าของสำนักงานเจิ้นอู่ก็ไม่เอา เด็กคนนี้คิดอะไรอยู่?""มันเป็นเรื่องดีมากที่ได้รับความสำคัญจากสำนักงานเจิ้นอู่ เด็กคนนี้ไม่ซาบซึ้งเลยเหรอ ไม่รู้จักชั่วดีจริง ๆ""ฮึ่ม! การฝึกร่างขั้นจงซือหนุ่มอะไร ต่อหน้าสำนักงานเจิ้นอู่ เป็นไก่อ่อนทั้งนั้น"นักสู้ที่อิจฉาบางคน ต่างวิจารณ์ขึ้นการชักชวนของสำนักงานเจิ้นอู่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดจากนักสู้มากมายแต่ลู่เฉินกลับปฏิเสธหลายครั้ง ไม่ได้เห็นสำนักงานเจิ้นอู่ในสายตาเลย หยิ่งผยองจริง ๆ"น้อง ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปจะไม่มาอีก คุณแน่ใจนะว่าจะไม่
"คุ้นตา?"เฉินหยวนเวยสงสัยเล็กน้อย "หรือว่าหัวหน้าอู๋เคยเห็นการฝึกร่างขั้นจงซือลู่มาก่อน""ผมอาจจะดูผิดแล้วมั้ง"อู๋หงต๋าสัมผัสเคราของตัวเอง ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แต่ก็จําไม่ได้ด้วยความทรงจําของเขา ตราบใดที่เป็นนักสู้ที่ยอดเยี่ยม แทบจะเห็นแวบหนึ่งก็ลืมไม่ได้เลยอีกฝ่ายอายุยังน้อย ก็สามารถเป็นการฝึกร่างขั้นจงซือได้ ในทั่วประเทศหลง จะเป็นคนที่หายากอัจฉริยะแบบนี้ ตามเหตุผลแล้ว ตราบใดที่เขาเคยเห็น ก็ไม่สามารถลืมได้แต่ตอนนี้ที่เขาจำไม่ได้ ก็พิสูจน์ว่าทั้งสองฝ่ายไม่รู้จักกัน"หัวหน้าอู๋ ท่านเดินทางมาไกล คงเหนื่อยแล้วแน่นอน กรุณาไปนั่งพักผ่อนด้วยครับ" เฉินหยวนเวยทำท่าเชิญด้วยมือเดียว"ไม่ต้องรีบ ผมจะไปพบการฝึกร่างขั้นจงซือหนุ่มคนนี้หน่อย"หลังจากบอกประโยคนี้ไป อู๋หงต๋าก็เดินตรงขึ้นสังเวียนเมื่อเห็นฉากนี้ เฉินหยวนเวยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าก็กลับมาเป็นปกติเหตุผลที่สําคัญที่สุดที่สำนักงานเจิ้นอู่แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนพูดถึงก็จะเปลี่ยนสีหน้า ก็คือรับสมัครผู้มีความสามารถมากมายไม่ว่าจะเป็นคนชั่ยหรือคนดี ตราบใดที่มีความสามารถ ตราบใดที่มีทักษะที่โดดเด่น ตราบใดที่แข็ง
"ลู่เฉิน คุณต้องสู้อย่างยอดเยี่ยม สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก ให้ผู้คนเห็นว่าอะไรเรียกว่าไม่มีใครเทียบได้ อยู่ยงคงกระพัน!"มองดูด้านหลังที่ตั้งตรงนั้น จั่วซินเยว่พึมพํากับตัวเอง ในดวงตาที่สวยงามเต็มไปด้วยความรักและความนับถือผู้ชายตัวโต ก็ควรจะถือดาบยาว ทำคุณงามความดีชั่วนิรันดร์ แม้ข้างหน้าจะลำบาก ก็ยังก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและไม่เกรงกลัวนี่แหละ ถึงจะเป็นผู้ชายจริงๆ"กล้าท้าทายหัวหน้าพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ วันนี้ก็คือวันตายของคุณ!"หยางเจี๋ยมีสีหน้ามืดมน และแอบสาปแช่งเขาแค่หวังว่าทันทีที่ลู่เฉินขึ้นไปบนเวที ก็ถูกเหลยว่านจุนต่อยจนตาย"ฮึ่ม! จะตายไม่ช้าก็เร็ว แค่มีชีวิตอยู่อีกกี่นาทีเท่านั้น"เหลยเชียนฉงยิ้มอย่างดุเดือด สายตาดุร้ายมาก"ศิษย์พี่ลู่ ต้องปลอดภัยเลยนะ"หลินหรง พนมมือไหว้ แอบสวดมนต์"แม่งเอ้ย เด็กคนนี้กล้าขึ้นไปจริง ๆ เขาคงไม่คิดว่าตัวเองทําได้จริง ๆ เหรอ"เถาหยางขมวดคิ้ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉาและความเกลียดชังเขาไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เป็นเพื่อนวัยเดียวกัน ทําไมลู่เฉินถึงกลายเป็นการฝึกร่างขั้นจงซือ แต่เขาไม่ได้ฝ่าฟันไปถึงการฝึกร่างขั้นเซียนเทียนด้วยซ้ำทำไมล่