เพียงไม่นานภูดิศก็ขับรถมาถึงบริษัทโฆษณาเอสดีแอดส์ฯ
พริมาเอ่ยขอบคุณ ขอให้เขาเดินทางดี ๆ แล้วลงจากรถ แต่หันไปมองอีกทีก็เห็นคนตัวโตเดินตามเข้ามายันหน้าตึก
“พี่ภู! คนนอกห้ามเข้าอาคารนี้ค่ะ รีบไปทำงานสิคะ”
ร่างบางมองซ้ายมองขวาราวกับกลัวคนเห็น อีกคนเลยยิ่งแกล้งหนักขึ้น
“ไม่เอา พี่จะไปส่งเราก่อน”
“พราวทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว ไม่หลงหรอกค่ะ”
“งั้นพราวไปส่งพี่แทนแล้วกัน ห้องไอ้เอสอยู่ไหนเหรอ” เห็นน้องทำหน้างงงวยก็ต้องกลั้นขำ “ห้องบอสอธิปอยู่ที่ไหนครับ”
“พี่ภูจะไปทำไมคะ”
“อ้าว ไอ้ภู กว่าจะเสด็จมาได้นะมึง กูกำลังคิดว่าถ้าวันนี้มึงยังไม่โผล่หัวมากูจะไปตามถึงบ้านแล้ว”
อธิปเดินเข้ามากอดคอเพื่อนรัก ก่อนจะหันไปมองสาวน้อยตรงหน้าแล้วพูดแซวเสียงหวาน
“นี่มาด้วยกันเหรอ หวานกันจังเลยน้า”
“อืม”
ภูดิศตอบรับนิ่ง ๆ แต่พริมารีบแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งชวนให้สงสัยเข้าไปใหญ่
“ปะ...เปล่าค่ะ คือคุณภูเจอพราวเดินอยู่ข้างถนนก็เลยให้ติดรถมาด้วยกันน่ะค่ะ”
คนฟังพากันขำเบา ๆ เพราะเธอยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งดูรู้ว่าสนิทกัน
ตอนนี้พนักงานคนอื่นเริ่มหยุดมองอย่างสนใจมาก หญิงสาวทำหน้าไม่ถูกเลย พอเหลือบไปเห็นอัคคีกับคู่ขายืนอยู่ไกล ๆ ก็นึกอยากหายตัวไปจากตรงนี้ชะมัด
“พราวขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิ” ภูดิศคว้าข้อมือเล็กไว้ ยัดถุงกระดาษส่งให้ “ข้าวเที่ยงครับ เก็บไว้ให้พี่ด้วยนะ”
สาว ๆ แถวนั้นส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันใด พริมารีบสาวเท้าเดินหนีไปอย่างไม่เกรงใจบอสแล้ว
คนตัวโตมองตามแล้วหัวเราะเบา ๆ อธิปเลยถองศอกใส่สีข้างเพื่อน
“คงว่างคุยกับกูสักทีสินะ ส่งเมียไปทำงานแล้วนี่”
“เออ ๆ ไปสิ”
สองหนุ่มพากันเดินขึ้นไปชั้นบนของตึกสร้างสรรค์ ทิ้งความสงสัยกองใหญ่ไว้เบื้องหลัง
พอพริมาเดินเข้าไปในแผนกก็เจอเพื่อนสนิทยืนคุยกับหัวหน้าอยู่ที่โต๊ะ
อิงฤดีเห็นหน้าอีกฝ่ายก็รีบเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป ทำไมหน้าแดงขนาดนี้”
“เปล่า ๆ เราไม่ได้เป็นอะไร”
“พราว เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
อัคคีเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา มือจับแขนร่างบางบีบไว้แน่นจนเธอนิ่วหน้า
“ตกลงพราวไอ้หมอนั่นไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วล่ะ ทำไมถึงมาทำงานด้วยกันได้ ไหนจะข้าวกล่องบ้าบอนั่นอีก”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งแค้นใจ ปัดถุงในมือเธอจนหล่นตกพื้นแตกกระจาย พริมามองกล่องข้าวแล้วรู้สึกโกรธจัด พูดขึ้นเสียงใส่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“มีอะไรคุยกันดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำลายข้าวของด้วย”
“เหอะ ถึงกับดุพี่เลยนะ หวงของที่มันให้มามากขนาดนั้นเชียว”
“พี่ก็รู้ว่าพราวไม่ชอบคนใช้กำลัง” หญิงสาวพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก “ปล่อยค่ะ เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
แต่ยิ่งเธอดิ้นอัคคีก็ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้น ร่างบางเจ็บจนหน้าเบ้ นิธินันท์ต้องรีบเข้าไปช่วยลูกน้อง
“นี่มันที่ทำงาน เรื่องส่วนตัวเอาไว้คุยกัน...”
พูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกหมัดของอัคคีเข้าเต็ม ๆ จนหน้าชาไปแถบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมขยับหนีไปไหน
“ออกไปจากแผนกของผม”
“ผัวเมียเค้าจะเคลียร์กันมึงเสือกอะไรด้วย หรือเป็นชู้อีกคน”
“พราวไม่เคยมีชู้ พี่เปลวอย่าเอาความผิดของตัวเองมาโยนให้คนอื่น เราจบกันแล้ว เลิกมายุ่งกับชีวิตพราวสักที”
“พราว...” อัคคีจ้องมองแฟนสาวด้วยสายตาซับซ้อน
“ไป!” พริมาตะคอกเสียงดัง ยกมือชี้ไปที่ประตู “พราวจะพูดดี ๆ ด้วยเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพี่เปลวยังไม่หยุดก่อกวนพราวจะแจ้งความ”
สีหน้าคนตัวเล็กจริงจังมาก อัคคีไม่เคยเห็นมุมนี้ของเธอมาก่อนจึงชะงักนิ่งไปหลายอึดใจ
“ก็ได้ แต่พี่ไม่ยอมเสียพราวไปแน่”
ขาดคำชายหนุ่มก็สาวเท้าออกจากห้อง พริมารีบเข้าไปดูคนที่มาช่วยเธอไว้
“หัวหน้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไร พราวทำงานเถอะ” นิธินันท์เอ่ยเสียงเรียบแล้วเดินเข้าห้องทำงานไป
พริมานั่งลงเก็บข้าวกล่องที่หกเละเทะ อิงฤดียืนลังเลว่าจะช่วยเพื่อนดีไหม แต่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อน
“อิงช่วยเอาน้ำแข็งไปให้หัวหน้าประคบแก้มทีได้ไหม โดนเข้าไปขนาดนั้นคงเจ็บมาก”
“ได้สิ ๆ”
อิงฤดีรีบเปิดตู้เย็นเทน้ำแข็งก้อนใส่ถุงพลาสติก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าแผนกบัญชี
เจ้าของห้องกำลังนั่งเก๊กท่าตั้งใจทำงานอยู่ แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ออกอาการสำออยขึ้นมาทันใด
“โอ้ย เจ็บมากเลย จะมีใครเป็นห่วงเราหรือเปล่าน้า” ขาดคำก็ถูกฝ่ามือพิฆาตตบแขนป้าบเข้าให้ “โอ้ย ตีพี่ทำไมเนี่ย”
“ใครใช้ให้เอาหน้าไปรับหมัดล่ะคะ” อิงฤดีค้อนใส่พลางเอาถุงน้ำแข็งประคบแก้มบวม ๆ ให้ “สมน้ำหน้า อยากทำตัวเป็นพระเอกดีนัก น่าปล่อยให้เจ็บจนกินข้าวไม่ได้สักหลายวัน”
นิธินันท์ยกมือแฟนสาวข้างที่ว่างขึ้นมากุมไว้ “ก็เราจะเข้าไปขวางก่อนทำไมล่ะ พี่เลยต้องชิงเข้าไปแทน”
ใบหน้าสวยที่ขมวดคิ้วมุ่นเปลี่ยนเป็นเก้อเขินขึ้นมา “ที่พี่เข้าไปก็เพราะ...”
“หมอนั่นอารมณ์ร้อนจะตาย พี่กลัวมันจะลงไม้ลงมือกับอิง ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ไม่ยอมจบแค่นี้แน่”
ดวงตาคมวาววับขึ้นหลายส่วน ช่วยบอกให้รู้ว่าเขาพูดจริงทำจริง เล่นเอาอีกคนอุ่นวาบไปทั้งใจ แต่ก็ยังวางท่ามากอยู่
“ประคบเองไปเลยค่ะ อิงจะออกไปทำงานต่อแล้ว”
“โอ้ย เจ็บมากเลย คืนนี้ต้องการพยาบาลมาช่วยดูแล”
คนตัวโตพูดออดอ้อนอย่างหน้าไม่อาย แต่อิงฤดีดูแววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นออกว่าเขาอยากให้ไปดูแลเรื่องไหน
“ถ้างั้นก็รีบทำงานเข้าสิคะ”
“กล้าสั่งหัวหน้าเชียวเหรอยะ”
ชมพูนุชเห็นรุ่นน้องหายเข้ามานานแล้วเลยตามมาขัด พอเปิดประตูก็ได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี
“แก่นกะโหลกจริง ๆ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
คนถูกต่อว่าชักสีหน้าใส่เล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาข้างนอก ปล่อยให้แฟนหนุ่มรับมือไปเอง
อิงฤดีออกมาช่วยเพื่อนทำความสะอาดแล้วค่อยซักถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอัคคีถึงตามมาฟาดงวงฟาดงาแบบนี้
พริมาเล่าอ้อมไปอ้อมมา แต่อีกฝ่ายก็จับใจความสำคัญได้อยู่ดี
“ตกลงว่าเธอกับคุณภูดิศ...”
ถามแค่นี้ก็ได้คำตอบแล้ว เพราะเพื่อนหน้าแดงอย่างกับถูกน้ำร้อนลวก ออกอาการยิ่งกว่าตอนที่ไอ้พี่เปลวมาตามจีบอีก
แม้จะเห็นว่าหนุ่มคนใหม่ดูแลพริมาค่อนข้างดี แต่อิงฤดีก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“แกแน่ใจแล้วเหรอว่าเขาไม่มีความลับอะไร หรือไม่ได้มีใครซุกเอาไว้ที่ต่างประเทศน่ะ”
คนถูกถามนิ่งอึ้งไป เรื่องนี้เธอยังไม่มีคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน เพราะเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้ซักถาม ไม่ให้เวลาคิดไตร่ตรองอะไรเลย
“ก็คงต้องดูกันต่อไปล่ะมั้ง”
พริมาตอบเบา ๆ อิงฤดีก็ได้แต่พยักหน้ารับ
“เอาเถอะ ฉันว่าถ้าเธอรอดจากไอ้พี่เปลวมาได้ก็ไม่ต้องกลัวใครแล้วมั้ง”
“นั่นสิเนอะ”
สองสาวส่งยิ้มให้กำลังใจกัน ก่อนจะหันไปมองสาวรุ่นพี่ที่เดินสะบัดสะบิ้งกลับมานั่งโต๊ะทำงาน
“มองอะไรกันยะ งานการไม่มีทำหรือไง”
พวกรุ่นน้องพากันก้มหน้าทำงาน ขี้เกียจเถียงกับคนพาล เอาไว้ค่อยคุยเรื่องที่ค้างไว้ต่อตอนพักเที่ยง
ทางภูดิศตามเพื่อนขึ้นมาที่ห้องทำงานชั้นบนสุด พอประตูปิดลงก็ถูกอธิปพูดแซวทันที
“แหม๋ ๆ เพิ่งรู้ว่าไอ้คุณภูเป็นคนติดเมียขนาดนี้ แถมยังมีทำข้างกล่องให้กันด้วย”
“ก็พราวชอบกินอาหารทำเอง”
คนถูกแซวทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟาสีขาวกลางห้อง ท่าทางไม่สะทกสะท้านกับคำพูดเหล่านั้นสักนิด
“ว่าแต่มึงอยากได้ช่างภาพคนใหม่ไหม กูจะช่วยหาให้”
“โน ๆ กูคงไล่เปลวออกไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทำผิดเรื่องงาน”
“เออ กูรู้ แค่ลองถามดู”
ภูดิศจ้องมองออกนอกหน้าต่างด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาฉายแววหงุดหงิดไม่น้อย อธิปเห็นแล้วสงสัย
“ทำไมวะ มึงกลัวพราวกลับไปคบกับแฟนเก่าหรือไง”
“ไม่มีทาง กูแค่ไม่อยากให้น้องรำคาญใจ”
“คร้าบ ๆ เป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกินนะ เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่วันไม่ใช่เหรอวะ”
“ใครบอกมึง”
“หมายความว่ายังไง”
“กูเล็งมาตั้งแต่สิบกว่าขวบแล้ว เขาเป็นน้องข้างบ้านกูเอง”
“อ๋อ มิน่าล่ะมึงถึงกระโจนเข้าใส่ทันทีที่เห็น สงสัยจะรักมากนะเนี่ยถึงยังจำได้แม่นเลย”
ภูดิศยกยิ้มรับ “ตกลงว่ามึงจะให้กูทำงานไหม”
“อยู่ ๆ ก็ขยันขึ้นมาซะงั้น ก่อนหน้านี้กูพูดชวนคอเป็นเอ็น แทบจะคุกเข่าอ้อนวอน ถ้ารู้ว่าสังเวยลูกน้องแล้วอัญเชิญมึงมาได้กูคงทำไปนานแล้ว”
“ตอนนี้กูต้องหาเงินเดือนมาให้เมียไง”
“ขออีกสักแหม๋ ทำตัวเป็นผัวที่ดี แต่ตอนที่ตกลงกันน้องเขารู้ไหมล่ะว่ามึงได้ค่าคอมฯ ต่างหาก”
“อันนี้เป็นเงินเดือนให้เมียไว้ใช้ตามใจไง ส่วนค่าคอมฯ กูเอาไว้เปย์ทางอื่น อย่างซื้อของขวัญหรือพาไปเที่ยวอะไรอย่างนี้”
“โห ลึกซึ้ง น่าหมันไส้ว่ะ” อธิปบ่นพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์แล้วส่งไฟล์งานให้เพื่อน
“เอาไว้มึงมีเมียบ้างก็รู้เองว่าการเอาใจหญิงมันยากแค่ไหน นี่งานใหม่เหรอ” ภูดิศหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดอีเมล์อ่าน
“เออ เป็นบริษัทเครื่องนอนหรูที่เคยส่งออกนอกอย่างเดียว แต่ตอนนี้อยากลองตีตลาดระดับกลางในประเทศดูบ้าง มึงรีบอ่านซะ อีกเดี๋ยวต้องเข้าประชุมกับทีมงานแล้ว”
อธิปเหลือบมองคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเงียบ ๆ สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอ บางคราวก็จดโน้ตสั้น ๆ เป็นระยะ
เขาคุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเพื่อนดี รู้ว่าตอนนี้สมองอีกฝ่ายเริ่มมีไอเดียการตลาดผุดขึ้นมาแล้ว
ตอนอยู่อเมริกาภูดิศเป็นนักคอนเทนต์ครีเอเตอร์อนาคตไกล ทำงานฟรีแลนซ์แต่ละครั้งได้เงินไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งค่าแรงรายชั่วโมงและโบนัสพิเศษหลังจบงาน
แต่อยู่ ๆ เจ้าตัวดันอยากย้ายกลับมาอยู่ไทยเสียอย่างนั้น ดูท่าคงเป็นเพราะน้องข้างบ้านคนนี้กระมัง
ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีคนช่วยปั้นให้บริษัทโฆษณาเล็ก ๆ ของเขาเติบโตขึ้นมาบ้าง
แต่ไอ้เรื่องปัญหาหัวใจนี่สิ เขาไม่รู้จะช่วยอย่างไรดีจริง ๆ เพราะเปลวก็เป็นช่างภาพมากฝีมือคนหนึ่งเหมือนกัน
เฮ้อ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายโดยเร็ว
แต่ดูท่าจะไม่ง่ายอย่างที่อธิปคาดหวังเพราะในที่ประชุมอัคคีจ้องมองหัวหน้าโปรเจคคนใหม่ไม่ว่าตา ดีที่พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านายก็ข่มอารมณ์เอาไว้คนอื่น ๆ ในห้องพากันมองทั้งคู่สลับกันไปมา ข่าวซุบซิบย่อมเคลื่อนที่ไปไวอยู่แล้ว ใคร ๆ จึงรู้ว่าน้องบัญชีหน้าหวานเลิกกับช่างภาพมือหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าหนุ่มคนใหม่จะมีโปรไฟล์เริดยิ่งกว่าส่วนภูดิศไม่ได้สนใจท่าทีของคนอื่นเลย พอแนะนำตัวเองจบก็เริ่มต้นระดมไอเดียกับทีมงานทันที คนที่รอดูเรื่องชาวบ้านจึงต้องเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ก่อนกว่าจะประชุมเสร็จก็เลยเวลาพักเที่ยงไปแล้ว พอสองหนุ่มเดินคุยกันออกมา รุจีที่เป็นเลขาของอธิปก็เข้ามาดักหน้าไว้“คุณภูคะ มีน้องบัญชีเอาอาหารมาฝากไว้ให้ค่ะ”“ขอบคุณครับ”“อ้าว แล้วที่มึงให้น้องไปเมื่อเช้าล่ะ” อธิปปากไวเอ่ยทักทันที“ไม่รู้” ภูดิศรับกล่องโฟมมาอย่างงง ๆ สงสัยมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าวกล่อง ทำไมเธอต้องซื้ออาหารตามสั่งมาทิ้งไว้ให้ด้วยคนที่เพิ่งออกจากห้องประชุมล้วนยืนดูเหตุการณ์อย่างสนใจ พออัคคีเห็นอีกฝ่ายมองมาก็เดินแยกตัวไปเงียบ ๆ เหลือปภาดาที่ยังลังเลอยู่ สีหน้าแอบซ่อนความเสียดายไว้ไม่มิดมิน่าล่ะเด
พอถึงวันหยุดที่นัดกันไว้ ภูดิศก็ตื่นแต่เช้ามาเตรียมสำรับไปถวายพระและข้าวกล่องสำหรับพวกเขา เพราะตั้งใจว่าพาน้องน้อยไปปิกนิกในวัดวาอารามสักหน่อยพริมาลงมายืนแอบมองเข้าไปในครัว เห็นร่างสูงกำลังจัดเรียงอาหารใส่กล่องอย่างตั้งใจแต่ยิ่งมองหัวใจเธอก็ยิ่งเต้นรัวผิดปกติ คนอะไรทำได้แทบทุกอย่าง ชักจะเก่งเกินไปแล้วนะไม่น่าเชื่อว่าพี่ข้างบ้านคนนั้นจะโตมาได้น่ารักขนาดนี้ ถ้ารู้แต่แรกเธอจะได้ชิงจีบตั้งแต่ตอนเด็กเพื่อเอาของแถมตอนโตแม้ตอนนี้จะดูเหมือนว่าเธอได้มาครอบครองแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าเรียกคนตัวโตด้วยสถานะอื่น ต่อให้ในใจจะจัดลำดับความสำคัญของเขาไว้บนสุดก็ตามก็เรื่องแบบนี้สมควรให้ผู้ชายเป็นคนขอคบก่อนไม่ใช่เหรอ หรือว่าเธอก็เริ่มได้ สงสัยต้องไปถามเพื่อนดูสักหน่อย“คิดอะไรอยู่ครับ ดูเพ้อเอาเรื่องเชียว”คนตัวโตบีบจมูกเล็กอย่างมันเขี้ยว พอเธออ้าปากก็ป้อนไข่หวานม้วนให้“ลองชิมดูหน่อยสิว่าอร่อยไหม พี่ลองทำตามในคลิปแม่บ้านญี่ปุ่นน่ะ”“อืม ขออีกคำได้ไหมคะ พราวยังไม่แน่ใจเลย”“แสดงว่าอร่อยสินะ” เขาป้อนให้อีกชิ้นตามคำขอ “ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับ”“ค่า ๆ”ร่างบางวิ่งขึ้นชั้นสองไปอย่างน่าเอ็นดู ลงมาอีกทีก็
พอเปิดเช้าวันทำงานมา ความน่ารักของทั้งคู่ก็เห็นได้ชัดกว่าอาทิตย์ที่แล้วเสียอีกถึงกับมีคำพูดลอยมาเข้าหูอิงฤดีว่าคงจะแอบคบกันมานานแล้ว พริมาถึงยอมเลิกกับอัคคีง่ายดายเหลือเกินเธอรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้เป็นอย่างข่าวลือ แต่โต้เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ คนเราชอบเชื่อในสิ่งที่คิดเองเออเองอยู่แล้วกระนั้นก็ยังอยากจะมาเล่าให้เพื่อนฟัง แต่พอเห็นทั้งคู่คุยกันกระหนุงกระหนิงก็พูดไม่ออกเมื่อคืนเธอได้รู้จากพริมาว่าภูดิศพาไปไหว้พ่อแม่มาก็ยิ่งเข้าใจ ว่าทำไมความรักครั้งนี้ถึงเบ่งบานไวนักคนหล่อเท่นิสัยดีเอาใจใส่ขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องตกหลุมรักไหม ขนาดเธอยังอดมองไม่ได้เลยแต่แค่คิดอิงฤดีก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ พอหันมองกลับไปก็เจอสายตาพิฆาตจากแฟนหนุ่ม ทำอย่างกับรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่อย่างนั้นแหละอิงฤดีถือคติที่ว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ จึงเลิกนึกอวยคุณภูแล้วเข้าไปสะกิดตามเพื่อนไปทำงานพริมาพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเอ่ยไล่คนตัวโต ไม่รู้ว่าวันนี้เขาเป็นอะไรถึงไม่ยอมปล่อยมือเธอสักที“ไปทำงานได้แล้วค่ะ เดี๋ยวโดนหักเงินเดือน”“ก็ได้ ๆ ตอนเที่ยงพี่จะมากินข้าวด้วยนะ”ภูดิศก้มลงจูบกระหม่อมเล็กแล้วเดินแยกออกไป ร่างบางรีบคล้
“ก็แค่ถูเอง ซี้ด”“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะคะ”คนอะไรก็ไม่รู้ กำลังพูดเรื่องจริงจังกันอยู่ดี ๆ กลับเอาเป้าตุง ๆ มาบดเบียดใส่น้องสาวเธออยู่นั่นสมกับเป็นคนหื่น เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริง ๆ“ก็พี่อยากแสดงความรักกับพราวเยอะ ๆ บ่อย ๆ ไงครับ”ปากพูดไป มือก็รูดกระโปรงน้องน้อยขึ้นไปกองบนเอวคอด โดยมีอีกคนให้ความร่วมมือด้วย แลกกับการได้ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาทีละเม็ด ๆ ก่อนลูบไล้ไปตามแผงอกกำยำน่าขบสักสองสามรอย คนอื่นจะได้รู้ว่าตรงนี้มีเจ้าของแล้วพริมาตกใจกับความคิดของตัวเองอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดไปเพียงฝ่ายเดียว เพราะคนตัวโตก้มลงฝากรอยรักไว้บนอกนุ่ม มือก็จับภูน้อยมาถูไถกับพราวน้อยผ่านผ้าเนื้อบาง เท่านี้ก็ทำให้ตัวสั่นสะท้านได้แล้ว“พี่อยากเอาไอ้นี่ยัดใส่ไว้ในตัวพราวตลอดเวลา ให้คนอื่นรู้ว่าเราไม่ว่างแล้ว จะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับของของพี่อีก”“อื้อ พูดอะไรก็ไม่รู้ อา”นิ้วยาวแหวกแพนตี้สีหวานเบี่ยงข้าง บดท้องนิ้วเคล้นคลึงกับแคนดี้สีสวย ปลุกเร้าความกระสันอยากให้ทะยานสูง ก่อนกดนิ้วยาวเข้าไปสัมผัสความนุ่มลื่นด้านในปากร้อนพรมจูบไปทั่วร่างบาง ไล่ตั้งแต่แก้มนุ่มลงมาลำคอระหง เลื้อยหาสองยอดเนินส
“วันนี้ไอ้เปลวมาที่แผนกทำไมเหรอ”นิธินันท์เอ่ยถามพลางแอบเขี่ยเปลือกไข่ออกจากไข่เจียว แต่คนทำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้อยู่ดี“ยังมีเปลือกอีกเหรอคะ อิงว่าดูดีแล้วนะ”“ไม่เป็นไรจ๊ะ อุ้ย” ชายหนุ่มแอบคายอาหารในปากออก รู้ตัวดีว่าย่อยไอ้ที่กำลังกินอยู่ไม่ได้“ถ้ากินไม่ได้ก็อย่ากินค่ะ เดี๋ยวปวดท้อง” อิงฤดีจะยกจานไข่เจียวออกแต่อีกคนห้ามไว้“พี่กินได้”“อย่าเลยค่ะ เก็บท้องไว้กินข้าวกล่องพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”นิธินันท์รู้สึกมือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันใด นี่เธอยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีกหรือนี่ แต่ก็ยังส่งยิ้มให้แฟนสาว“ถ้าตื่นไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะ พี่เป็นห่วง”“ไม่อยากกินฝีมืออิงก็บอกมาตรง ๆ เถอะค่ะ” ร่างบางเบะปากน้อยใจ “ใช่สิ เรามันทำกับข้าวไม่เก่งเหมือนคนอื่นนี่”“ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ก็ทำสู้คุณภูไม่ได้เหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดเอาใจแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “รีบกินแล้วรีบไปอาบน้ำกันดีกว่า พี่ง่วงมากเลย”“แน่ใจนะคะว่าง่วง”“ไม่หรอก งะ...อืม” เขาจะบอกความจริงสักหน่อย แต่อีกคนดันไม่อยากฟังเสียอย่างนั้น รีบเอามือมาปิดปากเชียว“ได้ค่ะ ๆ รีบนอนก็รีบนอน”หลังจบมื้อเย็นที่อัดแน่นด้วยความพยายามของคนตัวเล็ก นิธินันท์ก็
“พราวอยากได้ที่นอนใหม่ค่ะ”“อะไรนะ” ภูดิศทำกุ้งที่กำลังแกะเปลือกอยู่หลุดมือ “ถ้าแค่นั้นบอกพี่ก็ได้ ไม่เห็นต้องรับงานนี้เลย”“แต่ที่นอนของพวกเขามันแพงมากนี่คะ เห็นว่าเป็นเกรดส่งออกนอกด้วย เราก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร”ยิ่งพูดเสียงพริมาก็ยิ่งอ่อนลง เพราะคุยรายละเอียดกับลูกค้ามาหมดแล้ว จึงรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากให้ถ่ายงานนี้“พราวเห็นพี่นอนที่นอนเก่าแล้วดูไม่สบายตัวเท่าไหร่ เลยอยากเปลี่ยนใหม่ให้ แต่ก็ไม่มีเงินซื้อที่มันดี ๆ ขนาดนี้”เธอทำบัญชีย่อมต้องรู้ตัวเลขเงินเดือนที่เขาจะได้รับ และถึงจะได้เงินพิเศษเวลาจบโปรเจคก็คงไม่ได้มากมายอะไรนัก เลยอยากให้เขาเก็บส่วนนั้นเอาไว้มากกว่า“นะคะพี่ภู คุณสตาร์บอกว่าถ่ายแบบแค่ไม่นานก็ได้แล้ว อีกอย่างพราวจะมีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ขอทำสักครั้งนะคะ”คนตัวโตหยิบกุ้งขึ้นมาแกะต่อเงียบ ๆ อยากรู้ว่าน้องน้อยจะงัดไม้ไหนออกมาอ้อนต่อ เพราะเธอคงไม่รู้ว่ามันปฏิเสธไม่ได้แล้ว“พี่ภู” แขนเล็กสอดเข้ากอดเอวสอบจากทางด้านหลัง “นะคะที่รัก พราวสัญญาว่าจะทำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”“แน่ใจนะ”ถามไปอย่างนั้นแหละ ใจน่ะอ่อนยวบตั้งแต่ได้ยินคำเรียกขานนั่นแล้ว“แน่ใจค่ะ ที่รักให้พ
เย็นนี้อัคคีเลยต้องกลับบ้านตามที่คุณนายแม่โทรเรียก แค่ก้าวเท้าผ่านประตูก็โดนสวดยับทันที เพราะอังคณาให้คนไปสืบมาหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น“ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้แอบกินดี ๆ หนูพราวเซ่อซ่าขนาดนั้นยังปล่อยให้ถูกจับได้ซึ่ง ๆ หน้าอีก”“ใครจะไปรู้ล่ะแม่ว่าจังหวะมันจะพอดีขนาดนั้น”อัคคีทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนพูดบ่นต่ออย่างหัวเสียมาก“ถ้าไอ้เวรนั่นไม่เข้ามาแทรกก่อน ผมก็ยังเป่าหูให้พราวยอมคบกันต่อไปได้ แต่นี่มันเล่นเกาะติดพราวแทบทุกฝีก้าว ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทวงของคืนเลย”“ที่แกไม่ยอมบอกแม่เพราะคิดว่าจะแย่งกลับมาเองได้งั้นสิ แต่บอกได้เลยว่าไม่มีทาง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่านิสัยมันดีกว่าแก”อังคณาพูดตรงไปตรงมา ไม่รักษาน้ำใจลูกชายสักนิด“แต่ไม่เป็นไรหรอก แม่จะช่วยแกเอง คนที่เพิ่งรู้จักหรือจะสู้คนที่คบกันมาตั้งหลายปีได้”“แม่ ทำไมถึงอยากได้พราวมาเป็นลูกสะใภ้นักล่ะ”อัคคีถามมาหลายรอบแล้ว เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงจืด ๆ แบบนั้นเลย แต่แม่ดันสั่งให้ไปจีบไม่อย่างนั้นจะไม่ยกมรดกให้“แกนี่มันโง่จริง ๆ เพราะอย่างนี้ไงถึงถูกไอ้หมอนั่นแย่งเมียดี ๆ ไปได้”อังคณามองแรงใส่ลูกชาย ก่อนจะช่วยสั่งสอนให้ตาสว่าง“เพรา
ทางสองคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย พอกลับถึงบ้านได้ก็รีบกินมื้อเย็นให้เรียบร้อย ก่อนจะพากันขึ้นไปเปลี่ยนที่นอนเก่าเป็นที่นอนใหม่“อา ดีจัง”แค่ลูบเบา ๆ ก็ทำให้พริมาพร่ำเพ้อแล้ว พอทิ้งตัวลงนอนก็หลับตาพริ้มทำสีหน้าฟินสุดใจมันช่างนุ่มเด้งคืนตัวดี ไม่ยุบยวบ และนั่นนี่อีกมากสมกับคำโฆษณาจริง ๆ ที่สำคัญคือมีกลิ่นหอมของอโลเวร่าด้วย มิน่าล่ะถึงติดตลาดเครื่องนอนหรูในต่างประเทศได้ภูดิศมองลูกแมวน้ำที่กลิ้งไปมาบนที่นอนใหม่อย่างเอ็นดู มือก็กางผ้าปูไปด้วย“ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวฝุ่นก็เกาะเต็มที่นอนหมดหรอก”“พี่ภูนั่นแหละไปอาบก่อน ส่งมาค่ะเดี๋ยวพราวปูเอง”“พี่รออาบพร้อมเราไงครับ”พริมาส่ายหน้าน้อย ๆ ทั้งจนใจทั้งเขินอาย “ไม่เอาค่ะ พราวจะถูห้องให้เสร็จก่อน”“พี่ถูไปแล้ว มาช่วยกันปูที่นอนเลย จะได้ไปอาบน้ำด้วยกัน” ภูดิศดึงร่างบางให้ลุกขึ้น “เร็วสิครับ เหนียวตัวจะแย่แล้วนะ”“ไม่ต้องอ้างเลยค่ะ อยากทดสอบเตียงก็บอกมาตรง ๆ”“รู้ใจสมกับเป็นเมียจ๋าจริง ๆ”ชายหนุ่มเริ่มปูที่นอน ไม่ทันได้สนใจว่าอีกคนชะงักนิ่งไปแล้วจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรเล่า เพราะแม้แต่แฟนที่คบกันมาตั้งหลายปียังไม่เคยใช้คำนั้นเรียกเธอเลยอัคค
ภูดิศใจร้อนมาก พอเข้าเช้าวันจันทร์ก็พาแฟนสาวไปจดทะเบียนสมรส เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอนิธินันท์กับอิงฤดีที่นั่นด้วย ในมือถือเอกสารไว้ไม่ต่างกันเลย“อ้าว”“อุ้ย คือ...คุณภูขอให้เรามาเป็นพยาน...”“ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัวเลยย่ะ เปิดตัวได้สักทีนะเรา”พริมากอดแขนเพื่อนสนิทพากันเดินเข้าไปในสำนักงานเขต ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคุมเชิงกันไปมาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่รับรู้ตรงกันว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วเย็นนี้ต้องรีบกลับไปผลิตทายาททันทีต่างคนต่างเซ็นเป็นพยานให้อีกคู่หนึ่ง เพียงไม่นานธุระก็เสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่อธิปโทรตามให้รีบเข้าบริษัท“ไปไหนกันมา ทำไมที่แผนกบัญชีมีใครสักคน”บอสหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ที่ดูมีพิรุธชอบกล“กูพาเมียไปจดทะเบียนสมรสมา”ภูดิศกอดคอพริมา ทำท่าทางอวดว่านี่คือภรรยาของตน อธิปเบะปากใส่เพื่อนก่อนหันไปหาหัวหน้าแผนกบัญชี“คู่นี้ก็เลยไปจดบ้างว่างั้น”“เปล่านะคะ ๆ” อิงฤดีรีบปฏิเสธพัลวัน“เราตั้งใจไปจดของเรากันเองครับ ไม่ได้แข่งกับใครจริง ๆ”นิธินันท์เอ่ยตอบแทน แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าบอสหนุ่มยิ่งเคร่งข
พอปรับความเข้าใจกับแฟนสาวเรียบร้อย ภูดิศก็ขึ้นไปคุยกับน้องสาวบ้าง แต่กลับเจออธิปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง“อ้าว เดมี่ล่ะ”“กูสั่งให้ลงไปช่วยเก็บกวาดที่ห้องบัญชี”“เออ ให้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก็ดี จะได้รู้ว่าไม่ควรทำ”“มึงไม่กลัวเธอลงไปทะเลาะกับพราวเหรอ”“ไม่หรอก กูคุยกับพราวเข้าใจแล้ว” ภูดิศทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟา “กูห่วงเดมี่มากกว่า สงสัยจะทะเลาะกับแม่มาอีกแล้ว คงต้องให้หลบอยู่ที่ไทยสักระยะ”อธิปพับกระดาษใบหนึ่งเก็บใส่ลิ้นชักชั้นบนสุด ตาแอบมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“กูจะให้น้องมึงมาเป็นผู้ช่วย”“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ”“มึงจะไม่ถามเหรอว่ากูทำไปทำไม”“ไม่ล่ะ ถ้ามึงยอมช่วยเดมี่กูก็พอใจแล้ว”“แต่งานผู้ช่วยของกูมันหนักนะเว้ย เลิกงานก็ไม่เป็นเวลา ต้องตามกูไปทุกที่ ขนาดผู้ชายยังลาออกกันไปหมด”“ก็ลองให้เธอทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเลิก มึงโอเคไหมล่ะ”“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”“เออ ขอบใจมึงมาก”สีหน้าภูดิศสบายใจขึ้นเยอะ เพราะตอนอยู่ต่างประเทศก็มีอธิปนี่แหละที่เดมี่ดูจะเกรงใจบ้าง คงพอช่วยอบรมสั่งสอนได้อยู่“ถ้าเดมี่ทำตัวงอแงมึงก็ลงโทษได้เลยนะ”“มึงพูดเองนะ”อธิปถามย้ำ ภูดิศจึ
“ว่าไงนะ”“คุณภูพูดขอยายพราวแต่งงานแล้ว อิงก็เลยคิดว่าในเมื่อคู่ที่เพิ่งคบกันแค่เดือนกว่ายังคิดไปถึงขั้นนั้นได้ แล้วทำไมพวกเราถึงจะก้าวไปอีกขั้นไม่ได้”นิธินันท์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกอดแฟนสาวไว้แน่น“ขอบคุณครับที่คิดฝากชีวิตไว้กับพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด”“อิงต่างหากที่ต้องขอบคุณ นอกจากพี่นันท์แล้วคงไม่มีใครทนกินไข่เจียวกรอบในไหม้นอกของอิงหรอกค่ะ”“พูดถึงเรื่องนี้...พราวยังเปิดคอร์สสอนเราทำกับข้าวอยู่ไหม”“พี่นันท์!”“ตัวพี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก สงสารก็แต่ลูก”“นี่คิดไปถึงไหนแล้วคะ”“ถึงตอนทำลูกไงครับ”“คนหื่น!”ร่างบางเอ็ดเข้าให้อีกรอบ แต่คนตัวโตก็หาได้เกรงกลัว กดจูบกดหอมจนน้ำลายเปียกหน้าแฟนสาวไปหมด“ถ้าอิงอยากจัดงานแต่งแบบไหนก็บอกได้เลยนะ พี่อาจทำได้ไม่หรูหราอะไรนัก แต่พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เราต้องอายใคร”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราจดทะเบียนกันเฉย ๆ ก็ได้ เก็บเงินค่าจัดงานไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”“ไปถามพ่อแม่ก่อนไหม พี่อยากให้เกียรติเราเต็มที่ เพราะชาตินี้พี่จะแต่งงานแค่ครั้งเดียว”“อิงเคยถามแล้ว พ่อกับแม่บอกว่าให้พี่ไปผูกข้อมือที่บ้านก็พอ ไม่ต้องใ
คนป่วยรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดวันถัดมา ความรู้สึกแรกคือคันปากยิบ ๆ และหายใจไม่สะดวกเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนจะหมดสติไปภูดิศกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นเสาน้ำเกลือก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ต้องเป็นสุดที่รักของเขาแน่นอนไม่รู้ว่าพริมาได้หลับไปตอนกี่โมง ภูดิศจึงปล่อยให้เธอนอนพักผ่อนไปดวงตาคมจ้องมองคนหลับสนิทไม่วางตา เจ้าของดวงหน้าหวานที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ต่อให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็ยังไม่ลืม เพราะไม่มีใครทำให้ใจเขาเต้นแรงได้เท่าเด็กแว่นข้างบ้านคนนี้อีกแล้วนึกไปก็น่าขำ ที่เขาฝึกเล่นกีต้าร์ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องน้อย แต่ดันได้ความรำคาญมาเสียอย่างนั้นยังดีที่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอจดจำเขาได้เช่นกันตอนนั้นเองอีกคนก็รู้สึกตัวตื่น พอเห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ก็รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนลุกขึ้นยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ“พี่ภูฟื้นแล้ว ดีจังค่ะ”“เด็กขี้แย พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ภูดิศยกมือจะช่วยเช็ดน้ำตาให้คนรัก แต่เธอกลับจับมือเขาไปกุมไว้“พี่ทำให้พราวตกใจมากเลย ทำไมถึงดื่มแอลกอฮอล์ล่ะคะ”“มีคนสลับแก้วของพี่น่ะ ไ
“แกทำอะไรผัวฉัน”พอได้ยินแบบนั้นอธิปถึงเข้าไปดูสภาพเพื่อนให้ดี ๆ ก่อนจะรีบโทรตามรถพยาบาลโดยด่วนให้ตายสิ ลืมเช็กเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ถ้าไอ้ภูเป็นอะไรขึ้นมาชาตินี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองเป็นแน่ส่วนปภาดาที่ถูกตบถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน เพราะคราวก่อนไม่เห็นว่ายายเด็กนี่จะทำอะไรเลย ขนาดนั่นเป็นผู้ชายที่คบกันมาตั้งหลายปี เธอจึงคิดว่ากับคนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนคงไม่หวงถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างนี้อัคคีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมต้องมองเหมือนเขาเป็นคนถูกทิ้งด้วยระหว่างที่ยังไม่มีใครตั้งสติได้ พริมาก็ตบคู่กรณีเข้าอีกฉาด คราวนี้ปภาดารู้สึกตัวแล้ว“นังนี่ ผัวแกเมาแล้วข่มขืนฉันนะ”“ยังจะพูดพล่อย ๆ เอาอีกสักฉาดไหม”พริมาง้างมือจะตบอีกรอบจริง ๆ แต่อธิปเข้ามาห้ามไว้“พอแล้วพราว มาดูไอ้ภูก่อนดีกว่า”“รถฉุกเฉินยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”พอเธอถามแบบนั้นอธิปจึงแยกไปดูให้ ส่วนร่างบางย่อตัวลงข้างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนโซฟา มือก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย“เดี๋ยวสิยะ แกต้องเคลียร์กับฉันก่อน จะเอาตัวคุณภูไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”ปภาดากระชากไหล่คนตัวเล็กอย่างแรงให
เวลาที่ปิดโปรเจคอะไรได้ ทีมงานมักรวมตัวไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนักภูดิศในฐานะคนคุมโปรเจคย่อมปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างอธิปก็บอกว่าอยากให้มารู้จักกับเจ้าของร้านเอาไว้ด้วย เผื่อพาลูกค้ามาคุยงานที่นี่จะได้สะดวกหน่อย“นี่คุณวีรกร ส่วนนี้ไอ้ภูดิศ เพื่อนสนิทผมเองครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมได้ยินคุณเอสพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ”วีรกรจับมือกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับไป“ยินดีเช่นกันครับ”“เชิญตามสบายนะครับ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก ๆ ได้เลย”“ขอเป็นม็อกเทลให้เพื่อนผมนะครับ”อธิปกำชับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ ที่เปิดโต๊ะรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ยิ่งปล่อยตามสบายภูดิศนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเพื่อนสนิทได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ“คุณภูอยากดื่มอะไรไหมคะ เดี๋ยวดาชงให้”ปภาดาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างสูงมากขึ้น เอียงหน้าเข้าไปพูดคุยราวกับกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ทั้งที่ดนตรีเพิ่งเริ่มเล่นคลอเบา ๆ เท่านั้น ท่าทางไม่ได้เกรงใจอัคคีที่นั่งอยู่ไม่ไกลเลย“ผมไม่ดื่ม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมขยับเก้าอี้ออกห่าง
และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ภูดิศหัวเสียมากที่พริมารีบร้อนทิ้งบ้านไป ที่สำคัญคือไม่โทรบอกเขาสักคำยังไม่ทันปิดประตูรั้วดี คนตัวโตก็ทนไม่ไหวพูดระบายออกมา“รู้ไหมว่าพอกลับมาเจอสภาพบ้านพี่ตกใจแค่ไหน ทำให้พี่เป็นห่วงเราแทบบ้า”“พราวขอโทษค่ะที่ไม่ได้โทรบอก มันกะทันหันจริง ๆ”“กะทันหันหรือไม่ได้คิดถึงพี่กันแน่” ดวงตาคมปลาบวาววับ เห็นไฟโทสะเต้นระริกอยู่ในนั้นได้ชัดเจน “ขอแค่มันโทรมาหา พราวก็พร้อมออกไปเจอมันทันทีเลยสินะ”“พี่ภู!” พริมาขึ้นเสียงกลับ รู้สึกเหมือนโดนดูถูกอยู่ “ที่พราวไปก็เพื่อคุณป้า ไม่ใช่เพราะพี่เปลวสักหน่อย”“แต่ป้าคนนั้นตั้งใจทำให้เรากลับไปคบกับมันอีกครั้งนะ ดูไม่ออกหรือไง”“ดูออกค่ะ พราวถึงวางตัวชัดเจนตลอดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในใจพราวแค่อยากตอบแทนน้ำใจที่คุณป้าเคยมีให้เท่านั้นจริง ๆ”ร่างบางยื่นมือไปกุมมืออีกคนไว้ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่เขาไม่สะบัดมือเธอทิ้ง“พราวขอโทษค่ะที่ไม่ได้โทรบอก ทำให้พี่ภูต้องเป็นห่วง คราวหลังพราวจะไม่ทำอีกแล้ว”ภูดิศจ้องใบหน้าหวานเขม็ง แต่เห็นดวงตากลมโตแดงก่ำก็สงสาร นึกอยากจะโกรธต่อก็ทำไม่ลง“พราวครับ พี่ทนไม่ได้จริง ๆ” เสียงทุ้มฟังดูปวดใจมาก “ถ้าพี่เส
ภาพโฟโต้ชูทเซทนั้นได้ผลตอบรับดีมาก ทางลูกค้าจึงขอเร่งให้ถ่ายทำโฆษณาตัวจริงทันทีช่วงนี้ภูดิศเลยงานยุ่งวุ่นวายมาก เพราะดูแลทั้งโปรเจคที่นอนและโปรเจคของเล่นที่เพิ่งเข้ามาใหม่นี่ยังไม่นับโปรเจคเล็ก ๆ ยิบย่อยที่รับเป็นที่ปรึกษาอีก จนโดนอธิปพูดแซวอยู่บ่อย ๆ ว่าคิดจะเก็บตังไว้เลี้ยงเมียกี่คนกันแน่ชายหนุ่มไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป แค่คิดว่าเอาไว้รอให้มันอยากมีเมียขึ้นมาบ้างแล้วจะรู้เอง ว่าไอ้การไม่อยากให้คนที่เรารักต้องลำบากน่ะมันเป็นเช่นไรพริมาเห็นเขาดูเหนื่อย ๆ ก็ไม่ได้ทำตัวสร้างปัญหาอะไร แต่รับหน้าที่คอยส่งเสบียง บางวันก็ทำข้าวกล่องมาฝาก ถ้าไม่ว่างจริง ๆ ก็ซื้อมาให้ ไม่มีขาดตกบกพร่องสักครั้ง ช่วยให้คนตัวโตมีกำลังใจทำงานขึ้นเป็นกองช่วงแรก ๆ อิงฤดีเห็นข้าวกล่องฝีมือเพื่อนดูไม่ต่างจากของตัวเองนักก็แอบโล่งใจ แต่หลายวันเข้าดันดูดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเธออดถามไม่ได้“ทำยังไงถึงจะทำอาหารเก่งขึ้นเหรอ”“ทำบ่อย ๆ ไง”พริมาตอบผ่าน ๆ เพราะมัวแต่คิดเมนูของอาทิตย์หน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเคยเปิดประตูเข้าไปเจอข้าวกล่องของหัวหน้าที่ดูเหมือน...ทุ่นระเบิด เธอจึงหันไปคุยกับเพื่อนอย่างตั้งใจ“เรากำลังอยากมีเพื่อนห
หลังจากเตรียมตัวเตรียมใจมาสักระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ถึงวันถ่ายงานสักทีแม้จะเป็นเพียงภาพที่ใช้ในช่องทางออนไลน์เบื้องต้น แต่ก็ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์แรกเห็นของแบรนด์ การทำงานจึงต้องละเอียดรอบคอบไม่ต่างจากโปรเจคหลักแต่ทีมงานของบริษัทเคยผ่านโปรเจคใหญ่ ๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน ย่อมมีความเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ห่วงก็แต่นางแบบชั่วคราวเท่านั้นพริมาต้องมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ภูดิศเองก็ตรวจสอบว่าฉากที่เซทไว้มีปัญหาอะไรหรือไม่รอจนใกล้ได้เวลา อธิปถึงเดินนำลูกค้าเข้ามาในกองถ่ายจิดารันกับภวัตเฝ้าดูการทำงานในกองถ่ายอย่างสนใจ ถ้ามีข้อสงสัยก็ถามสองหนุ่มบ้างผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ คนในสตูดิโอก็พากันนิ่งสนิท ภูดิศรู้สึกแปลก ๆ จึงหันไปมองด้านหลัง เห็นคนคุ้นเคยกำลังฉีกยิ้มโบกมือส่งให้เบา ๆ ท่าทางเขินอายไม่น้อยใบหน้าหวานแดงก่ำราวกับปัดบลัชออนมาหมดตลับ ริ้วแดงลามไปถึงไหล่มนที่มีเพียงสายเดี่ยวเส้นเล็กเกี่ยวไว้ ผ้าเนื้อลื่นพอดีตัวช่วยขับเน้นเรือนร่างสะโอดสะองให้โดดเด่นยิ่งขึ้น แต่ก็ยังแฝงความน่าทะนุถนอมราวกับเป็นลูกคุณหนูตรงตามคอนเซป“แบบนี้เลยค่ะที่ตาร์อยากได้ น้องน่าฟัดมาก วัตว่าไงคะ”“ขอแค่คุณชอบ ผมโอเคหมด” ภวั