“อืม...แต่ก่อนไปขอเคลียร์งานสักครู่สิ”“ไม่มีปัญหา” เจนนิสไหวไหล่รับ ก่อนจะเดินตามบรูคลินเข้าไปยังห้องทำงาน ซึ่งเธอเคยมาที่นี่บ่อยๆ เมื่อมาถึงเจนนิสก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับรองแขก ในขณะที่เจ้าของห้องอย่างบรูคลินตรงไปยังโต๊ะทำงานปล่อยให้เลขาส่วนตัวยืนรอพูดอยู่หน้าห้องทำงานเก้อ เพราะไม่มีจังหวะได้บอกนั่นเอง“แล้วนี่นายกับคุณเพียงดาวเป็นยังไงบ้าง ปรับความเข้าใจกันหรือยัง”“ยัง...ที่สำคัญตอนนี้เธอหายไปจากชีวิตเราแล้ว”“จริง”“จริง...ไม่ติดต่อไม่อะไรกันมาจะหนึ่งอาทิตย์แล้วมั้ง”“แล้วทำไมถึงทิ้งช่วงขนาดนั้น ไหนบอกว่าชอบเธอมาก เราก็พิสูจน์ให้นายเห็นแล้วนี่ว่าคุณเพียงดาวเธอไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกันล้านเปอร์เซ็นต์” เจนนิสถอนหายใจออกมาเบาๆ นั่นเพราะไม่คิดว่าบรูคลินจะถอดใจง่ายๆ ถึงเพียงนี้ โดยหารู้ไม่ว่าขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ เพียงดาวกำลังยืนฟังอย่างเงียบๆ ด้วยหัวใจที่คล้ายจะถู
เพราะเสียใจ ทำให้เพียงดาวขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย มารู้ตัวอีกทีก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดยังรีสอร์ตของดรินทร์ที่ปากช่อง ซึ่งทันทีที่เห็นรถของเพียงดาว ดรินทร์ก็ตรงมาหาพร้อมปุณณ์ที่ยังไม่กลับเข้ากรุงเทพฯ พอเจอหน้ากันยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพียงดาวก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็กินเวลาเกือบชั่วโมง“พี่จะไปจัดการให้ เอาแบบไหนคางเหลืองหยอดน้ำข้าวต้มหรือจองศาลาเลย” เพราะไม่ค่อยชอบวิธีของบรูคลิน ทำให้ปุณณ์เองก็ไม่พอใจ พร้อมเอาคืนให้เพียงดาวเช่นกัน“จองศาลาเลยก็ได้ค่ะ”“เอ้า! นี่ก็ยุขึ้นอีกคน พอเลยทั้งคู่” ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็น ดรินทร์ที่ใจเย็นที่สุด เพราะคอยห้ามทั้งปุณณ์และเพียงดาว แต่เหมือนปุณณ์จะยังไม่ยอม“แต่พี่ว่าสั่งสอนสักหน่อยก็ดี”“พี่ปุณณ์”“โอเคครับ โอเค” ปุณณ์จำต้องเงียบเมื่อเจอสายตาดุๆ ของ ดรินทร์ จะว่าไปเรื่องนี้ก็ผิดทั้งเพียงดาวทั้งบรูคลินนั่นแหละเ
คืนนั้นปุณณ์ได้เบอร์โทรศัพท์ของบรูคลินมาอยู่ในมือ ซึ่งวิธีที่ได้มาก็แอบตื่นเต้นหน่อยๆ เพราะดรินทร์แอบเปิดหาจากโทรศัพท์ของเพียงดาวขณะที่เพื่อนกำลังหลับอยู่นั่นเองเช้ามาปุณณ์จึงไม่รีรอที่จะโทรศัพท์ไปหาเป้าหมาย โดยเริ่มจากการเอ่ยแนะนำตัวก่อน ว่าเขานั้นเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเพียงดาว แม้จะแปลกใจที่จู่ๆ ก็ได้รับสายปุณณ์ แต่ถึงอย่างนั้นบรูคลินก็ตั้งใจฟังเช่นกัน“คุณจะเอายังไงกับน้องผม” น้ำเสียงห้วนๆ ดังมาจากปุณณ์ วันนี้ขอเล่นบทพี่ชายหวงน้องสาวเสียหน่อย“ผมชอบคุณกุ๊กไก่เธอมากครับ” บรูคลินสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไป ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการเข้าหาเพียงดาวทางหน้าต่างอย่างที่เจนนิสบอกก็เป็นได้“ถ้าแบบนั้นคุณก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง”“ผมจะพยายาม”“ไม่ใช่จะพยายาม คุณต้องทำให้ได้”“ผมต้องทำให้ได้ครับ” น้ำเสียงของบรูคลินเอ่ยตอบกลับมาอย่างหนักแน่น“อืม...อันที่จริงผมไม่ควรเข้ามายุ
“เออๆ สตรองก็สตรอง ไปกินข้าวกัน” เอ่ยจบดรินทร์ก็คล้องแขนพาเพียงดาวเข้าบ้าน เทียนแขนั่งร่วมโต๊ะกินมื้อเช้าด้วย ก่อนจะถามสารทุกข์สุขดิบของเพียงดาวเพราะไม่ได้เจอกันเสียหลายเดือนเพียงดาวยังคงสดใสไม่เปลี่ยน แต่ดรินทร์รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มของเพื่อนมันดูไม่ปกติสักเท่าไหร่ หวังว่าเพียงดาวจะผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดีหลังมื้อเช้า ดรินทร์ก็เตรียมตัวจะออกไปตลาดเพื่อซื้อของสำหรับทำหมูแดดเดียวให้ผู้เป็นแม่ โดยปุณณ์อาสาขับรถให้ ส่วนเพียงดาวก็ขอติดรถไปเดินชมตลาดสดด้วยอีกคน พอถึงตลาดเพียงดาวก็ปลีกตัวไปซื้อของ ซึ่งสิ่งที่ได้มาคือช็อคโกแลตแล้วก็เค้ก เรียกได้ว่ากินของหวานดับความทุกข์เรื่องความรักขึ้นสุดแต่เมื่อกลับมาที่รีสอร์ตของดรินทร์ เพียงดาวกลับได้พบกับบรูคลินเข้า เธอถึงกับยัดเยียดบรรดาช็อคโกแลตรวมถึงเค้กที่ซื้อมาใส่มือดรินทร์แล้วเดินตรงไปหาบรูคลินอย่างกล้าหาญ ประหนึ่งกำลังจะไปออกรบ“หลงทางมาเหรอคะ” ยังไม่ทันไรเพียงดาวก็แขวะบรูคลินจนเลือดซิบ“เปล่าครับ ผมตั้งใจมาหาคุณกุ๊กไก่”
“พี่ปุณณ์!”“อะไร” เสียงเรียกของเพียงดาวทำให้ปุณณ์เกิดอาการสะดุ้งได้“ทำไมถึงโทรไปบอกคุณบรูคลินว่ากุ๊กไก่อยู่ที่นี่” เพียงดาวเท้าสะเอวถามลูกพี่ลูกน้องตาเขียวปัด นั่นเพราะเธอยังไม่พร้อมจะเจอ บรูคลินเวลานี้จริงๆ แต่ในเมื่อเขามาแล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป โดยมีความรู้สึกของเธอนำทาง“พี่ก็แค่อยากให้ทั้งคู่เคลียร์ใจกันก็เท่านั้น”“ชิ...แล้วไปเอาเบอร์เขามาจากไหน”“ก็จากมือถือกุ๊กไก่นั่นแหละ แอบไปแฮ็คมาตอนเราหลับ” ปุณณ์สารภาพ“ร้ายนัก ว่าแต่เรื่องลินเถอะ ไปถึงไหนแล้ว”“เรื่อยๆ”“อะไรนะ เรื่อยๆ เหรอคะ” เพียงดาวส่ายหน้าให้ปุณณ์อย่างขัดใจ“อืม”“ทีเรื่องกุ๊กไก่ละรีบจัดการให้แล้วเรื่องตัวเองบอกเรื่อยๆ เนี่ยนะ”“พี่ไม่อยากเร่งลินเขา”“ค่ะๆ ไปดีก
เพราะห่วงสุขภาพของปรียา ดรินทร์จึงหาเวลามาเยี่ยมเยียนบ้างตามโอกาส แต่เพราะเข้าใจรวมถึงไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากใจปรียาก็แทบไม่ใช้อาการป่วยปลอมๆ ของตัวเองเพื่อรั้งตัวดรินทร์ให้อยู่ด้วยกันนานๆอีกอย่างตอนนี้เธอก็พอจะมองออกว่าปุณณ์นั้นเริ่มมีใจให้ ดรินทร์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปปากช่องบ่อยๆ เช่นนี้ ซึ่งก็ดีไปอีกแบบทั้งสองจะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้นส่วนเทียนแขนั้นก็มองเห็นความไม่ปกติเช่นเดียวกัน เธอจึงอยู่ที่รีสอร์ตให้มากขึ้นกว่าการไปวัด เพราะไม่อยากให้ลูกสาวเสียหายจากขี้ปากชาวบ้าน ที่เริ่มเอาดรินทร์ไปพูดในทางที่ไม่ดีแล้ว เหตุมาจากปุณณ์ที่ไปมาหาสู่บ้านเธอบ่อยๆ มาทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ นับๆ ดูก็น่าจะสองสามเดือนเข้าไปแล้วที่ปุณณ์ทำเช่นนี้ไม่ขาด“ป้าถามสักนิด ปุณณ์คิดจริงจังกับลินมากแค่ไหน” คำถามของเทียนแขที่เกินขึ้นมาระหว่างนั่งกินมื้อเย็นด้วยกันทำเอาดรินทร์ถึงกับเกือบสำลัก“แม่”“เทียวไปเทียวมาแบบนี้ ลินจะเสียหายเพราะขี้ปากชาวบ้าน”“ผมรู
“พี่ปุณณ์”“นี่ครับ...ผลตรวจสมองของพี่” เอ่ยจบปุณณ์ก็ยื่นโทรศัพท์ที่เปิดรูปภาพค้างไว้ให้ดรินทร์ ซึ่งรูปภาพนั้นคือภาพสแกนสมองและผลการตรวจอย่างละเอียดที่เขาถ่ายไว้เพื่อเตือนความจำของตัวเองมือเรียวเล็กของดรินทร์ที่เวลานี้จู่ๆ ก็สั่นเทา ค่อยๆ ยื่นไปรับโทรศัพท์มาจากปุณณ์ จากนั้นก็ก้มอ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าปุณณ์ด้วยแววตาอันแดงก่ำ และหัวใจที่ถูกบีบอัดจนเกือบหายใจไม่ออก การได้รับรู้ข่าวร้ายจากคนที่รักมันย่อมไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักหรอก“มันคือเรื่องจริงเหรอคะ” น้ำเสียงสั่นๆ ของดรินทร์เอ่ยถามขึ้น พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาเสียตอนนี้“ใช่ครับ...นี่คือเรื่องจริง”“ที่วันนั้นพี่ปุณณ์ตั้งคำถามลิน ว่าถ้าลินแต่งงานกับคนที่ลินรัก แล้วจู่ๆ สามีลินต้องตายหลังจากแต่งงานได้แค่ไม่กี่เดือน ลินจะทำยังไง ภรรยาคนนั้นคือลินส่วนสามีที่ต้องตายคือพี่ปุณณ์ใช่ไหม”“ครับ”&ldq
เกือบสองอาทิตย์ งานแต่งงานของปุณณ์และดรินทร์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความเต็มใจของทั้งคู่ แม้จะเป็นงานเล็กๆ ที่มีเฉพาะแขกคนสำคัญในครอบครัวมาร่วมอวยพร ไม่มีการถ่ายพรีเวดดิ้ง ไม่มีเค้กชิ้นโตให้ตัด ไม่มีดอกไม้สวยๆ ให้โยน ไม่มีงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายงานแต่งงานเล็กๆ ครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยอบอุ่นจากทั้งบ่าวสาว ที่หมั่นส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยมาให้กันเสมอๆ จากญาติผู้ใหญ่และผองเพื่อนที่มาร่วมยินดี โดยทั้งคู่ตัดสินใจที่จะปกปิดเรื่องอาการป่วยของปุณณ์ไว้เป็นความลับ“ดีใจด้วยนะแก” แม่งานคนสำคัญอย่างเพียงดาวเอ่ยบอกขึ้น วันนี้เธอรับหน้าที่หลายอย่าง แต่เพราะทำด้วยความสุขจึงไม่รู้สึกว่าเหนื่อยยิ่งเห็นปุณณ์กับดรินทร์รักกันมากขนาดนี้เธอก็ยิ่งมีความสุข กระทั่งสายตาหันไปเจอบรูคลิน ผู้ชายที่เธอกล้ายกหัวใจให้ บรูคลินเองก็ไม่เคยทำให้เธอเสียใจรวมถึงไม่เคยคิดจะทำตัวรุ่มร่ามกับเธอ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาออกจะเจ้าชู้ไก่แจ้“อื้อ...ขอบใจมากนะกุ๊กไก่”“วันนี้แกสวย สวยกว่าวันนั้นเสียอีก ทั้งๆ ที่ชุดก็ไม
แต่ถึงอย่างนั้นปุณณ์ก็ยังไม่อาจเดินทางไกลๆ ได้ ทำให้ดรินทร์ตัดสินใจคลอดลูกคนแรกที่อังกฤษ อีกอย่างหากยังอยู่ที่นี่การติดตามอาการป่วยของปุณณ์ก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย กระทั่งคลอดลูกคนแรกได้สามเดือน ปุณณ์และดรินทร์ก็เดินทางกลับเมืองไทย โดยมีเพียงดาวและบรูคลินมารอรับถึงที่สนามบินปรียาและเทียนแขทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้ลูกๆ ทั้งสอง รวมถึงหลานชายตัวน้อยของพวกเขาด้วย “หมดทุกข์ หมดโศกกันเสียทีนะ” ปรียาเอ่ยเสียงสั่นเพราะพยายามกลั้นน้ำตาอยู่นั่นเอง “ขวัญเอยขวัญมา ขวัญกลับมาสู่เนื้อสู่ตัวลูกๆ ทั้งสองคนนะ” เอ่ยจบเทียนแขก็ผูกด้ายสีขาวที่ได้รับมาจากหลวงพ่อที่วัดบนข้อมือของปุณณ์และดรินทร์ เมื่อจบพิธีบายศรีสู่ขวัญแบบง่ายๆ งานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ก็ถูกจัดขึ้น อาหารทุกอย่างล้วนแต่เป็นของที่ปุณณ์และดรินทร์ชอบทั้งนั้น และวันดีวันนี้ เพียงดาวก็ประกาศข่าวดีว่าเธอเองก็กำลังตั้งท้องเช่นเดียวกัน ก่อนจะมัดมือชกผูกดองกับลูกของปุณณ์และดรินทร์เสร็จสรรพ เพราะมั่นใจว่าเธอได้ลูกสาวแน่ๆ นอน ต่อให้คนนี้จะเป็
ดรินทร์เดินทางไปโรงพยาบาลทุกวัน ทำจนเป็นกิจวัตรรวมถึงหาอะไรดีๆ กินด้วย นั่นเพราะเวลานี้เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ทุกคนที่เมืองไทยก็ต่างส่งความห่วงใยมาให้ ยิ่งได้รู้ว่าเวลานี้ดรินทร์กำลังตั้งท้องก็ยิ่งห่วง แต่ไม่ถึงกับให้เธอกลับมาเมืองไทย นั่นเพราะพวกเขาต่างเข้าใจสถานการณ์ดีบางครั้งที่อารมณ์มันหม่นมากๆ ดรินทร์ก็ระบายด้วยการร้องไห้ออกมา เมื่อร้องเสร็จก็ปลุกใจตัวเองให้สู้อีกครั้ง ยังดีหน่อยที่เธอนั้นแทบไม่มีอาการแพ้ท้องเลย จึงไปไหนมาไหนสะดวก เวลานี้สองสิ่งที่ทำให้เธอเข้มแข็งคือลูกรวมถึงลมหายใจของปุณณ์ แม้เขาจะยังไม่รู้สึกตัวแต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้ดูเหมือนคนป่วยหนัก เขาเหมือนคนที่กำลังนอนหลับเพื่อชาร์จพลัง หากเต็มเมื่อไหร่ปุณณ์ก็คงรู้สึกตัวนี่คือความหวังที่หล่อเลี้ยงหัวใจของดรินทร์ให้เต้นด้วยจังหวะปกติ หล่อเลี้ยงพลังงานชีวิตให้เธอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ลำบากอย่างตอนนี้ไปให้ได้“พี่ปุณณ์ ได้ยินลินไหมคะ” ดรินทร์เอ่ยเรียกปุณณ์ด้วยความหวัง ให้เขาลืมตาขึ้นมาสบตาเธอเหมือนทุกๆ วันที่ได้เข้ามาเยี่ยม นั่นเพราะไม่อยากให
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลปุณณ์ก็ต้องตรวจเช็กร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยมีศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเลียมคอยดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงแจ้งข่าวที่ทำให้ดรินทร์กับปุณณ์พูดไม่ออก“ผมอาจเสียความทรงจำไปบางส่วนเหรอครับดอกเตอร์”“ใช่...แต่เสียมากเสียน้อยอันนี้ผมก็ตอบไม่ได้ หรือบางคนก็ไม่สูญเสียความทรงจำเลยก็มี”“แต่ผมจะหายใช่ไหม”“คุณเชื่อในปาฏิหาริย์ไหม ถ้าเชื่อคุณก็ชนะ” ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเลียมเอ่ยออกมาแค่นี้ก็กลับออกไปเพื่อเตรียมการผ่าตัด ปุณณ์กุมมือของดรินทร์ไว้แล้วสบตาเธอ“ถ้าพี่ลืมลิน พี่ก็จะทำทุกอย่างเพื่อจะจำลินให้ได้”“ลินก็จะทำทุกอย่างให้พี่ปุณณ์จำลินให้ได้เหมือนกันค่ะ” ทั้งคู่ให้คำมั่นสัญญากันและกันเมื่อประเมินอาการของปุณณ์แล้ว ทางศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ วิลเลียมนัดหมายวันผ่าตัดทันที เพราะหากปล่อยไว้นานกว่านี้จะยิ่งเกิดผลเสียเพราะต้องเข่งกับเวลาทุกอย่างจึงเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่นานปุณ
“ก็แค่อยากดูอะไรสักหน่อย เอาเป็นว่าผมจะรออยู่ที่นี่ ถ้าญาติของคุณพร้อมเดินทาง คุณก็พาเขามาหาผมได้เลย” ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเลียมเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามนั้นของเพียงดาวอย่างละเอียด เพราะบางครั้งการทดสอบความอดทนของใครบางคนก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร ที่สำคัญถ้าผู้ป่วยรายนั้นไม่สำคัญจริงๆ ว่าที่บ่าวสาวคงไม่มาหาเขาเพื่อขอให้ช่วยถึงที่นี่ อย่างหลังนี้กระมังที่ให้อะไรๆ เปลี่ยนไป“จริงๆ นะคะดอกเตอร์”“ครับ”“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณมาก” เพียงดาวถึงกับยกมือไหว้ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเลียม“ขอบคุณมากครับดอกเตอร์” บรูคลินเอ่ยขึ้นอีกคน“นี่คือของขวัญวันแต่งงานที่ผมให้พวกคุณได้ ขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่” เพียงดาวถึงกับโผเข้าไปกอดศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเลียม นั่นเพราะของขวัญวันแต่งงานชิ้นนี้มันมีค่าเหลือเกินเพียงดาวและบรูคลินรีบบินกลับมาเมืองไทยเพื่อบอกข่าวดีนี้ให้ปุณณ์และดรินทร์ได้รู้ ซึ่งทั้งสองคนถึงกับน้ำตาคลอที่
“ไม่ค่ะ ไม่พูดแบบนี้ ลินยังไม่พร้อมที่จะฟัง” แม้จะเตรียมใจเตรียมตัวรับมือเรื่องนี้มาบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ ดรินทร์ก็ยากที่จะทำใจได้“แต่มันคือความจริงที่พี่หนีไม่พ้น พี่ไม่อยากให้มันเกิดเร็วขนาดนี้ แต่พี่ก็ควบคุมอาการป่วยไม่ได้ พี่อยากบอกให้ลินรู้ว่าพี่รักลินนะครับ”“พี่ปุณณ์” ดรินทร์ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ทั้งๆ ที่ก่อนจะเข้ามาในนี้เธอสั่งตัวเองไว้เสียดิบดีว่าห้ามร้องไห้ ก่อนจะรีบปาดน้ำตาแล้วเอ่ยขึ้น“ขอโทษค่ะ ลินขอโทษที่ร้องไห้” เอ่ยจบก็ส่งยิ้มให้เขา แม้จะยิ้มแต่ทว่าน้ำตามันกลับยิ่งไหลออกมา สุดท้ายดรินทร์ก็ปล่อยโฮอย่างไม่อาจกลั้นน้ำตาจากความกังวลอีกครั้ง“ร้องไห้เถอะครับ พี่เข้าใจ ถ้ามีหมอยอมรับผ่าตัดให้พี่ก็คงดี”“แต่หมอทุกคนบอกว่ามันเสี่ยงมาก เปอร์เซ็นต์ที่พี่จะรอดมันน้อยนิดไม่ใช่เหรอคะ”“พี่ถึงหวังปาฏิหาริย์ ว่ามันจะเกิดขึ้นกับพี่สักวัน” ก่อนหน้านี้การเข้าผ่าตัดไม่เคยอยู่ในหัวของ
เพราะอาการป่วยของปุณณ์ที่วันนี้ก็แสดงอาการออกมาอย่างกะทันหัน นั่นทำให้ปรียาพลอยได้รับรู้อาการป่วยของลูกชายไปด้วย เธอถึงกับเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาดรินทร์และเพียงดาวเหตุการณ์ชุลมุนเพราะญาติคนไข้เป็นลมเกิดขึ้นหน้าห้องไอซียู ก่อนที่พยาบาลจะรีบเข้ามาปฐมพยาบาลปรียา แล้วให้ไปนอนพักในห้อง“แก...หิวไหม” เพียงดาวหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ดรินทร์แล้วเอ่ยถามขึ้น“ไม่”“แต่ก็ต้องกินไรสักหน่อย แซนวิชไหม เราไปซื้อให้”“เรากินอะไรไม่ลงจริงๆ กุ๊กไก่”“เรารู้ว่าแกต้องเข้มแข็งเพื่อพี่ปุณณ์ แต่กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องนะเว้ย เกิดแกไม่สบายขึ้นมาอีกคน จะทำยังไง”“เรา...” ดรินทร์พูดไม่ออกนั่นเพราะรู้สึกจุกอยู่ในคอ เพราะเธอกำลังจะร้องไห้และไม่นานน้ำตามันก็ไหลออกมา เพียงดาวได้แต่นั่งปลอบ ส่วนดรินทร์ก็ร้องออกมาอย่างหนักราวกับเขื่อนแตก คงเพราะความกดดันความอัดอั้นกระมัง“เราเชื่อว่าแกต้องผ่านมันไปได้ลิน&rdq
“ได้สิ เลยถือโอกาสถายพรีเวดดิ้งที่นั่นเสียเลย”“ว้าว! จริงเหรอ”“อื้อ...ได้รูปสวยๆ แล้วจะรีบเอามาให้ดู”“จ้ะ” ดรินทร์พยักหน้ารับอย่างยินดี รู้สึกตื่นเต้นราวกับตัวเองเป็นเจ้าสาวเสียเอง ก่อนจะนั่งเหม่อจนเพียงดาวสังเกตเห็น“ใครจะไปคิดเนอะ เราสองคนโสดกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีคู่ซะงั้น”“ใช่...ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ นั่นแหละ” ดรินทร์เห็นด้วยกับคำพูดของเพียงดาว หลายเดือนมานี้ชีวิตเธอผ่านอะไรมาเยอะมาก เยอะจนบางอย่างเกือบจะตั้งรับไม่ทัน“แกพูดเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ”“อื้อ...มีเรื่องกังวลนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรแล้วละ” เวลานี้สิ่งที่ ดรินทร์กังวลมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคืออาการป่วยของปุณณ์ ที่บางวันก็ทรุดจนชายหนุ่มลุกไปทำงานไม่ไหว บ่อยครั้งที่มีเลือดไหลออกมาจากจมูก เห็นแบบนั้นแล้วดรินทร์ก็ใจเสีย ก่อนจะปลุกพลังบวกในตัวเองขึ้นมาเพื่ออยู่เคียงข้างปุณณ์ให้ได้ในทุกสถานการณ์&
ก๊อกๆ ก๊อกๆ“พี่ดาว ลินเองนะคะ เปิดประตูให้ลินหน่อยได้ไหม”“มีอะไร” น้ำเสียงห้วนๆ ของดาวจรัสดังขึ้นทันทีที่เปิดประตูออกให้ดรินทร์ เมื่อครู่เธอเห็นปุณณ์เดินออกไปส่งธีเทพแล้ว จึงสบายใจขึ้นมาหน่อยที่รู้ว่าเขากลับออกไปเสียที“ลินเอานมมาให้ค่ะ”“เอามาให้หรืออยากมาสมเพชฉันกันแน่”“เอามาให้จริงๆ ค่ะ”“อยากเข้าก็เข้ามาสิ นี่มันบ้านของเธอไม่ใช่เหรอ” เอ่ยจบ ดาวจรัสก็เดินกลับเข้าห้อง ส่วนดรินทร์ก็เดินตามเข้ามาก่อนจะวางแก้วนมลงบนโต๊ะ“เธอคงรู้แล้วสินะว่าชีวิตฉันต้องเจอกับอะไรมาบ้าง อยากหัวเราะเยาะฉันไหม เอาเลยสิ เอาเลย ได้ทีแล้วนี่” ดาวจรัสที่เวลานี้ยืนหันหลังให้ดรินทร์พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างหนัก ก่อนจะสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกดรินทร์สวมกอด นั่นทำให้ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นพังทลายลงมาเป็นน้ำตา“ลินไม่ทำแบบนั้นค่ะ ลินสงสารและเข้าใจพี่ดาว” คำพูดของ ด
ดาวจรัสยังคงตีมึนที่จะอยู่ในบ้านของปุณณ์ โดยหลักๆ คือยกเรื่องลูกในท้องมาเป็นข้ออ้าง ปุณณ์และดรินทร์อยากจะไล่เสียให้ขาดแต่ก็ทำไม่ลงเช่นกันกระทั่งเข้าสู่วันที่สามที่ดาวจรัสนั้นมาปักหลักอาศัยอยู่ที่บ้านของปุณณ์ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดรินทร์ไม่คุ้นหน้ามาขอพบดาวจรัส แต่เธอกลับไม่ยอมออกไปพบ กระทั่งชายคนนั้นตัดสินใจปีนข้ามรั้วหมายจะเข้ามาภายในบ้าน โชคยังดีที่แม่บ้านเห็นเข้าเสียก่อน จึงรีบห้ามเอาไว้ ส่วนดรินทร์เห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจออกมาคุยด้วย“คุณมาหาพี่ดาวเหรอคะ”“ใช่...แล้วคุณละเป็นใคร ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้ไหม”“ฉันชื่อลิน เป็นภรรยาเจ้าของบ้านหลังนี้ค่ะ” ดรินทร์เอ่ยแนะนำตัว“ผมชื่อไมค์เป็นสามีของดาว เป็นพ่อของลูกในท้องเธอด้วย” ธีเทพแนะนำตัวเองเช่นเดียวกัน แม้จะหงุดหงิดเล็กๆ ที่ดรินทร์ไม่ยอมเปิดประตูให้เขาได้เข้าไปหาดาวจรัส“คุณบอกว่าเป็นสามีของพี่ดาวเหรอคะ”“ใช