ชารอนเป็นเวลาหลายเดือนที่ฉันปฏิเสธข้อเสนอจากผู้ชายทุกคนที่เข้ามาหาฉันในเชิงชู้สาว ฉันไม่ลังเลเลยที่จะปฏิเสธการออกเดตในร้านอาหารที่หรูหราที่สุด การชวนไปปิกนิก ข้อเสนอที่จะพาฉันบินไปยังประเทศที่ฉันต้องการ พร้อมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดสำหรับการเดินทาง และข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจอื่น ๆ อีกมากมาย ฉันยืนหยัดในจุดยืนของฉันเสมอ ผู้ชายที่ยังหนุ่ม มีความรับผิดชอบ ร่ำรวย และหน้าตาดี ฉันปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไอเดน ทั้งหมดเป็นเพราะฉันรักเขาตั้งแต่เริ่มต้นมันก็เป็นแค่เรื่องธุรกิจ ฉันให้ความสำคัญกับธุรกิจของครอบครัวอย่างมาก ดังนั้นฉันจึงไม่เคยคิดที่จะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคู่ค้าทางธุรกิจของฉันสักคน ชอบที่จะแยกธุรกิจออกจากทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชีวิตส่วนตัว มันเหมือนเป็นกฎส่วนตัวที่ไม่ได้พูดออกมา และฝังแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจฉัน แถมยังดังก้องอยู่ในหัวเสมอเมื่อใดก็ตามที่เรื่องธุรกิจเริ่มจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัวและฉันก็รับฟังเสียงนั้นเสมอมา และไม่เคยลังเลเลยหากมันจะสามารถตีกรอบได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องธุรกิจ จนกระทั่งฉันได้พบกับไอเดนแต่เมื่อเวลาผ่านไป...ฉันเริ่มเพิกเฉย
เขาไม่ได้ส่งข้อความมาหาฉันเรื่อยเปื่อยเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ หลังจากที่เรามีเซ็กส์กัน เขาไม่ได้นอนกอดฉันไว้ในอ้อมแขนและคุยเรื่องงานกัน หรือชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ เขาจะหันหลังกลับไปนอน และเริ่มทำงานเขาไม่ได้หัวเราะมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และเมื่อใดก็ตามที่เขาหัวเราะ ดวงตาก็ปราศจากความสุข และเสียงหัวเราะก็ราบเรียบ ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพูดคุยกับฉัน อะไรก็ได้ที่จะหยุดเขาไม่ให้หลุดลอยไปจากฉัน แต่มันเหมือนกับว่าเขาได้สร้างกำแพงที่ไม่มีใครสามารถทะลวงเข้าไปได้รอบตัว คอยปิดกั้นตัวเองจากทุกคนฉันพยายามที่จะเข้าใจว่า “เขาแค่รู้สึกเครียด” ฉันคิดและเชื่อแบบนั้น เพราะฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันการแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างเรา และในระหว่างที่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับผู้ชายที่ฉันตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่ง ฉันก็รู้สึกท่วมท้นและหวาดกลัว แต่เชื่อว่าตราบใดที่เรายังมีกันและกัน เราก็จะรอดพ้นจากทุกมรสุมได้แต่ไอเดนไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หาข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นและออกจากประเทศไปอย่างน้อยตอนที่เราอยู่ด้วยกัน เขาก็เพิกเ
ชารอนฉันเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงที่เสียสติเมื่อได้เจอคนที่พวกเธอรักในเชิงชู้สาว ฉันเคยเย้ยหยันและคิดว่าพวกเธอน่าสมเพชไอเดนเปลี่ยนมุมมองนั้นของฉันทุกครั้งที่ฉันได้สบตากับเขา ฉันก็แค่อยากจะกระโจนเข้าใส่เขาและให้เขาปรนเปรอฉันด้วยจูบอันเย้ายวนของเขาเหมือนกับตอนนี้ แม้ว่าฉันจะโกรธกับการตอบสนองและความเงียบเป็นครั้งคราว ฉันก็คาดหวังว่าเขาจะยืนขึ้น กอดฉัน จูบฉัน และบอกฉันว่าฉันไม่มีอะไรต้องกังวลเลย แล้วจากนั้น บนโต๊ะทำงานนั่นแหละ เราจะสร้างความทรงจำเพิ่มเติม กระชับความสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นแต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่ ถอนหายใจและนวดขมับพลางเพิกเฉยต่อฉันตั้งแต่ฉันกลับมา เขาไม่เคยแตะต้องฉันเลย เราไม่เคยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแม้แต่คืนเดียว ร่างกายของฉันกระสับกระส่ายทุกวันที่จะสัมผัสเขา แต่เขาไม่เคยแสดงท่าทีว่ามีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลย ดังนั้น ในที่สุด ฉันก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนจิตใจไม่ได้จดจำสิ่งที่เขากำลังพูดขณะที่ฉันยืดตัวขึ้น“เผื่อว่าคุณจะลืมไปแล้ว…” ฉันพูดเสียงยานคาง และฉันก็คร่อมตัวเขามันเป็นโอกาสที่จะเตือนเขาถึงสิ่งที่เขากำลังพลาดไป นั่นคือความสัมพันธ์ที่สวยงามและกา
เธอกำลังจะเรียกแท็กซี่ตอนที่ฉันร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและวางอำนาจที่สุดเท่าที่เคยมีมา ลูกค้าทุกคนต่างก็หลงใหลมัน “คุณทำนี่หล่นค่ะ”อนาสตาเซียหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ และชั่วขณะหนึ่ง ฉันก็ตกตะลึงช่างภาพคนไหนก็ตามที่นักสืบคนนั้นจ้างมาคงจะเป็นพวกหลอกลวง รูปพวกนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความงามของเธอเลย เธอสวยมาก ไม่ว่าเธอจะแต่งตัวไม่น่าดึงดูดและหน้าบวมแค่ไหนก็ตาม เธอร้องไห้เพราะเห็นฉันกับไอเดนหรือเปล่า? ดีแล้ว“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดอย่างหยาบคายและหันหลังกลับไม่นะ ฉันยังไม่จบกับเธอ“อนาสตาเซีย ใช่ไหมคะ?” ฉันเข้าประเด็นทันที และเมื่อเธอหันกลับมา ความประหลาดใจก็ปรากฏชัดบนใบหน้าที่สวยงามเธอไม่พูดอะไร จากนั้นฉันก็เสริมว่า “แฟนเก่าของไอเดน” เธอดูตกใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่พูดอะไร ก็ ไม่มีอะไรจำเป็น ฉันไม่อยากได้ยินเธอพูดด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจึงเริ่มบอกความจริงกับเธอเรื่องฉันและไอเดนฉันชูนิ้วนางให้เธอดูด้วยความตื่นเต้น “ดิฉันขอเชิญคุณมางานแต่งของเราในฐานะแขกวีไอพีเลยค่ะ!”ตลอดเวลาที่ฉันพูด เธอเพียงแค่มองฉันโดยไม่พูดอะไรเลย เมื่อถึงจุดหนึ่ง เธอก็เลิกทำท่าทางน่าสงสาร และสีหน้าก็แข็งกร
อนาสตาเซีย“โทษนะคะ?” ฉันหันหน้าหนีจากหน้าต่างและหันไปเผชิญหน้ากับคนขับรถ “ขับรถพาฉันไปบาร์ที่ใกล้ที่สุดหน่อย”ชายคนนั้นเริ่มไล่เรียงรายชื่อบาร์แถวนั้น “คุณอยากไปที่ไหนครับ?” เขามองหน้าฉันผ่านกระจกมองหลัง“ไปส่งฉันที่บาร์ไหนก็ได้ค่ะ” ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นอาคารที่ดูเหมือนบาร์ จึงชี้ไปที่นั่น “นั่นไง นั่นคือบาร์ใช่ไหม?”“ใช่ครับ ตามนั้นเลย” เขาหรี่ตามองอาคาร “ก็เป็น…”“นั่นแหละ ส่งฉันที่นั่นเลยค่ะ ขอบคุณมาก”เมื่อเขาจอดรถ ฉันก็ลงจากรถพร้อมจ่ายเงินให้เขา และมุ่งหน้าไปยังทางเข้าบาร์รู้สึกเหมือนเป็นคืนแห่งโชคชะตาเมื่อหกปีก่อนนั้นอีกครั้ง ไอเดนทำให้ฉันอกหัก และฉันก็อยู่ในบาร์เพื่อดื่มดับความเศร้าฉันได้กลิ่นแอลกอฮอล์แรง ๆ ทันทีที่ก้าวเข้าไป และฉันก็รู้ว่าฉันมาถูกที่แล้ว จึงพยายามฝืนยิ้มให้บาร์เทนเดอร์ “สวัสดีค่ะ ขอเครื่องดื่มสักแก้ว”เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน “คุณอยากดื่มอะไรดีครับ? ขอแนะนำ…”“ฉันอยากได้อะไรก็ได้ที่จะทำให้ฉันลืม ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ไปให้หมด” ฉันโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิดเขาค่อย ๆ หันมามองฉันและกะพริบตา “ขอโทษนะครับ?”ฉันถอนหายใจ “เอาอะไรก็ได้มาให้ฉันเถอะค่ะ”“ไ
เธอถอนหายใจและเอามือทั้งสองข้างปิดปาก “มีคุณสองคนเลยแหนะ” มือเคลื่อนไปในอากาศข้างศีรษะของผม และเธอก็ถอนหายใจดังขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง “ว้าว คุณเป็นฝาแฝดด้วย!”ผมส่ายหน้าและเลิกพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเธอ คว้ากระเป๋าเธอซึ่งวางอยู่บนโต๊ะซึ่งมีถาดสองใบ และแก้วบนถาดแต่ละใบ“ท่านครับ เธอยังไม่ได้จ่ายค่าเครื่องดื่มรอบที่สี่” บาร์เทนเดอร์แจ้งผม"ถือว่าเป็นบริการของทางร้านแล้วกัน” ผมบอกเขาและจัดแจงอุ้มอาน่าออกไป ขณะที่ผมไขกุญแจประตูและช่วยเธอเข้าไปในรถ เธอก็ยังคงยืนกรานให้ผมเรียก ‘ฝาแฝดของผม’ เข้าไปในรถขณะที่ผมขับรถพาเธอกลับบ้าน เธอก็ยังคงพูดพล่ามคำพูดที่ไม่ปะติดปะต่อกัน จนกระทั่งเธอค่อย ๆ เงียบลงและผล็อยหลับไปผมเหลือบมองเธอและยิ้มให้กับความสงบและสวยงามของเธอในขณะหลับ จากนั้นรอยยิ้มของผมก็หายไปเมื่อสงสัยว่าทำไมเธอถึงปล่อยให้ตัวเองเมามายขนาดนี้ผมจอดรถหน้าอะพาร์ตเมนต์ของเธอ พบกุญแจในกระเป๋า จากนั้นก็อุ้มเธอเข้าไปข้างใน“บ้าเอ๊ย” ผมสบถออกมาเบา ๆ ขณะชนเข้ากับแจกันขนาดใหญ่ข้างบันไดทางยาวที่นำไปสู่ห้องต่าง ๆ จดจำไว้ในใจว่าจะทำความสะอาดมันหลังจากที่พาเธอเข้านอนแล้วผมถีบประตูเปิดและก้าวเ
ไอเดนมีสถานการณ์มากมายในหัวของผม มีคำพูดมากมายที่ผมไม่สามารถให้ความสนใจบนท้องถนนขณะขับรถได้อีกต่อไป หลังจากที่ผมเกือบจะเฉี่ยวข้างรถคันหนึ่ง ผมก็รีบจอดรถข้างถนนอย่างแรงผมเอนศีรษะไปข้างหลังและหลับตาลง ในบรรดาความคิดทั้งหมดที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวของผม สิ่งที่ทำให้ผมงุนงงมากที่สุดคือคำพูดของชารอนคิ้วของผมขมวดเข้าหากันขณะที่ผมพึมพำว่า “ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแล้ว แถมยังมีลูกด้วยงั้นเหรอ?”หลังจากเรื่องโกหกที่เธอเล่าให้อาน่าฟัง และความจริงที่ว่าเธอปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเธอทำอะไรผิด ผมก็เลิกฟังเธอ ผมโกรธเกินกว่าจะมองหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่คำพูดเหล่านั้นได้ลอยเข้ามาในหูของผม ผมเกือบจะหยุดเพื่อถามเธอว่าเธอหมายถึงอะไร เมื่อเธอพูดว่าผมกำลังตามจีบผู้หญิงที่แต่งงานและมีลูกแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ทำ เท่าที่ผมรู้ เธออาจจะกุเรื่องขึ้นมาก็ได้แต่ผมก็อดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ ผมไม่สามารถสรุปได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงคำโกหกและกลอุบายที่จะหยุดผมไม่ให้โกรธเธอ และเอาพวกมันออกจากหัวไม่ ผมคิด จากนั้นผมก็กระซิบว่า “ไม่”จากนั้น ผมก็กรีดร้องและทุบกำปั้นลงบนพวงมาลัย “ไม่มีทาง!” ไม่มีทางเป็นไปได้ อาน่าแต่งงานได้ยังไง?
ขณะที่เดินขึ้นไปตามถนน ผมสังเกตเห็นรถคันเดียวกับที่ผมเคยเห็นในลานจอดรถของบริษัทผมเมื่อไม่นานมานี้มันรู้สึกเหมือนนานมาแล้ว แต่ผมก็ยังจำใบหน้าของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจนผมหยุดเดินกะทันหันเมื่อผมสามารถระบุชื่อให้กับใบหน้านั้นได้ในที่สุดเดนนิส ใช่ ผู้ชายคนนั้นคือเดนนิส เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย เขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มีเพียงรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวเท่านั้น เราไม่ได้เป็นทั้งเพื่อนหรือคนรู้จัก แต่ผมก็รู้จักเขา ทุกคนรู้จักเดนนิสหัวใจผมแตกสลายในอก และผมก็กัดฟันขณะเดินต่อไปยังประตูหน้า ทำไม? ทำไมเขาถึงได้ลงเอยกับเธอ?อย่าเพิ่งด่วนสรุป ผมเตือนตัวเอง ผมจะหาคำตอบว่าสิ่งที่ผมเห็นและสรุปนั้นเป็นอย่างที่คิดจริงหรือเปล่าประตูหน้าแง้มอยู่เล็กน้อย ผมขัดขืนความต้องการที่จะเดินเข้าไป และเคาะข้อนิ้วกับประตูเบาๆ “สวัสดีครับ?”ไม่มีเสียงตอบรับ ดังนั้นผมจึงลองอีกครั้ง “สวัสดีครับ? มีใครอยู่ไหม?”มีแต่ความเงียบ ดังนั้นผมจึงยอมทำตามความต้องการและค่อย ๆ ผลักประตูเปิดขณะที่ผมเดินเข้าไปในบ้าน ผมก็ยังคงเรียก “สวัสดีครับ? มีใครอยู่บ้านไหม?” แต่ผมก็ไม่ได้รับคำตอบกลับผมยืนห่างจากประตูไม่กี่ฟุตและมองไปร
มุมมองของนักเขียนอาน่าถอนหายใจเสียงดังขณะเดินเข้าไปในห้องพักของเดนนิสและนั่งลงข้าง ๆ เขา เธอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มอ่านเป็นครั้งคราว เธอจะเปิดโทรศัพท์เพื่อดูจัสตินนอนหลับหรือเล่นรอบบ้านในขณะที่พี่เลี้ยงยุ่งอยู่ หรือแค่ซุกตัวบนโซฟาตัวหนึ่งเพื่ออ่านหนังสือ โดยคอยจับตาดูจัสตินตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของอาน่าไปแล้วในวันที่เธอพักค้างคืนที่โรงพยาบาล เธอจะออกจากที่นั่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลจัสตินและกลับมา ขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา นิ้วอุ่นๆ ของเธอประสานกับนิ้วเย็นๆ ที่ยังคงนิ่งของเขา เธอจะอ่านหนังสือเดนนิสยังคงอยู่ในอาการโคม่า และในแต่ละวัน อาน่ารู้สึกว่าความกลัวกำลังเพิ่มขึ้น... กลัวว่าเขาอาจจะยังคงอยู่ในอาการโคม่าจนถึงแก่ชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคนเดียวเธอต้องการให้เขาลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยความรักที่เขามีให้เธอเสมอ เธอต้องการบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและรู้สึกขอบคุณที่มีเขาในชีวิตของเธอ แต่ที่สำคัญที่สุด เธอต้องการขอโทษเขาเธอเห็นแก่ตัวมาก คิดว่าความเจ็บปวดของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าของเธอ... พวกเขาทุกคนรักเอมี่อย่างสุดซึ้ง และพวกเขาทุกคนเจ็บปวดกับการจากไปของเธอจากชีวิตนี้ ห
มุมมองของนักเขียนชารอนถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดฐานมีส่วนร่วมโดยตรงในการเสียชีวิตของเอมี่ แต่มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด เธอโชคดีพอที่จะได้รับการลดหย่อนโทษ จำคุกในระยะเวลาอันสั้น ทนายของเธอทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อของเธอแม้ว่าพ่อของเธอจะผิดหวังกับทุกสิ่งที่เธอทำ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ทายาทที่น่าเกรงขามเพียงคนเดียวของเขา ไม่มีทางที่เขาจะทอดทิ้งเธอได้ขณะที่เธอรับโทษจำคุก นับถอยหลังสู่วันที่เธอจะได้ออกไปจากที่นั่นในที่สุด เธอได้รับเอกสารหย่าร้างส่งมาให้เธอเธอคิดว่าเช้าวันนั้นหนาวเกินไปสำหรับฤดูกาล ห้องขังเล็กๆ ของเธอรู้สึกเล็กกะทันหัน มันรู้สึกเหมือนมันจะปิดล้อมเธอ และเธอเอามือสอดเข้าไปในช่องประตูเพื่อหายใจเมื่อหนึ่งในผู้คุมมาพาเธอไปเธอนั่งลง ได้รับปากกา และต่อหน้าเธอ บนโต๊ะเหล็ก มีจดหมายหย่าร้างวางอยู่ เหตุผลหลักที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการกระทำสกปรกเหล่านี้ทั้งหมดคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไอเดนทิ้งเธอ มันน่าเศร้าจริงๆ ที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ แต่กลับถูกโยนใส่อย่างแรงที่ใบหน้าของเธอในตอนท้ายดวงตาปวดหนึบด้วยน้ำตาขณะที่เธ
"หยุด!" เสียงของเธอสั่นเครือขณะที่เธอตะโกนบอกคนขับแท็กซี่แค่นั้นก็เพียงพอให้อาน่าหันกลับมา"ฉันทำอะไรลงไป?" ลมหายใจของเธอสั่นเทาขณะที่เธอเปิดประตูและรีบออกจากแท็กซี่ มือของเธอสั่นเทาขณะที่เธอสะดุดลงบนทางเท้า"เดนนิส!" เธอตะโกนขณะที่เข่าของเธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตแข็ง "ได้โปรด อย่า" เธอพูดกระซิบ สายตาของเธอจ้องมองไปที่รถที่พังยับเยิน "เดนนิส ต้องรอดให้ได้นะ"เธอคลานไปที่รถ มองเข้าไปข้างในเพื่อดูเขา แต่ข้างในนั้นมืดมิดและเสียงสะอื้นของเธอก็ดังขึ้น "ทำไมฉันถึงออกมา? ทำไมฉันไม่รอเขา?"เธอเช็ดน้ำตา "ฉันสัญญา" เธอสะอื้น "ฉันจะไม่ไปหาเอมี่อีกแล้ว ฉันสัญญา เดนนิส ได้โปรดออกมา" เธอร้องไห้ขณะที่เธอจำได้เลือนรางว่าเขาบอกเธอว่าเอมี่ได้รับความยุติธรรมแล้ว และไม่จำเป็นต้องไปหาเธออีกต่อไปนี่เป็นความผิดของเธอทั้งหมด เธอควรจะฟังเขา เธอควรจะรอเขาก่อนที่เธอจะออกไป"อาน่า!" ไอเดนตะโกนขณะที่เขารีบออกจากรถ เขารู้สึกโล่งใจที่เห็นอาน่า เขาหารถแท็กซี่หลังจากที่เดนนิสขับออกไปสักพัก และตามเขาไป เมื่อเขาสังเกตเห็นฝูงชนและเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็กลัวว่าจะเป็นอาน่า"ให้ตายสิ!" เขาพึมพำขณะหยุดอยู่ต่อ
มุมมองของนักเขียนหลังจากที่ไอเดนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ลังเลเลยก่อนที่จะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีหัวใจของชารอนแตกสลายเมื่อมองดูไอเดนเดินออกไปอย่างโกรธจัด เขาเกลียดชังเธอมากจนทนดูการพิจารณาคดีของเธอไม่ได้เลยหรือ? น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ และเธอรีบเช็ดมันออกก่อนที่พ่อของเธอจะเห็นพ่อของเธอบอกเธอไปก่อนหน้านี้ว่า "พอได้แล้ว ชารอน อย่าร้องไห้เพราะผู้ชายอย่างเขาเลย" แต่นั่นหลังจากที่เขาตำหนิเธอสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ"มีการตัดสินแล้วหรือยัง คุณไอเดน? คุณจะประกันตัวภรรยาของคุณไหม?"คำถามทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้เข้าหูไอเดนแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยขณะที่เขาเร่งรีบไปที่รถของเขาและขับออกจากบริเวณศาลระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาโทรหาทีมรักษาความปลอดภัยของเขาที่ตามเขามาทันทีที่เขาขับรถออกไป "อาน่าสตาเซียเพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลบ้า ตามหาเธอ" เขาออกคำสั่ง "ผมจะส่งรูปของเธอให้คุณตอนนี้""ครับ"เขาตัดสาย ขณะที่เขาขับรถ เขาหารูปอาน่าที่ชัดเจนและส่งให้ทีมรักษาความปลอดภัยที่เริ่มตามหาเธอทันทีจากนั้นไอเดนพยายามโทรหาเดนนิส แต่เขาก็ยังไม่รับสายเมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขาพบเดนนิสอยู่ข้างนอก เขา
ไอเดนเมื่อเวลาผ่านไป คดีของเอมี่ได้รับความสนใจจากสื่อมากมาย ช่องข่าวทุกช่องมีรูปเด็กผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นขณะที่พวกเขาพูดถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของเธอ และทุกคนที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษตามนั้นท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง จุดสนใจก็เปลี่ยนจากเอมี่มาเป็นชารอนและผม อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานของเราและการตั้งครรภ์ปลอมของเธอผมเริ่มได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จักหลายหมายเลข โทรมาถามคำถามไร้สาระทั้งหมดเพื่อต้องการข้อมูลโดยตรงจากแหล่งข่าว ผมต้องเปลี่ยนซิมการ์ดในโทรศัพท์ของผมเป็นซิมที่ผู้ช่วยของผมใช้ หากมีข้อมูลใดๆ เขาก็แค่ส่งต่อมา ผมเบื่อที่จะรับมือกับสายเรียกเข้าที่ไม่หยุดหย่อนเหล่านั้นเมื่อชารอนอาการดีขึ้นและเธอต้องถูกส่งตัวกลับไปที่สถานีตำรวจ พวกเขามาถึงสถานีพร้อมกับกลุ่มนักข่าวที่ทางเข้าตำรวจคุ้มกันเธอขณะพาเธอเข้าไปข้างใน แต่นั่นไม่ได้หยุดนักข่าวจากการตะโกนถามคำถามของพวกเขา"คุณเสแสร้งว่าท้องจริง ๆ เหรอ คุณนายไอเดน?""คุณชารอน คุณยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอยู่ไหม?""สามีของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังรักคุณอยู่ไหม?""จะมีการหย่าร้างไหม?""คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสีย
เดนนิสอาน่าถูกส่งตัวไปยังศูนย์บำบัดวิกฤตสุขภาพจิต และผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของผมที่นั่น แม้ว่าผมจะพยายามแบ่งเวลาอย่างเท่าเทียมกันระหว่างงาน จัสติน และเอมี่ แต่ผมก็พบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่งานเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมทำเงินได้มากกว่าที่เคยทำก่อนที่ผมจะถูกหลอก แต่ผมไม่มีความสุข คนที่ผมรักที่สุดอยู่ในบ้านพักผู้ป่วยทางจิต ทุกวันที่ผมไปที่นั่น ผมหวังว่าอาการของเธอจะเริ่มดีขึ้นในไม่ช้า ครึ่งหนึ่งของเวลา เธอดูปกติดี แค่นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าที่เป็นกลาง เธอจะไม่พูดคุยกับใครเป็นเวลาหลายชั่วโมง อีกครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการร้องไห้และขอร้องให้ผมพาพวกเราไปหาเอมี่แพทย์บอกว่าเธอดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับผมจัสตินทำได้ดีมาก เขาดูเหมือนจะไม่โศกเศร้าอย่างที่ไอเดนแนะนำ มีบางครั้งที่เขาจะร้องไห้และไม่มีอะไรทำให้เขาหยุดได้จนกว่าเขาจะหลับไป แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นหายาก และผมคิดว่าเขาแค่คิดถึงแม่ของเขาผมทำให้แน่ใจว่าผมมีเวลาให้เขาเสมอ เหมือนกับที่ผมมีเวลาให้อาน่า ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน ผมไม่ต้องการปล่อยเขาไว้กับพี่เลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ผมต้องการให้ไอเดนเติ
ไอเดนนักสืบส่งที่อยู่โรงพยาบาลที่ชารอนถูกนำตัวส่งมาให้กับผมภายในห้อง ชารอนนอนขดตัวอยู่กับตนเองพร้อมกับกุญแจมือที่คล้องอยู่พอจะเอื้อมถึงเธอรีบลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้อง "ไอเดน" เธอหายใจออกมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว"ไม่เพียงแต่คุณจะเป็นอาชญากร แต่ยังเป็นคนโกหกด้วยเหรอ? คนโป้ปด!" ผมพูดออกมาขณะที่สายตาเหลือบไปที่ท้องแบนราบของเธอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองขณะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาเตียงของเธอ ผมรู้สึกหมดแรงจนแทบจะยืนด้วยขาของตัวเองไม่ได้เธอส่ายหัว น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ เหมือนกับที่มันไหลลงมาบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอถูกจับกุม "มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ฉันสาบานได้นะ ฉัน…" เธอพูดไม่ออกและไหล่ของเธอก็สั่นเทาขณะที่เธอร้องไห้หนักขึ้นผมเอียงศีรษะไปด้านข้างและมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมไม่รู้สึกสงสารเธอแม้แต่น้อย "ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วมันคืออะไร? บอกมาสิ""คุณแกล้งทำเป็นท้องมาตั้งหลายเดือน!" เสียงหัวเราะขมขื่นหลุดออกจากริมฝีปากขณะที่ผมส่ายหัว มันยังคงรู้สึกเหมือนเรื่องตลก ผมคงไม่เชื่อนักสืบเลย ถ้าไม่มีสัญญาณทั้งหมดที่ผมมองข้ามไปผมโน้มตัวไปข้างหน้
ไอเดนผมตกใจกับคำพูดของเขา เดนนิสรู้แล้วเหรอ?เดนนิสก็มีส่วนร่วมในการสอบสวนด้วย เขาแค่ไม่ได้กระตือรือร้นเท่าผม ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้ยินเรื่องนี้ นอกจากนี้ มันเป็นคดีของลูกสาวเขาด้วย เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้แต่ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดที่รุนแรงของเขา ผมยังคงสับสนกับข่าวที่ว่าอนาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชในขณะนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผมอยากจะตะโกนใส่เขา แต่ผมก็สงบสติอารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผมตั้งแต่แรก... และของชารอน"แล้วเธออยู่ที่โรงพยาบาลไหน?" มันฟังดูไม่จริง ผมรู้ว่าเธอรักเอมี่มาก แต่ผมไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเธอมากขนาดนี้เดนนิสหันมาหาผม คิ้วของเขาขมวดลึกขณะที่เขาขมวดคิ้ว "อยากรู้ไปทำไม? จะได้เอาไปบอกภรรยานายหรือไง?"ให้ตายสิ! ผมรู้สึกว่ามือกำแน่นโดยอัตโนมัติผมหายใจเข้าลึกๆ "ฉันโทรหาพวกนาย แต่ไม่มีใครรับสาย อาน่าก็ปิดโทรศัพท์อีก ฉันก็แค่เป็นห่วง..." ผมพูดเสียงแผ่วและไหล่สั่น “ฉันก็เลยตัดสินใจมาดูเธอนี่ไง"“ตอนนี้นายก็รู้แล้วนะว่าเธออยู่ไหน งั้นเชิญออกไปได้แล้ว”เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะขอให้ผมออกจากบ้านและชีวิต แต่ผ
ไอเดน"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ชารอนพูดขณะที่เธอโอบแขนรอบไหล่ "คุณต้องหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว ที่รัก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ และการทุ่มเทตัวเองให้กับการสอบสวนทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วยเลย""ผมต้องหาตัวคนผิดมาให้ได้ ชารอน ผมต้องหาว่าใครทำเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อลูกสาวผมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผิดนี้ทุเลาลง" "ถ้ามันเป็นวิธีเดียว คุณก็ควรทำอยู่แล้ว" เธอให้กำลังใจ "ฉันจะคอยดูแลให้พ่อช่วยในคดีนี้ด้วย ฉันสัญญา"พ่อของเธอโทรหาผมครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกสาวผม ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับลูกสาวเขาเลย และเขาฟังดูไม่พอใจนัก ผมประหลาดใจด้วยซ้ำที่เธอจะบอกเรื่องนั้นกับพ่อของเธอ ผมสงสัยว่าเขาอยากจะช่วยเปิดโปงฆาตกรของเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเขาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ แต่ผมเก็บเรื่องนั้นไว้กับตัวเอง"ขอบคุณครับ" ผมบอกเธอแทนเธอโอบกอดผมครึ่งหนึ่ง และคราวนี้ไม่ได้ผละออกทันที ในวันแบบนี้เองที่เธอไม่ได้กระโดดหนีจากผมเหมือนผมติดเชื้อเมื่อใดก็ตามที่ผมพยายามสัมผัสเธอ"แล้วคุณจะยิ้มให้ฉันไหม?" เธอยิ้มขณะที่ดึงผิวแก้มของผมเพื่อพยายามทำให้ผมยิ้มเมื่อผมเอามือของเธอออก เธอก็แสร้