หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากที่คุณยายถูกประกาศว่าอยู่ในอาการโคม่าผ่านไปเหมือนภาพรางเลือน ธุรกิจกำลังเฟื่องฟู ฉันกับลูคัสก็สนิทสนมกันมากกว่าเดิม ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีมาร์คกับแซนดร้าประกาศหมั้นหมายกัน และกำหนดวันหมั้นในวันนี้ แซนดร้าไม่สามารถหยุดคุยฟุ้งไปทั่วทั้งอินเตอร์เน็ตได้“ฉันสงสัยจังว่าสตีเว่นกับแซนดร้าจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้" เกรซกำลังนั่งดูหนึ่งในหลาย ๆ คลิปพรีเวดดิ้งของแซนดร้าอยู่ แล้วเธอพูดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยฉันก็แค่เลิกคิ้วขึ้นโดยไม่พูดอะไรเลย เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมารอฟังคำตอบ ฉันจึงไม่คิดว่าเธอจะต้องการคำตอบ นอกจากนี้ฉันก็ไม่สนใจด้วยว่าคนทั้งคู่นั้นจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งฉันอาจสนใจความรู้สึกของมาร์คมากกว่า แต่นั่นเป็นเพราะฉันให้สัญญากับดอริสเอาไว้ บางครั้งฉันก็รู้สึกต้องรับผิดชอบต่อเขาบ้าง ฉันรู้สึกหนักใจเหลือเกินเมื่อนึกถึงคุณยายด้วยสถานะทางการเงินที่เฟื่องฟูอย่างต่อเนื่องของมาร์ค ความต้องการอย่างเข้มงวดและหรูหราของแซนดร้าจึงได้รับการตอบสนองถ้าจะให้พูดตามตรงแล้ว เรื่องราวทั้งหมดนั้นก็เหมือนเป็นการทำธุรกิจกัน มากกว่าจะเป็นการจับคู่ของชายหญิงที่พยายามแสดงตนเป็นคู
"ห๊ะ?” ช้อนที่เต็มไปด้วยโกโก้ ป๊อปส์ของฉันหยุดนิ่งกลางอากาศ หลังจากได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพ มันฟังไม่สมเหตุสมผลเลยจนกระทั่งโหลดคลิปวิดีโอเสร็จ แล้วเห็นว่าของขวัญแต่งงานนั้นคืออะไรไคลฟ์ คริสเตียน ได้รังสรรค์น้ำหอมกลิ่นโปรดของเธอที่มีจำนวนจำกัด และตั้งชื่อกลิ่นหอมนั้นตามชื่อของเธอ พวกเขาปรุงน้ำหอมนี้ให้เธอหลายพันขวด เพื่อใช้เป็นของขวัญให้เธอได้แบ่งปันกับแขกที่มาร่วมงานแต่งงาน“โอ๊ย นี่มันบ้าไปแล้ว!” ฉันอุทานออกมา แล้วปล่อยช้อนหล่นลงในถ้วย“นั่นอะไรน่ะ?” เกรซเงยหน้าขึ้นจากถุงใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วฉันหันโทรศัพท์ให้เกรซดู แล้วเธอก็หัวเราะคิกคัก "เด็กเอาแต่ใจ เธอทำงานโดยไม่ได้อะไรเลย แต่กลับใช้จ่ายเงินไปอย่างมากมาย" เกรซพูดในขณะที่เธอนำชุดสูทแต่งงานของมาร์กบรรจุลงในถุงใส่เสื้อผ้าเจ้าบ่าวคนนี้ไม่เหมือนกับเจ้าสาว เขาเพียงแต่สั่งตัดชุดสูทจากลักซ์ โว้คเท่านั้นเอง เกรซใช้เวลาอันแสนหวานในการออกแบบและตัดเย็บสูทให้เขา ซึ่งเป็นสูทสามชิ้นสีดำที่มีผิวสัมผัสสุดนุ่มและเรียบเนียน ฉันสงสัยจังว่าเธอใช้เวลาขนาดไหนในการปักลวดลายอันซับซ้อนนั้นลงบนบริเวณคอเสื้อและข้อมือ ซึ่งทำให้สูทดูโดดเด่นและเข้ากับบุคล
ฉันถอนหายใจและทำเมินเฉยต่อคำถามของเขา ฉันดูแลความเรียบร้อยในการสวมสูทให้เขาต่อไป ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ฉันกับมาร์คก็ค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับความสัมพันธ์แบบเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจ แต่เราทั้งคู่ต่างรู้สึกว่ามีอะไรที่เดือดพล่านอยู่ภายใต้พิธีการและความเป็นมืออาชีพของเรา ไม่มีใครยอมรับในเรื่องนี้ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่อยากใช้เวลากับเขามากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่กันตามลำพัง ตอนนี้ฉันแค่อยากทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วเดินออกจากที่นี่ไปแต่ฉันก็น่าจะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันยอมถอย มาร์คไม่ใช่คนประเภทขี้อายหรือถอยหนีจากอะไรทั้งนั้น“ผมถามคำถามคุณอยู่นะ" เขาพูดอย่างจริงจังฉันถอนหายใจอีกครั้ง ฉันไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับเขาในเช้านี้ "นี่เป็นวันแต่งงานของคุณนะมาร์ค" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "ทำไมคุณถึงถามคำถามแบบนั้นกับฉัน?”ฉันส่ายหัวแล้วเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะทำภารกิจสุดท้ายในการสวมสูทให้ดูเหมาะเจาะกับตัวเขา ฉันถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาขึ้นลงตามรูปทรงของสูทที่ดูพอดีตัว จากนั้นก็ยิ้มออกมาจนได้ เมื่อมองไกล ๆ คุณก็สามารถบอกได้เลยว่าสูทตัว
ฉันหมุนตัวกลับไปหาเขา เขาเริ่มก้าวเท้าเข้ามาหาฉัน แต่ฉันไม่รีรอที่จะผลักเขาออกไปเต็มแรง เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉันจ้องตาเขาแล้วพูดออกไปอย่างเย็นชา "พอได้แล้ว! ฉันไม่อยากเล่นเกมแมวไล่จับหนูกับคุณอีกต่อไป!”ฉันก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วเอามือดันหน้าอกเขาอีกครั้ง "คุณต้องการอะไรกันแน่ ห๊ะ?” ฉันผลักเขากลับไปอีกครั้ง "มันคืออะไร? บอกฉันมา! เรือนร่างนี้เหรอ?” ฉันชี้ไปที่ตัวเองฉันปลดกระดุมเสื้อที่ฉันสวมอยู่ด้วยมืออันสั่นเทาอย่างเกรี้ยวโกรธและหน้ามืดตามัว เผยให้เห็นเสื้อชั้นในผ้าลูกไม้อย่างไม่อาย "นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม? ได้เลย! เข้ามาเลย มาแอบเอากันเหมือนหนูสกปรกกันได้เลย!” ฉันกดตัวเข้าหาเขา“ทำไมคุณไม่แอบมีผู้หญิงอื่นในเช้าวันแต่งงานของคุณล่ะ? เอาเลย!” ฉันจับมือเขามาแปะไว้ตรงก้นฉัน "ทำในสิ่งที่คุณต้องทำ แล้วช่วยเอาตัวฉันออกไปจากระบบห่าเหวของคุณซะ" เขาหลับตาในขณะที่ฉันถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา "ฉันขอเพียงความเมตตาให้คุณปล่อยฉันไปซะ หลังจากคุณได้สิ่งที่ต้องการจากเรือนร่างนี้แล้ว!” มาร์คเปิดปากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ฉันไม่ยอมให้เขาพูด ฉันเอามือประคองใบหน้าของเขาไว้ แล้วกระแทกปากลงบนปากของ
ความเงียบงันเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วฉันถึงรู้ตัวว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น ฉันหลุดออกจากอาการตกตะลึง จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณจุดเกิดเหตุมากมาย บางคนก็โทรเรียก 191 ในขณะที่บางคนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายคลิปเหตุการณ์อย่างไร้ประโยชน์ฉันทิ้งกระเป๋าแล้วทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ซากปรักหักพังที่เคยเป็นรถของมาร์ค ซึ่งมีทั้งมาร์ค คนขับรถ และผู้ช่วยของเขาติดอยู่ในนั้นในสภาพหัวคว่ำ มีเลือดไหลหยดลงมาจากขมับของมาร์ค“มาร์ค!” ไม่ว่าฉันจะตะโกนเรียกชื่อเขาออกไปขนาดไหน เขาก็ไม่ลืมตาขึ้นมาเลย "มาร์ค! รอเดี๋ยวนะ...” ฉันมองไปรอบ ๆ แล้วพยายามขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่แถว ๆ นั้น อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย“ใครก็ได้ ช่วยด้วย!” ฉันกรีดร้องแล้วหันกลับไปหามาร์ค "ฉันต้องการความช่วยเหลือ!” ฉันตะโกนต่อไปในขณะที่ยื่นมือเข้าไปหามาร์ค แล้วพยายามจะดึงเขาออกมา“ช่วยด้วย!” ฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง แล้วรีบหันกลับไปดูมาร์คที่อยู่ในรถทันที ซึ่งก็ได้แต่ตะโกนเรียกอยู่อย่างนั้น ฉันคิดว่าฉันเห็นลุยจิแวบหนึ่งในหมู่ฝูงชนนั้น แต่เมื่อมอ
"ฉันหวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรนะ" เกรซพูดอย่างเศร้าสร้อย“ฉันก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน" ฉันพึมพำตอบกลับไปเกรซถอนหายใจแล้วเงียบไป "ฉันคิดว่าผู้คนที่นี่ยังไม่มีใครรู้ข่าวหรอก พวกเขายังคงเตรียมงานกันอย่างแข็งขัน ฉันควรบอกพวกเขาดีไหม?“ไม่รู้สิเกรซ ทำตามที่เห็นสมควรก็แล้วกันนะ" ฉันบอกเธออย่างอ่อนแรงแบบไม่ใส่ใจเธอถอนหายใจอีกครั้ง "ฉันไม่รู้ว่าควรจะเสียใจแทนผู้สนับสนุนหลักของเรา หรือควรจะเยาะเย้ยให้กับความโชคร้ายของแซนดร้าที่ต้องสูญเสียคู่หมั้นไป"ซิดนีย์บอกว่า "เรามาสวดภาวนาให้กับผู้สนับสนุนหลักของเราดีกว่า เพราะยังไง ๆ เงินของเขาก็มีความสำคัญกับเรามาก" แต่สำหรับฉันแล้วไม่ใช่แค่เงินของเขาเท่านั้น ถ้าเป็นแค่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หัวใจฉันคงจะไม่เจ็บปวดมากขนาดนี้เกรซพูดแบบเดียวกันด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ถูกต้อง ฉันจะดูแลเรื่องบริษัทเอง เธออยู่ดูแลเขาเถอะถ้าจำเป็น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาฉันได้เลยนะ"ฉันพยักหน้า "ขอบคุณนะ"ในขณะที่ฉันกำลังจะวางสายอยู่นั้นเธอก็เรียกช่ือฉันขึ้นมา "ซิดนีย์?”“ว่าไง?” ฉันตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา“เข้มแข็งเอาไว้นะ" เธอบอก น้ำตาฉันไหลอาบแก้มและรู้สึกติดขัดอยู่ใ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาฉันละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุด ฉันรู้ว่าไม่ใช่สายของลูคัส เพราะฉันมีเสียงเรียกเข้าอีกเสียงหนึ่งสำหรับสายเรียกเข้าของเขา ซึ่งถ้าเป็นเขาจะต้องดังขึ้นอย่างแน่นอน และก็ไม่ใช่ของเกรซด้วย เพราะเธอคงพุ่งตัวมาที่นี่แล้ว ถ้าเธอโทรเข้ามามากกว่าสองครั้งแล้วฉันไม่ยอมรับสายนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่คน ๆ นั้นโทรมา ต้องยกความดีความชอบให้ผู้โทรคนนั้นจริง ๆ คนที่โทรมาห้าครั้งติดต่อกัน นับว่ามีความพากเพียรอย่างน่าชื่นชมฉันหาวและขยี้ตาที่เหนื่อยล้า จากนั้นก็เอนหลังพิงที่นั่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะ หมายเลขที่โทรเข้ามานั้นไม่ได้มีบันทึกอยู่ในโทรศัพท์ แล้วไม่ได้ดูหุ้นหูคุ้นตาเลยด้วย “ฮัลโหล...” ฉันพูดเสียเนือย ๆ หลังจากรับสาย“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ฉันกำลังคุยสายอยู่กับคุณซิดนีย์หรือเปล่าคะ? คุณได้นำตัวคุณมาร์ค ตอร์เรสมาที่นี่หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ"ฉันขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นนั่ง "สวัสดีค่ะ ใช้แล้วค่ะ ฉันคือซิดนีย์"“ฉันเป็นผู้ดูแลคนป่วยค่ะ และได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณมาร์ค ตอร์เรส"ฉันเลิกคิ้วขึ้น ฉันจำได้ว่าก่อนจะออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณหมอได้แนะน
ฉันถอนหายใจ "ฉันต้องขอโทษสำเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ ตระกูลตอร์เรสไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ฉันแน่ใจว่าพวกเขาต้องติดขัดอะไรบางอย่างแน่ ฉันจะพยายาม…”“แล้วค่าจ้างของฉันล่ะคะ? ฉันกลัวว่าจะต้องหยุดให้บริการ ถ้าฉัน…”“ฉันกำลังจะพูดอยู่พอดีเลยค่ะ ส่งหมายเลขบัญชีและอัตราค่าจ้างมาให้ฉันที่หมายเลขนี้นะคะ ฉันจะจ่ายเงินให้คุณทันที ดังนั้นได้โปรดช่วยดูแลเขาต่อไปนะคะ"“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ"“ฉันจะพยายาม…”ฉันกระพริบตาเมื่อได้ยินเสียงดังกริ๊กซึ่งบ่งบอกว่าเธอได้วางสายลงแล้ว ฉันเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยักไหล่ในขณะที่วางโทรศัพท์ลง ฉันไม่ตำหนิเธอหรอก ถ้าฉันเป็นเธอฉันคงโกรธเกรี้ยวมากกว่านี้ เธอพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลมากจนฉันไม่คิดว่าเธอจะวางสายใส่ฉันฉันส่ายหัวในขณะเอนตัวลงบนที่นั่ง ช่างโชคร้ายเสียจริง ๆ มาร์คอยู่ในอาการโคม่าตั้งแต่ทำการผ่าตัดเสร็จ ใช่แล้ว เขาหมดสติไปตั้งแต่โดนผ่าตัด ซึ่งฉันอยู่ต่อไม่ได้ก็เลยต้องกลับมา แต่ในกรณีของฉันก็ยังเป็นที่เข้าใจได้ จริงไหม? ฉันมีการงานที่ต้องจัดการ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงด้วยแซนดร้าเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวมาโดยตลอด ดังนั้นฉันจึงไม่แปลก
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันที่ฉันจะได้พบเขา ฉันตรวจดูตัวเองในกระจก โดยมองเงาสะท้อนตัวเองด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะตรวจดูให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าและสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ละเมิดนโยบายของพวกเขาฉันโบกมือเรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ แล้วเขาก็กวาดตามองฉันโดยไม่พูดอะไรพอฉันไปถึงที่นั่น ฉันก็ถูกพาไปยังห้องรับรองแล้วขอให้นั่งรออยู่ที่นั่น ซึ่งมีคนอื่น ๆ มานั่งรอเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังด้วยเหมือนกัน… ฉันนั่งมองโน่นมองนี่อยู่ประมาณยี่สิบนาที แล้วเริ่มรู้สึกอ่อนล้าทีละน้อยเมื่อมีตำรวจเข้ามาขานนามสกุลของใครก็ตามที่จะได้เข้าพบเป็นรายต่อไปฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินตำรวจคนเดิมตะโกนเรียกนามสกุลของไอแซคออกมาฉันฝืนยิ้มในขณะเดินเข้าไปในห้องเยี่ยม ซึ่งมีโต๊ะตัวเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางห้อง และมีเก้าอี้สองตัววางอยู่ในแต่ละด้าน“ให้เวลายี่สิบนาที" ตำรวจคนนั้นพึมพำแล้วเดินห่างออกไปสองสามฟุตในช่วงแรก ๆ นั้นฉันกับไอแซคได้แต่นั่งจ้องหน้ากัน ฉันสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วจากนั้นก็สงสัยเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าทำไม?ทำไมเขาต้องนำความโชคร้ายมาสู่ชีวิตฉันในเมื่อฉันทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อเขา? เขาเป
มุมมองของเบลล่าฉันขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจเมื่อมองดูเบอร์โทรของผู้ที่โทรเข้ามาเธอต้องการอะไร? ทำไมถึงโทรมาหาฉัน? ฉันคิดอย่างหงุดหงิด และที่สำคัญก็คือทำไมยังมีชื่อเธอบันทึกอยู่ในโทรศัพท์ของฉันด้วยฉันจ้องมองไปข้างหน้าโดยกวาดสายตามองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของผู้คนที่กำลังเดินออกมาจากประตู เมื่อเธอไม่ยอมหยุดโทรหาฉัน ฉันจึงตัดสินใจรับสาย“หล่อนต้องการอะไร?” ฉันโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฮัลโหลเพื่อนรัก นานแล้วนะ เธอว่าไหม?”ฉันทำเสียงเย้ยหยัน อีงั่งคนนี้พูดเหมือนเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ เธอเคยเป็นเพื่อนฉันด้วยเหรอ? เธอมักจะอ้างว่าเธอเกลียดซิดนีย์เพื่อเอาใจฉัน แต่ตลอดเวลานั้นเธอจ้องมองแต่ผู้ชายที่ฉันต้องการ“หล่อนต้องการอะไรยะ แซนดร้า?” ฉันส่งเสียงลอดฟันที่ขบแน่นออกไป ส่วนมือทั้งสองข้างก็กำวัตถุที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนทรงหลวมเอาไว้ ฉันรู้สึกหงุดหงิดจริง ๆ ที่ได้ยินแต่เสียงเธอ ถ้าเธอยืนอยู่ตรงหน้าฉันล่ะก็ ฉันคงใช้เจ้าวัตถุนั้นกับเธออย่างไม่รู้สึกผิดอะไรเลยเธอคร่ำครวญเหมือนทุกครั้งที่ฉันเริ่มร่ำร้องถึงความเจ็บปวดที่ฉันได้รับ "เธอยังเครียดอยู่อีกเหรอ? ทำไมถึงทำเสียงแข็งเวลาคุยอยู่กับเพ
"ก่อนอื่นเลย ทำไมเธอถึงพยายามติดต่อคนพวกนั้นด้วยล่ะ?” นั่นคือคำถามแรกที่เกรซโพล่งออกมาฉันชี้แจงให้เธอฟังว่าทำไมฉันถึงต้องติดต่อโรสหรือแซนดร้า แล้วเธอก็ทำปากจู๋จากนั้นเก็เบ้ปาก "ฉันรู้สึกแย่แทนเขาจริง ๆ"“ฉันก็เหมือนกัน" ฉันพึมพำตอบกลับไป ฉันมองตามเกรซในขณะที่เธอหันกลับไปทำงานต่อ ดูเหมือนเธอกำลังต่อผ้าด้วยเข็มเล่มเล็ก ๆ อยู่“ในเมื่อตอนนี้โรสไม่ยอมรับสาย ฉันก็คิดว่าคงต้องโทรหาแซนดร้าแล้วล่ะ" ฉันยักไหล่แล้วเบะปากด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็กดเบอร์โทรของแซนดร้า ในขณะกดหมายเลขของเธออยู่นั้น ฉันก็ได้แต่สงสัยว่าฉันได้เบอร์นี้มาได้ยังไง เธอรับสายเกือบจะในทันทีราวกับว่าเธอกำลังรอสายฉันอยู่“ฮัลโหล?”“แซนดร้า นี่ซิดนีย์นะ"จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง "ซิดนีย์เหรอ?” น้ำเสียงของเธอฟังดูประหลาดใจ "เธอต้องการอะไรเหรอ?”ฉันนั่งไขว่ห้าง "ฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากผู้ดูแลอาการของมาร์ค" ฉันได้ยินเธอส่งเสียงครางเบา ๆ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วพูดต่อ "ฉันเพิ่งรู้จากผู้หญิงคนนั้นว่าเธอไม่ได้ไปเยี่ยมคู่หมั้นของเธอเลยนับตั้งแต่เขาเข้าไปในโรงพยาบาล"“แล้วไงเหรอ"คิ้วของฉันยกขึ้นโดยอัตโนมัติ "นี่ผ่านไปหนึ่งสั
ฉันถอนหายใจ "ฉันต้องขอโทษสำเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ ตระกูลตอร์เรสไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ฉันแน่ใจว่าพวกเขาต้องติดขัดอะไรบางอย่างแน่ ฉันจะพยายาม…”“แล้วค่าจ้างของฉันล่ะคะ? ฉันกลัวว่าจะต้องหยุดให้บริการ ถ้าฉัน…”“ฉันกำลังจะพูดอยู่พอดีเลยค่ะ ส่งหมายเลขบัญชีและอัตราค่าจ้างมาให้ฉันที่หมายเลขนี้นะคะ ฉันจะจ่ายเงินให้คุณทันที ดังนั้นได้โปรดช่วยดูแลเขาต่อไปนะคะ"“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ"“ฉันจะพยายาม…”ฉันกระพริบตาเมื่อได้ยินเสียงดังกริ๊กซึ่งบ่งบอกว่าเธอได้วางสายลงแล้ว ฉันเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยักไหล่ในขณะที่วางโทรศัพท์ลง ฉันไม่ตำหนิเธอหรอก ถ้าฉันเป็นเธอฉันคงโกรธเกรี้ยวมากกว่านี้ เธอพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลมากจนฉันไม่คิดว่าเธอจะวางสายใส่ฉันฉันส่ายหัวในขณะเอนตัวลงบนที่นั่ง ช่างโชคร้ายเสียจริง ๆ มาร์คอยู่ในอาการโคม่าตั้งแต่ทำการผ่าตัดเสร็จ ใช่แล้ว เขาหมดสติไปตั้งแต่โดนผ่าตัด ซึ่งฉันอยู่ต่อไม่ได้ก็เลยต้องกลับมา แต่ในกรณีของฉันก็ยังเป็นที่เข้าใจได้ จริงไหม? ฉันมีการงานที่ต้องจัดการ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงด้วยแซนดร้าเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวมาโดยตลอด ดังนั้นฉันจึงไม่แปลก
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาฉันละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุด ฉันรู้ว่าไม่ใช่สายของลูคัส เพราะฉันมีเสียงเรียกเข้าอีกเสียงหนึ่งสำหรับสายเรียกเข้าของเขา ซึ่งถ้าเป็นเขาจะต้องดังขึ้นอย่างแน่นอน และก็ไม่ใช่ของเกรซด้วย เพราะเธอคงพุ่งตัวมาที่นี่แล้ว ถ้าเธอโทรเข้ามามากกว่าสองครั้งแล้วฉันไม่ยอมรับสายนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่คน ๆ นั้นโทรมา ต้องยกความดีความชอบให้ผู้โทรคนนั้นจริง ๆ คนที่โทรมาห้าครั้งติดต่อกัน นับว่ามีความพากเพียรอย่างน่าชื่นชมฉันหาวและขยี้ตาที่เหนื่อยล้า จากนั้นก็เอนหลังพิงที่นั่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะ หมายเลขที่โทรเข้ามานั้นไม่ได้มีบันทึกอยู่ในโทรศัพท์ แล้วไม่ได้ดูหุ้นหูคุ้นตาเลยด้วย “ฮัลโหล...” ฉันพูดเสียเนือย ๆ หลังจากรับสาย“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ฉันกำลังคุยสายอยู่กับคุณซิดนีย์หรือเปล่าคะ? คุณได้นำตัวคุณมาร์ค ตอร์เรสมาที่นี่หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ"ฉันขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นนั่ง "สวัสดีค่ะ ใช้แล้วค่ะ ฉันคือซิดนีย์"“ฉันเป็นผู้ดูแลคนป่วยค่ะ และได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณมาร์ค ตอร์เรส"ฉันเลิกคิ้วขึ้น ฉันจำได้ว่าก่อนจะออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณหมอได้แนะน
"ฉันหวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรนะ" เกรซพูดอย่างเศร้าสร้อย“ฉันก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน" ฉันพึมพำตอบกลับไปเกรซถอนหายใจแล้วเงียบไป "ฉันคิดว่าผู้คนที่นี่ยังไม่มีใครรู้ข่าวหรอก พวกเขายังคงเตรียมงานกันอย่างแข็งขัน ฉันควรบอกพวกเขาดีไหม?“ไม่รู้สิเกรซ ทำตามที่เห็นสมควรก็แล้วกันนะ" ฉันบอกเธออย่างอ่อนแรงแบบไม่ใส่ใจเธอถอนหายใจอีกครั้ง "ฉันไม่รู้ว่าควรจะเสียใจแทนผู้สนับสนุนหลักของเรา หรือควรจะเยาะเย้ยให้กับความโชคร้ายของแซนดร้าที่ต้องสูญเสียคู่หมั้นไป"ซิดนีย์บอกว่า "เรามาสวดภาวนาให้กับผู้สนับสนุนหลักของเราดีกว่า เพราะยังไง ๆ เงินของเขาก็มีความสำคัญกับเรามาก" แต่สำหรับฉันแล้วไม่ใช่แค่เงินของเขาเท่านั้น ถ้าเป็นแค่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หัวใจฉันคงจะไม่เจ็บปวดมากขนาดนี้เกรซพูดแบบเดียวกันด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ถูกต้อง ฉันจะดูแลเรื่องบริษัทเอง เธออยู่ดูแลเขาเถอะถ้าจำเป็น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาฉันได้เลยนะ"ฉันพยักหน้า "ขอบคุณนะ"ในขณะที่ฉันกำลังจะวางสายอยู่นั้นเธอก็เรียกช่ือฉันขึ้นมา "ซิดนีย์?”“ว่าไง?” ฉันตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา“เข้มแข็งเอาไว้นะ" เธอบอก น้ำตาฉันไหลอาบแก้มและรู้สึกติดขัดอยู่ใ
ความเงียบงันเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วฉันถึงรู้ตัวว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น ฉันหลุดออกจากอาการตกตะลึง จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณจุดเกิดเหตุมากมาย บางคนก็โทรเรียก 191 ในขณะที่บางคนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายคลิปเหตุการณ์อย่างไร้ประโยชน์ฉันทิ้งกระเป๋าแล้วทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ซากปรักหักพังที่เคยเป็นรถของมาร์ค ซึ่งมีทั้งมาร์ค คนขับรถ และผู้ช่วยของเขาติดอยู่ในนั้นในสภาพหัวคว่ำ มีเลือดไหลหยดลงมาจากขมับของมาร์ค“มาร์ค!” ไม่ว่าฉันจะตะโกนเรียกชื่อเขาออกไปขนาดไหน เขาก็ไม่ลืมตาขึ้นมาเลย "มาร์ค! รอเดี๋ยวนะ...” ฉันมองไปรอบ ๆ แล้วพยายามขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่แถว ๆ นั้น อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย“ใครก็ได้ ช่วยด้วย!” ฉันกรีดร้องแล้วหันกลับไปหามาร์ค "ฉันต้องการความช่วยเหลือ!” ฉันตะโกนต่อไปในขณะที่ยื่นมือเข้าไปหามาร์ค แล้วพยายามจะดึงเขาออกมา“ช่วยด้วย!” ฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง แล้วรีบหันกลับไปดูมาร์คที่อยู่ในรถทันที ซึ่งก็ได้แต่ตะโกนเรียกอยู่อย่างนั้น ฉันคิดว่าฉันเห็นลุยจิแวบหนึ่งในหมู่ฝูงชนนั้น แต่เมื่อมอ
ฉันหมุนตัวกลับไปหาเขา เขาเริ่มก้าวเท้าเข้ามาหาฉัน แต่ฉันไม่รีรอที่จะผลักเขาออกไปเต็มแรง เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉันจ้องตาเขาแล้วพูดออกไปอย่างเย็นชา "พอได้แล้ว! ฉันไม่อยากเล่นเกมแมวไล่จับหนูกับคุณอีกต่อไป!”ฉันก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วเอามือดันหน้าอกเขาอีกครั้ง "คุณต้องการอะไรกันแน่ ห๊ะ?” ฉันผลักเขากลับไปอีกครั้ง "มันคืออะไร? บอกฉันมา! เรือนร่างนี้เหรอ?” ฉันชี้ไปที่ตัวเองฉันปลดกระดุมเสื้อที่ฉันสวมอยู่ด้วยมืออันสั่นเทาอย่างเกรี้ยวโกรธและหน้ามืดตามัว เผยให้เห็นเสื้อชั้นในผ้าลูกไม้อย่างไม่อาย "นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม? ได้เลย! เข้ามาเลย มาแอบเอากันเหมือนหนูสกปรกกันได้เลย!” ฉันกดตัวเข้าหาเขา“ทำไมคุณไม่แอบมีผู้หญิงอื่นในเช้าวันแต่งงานของคุณล่ะ? เอาเลย!” ฉันจับมือเขามาแปะไว้ตรงก้นฉัน "ทำในสิ่งที่คุณต้องทำ แล้วช่วยเอาตัวฉันออกไปจากระบบห่าเหวของคุณซะ" เขาหลับตาในขณะที่ฉันถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา "ฉันขอเพียงความเมตตาให้คุณปล่อยฉันไปซะ หลังจากคุณได้สิ่งที่ต้องการจากเรือนร่างนี้แล้ว!” มาร์คเปิดปากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ฉันไม่ยอมให้เขาพูด ฉันเอามือประคองใบหน้าของเขาไว้ แล้วกระแทกปากลงบนปากของ
ฉันถอนหายใจและทำเมินเฉยต่อคำถามของเขา ฉันดูแลความเรียบร้อยในการสวมสูทให้เขาต่อไป ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ฉันกับมาร์คก็ค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับความสัมพันธ์แบบเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจ แต่เราทั้งคู่ต่างรู้สึกว่ามีอะไรที่เดือดพล่านอยู่ภายใต้พิธีการและความเป็นมืออาชีพของเรา ไม่มีใครยอมรับในเรื่องนี้ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่อยากใช้เวลากับเขามากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่กันตามลำพัง ตอนนี้ฉันแค่อยากทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วเดินออกจากที่นี่ไปแต่ฉันก็น่าจะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันยอมถอย มาร์คไม่ใช่คนประเภทขี้อายหรือถอยหนีจากอะไรทั้งนั้น“ผมถามคำถามคุณอยู่นะ" เขาพูดอย่างจริงจังฉันถอนหายใจอีกครั้ง ฉันไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับเขาในเช้านี้ "นี่เป็นวันแต่งงานของคุณนะมาร์ค" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "ทำไมคุณถึงถามคำถามแบบนั้นกับฉัน?”ฉันส่ายหัวแล้วเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะทำภารกิจสุดท้ายในการสวมสูทให้ดูเหมาะเจาะกับตัวเขา ฉันถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาขึ้นลงตามรูปทรงของสูทที่ดูพอดีตัว จากนั้นก็ยิ้มออกมาจนได้ เมื่อมองไกล ๆ คุณก็สามารถบอกได้เลยว่าสูทตัว