“มิใช่เผ่าพันธุ์ข้า สมควรสังหาร หา หลังหาพบแล้วฆ่าได้ทันที”“ยังมีอ๋องเจา เป็นถึงท่านอ๋อง กลับถูกหญิงต่างแคว้นทำให้มัวเมาถึงเพียงนี้ นำพาหายนะเช่นนี้มาสู่เมืองหลวง ช่างน่าขันสิ้นดี ช่างน่าขันอย่างที่สุด”ฮ่องเต้โกรธแค้นอยู่ในใจ จากนั้นขว้างถ้วยน้ำชาเสียงดังปังจนแตกละเอียดนางกำนัลและขันทีในห้องทรงพระอักษรหัวใจกระตุกวาบ ตกใจจนพากันคุกเข่า“เสด็จพี่อย่าทรงกริ้ว อ๋องเจาถูกวิชามนตร์เสน่ห์ของเยียนทิงเหลียนมอมเมา ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ”“เข้าใจได้งั้นหรือ?”ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ“หากเราจำไม่ผิด ตอนนั้นที่สู้รบกับแคว้นซางหนาน ซางหนานแสร้งยอมแพ้ ขณะที่เจรจากับเจ้า องค์หญิงซางหนานผู้นั้นใช้วิชามนตร์เสน่ห์กับเจ้า เจ้าก็ไม่ได้ถูกมอมเมาด้วยมนตร์เสน่ห์ของนาง ซ้ำยังทำลายได้ไม่ใช่หรือ? กระทั่งสังหารองค์หญิงผู้นั้นทันที ประกาศศักดาให้แคว้นฉางหนิง”“เรื่องที่คล้ายกัน ทว่าอ๋องเจากลับถูกมอมเมาจนโงหัวไม่ขึ้น จนทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ จะเรียกว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้งั้นหรือ?”เซียวหมิงเสวียนเลิกคิ้วเล็กน้อย“ตอนนั้นกระหม่อมไม่ถูกวิชามนตร์เสน่ห์มอมเมา และสังหารองค์หญิงแคว้นซางหนาน เพราะก
อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นแววตาของนางที่ค่อย ๆ หม่นหมองลง ในใจรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย บุตรสาวของนางมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น กลับต้องพบเจอเรื่องราวโชกโชน หากเข้าสู่การแย่งชิงอำนาจในราชสำนักจริง ต่อให้ตายนางก็ต้องปกป้องบุตรสาวให้ได้ ต่อมาจึงลูบไล้ใบหน้านางอย่างอ่อนโยน“ไม่ต้องรู้สึกกดดันใด ๆ ทั้งสิ้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีพ่อกับแม่คอยค้ำให้เจ้า”“ท่านแม่”ในใจลั่วจิ่วหลีตื้นตัน จึงโผเข้าหาอ้อมกอดของมารดาทันที แล้วกอดอีกฝ่ายไว้แน่นกั๋วกงฮูหยินตบหลังนางเบา ๆ “ยามเจ้าออกเรือน แม่กับพ่อเจ้าไม่ได้คิดให้ละเอียดรอบคอบ ปล่อยให้เจ้าได้รับความทุกข์มาหลายปี เมื่อมีบทเรียนในครั้งที่แล้ว แม่กับพ่อรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร”ลั่วจิ่วหลีส่ายหน้า สำหรับเรื่องของเจ้าของร่างเดิม นางรู้ดี ล้วนเป็นเพราะเจ้าของร่างหาเรื่องใส่ตัว นิสัยหัวอ่อนเช่นนั้นยังกล้าย่างกรายเข้าไปในวังวนแห่งราชวงศ์อีก ถูกกักขังในจวนอ๋องเจา กลับไม่กล้าให้ฝั่งมารดารับรู้เฮ้อ! เอาแต่เฝ้าสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่น เฝ้าทุกวันเฝ้าทุกคืน สุดท้ายสิ่งที่เฝ้ารอคือความตายของตัวเองและลูกเท่านั้นน่าสงสาร! น่าเศร้า! อนิจจา!“ท่านแม่อย่าพูดถึงอ
หากเทียบกับเหล่าคณบดีผู้มีอำนาจที่มีกองเงินกองทอง สมบัติมากมาย จวนกั๋วกงคงเป็นเพียงคนธรรมดาดังนั้น! ช่วงเวลาที่ผ่านมานางตรึกตรองดีแล้ว นักปราชญ์ ชาวนา แรงงาน พ่อค้า นางจะทำการค้าขาย นางอยากหาเงินจากเงินชดเชยหนึ่งแสนตำลึงที่ได้จากอ๋องเจา ก็คือต้นทุนในการทำการค้าของนางแม้ชาติก่อนนางจะเป็นแพทย์ทหาร แต่ก็เป็นนักกินที่ได้มาตรฐานคนหนึ่งเดิมควรจะทำวิชาชีพเก่าของนาง โดยการเปิดโรงหมอพวกนี้ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งของที่อยู่ในแหวนโบราณ วันหนึ่งจะหมดไปหรือไม่ หากจากนี้ไม่มีสิ่งของเหล่านั้น ควรทำอย่างไรไม่สู้เปิดหอสุราไปด้วย พลางรักษาส่วนตัวไปด้วยเช่นนี้ ไม่ว่าหาเงินหรือรักษาก็ไม่เสียเวลาทั้งสองด้านอี้กั๋วกงฮูหยินนึกไม่ถึงว่านางจะปรึกษาเรื่องนี้ จึงแปลกใจเล็กน้อย“เหตุใดจึงต้องเปิดหอสุรา? เจ้าเป็นคุณหนูจวนกั๋วกง ไม่เคยขาดแคลนเรื่องกินเรื่องใช้อยู่แล้ว”“ข้ารู้เจ้าค่ะ ข้าแค่อยากหาอะไรให้ตัวเองทำ”นางคงบอกท่านแม่ไม่ได้ว่า แม้จวนกั๋วกงไม่ได้ยากจนถึงขั้นเลี้ยงดูนางไม่ได้ แต่พึ่งพิงตระกูลมารดา อย่างไรก็มีวันยากจนยิ่งกว่านั้น ภายในจวนยังมีพี่ชายอีกสองคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน น้องสามีหย่าร้างอ
“หานอวี้พูดถูก ต้องเรียกคุณหนูรองตระกูลลั่ว เพิ่งหย่าร้างได้ไม่นาน แผลงฤทธิ์อีกแล้วหรือ นี่ทำทรงผมอะไรกัน? แต่งกายราวกับตัวเองเป็นสาวน้อยที่ยังไม่เคยออกเรือน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”ลั่วจิ่วหลีกำลังเลือกอย่างตั้งใจ เสียงค่อนขอดเหน็บแนมดังเข้าหูทันทีเมื่อเงยหน้ามอง จึงเห็นหูหานอวี้ในชุดกระโปรงยาวสีเม็ดทับทิมกุ๊นขอบดิ้นทองโดดเด่นสะดุดตา ความสูงส่งสรรพางค์กายไม่อาจปกปิดความเกลียดชังที่อยากจะแผดเผานางไปได้ส่วนอีกคนแต่งกายได้น่าสนใจไม่น้อย สวมเป็นชุดผ้าแพรสีขาวเรียบง่าย บนตัวเสื้อปักลวดลายดอกไม้บานสะพรั่งด้วยไหมสีแดงดอกเหมย ผ้าคาดเอวสีม่วงเส้นใหญ่ผูกรอบเอวขอด เผยให้เห็นเรือนร่างอรชร ทว่ากลับให้ความรู้สึกราวดอกบัวขาวที่เสแสร้งลั่วจิ่วหลีครุ่นคิด เหมือนว่านางจะไม่รู้จักหญิงสาวผู้นี้ เหตุใดจึงอคติต่อนางมากถึงเพียงนี้กลับเป็นเถ้าแก่ที่รีบเดินเข้าไปทำความเคารพ“ข้าน้อยคารวะท่านหญิงซีอวิ๋น”ท่านหญิงซีอวิ๋น อ๋องต่างแซ่เพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ฉางหนิง ลูกสาวคนรองของอ๋องอันชินกั๋วกงฮูหยินไม่ขยับ สวีหมัวมัวกับชุนหรงเห็นคุณหนูตัวเองถูกเหยียดหยามไม่ได้ เตรียมจะขึ้นไปโต้แย้ง แต่ถูกกั๋วกงฮู
“ข้าจะบอกพวกเจ้า ข้าไม่ได้อ่อนแอ แต่เพราะข้าไม่อยากกลายเป็นคนเฉกเช่นพวกเจ้าต่างหาก”“แต่ตอนนี้ อยากลงมือก็ไม่ต้องเกรงใจ ข้าลั่วจิ่วหลีจะสู้ด้วยจนถึงที่สุด”ท่าทางแข็งกร้าว น้ำเสียงเยือกเย็นหูหานอวี้ถูกตบจนมึนงง ซ้ำยังถูกลั่วจิ่วหลีด่าเป็นพรวน ตะลึงจนผ่านไปค่อนวันก็ยังไม่รู้สึกตัวส่วนทางท่านหญิงซีอวิ๋นยืนจับมือตัวเองแน่น ไฟโกรธในดวงตาลุกโชน ใบหน้าเขียวซีดสลับกันแต่ต่อหน้าธารกำนัล นางจะยอมให้ลั่วจิ่วหลีหักหน้าได้อย่างไร จึงกัดฟันแล้วพูดอย่างโกรธแค้น“ฮึ! แค่หญิงหม้ายที่ท่านพี่อ๋องเจาไม่เอาแล้ว อาศัยสถานะเดิมในอดีต กลับทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองแน่จริงอย่างนั้นสิ?”ลั่วจิ่วหลียืนนิ่งอยู่ตรงข้ามไม่ขยับ ใบหน้างดงามหมดจดเรียบเฉย ไม่พูดไม่จา เพียงแต่ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอันไร้ขอบเขต“ท่านหญิงซีอวิ๋นหรือ? เจ้าตาบอดหูหนวกเพียงใด ถึงได้วิจารณ์ข้าเช่นนี้”“ยังจะมาท่านพี่อ๋องเจา ถ้าเจ้าชอบก็แต่งกับเขาสิ! พอดเลย จวนอ๋องเจาไม่มีทั้งพระชายาเอก ไม่มีทั้งพระชายารอง หากเจ้าไปคงได้รับตำแหน่งเลย”“ลั่วจิ่วหลี บังอาจ! ข้าเป็นถึงท่านหญิง เจ้าเป็นเพียงหญิงหม้ายคนหนึ่ง สมควรทำความเคารพข
เมื่อทั้งสองคนตบปากตัวเองเสร็จ แล้วร้องไห้วิ่งออกจากหอเฝ่ยชุ่ย เซียวหมิงเสวียนเดินออกไปขึ้นรถม้าโดยไม่หันหลังมองลั่วจิ่วหลีตะลึงอย่างสิ้นเชิง“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”รีบมาที่นี่ ทวงความยุติธรรมให้นาง แล้วรีบจากไปหรือ?ไม่แม้แต่จะมองนางสักนิดพวกนางสองคน? สนิทกันถึงขั้นนี้แล้วหรือ?ระหว่างทางกลับจวน ลั่วจิ่วหลีคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ“ท่าน...ท่านอ๋องเก้าหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”“จวนสมุหพระกลาโหมกับจวนอ๋องอันชินจะมาคิดบัญชีกับพวกเราจวนอี้กั๋วกงหรือไม่เจ้าคะ?”อี้กั๋วกงฮูหยินตบมือนางเบา ๆ“วางใจเถอะ ท่านอ๋องเก้าไม่ได้ออกหน้าเพื่อพวกเรา”“แล้วเพื่อใครเจ้าคะ? หรือเขากับจวนสมุหพระกลาโหมและจวนอ๋องอันชินมีความแค้นต่อกัน?”อี้กั๋วกงฮูหยินส่ายหน้า “ไม่ใช่จวนสมุหพระกลาโหม แต่เป็นจวนอ๋องอันชิน”“จวนอ๋องอันชิน? เพราะอะไรเจ้าคะ?”ลั่วจิ่วหลีแปลกใจเล็กน้อย แม้นางจะไม่ชอบท่านหญิงซีอวิ๋น แต่ถูกบังคับให้ตบปากตัวเองต่อหน้าธารกำนัลเช่นนั้นตกลงท่านอ๋องเก้ากับจวนอ๋องอันชินมีความแค้นใหญ่หลวงมากขนาดไหน?อี้กั๋วกงฮูหยินหันมองลั่วจิ่วหลีแวบหนึ่ง แต่ไม่ตอบคิดในใจ ความแค้นระหว่างจวนอ๋องเก้ากั
ลั่วจิ่วหลีพยักหน้า พลางคล้องแขนมารดาเอาไว้“ได้เจ้าค่ะ ข้าก็จะไปเยี่ยมท่านพี่และหลานตัวน้อยกับท่านแม่ด้วย”เรื่องบุญคุณความแค้นที่แสนวุ่นวายระหว่างตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง นางก็แค่อยากรู้อยากเห็นนิดหน่อยเท่านั้นก่อนหน้านี้ นางเคยคิดว่าอ๋องเก้าเป็นบุรุษที่ทรงอำนาจ เด็ดขาด และเย็นชา แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าเนื้อแท้เบื้องลึกของอ๋องเก้า ไม่ได้มีเพียงความเด็ดขาดและเย็นชาเท่านั้น หากยังมีนิสัยผูกใจเจ็บอีกด้วยบุรุษที่จดจำความแค้นได้เก่งปานนี้ หากวันหน้าจำต้องข้องแวะกับเขา นางคงต้องระวังให้มากทางด้านของอ๋องเก้าที่ถูกลั่วจิ่วหลีตราหน้าว่าเป็นบุรุษผูกใจเจ็บนั้น ขณะนี้เขากลับถึงจวนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดัน ดวงตาแข็งกร้าวดุจเหล็กกล้าฉินอิ่นที่เดินตามนายท่านอยู่ด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงนายท่านเกลียดชังตระกูลของอ๋องอันชินอย่างถึงที่สุด เขาไม่เพียงแต่จะเกลียดอ๋องอันชินที่เป็นคนต่ำช้า แต่ยังเกลียดหมิงชิน คุณหนูใหญ่ของตระกูลนั้นอีกด้วยเมื่อเดือนสิบสองของปีที่แล้ว นายท่านกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อร่วมงานแต่งของอ๋องเจา เดิมทีนายท่านไม่คิดจะกลับ
“แต่ตอนนี้ จวนอ๋องเจามีคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา แม้แต่นกยังบินเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ”“ส่วนจวนอี้กั๋วกงก็มีฉินอู่คอยเฝ้าอยู่ อีกอย่างเวลาที่คุณหนูรองตระกูลลั่วจะออกไปไหนมาไหนก็มักมีบ่าวตามติดไปด้วย นางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน”เซียวหมิงเสวียนได้ยินเช่นนั้น ก็พยักหน้าลง“หากให้สองคนนี้โผล่ออกมาพร้อมกันต่อหน้านาง เจ้าคิดว่านางจะออกมาหรือไม่?”ฉินอิ่นได้ยินดังนั้น ก็ถึงกับชื่นชมไม่หยุด เขานึกในใจว่า ไม่แปลกใจเลยที่คุณชายเฉินยางเคยบอกว่า นายท่านเป็นจิ้งจอกเฒ่าพันปีที่บำเพ็ญเพียรจนบรรลุ นายท่านมีความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกแฝงอยู่จริง ๆ แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา เขาไม่ใช่คุณชายเฉินยางเสียหน่อยฉินอิ่นยกมือขึ้นลูบจมูกเบา ๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า เซียวหมิงเสวียนกล่าวต่อ“ในเมื่อจะล่อให้ศัตรูโผล่หัวออกมา ก็ต้องแสดงละครให้สมจริง”พูดจบ เขาก็กวักมือเรียกฉินอิ่นให้เข้ามาใกล้ฉินอิ่นก้มตัวลง ก่อนจะเงี่ยหูฟัง เมื่อได้ยินสิ่งที่นายท่านพูด ฉินอิ่นก็ส่ายหน้าทันที“นายท่าน แบบนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้คือวันที่สิบห้า ทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือน นายท่านไม่ควรอยู่นอกจวน มันอันตรายและจะ…”เซียวหมิง
“เพคะ นี่คือยาเม็ดที่หม่อมฉันทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ”“งั้นหรือ?”ฮ่องเต้มองที่ใบหน้าสงบนิ่งของลั่วจิ่วหลี เห็นว่านางไม่ลนลานแม้แต่น้อย และไม่มีทีท่าว่าโกหกเช่นกันก้มหัวลงดูของสิ่งนี้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหากบอกว่านี่คือขวด วัสดุกลับไม่เหมือน หากพูดว่านี่ไม่ใช่ขวด แต่ยาเม็ดเล็ก ๆ เหล่านั้นกลับใส่อยู่ในนี้จริง ๆ“ในเมื่อเป็นยาเม็ดที่ทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ เหตุใดจึงทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินไม่ได้สติเล่า?”ฮ่องเต้น้ำเสียงเคร่งเครียด สายตาเย็นชาโกรธขึ้งที่ด้านข้าง ฮองเฮาโบกมือไปทางองครักษ์เหล่านั้นบรรดาองครักษ์ก็ถอยออกไปอย่างหงุดหงิด“ลั่วจิ่วหลี เฟิงเต๋อฮูหยินก็กินยาในขวดนี้นี่ล่ะ แล้วก็หมดสติไป”ฮองเฮาเสียงเบามาก จ้องลั่วจิ่วหลีตาไม่กะพริบลั่วจิ่วหลีส่ายหัว น้ำเสียงหนักแน่น เผชิญหน้ากับสายตาที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเพ่งพินิจนางโดยปราศจากความกลัวใด ๆ“เป็นไปไม่ได้เพคะ นี่คือยารักษาอาการหัวใจวายของเฟิงเต๋อฮูหยิน ไม่ใช่ยาพิษอะไรแน่นอน?”“ยาพิษ?” ที่ด้านข้าง หูกุ้ยเฟยร้องหึอย่างเย็นชาหนึ่งที เดินเข้ามา“ลั่วจิ่วหลี ที่นี่ไม่มีคนบอกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินถูกวางยาพิษเสียหน่อย กลับ
เพียงไม่นาน รถม้าก็มาถึงประตูจวนที่นอกรถม้า สวีหมัวมัวเปิดม่านขึ้น“ฮูหยิน คุณหนูรอง ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”สองแม่ลูกทยอยลุกขึ้นตามกันไป ลงจากรถม้ายังไม่ทันได้เข้าจวน ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งตรงออกมาอย่างรวดเร็ว“ฮูหยิน คุณหนูรอง ในวังมีจดหมายมา เชิญให้คุณหนูไปที่พระตำหนักกานเฉวียนทันทีหลังกลับถึงจวนขอรับ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง อี้กั๋วกงฮูหยินหนังตากระตุก“เกิดอะไรขึ้น?”พ่อบ้านส่ายหัว“ขันทีที่เชิญพระราชโองการไม่ยอมบอก บอกแค่ว่า ให้คุณหนูรองเข้าวังได้ทันที”“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง คงให้ข้าเข้าวังไปตรวจร่างกายเฟิงเต๋อฮูหยินอีกครั้ง”ลั่วจิ่วหลีพูดปลอบประโลมแล้ว เวลานี้ สาวใช้เรือนฝูชวีก็นำกล่องยาออกมาแล้วลั่วจิ่วหลีรับกล่องยามา“สวีหมัวมัว ดูแลท่านแม่ให้ดี ข้าไปไม่นานก็กลับ”“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง”สวีหมัวมัวประคองอี้กั๋วกงฮูหยิน มองดูลั่วจิ่วหลีขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปทางประตูวัง“พ่อบ้านจาง”อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไปแล้ว ก็ขมวดคิ้ว“ฮูหยิน”พ่อบ้านจางก้าวขึ้นมา“เอาเงินตำลึงไปเพิ่มหน่อยสิ ไปสืบข่าวมาที”“ขอรับ”พ่อบ้านจางไหนเลยจะกล้าชักช้า จากไปอย่างรีบร้อนตามความร้อนใ
อี้กั๋วกงฮูหยินมองที่นาง“เจ้าฟังออกหรือ?”“ในเมื่อเจ้ายังเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเก้าก็คงจะเข้าใจได้เช่นกัน”“ท่านแม่ นี่ท่าน...”“จิ่วเอ๋อร์”อี้กั๋วกงฮูหยินคว้ามือลูกสาวตัวเองไว้“แม้แม่จะอยู่ในเรือนหลังมานาน แต่เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้ คราวที่แล้วกุ้ยเฟยเรียกเจ้าเข้าวัง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะเรื่องที่เจ้าหย่าร้างกับอ๋องเจา เรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหูนั่นใส่ร้ายเจ้า แม่ฟังแล้วเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง เรื่องคราวก่อน นางปิดบังไว้ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าแม่ก็ยังไปสืบรู้เรื่องนี้มาจนได้“ท่านแม่ ท่านรู้หมดแล้วหรือ?”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้าเบา ๆ“ได้รับความอยุติธรรมขนาดนั้น เจ้าไม่บอกแม่ได้อย่างไรกัน?”ลั่วจิ่วหลียิ้มอย่างสบาย ๆ“ก็ไม่ถือว่าได้รับความอยุติธรรมนะเจ้าคะ สองพี่น้องตระกูลหูนั่นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์”“เฮ้อ! เจ้านี่นะ”อี้กั๋วกงฮูหยินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“ท่านอ๋องเก้านั้นเป็นยอดคนก็จริง แต่จะว่าอย่างไรท่านก็เป็นเสด็จอาของอ๋องเจา ต่อไปเจ้าอย่าเข้าใกล้มากเกินไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนินทา”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเย้
“แขก?”เช้าตรู่เช่นนี้ ใครกันมาที่จวนอ๋องเก้า แล้วยังส่งจดหมายคารวะมาด้วย?“ใครหรือ?”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเรียบเฉย ยื่นมือไปรับจดหมายคารวะ เมื่อเห็นแล้วก็สีหน้าเคร่งขรึมทันที “จวนอี้กั๋วกง?”“ไป เชิญแขกเข้าไปห้องโถงรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”คนผู้นั้นออกไปที่ด้านข้าง ฉินอิ่นก้าวขึ้นมา“นายท่าน เป็นอี้อั๋วกงฮูหยินกับคุณหนูรองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อืม”เซียวหมิงเสวียนสีหน้าดูไร้อารมณ์ แต่กลับลุกขึ้นกลับห้องไปเปลี่ยนชุดฉินอิ่นยืนอยู่นอกห้อง ลูบจมูกไปมา รู้สึกว่าวันนี้นายท่านของเขาแปลกไปไม่น้อย นายท่านเปลี่ยนชุดเป็นพิเศษเพื่อเจอคนนอกตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูรองตระกูลลั่วก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอกถึงนอกเรือนรับแขกแล้ว เซียวหมิงเสวียนก็เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งดื่มชาอยู่วันนี้ลั่วจิ่วหลีสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ผิวขาวราวกับหิมะ เรียวคิ้วดูเหมือนทิวเขาที่อยู่ไกล ๆ ผัดหน้าเบา ๆ ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเขารู้สึกว่าลั่วจิ่วหลีในแบบนี้ดูเย็นชา เฉียบคมน้อยกว่าปกติ และดูอ่อนโยนอบอุ่นมากขึ้นลั่วจิ่วหลีเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองนางอยู่ จึงเงยหน้ามองไปทางนอกประตูเห็นเซียวหม
สวีหมัวมัวค้อมตัวคำนับ“บ่าวขอขอบพระคุณความห่วงใยจากคุณหนูแทนชุนหรงเจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีรู้สึกอึดอัดไม่น้อย นี่ก็คือระบบชนชั้นสมัยโบราณ แม้บ่าวจะรับมีดแทนนายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ยังต้องขอบคุณ แสดงความซาบซึ้งต่อความเมตตาจากนาย “จิ่วเอ๋อร์ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เยียนทิงเหลียนนั่นแหกคุกไม่ใช่หรือ? ถูกจับอีกได้อย่างไร? ได้ยินว่า นางถูกเปลื้องผ้าแล้วไปแขวนไว้บนหอประตูเมืองชั้นนอก เฮ้อ! ช่างเสื่อมเสียจารีตประเพณีบ้านเมืองเสียจริง”ลั่วจิ่วหลีนวดขมับไปมาอย่างจนใจ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้นั่งรถม้ามาทั้งวันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อีก แต่แม่ถาม นางก็ได้แต่อดทน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองให้แม่ฟัง แน่นอนว่า เรื่องบางอย่างที่ต้องปิดบัง นางก็ไม่ได้ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ? อ๋องเก้าเพราะช่วยเจ้า ก็ถูกเยียนทิงเหลียนทำร้ายบาดเจ็บหรือ?”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีพยักหน้าเบา ๆ“เยียนทิงเหลียนนั่นไม่ใช่หญิงธรรมดาเลย นางเป็นสายลับของแคว้นซางหนาน ข้าเผลอไปครู่หนึ่ง ยังดีที่มีชุนหรงกับอ๋องเก้า ไม่เช่นนั้น ขณะนี้คนที่นอนปางตายอยู่บนเตียงก็คงเป็นข้าแล้ว”แม้ว่าชุนหรงกับอ๋องเก้าจะไม่ได
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”เซียวหมิงเสวียนถวายบังคม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษรออกจากประตูวังแล้ว ระหว่างทางกลับจวน เซียวหมิงเสวียนมองฉินอิ่นแวบหนึ่ง“ส่งข่าวไปยังหอหลิงเซียว ให้พวกเขาไปสืบหาเบื้องหลังของเยียนทิงเหลียนที่แคว้นซางหนาน”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นพยักหน้า จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก“นายท่าน ข้าน้อยส่งฉินลิ่วไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่หอประตูเมืองชั้นนอกแล้ว ฉินลิ่วรายงานกลับมา บอกว่า... อะแฮ่ม”“บอกว่าเยียนทิงเหลียนถูกแขวนตัวเปลือยเปล่าอยู่บนหอประตูเมืองชั้นนอก ทำให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย มีคนเร่ร่อนหื่นกามคิดไม่ดี...”ส่วนคิดไม่ดีว่าอะไร ไม่ต้องให้ฉินอิ่นพูดให้ชัดเจน เซียวหมิงเสวียนก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร“หึ!”เซียวหมิงเสวียนยิ้มอย่างเย็นชา“เช่นนั้นแล้วก็เปิดช่องโหว่ให้พวกเขาเสีย ให้เยียนทิงเหลียนลองสัมผัสดูว่าตอนนั้นนางวางแผนทำร้ายลั่วจิ่วหลีอย่างไร”ฉินอิ่นได้ยินแล้ว ในใจก็แอบสวดมนต์ภาวนาให้เยียนทิงเหลียนดูท่า เยียนทิงเหลียนจนตายก็ไม่มีทางรู้ว่า ตอนนั้นที่นางวางแผนจะทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองตระกูลลั่ว แต่คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูรองตระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยียนทิงเหลียนเดิมทีก็เป็นหญิงงามชั้นยอด เอวบางร่างน้อยราวกับต้นหลิว หน้าอกและบั้นท้ายโค้งเว้าชัดเจน หากใช้คำของอ๋องเจามาอธิบาย นี่คือผู้หญิงที่มอบความสุขให้เขาได้แม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรหนึ่งยังยอมรับในความงามอันเย้ายวนของเยียนทิงเหลียน นับประสาอะไรกับบรรดาบุรุษธรรมดา ๆเพียงแค่เห็นภาพที่เย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้แวบเดียว ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดยิ่งดูยิ่งตื่นเต้น ยิ่งดูยิ่งมีผู้ชายเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นมีคนตะโกนว่านี่ช่างเสียของจริง ๆ มีคนป่าวร้องว่าสาวสวยเช่นนี้ถ้าได้ซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ ด้วยจะมีความสุขขนาดไหนมีคนมือบอนเข้าไปใกล้ ๆ อยากเอานางลงมาใจจะขาด หาความสำราญให้เต็มที่ ก็ถูกทหารที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ ถีบกระเด็นไปอยู่ที่พื้นและยังมีหญิงอารมณ์ร้ายที่เมื่อรู้ว่าสามีตนเองมาจ้องมองดูผู้หญิงเปลือยจนตาแทบออกมานอกเบ้า ก็วิ่งถือไม้นวดแป้งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด มาบิดหูสามีตัวเอง ด่าว่ายกใหญ่ ด่าสามีตัวเองเสร็จยังไม่พอ ยังหยิบทุกอย่างที่หยิบติดมือมาได้ ปาไปที่ตัวเยียนทิงเหลียนอย่างเอาเป็นเอาตายชาวบ้านร้านตลาดหรือ? เพียงแค่มีคนหนึ่งเริ่มต้น คนที่เหลือก็พากันทำตา
“ลงมือ”เซียวหมิงเสวียนไม่แม้แต่จะสนใจดูเยียนทิงเหลียนที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน“พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินอิ่นผลักเยียนทิงเหลียนไปข้างหน้า ทั้งร่างของเยียนทิงเหลียนก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อหัวหน้าทหารยามทั้งสองโบกมือให้สัญญาณอย่างสุดแรง ด้านหลังก็มีทหารเฝ้าเมืองก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว ๆ“อื้อ! อื้อ! อื้อ!”เยียนทิงเหลียนถอยหลังโดยใช้ทั้งมือและเท้าหากเวลานี้นางพูดได้ เสียงขอความเมตตาอย่างน่าเวทนาและเสียงร้องโหยหวนก็คงจะทำให้เกิดความสงสารอันเล็กน้อยจนแทบจะไม่มีอยู่เลยขึ้นมาบ้างน่าเสียดาย ตัวนางในขณะนี้วรยุทธ์ถูกทำลาย ลิ้นก็ถูกตัด ได้แต่ทนรับความอัปยศนี้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ร้องเรียกต่อฟ้าก็ไร้ผล อ้อนวอนต่อดินก็สิ้นหนทาง ทนทุกข์ทรมานแต่เพียงผู้เดียว ดิ้นรนอย่างขมขื่นทันใดนั้นเอง นางก็เห็นว่าบนรถม้าที่อยู่ด้านหลังนั้น ลั่วจิ่วหลีทอดสายตามาที่นางลั่วจิ่วหลี คนชั้นต่ำ นางชั้นต่ำนี่ ต้องเป็นความคิดของเจ้าแน่ ๆ ต้องใช่อย่างแน่นอนเยียนทิงเหลียนหลบทหารเฝ้าเมืองสองคนนั้นที่ไล่ตามมาประชิดตัว โหม่งหัวชนคนหนึ่งจนล้มลง ฝืนทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างกาย วิ่งพุ่งตรงไปทางลั่วจิ่วหลี
เมืองชั้นนอกนั้นหลัก ๆ เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป และคนมากหน้าหลายตาจากทุกกลุ่มในสังคม เมืองชั้นในล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ ส่วนวังหลวงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าสนมวังหลัง และบรรดาองค์ชายองค์หญิง จวนอี้กั๋วกงกับจวนอ๋องเก้านั้นอยู่ในเมืองชั้นในทั้งคู่ รถม้ากลับหยุดที่เมืองชั้นนอก ลั่วจิ่วหลีประหลาดใจไม่น้อย“ไปกัน ออกไปดูหน่อยกว่าเกิดอะไรขึ้น?”นางพูดพลางผลักประตูรถม้าออก ก็เห็นเซียวหมิงเสวียนที่อยู่ข้างหน้ายืนอยู่บนรถม้าอย่างสง่างามน่าเกรงขามพอดีผู้คนสองข้างทางเมื่อเห็นท่านอ๋องเก้า ก็พากันคุกเข่าลงที่พื้นไม่ไกลจากนั้น มีหัวหน้าทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองชั้นนอกรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน“กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องเก้า”“อืม ลุกขึ้นเถอะ”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเก้า”หัวหน้าทหารยามทั้งสองลุกขึ้น“ฉินอิ่น”เซียวหมิงเสวียนโบกมือให้สัญญาณไปทางด้านหลัง“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับ จากนั้นก็คุมตัวคนคนหนึ่งเดินไปที่หน้าหัวหน้าทหารยามสองคนนั้น เมื่อลั่วจิ่วหลีมองให้ดี ๆ คนที่ถูกคุมตัวมาไม่ใช่เ