แม้แต่หูปิงอวี้ที่แสร้งทำตัวน่าสงสารมาตลอด ยังเดินตามออกมาโดยมีนางกำนัลประคองเอาไว้เช่นกันฮ่องเต้พยายามสงบสติอารมณ์ มองไปรอบ ๆ สายตาไปหยุดที่ลั่วจิ่วหลี“ลั่วจิ่วหลี เจ้าตามเราไปที่ตำหนักกานเฉวียน”ในระหว่างที่พูดก็สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วทุกคนตื่นตะลึง ฝ่าบาทให้ลั่วจิ่วหลีไปที่ตำหนักกานเฉวียนทำไม แต่ในเวลานี้ ใครเลยจะกล้าถาม สาวเท้าเดินตามฝ่าบาทไปโดยไม่รู้ตัวลั่วจิ่วหลียังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แขนก็ถูกคนจับเอาไว้“ท่านปล่อย...”เมื่อนางหันหน้ากลับไปมองก็เผชิญหน้ากับสีหน้าเย็นยะเยือกของเซียวหมิงเสวียนผู้ที่หันกลับมาในเวลาเดียวกันยังมีหูปิงอวี้ที่มีนางกำนัลประคองเอาไว้อีกคนเมื่อหูปิงอวี้เห็นเซียวหมิงเสวียนจับแขนของลั่วจิ่วหลี ร่างกายก็แข็งทื่อไปทันทีเขาแตะตัวนาง เขาไม่เคยแตะต้องสตรีใดมาก่อนเห็นอยู่ชัด ๆ ว่า เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ในศาลา สายตาเขาที่มองลั่วจิ่วหลียังเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เหตุใดเพียงชั่วพริบตา เขากลับจับแขนนางแพศยานั่นนี่เป็นไปได้อย่างไร?เป็นไปได้อย่างไร!เขาเป็นของนาง บนโลกใบนี้ผู้หญิงที่คู่ควรกับเขามีเพียงนางเท่านั้น!หูปิงอวี้โกรธจนกำมือทั้งส
แค่เพราะว่านางเป็นบุตรสาวของอี้กั๋วกงเท่านั้นหรือ? หรือเพราะมีอ๋องเก้าคอยสนับสนุน?ส่วนเหตุผลอื่น ๆ ลั่วจิ่วหลีไม่ได้ถามอย่างละเอียด เซียวหมิงเสวียนเองก็ไม่ได้เล่าอย่างละเอียดเช่นกันเมื่อก้าวเข้าประตูตำหนักกานเฉวียนก็ได้ยินร้องไห้สะอึกสะอื้นแว่วดังมาจากในตำหนักลั่วจิ่วหลีจิตใจเขม็งเกลียว หันหน้ากลับไปมองเซียวหมิงเสวียนเซียวหมิงเสวียนสีหน้าเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ชายเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำขลับของเขาปลิวไสวลั่วจิ่วหลีนึกทึ่ง เป็นคนหน้าตาดุร้ายเย็นชาแบบนี้ หูปิงอวี้คิดไม่ตกขนาดไหนกันถึงได้ชอบเขา นี่จะต่างอะไรกับการใช้ชีวิตอยู่กับก้อนน้ำแข็งงั้นหรือ?“มองข้าทำไม? ยังไม่รีบเข้าไปอีก?”ลั่วจิ่วหลีร้องเชอะทีหนึ่ง“ท่านอ๋อง ข้ามามือเปล่า ไม่มีกล่องยา เข้าไปรอให้ถูกฝ่าบาทบั่นคอหรืออย่างไร?”เซียวหมิงเสวียนก้าวลงจากขั้นบันได“เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าช่วยเหลือทุกวิถีทางเท่าที่สามารถทำได้”ลั่วจิ่วหลีเดินตามไปติด ๆ ใจอยากถามเขาเหลือเกินว่า เขาบอกฮ่องเต้เรื่องที่นางรู้วิชาแพทย์ใช่หรือไม่แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไปก็เห็นบางสิ่งเล็ก ๆ สีขาวพุ่งออกมาจากประตูลั่วจิ่วหลียังไม่ทันมองอย่า
ทางด้านนี้ ฮ่องเต้ทรงลูบมือของเฟิงเต๋อฮูหยินอย่างอ่อนโยน ก่อนตรัสขึ้นว่า“เกรงว่าคงต้องให้แม่บุญธรรมดูแลตัวเองถึงจะได้ผลที่สุด เราได้เชิญหมอหญิงคนหนึ่งมาช่วยตรวจอาการแม่บุญธรรม บางทีอาจมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็เป็นได้”จากนั้นฮ่องเต้จึงหันไปทอดพระเนตรลั่วจิ่วหลี“ลั่วจิ่วหลี เจ้าเข้ามาตรวจดูอาการของเฟิงเต๋อฮูหยิน”ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง“ฝ่าบาทเพคะ”หูกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น“หมอหลวงและหัวหน้าสำนักแพทย์ล้วนอยู่ที่นี่ ไหนเลยจะปล่อยให้สตรีในเรือนหลังมาตรวจอาการเฟิงเต๋อฮูหยินได้?”ข้าง ๆ กันนั้น หมอหลวงหลายคนต่างหันมามองหน้ากัน ก่อนที่หมอหลวงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นจะก้าวออกมา“ฝ่าบาท เฟิงเต๋อฮูหยินเจ็บป่วยเนื่องจากชราภาพ ร่างกายอ่อนแอ เกิดจากการบริโภคไม่สมดุล อารมณ์แปรปรวน และหัวใจหยางพร่อง การปล่อยให้สตรีที่วิชาแพทย์ไม่เป็นที่ยอมรับมาตรวจโดยไม่พิจารณาให้ดีเช่นนี้ กระหม่อมเกรงว่า...”“เกรงว่าอะไร?”ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นพลางทอดพระเนตรไปยังหมอหลวงผู้นั้น“หัวหน้าจาง เราถามเจ้าหน่อย หากมีคนผู้หนึ่งจบชีวิตตัวเองโดยการใช้กริชแทงจนถึงหัวใจ หัวหน้าจางสามารถช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่?”หัวหน้าจางรูม่านตา
“ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องทำการตรวจร่างกายให้เฟิงเต๋อฮูหยินก่อน ขอให้ฝ่าบาทและผู้อื่นถอยออกไปก่อนนะเพคะ”ท่าทีของลั่วจิ่วหลีแฝงไปความทะนงตนเล็กน้อย ไม่ต่ำต้อยแต่ก็ไม่อวดดี ท่าทางการเคลื่อนไหวยังมีความงดงามอย่างน่าประหลาดฮ่องเต้ทรงได้ยินดังนั้นจึงเพียงพยักหน้าเบา ๆ หยัดพระวรกายขึ้นก่อนจะทอดพระเนตรไปยังผู้คนภายในห้อง“ทุกคนออกไปรอข้างนอก”พูดจบ จึงลุกขึ้นเดินออกไปลั่วจิ่วหลีอดรู้สึกงุนงงไม่ได้ ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ฟังคำของนางมากขนาดนี้ ไม่แม้แต่จะคิดสงสัยอะไรเลยนางหันไปมองเซียวหมิงเสวียนด้วยความสงสัยในใจที่ยิ่งทวีคูณหรือทุกอย่างเป็นเพราะอาจารย์ท่านนั้นจริง ๆ? เพราะชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของหมอเทวดา หลิงซวีจื่อหรือ?“เจ้าเหม่ออะไร รีบไปตรวจเฟิงเต๋อฮูหยินเสียสิ”ขณะที่เซียวหมิงเสวียนเดินผ่านนางไป ก็เอ่ยเตือนเสียงเบา“ข้าเฝ้าอยู่ข้างนอก ไม่ต้องห่วง”ลั่วจิ่วหลีชะงักไปครู่หนึ่งขณะที่นางหันไปมอง ร่างของเขาก็หายไปจากในห้องบรรทมแล้วลั่วจิ่วหลีสะบัดหัวเบา ๆ เพื่อกำจัดความคิดวุ่นวายทั้งหลายในหัวออกไป จากนั้นหันไปมองเฟิงเต๋อฮูหยินแล้วพูดว่า“เฟิงเต๋อฮูหยิน หม่อมฉันชื่อลั่วจิ่วหลี เป็นห
หลังจากตกลงไปในทะเลสาบก่อนหน้านี้ จนถึงตอนนี้นางยังคงสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นอยู่ หากไม่ดื่มยาเพื่อป้องกันไว้ก่อน เกรงว่าร่างเล็กนี้อาจถูกเชื้อโรคคุกคามอีกครั้งเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ลั่วจิ่วหลีมองไปยังเฟิงเต๋อฮูหยิน“เฟิงเต๋อฮูหยิน หม่อมฉันขอออกไปแจ้งสถานการณ์ให้ฝ่าบาททราบก่อน เพื่อไม่ให้พระองค์ทรงกังวลนะเพคะ”“ท่านพักผ่อนให้ดี หม่อมฉันจะกลับมาเยี่ยมท่านอีกในภายหลัง”พูดจบ นางลุกขึ้นพร้อมถือล่วมยาออกจากห้องบรรทมด้านนอกห้องบรรทม เดิมมีผู้คนแน่นขนัด ตอนนี้เหลือเพียงฝ่าบาท อ๋องเก้าเซียวหมิงเสวียน และสตรีผู้สูงศักดิ์ที่เพิ่งให้นางกำนัลนำผ้าคลุมมาส่งให้ลั่วจิ่วหลีครั้นเมื่อเห็นลั่วจิ่วหลีออกมา ฮ่องเต้พลันมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันใด“ลั่วจิ่วหลี เป็นอย่างไรบ้าง?”ลั่วจิ่วหลีเหลือบมองฮ่องเต้ คิดในใจว่าฮ่องเต้ทรงมีเมตตาและคุณธรรมต่อแม่บุญธรรมของพระองค์ยิ่งนัก“กราบทูลฝ่าบาท เฟิงเต๋อฮูหยินประชวรด้วยโรคหัวใจ แต่ขณะนี้ควบคุมอาการได้แล้วเพคะ เมื่อถึงค่ำคาดว่าพละกำลังคงจะฟื้นคืนมาบ้าง”“เจ้าบอกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินมิเป็นอันตรายแล้วหรือ?”แม้ฮ่องเต้จะพยายามรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบ ทว่าควา
“ร่างกายของหม่อมฉันยังไม่ฟื้นตัวดีเพคะ อีกทั้งตอนที่ตกน้ำ หูปิงอวี้จอมยุ่งคนนั้นก็เกาะติดหม่อมฉันอย่างกับสุนัขเกาะขอนไม้ไม่ยอมปล่อย ทำให้หม่อมฉันสำลักน้ำในทะเลสาบไปตั้งหลายอึก ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกเวียนหัวยิ่งนัก”ลั่วจิ่วหลีพูดพร้อมแกล้งทำท่าคลื่นไส้แห้ง ๆ ให้ดูสมบทบาทเซียวหมิงเสวียนเผยสีหน้าเย็นชาเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงฮึในลำคอ“ในเมื่อเจ้าหนาว แล้วเหตุใดเมื่อตอนอยู่ที่ตำหนักกานเฉวียนจึงไม่ให้แม่นมหรงชิวหาเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยน?”ลั่วจิ่วหลีส่ายศีรษะเล็กน้อย“หม่อมฉันไม่ชินกับการสวมเสื้อผ้าของผู้อื่นเพคะ”แท้จริงแล้ว ด้วยนิสัยที่ไม่วางใจใครง่าย ๆ ทำให้นางระมัดระวังตัวเองอย่างยิ่ง“ท่านอ๋องเพคะ”ลั่วจิ่วหลีเงยหน้ามองเขา ปลายจมูกแดงเล็กน้อย“ตอนที่ท่านอ๋องเข้าเฝ้าฝ่าบาท เหตุใดถึงบอกฝ่าบาทว่าหม่อมฉันรู้วิชาแพทย์? และเหตุใดจึงเน้นย้ำว่าข้าเป็นศิษย์ของหลิงซวีจื่อ? แล้วยังเรื่องพัศดีที่ฆ่าตัวตายที่กรมอาญาอีก? มิใช่ว่าท่านอ๋องจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือเพคะ?”เซียวหมิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจคิดว่า ก็เพื่อช่วยเจ้าอย่างไรเล่า แต่ปากกลับพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ“ไยเจ้าจึงมีคำถามมา
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงของฉินอิ่นที่กำลังขับรถม้าตะโกนเสียงดังมาจากด้านนอก“เด็กที่ไหนกันนี่!”พูดยังไม่ทันจบดี รถม้าก็หักเลี้ยวไปทางซ้ายอย่างกะทันหัน ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันลั่วจิ่วหลีที่กำลังกอดเข่าอยู่ พอเจอแรงกระชาก ร่างของนางก็พุ่งไปทางเซียวหมิงเสวียนทันที หัวของนางเกือบจะชนเข้ากับม้านั่งเตี้ยในรถม้าในจังหวะที่กำลังวุ่นวาย นางคว้าเอวของเซียวหมิงเสวียนไว้ทั้งสองข้าง หัวไม่กระแทกม้านั่ง แต่กลับพุ่งชนเข้ากับหว่างขาของเซียวหมิงเสวียนอย่างจัง“เจ้า...!”เซียวหมิงเสวียนกำเสื้อคลุมที่ถูกดึงหลุดไว้แน่น มองศีรษะของลั่วจิ่วหลีที่อยู่ระหว่างสองขา ตัวเขาแข็งทื่อไปในทันที ดวงตายิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิมสำหรับลั่วจิ่วหลี นี่มันเหมือนเป็นสถานการณ์ตายทั้งเป็นครั้งใหญ่ ขาของนางชาจนขยับไม่ได้ ความรู้สึกชาและอ่อนแรงจนหมดสิ้นกำลังแต่สิ่งที่นางกำลังแนบใบหน้าอยู่... บริเวณนั้น เหมือนจะค่อย ๆ... พองขึ้นนิดๆ?นางหลับตาแน่น กำเสื้อตรงเอวของเขาไว้แน่น ไม่กล้าปล่อยมือออก เพราะหากปล่อย หน้าอาจจะฟาดจนช้ำได้ แต่ถ้าไม่ปล่อย...รถม้ายังไม่หยุด นางทำได้เพียงค่อย ๆ ขยับตัวเล็กน้อย พยายามเอ่ยด้วยเสีย
“คุณหนูรอง คุณหนูรองกลับมาแล้ว”เสียงร้องดังขึ้นจากหน้าประตูเรือนฝูชวีดึงลั่วจิ่วหลีกลับสู่ความเป็นจริงทันที จากนั้นก็มีคนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา“จิ่วเอ๋อร์ เจ้า เจ้าเป็นอะไรไป?”“คุณหนูรอง เหตุใดท่านถึงเปียกไปทั้งร่างเช่นนี้เจ้าคะ?”“ชุนหรง รีบไปต้มน้ำขิงผสมน้ำตาลเดี๋ยวนี้”“แล้วก็ไปเตรียมน้ำสำหรับอาบด้วย”ลั่วจิ่วหลีมองมารดาที่จับมือนางไว้แน่นและถามไถ่อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ลืมเรื่องกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปได้“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ให้ข้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด”“ได้สิ ได้ แม่ไม่รีบ”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้ารัวเร็วลั่วจิ่วหลีไม่กล้าปล่อยให้อี้กั๋วกงฮูหยินกังวลใจนานจนเกินไป จึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนในห้องโถง อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นลั่วจิ่วหลีเดินออกมา ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที“จิ่วเอ๋อร์ รีบดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลเสียตอนที่ยังอุ่นอยู่”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีเป่าถ้วยเบา ๆ ก่อนดื่มน้ำขิงรสเผ็ดร้อนลงคอรวดเดียวจนหมดเมื่อนางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย อี้กั๋วกงฮูหยินจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“ในวังเ
“เพคะ นี่คือยาเม็ดที่หม่อมฉันทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ”“งั้นหรือ?”ฮ่องเต้มองที่ใบหน้าสงบนิ่งของลั่วจิ่วหลี เห็นว่านางไม่ลนลานแม้แต่น้อย และไม่มีทีท่าว่าโกหกเช่นกันก้มหัวลงดูของสิ่งนี้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหากบอกว่านี่คือขวด วัสดุกลับไม่เหมือน หากพูดว่านี่ไม่ใช่ขวด แต่ยาเม็ดเล็ก ๆ เหล่านั้นกลับใส่อยู่ในนี้จริง ๆ“ในเมื่อเป็นยาเม็ดที่ทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ เหตุใดจึงทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินไม่ได้สติเล่า?”ฮ่องเต้น้ำเสียงเคร่งเครียด สายตาเย็นชาโกรธขึ้งที่ด้านข้าง ฮองเฮาโบกมือไปทางองครักษ์เหล่านั้นบรรดาองครักษ์ก็ถอยออกไปอย่างหงุดหงิด“ลั่วจิ่วหลี เฟิงเต๋อฮูหยินก็กินยาในขวดนี้นี่ล่ะ แล้วก็หมดสติไป”ฮองเฮาเสียงเบามาก จ้องลั่วจิ่วหลีตาไม่กะพริบลั่วจิ่วหลีส่ายหัว น้ำเสียงหนักแน่น เผชิญหน้ากับสายตาที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเพ่งพินิจนางโดยปราศจากความกลัวใด ๆ“เป็นไปไม่ได้เพคะ นี่คือยารักษาอาการหัวใจวายของเฟิงเต๋อฮูหยิน ไม่ใช่ยาพิษอะไรแน่นอน?”“ยาพิษ?” ที่ด้านข้าง หูกุ้ยเฟยร้องหึอย่างเย็นชาหนึ่งที เดินเข้ามา“ลั่วจิ่วหลี ที่นี่ไม่มีคนบอกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินถูกวางยาพิษเสียหน่อย กลับ
เพียงไม่นาน รถม้าก็มาถึงประตูจวนที่นอกรถม้า สวีหมัวมัวเปิดม่านขึ้น“ฮูหยิน คุณหนูรอง ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”สองแม่ลูกทยอยลุกขึ้นตามกันไป ลงจากรถม้ายังไม่ทันได้เข้าจวน ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งตรงออกมาอย่างรวดเร็ว“ฮูหยิน คุณหนูรอง ในวังมีจดหมายมา เชิญให้คุณหนูไปที่พระตำหนักกานเฉวียนทันทีหลังกลับถึงจวนขอรับ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง อี้กั๋วกงฮูหยินหนังตากระตุก“เกิดอะไรขึ้น?”พ่อบ้านส่ายหัว“ขันทีที่เชิญพระราชโองการไม่ยอมบอก บอกแค่ว่า ให้คุณหนูรองเข้าวังได้ทันที”“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง คงให้ข้าเข้าวังไปตรวจร่างกายเฟิงเต๋อฮูหยินอีกครั้ง”ลั่วจิ่วหลีพูดปลอบประโลมแล้ว เวลานี้ สาวใช้เรือนฝูชวีก็นำกล่องยาออกมาแล้วลั่วจิ่วหลีรับกล่องยามา“สวีหมัวมัว ดูแลท่านแม่ให้ดี ข้าไปไม่นานก็กลับ”“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง”สวีหมัวมัวประคองอี้กั๋วกงฮูหยิน มองดูลั่วจิ่วหลีขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปทางประตูวัง“พ่อบ้านจาง”อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไปแล้ว ก็ขมวดคิ้ว“ฮูหยิน”พ่อบ้านจางก้าวขึ้นมา“เอาเงินตำลึงไปเพิ่มหน่อยสิ ไปสืบข่าวมาที”“ขอรับ”พ่อบ้านจางไหนเลยจะกล้าชักช้า จากไปอย่างรีบร้อนตามความร้อนใ
อี้กั๋วกงฮูหยินมองที่นาง“เจ้าฟังออกหรือ?”“ในเมื่อเจ้ายังเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเก้าก็คงจะเข้าใจได้เช่นกัน”“ท่านแม่ นี่ท่าน...”“จิ่วเอ๋อร์”อี้กั๋วกงฮูหยินคว้ามือลูกสาวตัวเองไว้“แม้แม่จะอยู่ในเรือนหลังมานาน แต่เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้ คราวที่แล้วกุ้ยเฟยเรียกเจ้าเข้าวัง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะเรื่องที่เจ้าหย่าร้างกับอ๋องเจา เรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหูนั่นใส่ร้ายเจ้า แม่ฟังแล้วเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง เรื่องคราวก่อน นางปิดบังไว้ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าแม่ก็ยังไปสืบรู้เรื่องนี้มาจนได้“ท่านแม่ ท่านรู้หมดแล้วหรือ?”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้าเบา ๆ“ได้รับความอยุติธรรมขนาดนั้น เจ้าไม่บอกแม่ได้อย่างไรกัน?”ลั่วจิ่วหลียิ้มอย่างสบาย ๆ“ก็ไม่ถือว่าได้รับความอยุติธรรมนะเจ้าคะ สองพี่น้องตระกูลหูนั่นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์”“เฮ้อ! เจ้านี่นะ”อี้กั๋วกงฮูหยินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“ท่านอ๋องเก้านั้นเป็นยอดคนก็จริง แต่จะว่าอย่างไรท่านก็เป็นเสด็จอาของอ๋องเจา ต่อไปเจ้าอย่าเข้าใกล้มากเกินไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนินทา”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเย้
“แขก?”เช้าตรู่เช่นนี้ ใครกันมาที่จวนอ๋องเก้า แล้วยังส่งจดหมายคารวะมาด้วย?“ใครหรือ?”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเรียบเฉย ยื่นมือไปรับจดหมายคารวะ เมื่อเห็นแล้วก็สีหน้าเคร่งขรึมทันที “จวนอี้กั๋วกง?”“ไป เชิญแขกเข้าไปห้องโถงรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”คนผู้นั้นออกไปที่ด้านข้าง ฉินอิ่นก้าวขึ้นมา“นายท่าน เป็นอี้อั๋วกงฮูหยินกับคุณหนูรองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อืม”เซียวหมิงเสวียนสีหน้าดูไร้อารมณ์ แต่กลับลุกขึ้นกลับห้องไปเปลี่ยนชุดฉินอิ่นยืนอยู่นอกห้อง ลูบจมูกไปมา รู้สึกว่าวันนี้นายท่านของเขาแปลกไปไม่น้อย นายท่านเปลี่ยนชุดเป็นพิเศษเพื่อเจอคนนอกตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูรองตระกูลลั่วก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอกถึงนอกเรือนรับแขกแล้ว เซียวหมิงเสวียนก็เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งดื่มชาอยู่วันนี้ลั่วจิ่วหลีสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ผิวขาวราวกับหิมะ เรียวคิ้วดูเหมือนทิวเขาที่อยู่ไกล ๆ ผัดหน้าเบา ๆ ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเขารู้สึกว่าลั่วจิ่วหลีในแบบนี้ดูเย็นชา เฉียบคมน้อยกว่าปกติ และดูอ่อนโยนอบอุ่นมากขึ้นลั่วจิ่วหลีเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองนางอยู่ จึงเงยหน้ามองไปทางนอกประตูเห็นเซียวหม
สวีหมัวมัวค้อมตัวคำนับ“บ่าวขอขอบพระคุณความห่วงใยจากคุณหนูแทนชุนหรงเจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีรู้สึกอึดอัดไม่น้อย นี่ก็คือระบบชนชั้นสมัยโบราณ แม้บ่าวจะรับมีดแทนนายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ยังต้องขอบคุณ แสดงความซาบซึ้งต่อความเมตตาจากนาย “จิ่วเอ๋อร์ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เยียนทิงเหลียนนั่นแหกคุกไม่ใช่หรือ? ถูกจับอีกได้อย่างไร? ได้ยินว่า นางถูกเปลื้องผ้าแล้วไปแขวนไว้บนหอประตูเมืองชั้นนอก เฮ้อ! ช่างเสื่อมเสียจารีตประเพณีบ้านเมืองเสียจริง”ลั่วจิ่วหลีนวดขมับไปมาอย่างจนใจ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้นั่งรถม้ามาทั้งวันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อีก แต่แม่ถาม นางก็ได้แต่อดทน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองให้แม่ฟัง แน่นอนว่า เรื่องบางอย่างที่ต้องปิดบัง นางก็ไม่ได้ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ? อ๋องเก้าเพราะช่วยเจ้า ก็ถูกเยียนทิงเหลียนทำร้ายบาดเจ็บหรือ?”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีพยักหน้าเบา ๆ“เยียนทิงเหลียนนั่นไม่ใช่หญิงธรรมดาเลย นางเป็นสายลับของแคว้นซางหนาน ข้าเผลอไปครู่หนึ่ง ยังดีที่มีชุนหรงกับอ๋องเก้า ไม่เช่นนั้น ขณะนี้คนที่นอนปางตายอยู่บนเตียงก็คงเป็นข้าแล้ว”แม้ว่าชุนหรงกับอ๋องเก้าจะไม่ได
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”เซียวหมิงเสวียนถวายบังคม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษรออกจากประตูวังแล้ว ระหว่างทางกลับจวน เซียวหมิงเสวียนมองฉินอิ่นแวบหนึ่ง“ส่งข่าวไปยังหอหลิงเซียว ให้พวกเขาไปสืบหาเบื้องหลังของเยียนทิงเหลียนที่แคว้นซางหนาน”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นพยักหน้า จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก“นายท่าน ข้าน้อยส่งฉินลิ่วไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่หอประตูเมืองชั้นนอกแล้ว ฉินลิ่วรายงานกลับมา บอกว่า... อะแฮ่ม”“บอกว่าเยียนทิงเหลียนถูกแขวนตัวเปลือยเปล่าอยู่บนหอประตูเมืองชั้นนอก ทำให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย มีคนเร่ร่อนหื่นกามคิดไม่ดี...”ส่วนคิดไม่ดีว่าอะไร ไม่ต้องให้ฉินอิ่นพูดให้ชัดเจน เซียวหมิงเสวียนก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร“หึ!”เซียวหมิงเสวียนยิ้มอย่างเย็นชา“เช่นนั้นแล้วก็เปิดช่องโหว่ให้พวกเขาเสีย ให้เยียนทิงเหลียนลองสัมผัสดูว่าตอนนั้นนางวางแผนทำร้ายลั่วจิ่วหลีอย่างไร”ฉินอิ่นได้ยินแล้ว ในใจก็แอบสวดมนต์ภาวนาให้เยียนทิงเหลียนดูท่า เยียนทิงเหลียนจนตายก็ไม่มีทางรู้ว่า ตอนนั้นที่นางวางแผนจะทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองตระกูลลั่ว แต่คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูรองตระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยียนทิงเหลียนเดิมทีก็เป็นหญิงงามชั้นยอด เอวบางร่างน้อยราวกับต้นหลิว หน้าอกและบั้นท้ายโค้งเว้าชัดเจน หากใช้คำของอ๋องเจามาอธิบาย นี่คือผู้หญิงที่มอบความสุขให้เขาได้แม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรหนึ่งยังยอมรับในความงามอันเย้ายวนของเยียนทิงเหลียน นับประสาอะไรกับบรรดาบุรุษธรรมดา ๆเพียงแค่เห็นภาพที่เย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้แวบเดียว ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดยิ่งดูยิ่งตื่นเต้น ยิ่งดูยิ่งมีผู้ชายเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นมีคนตะโกนว่านี่ช่างเสียของจริง ๆ มีคนป่าวร้องว่าสาวสวยเช่นนี้ถ้าได้ซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ ด้วยจะมีความสุขขนาดไหนมีคนมือบอนเข้าไปใกล้ ๆ อยากเอานางลงมาใจจะขาด หาความสำราญให้เต็มที่ ก็ถูกทหารที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ ถีบกระเด็นไปอยู่ที่พื้นและยังมีหญิงอารมณ์ร้ายที่เมื่อรู้ว่าสามีตนเองมาจ้องมองดูผู้หญิงเปลือยจนตาแทบออกมานอกเบ้า ก็วิ่งถือไม้นวดแป้งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด มาบิดหูสามีตัวเอง ด่าว่ายกใหญ่ ด่าสามีตัวเองเสร็จยังไม่พอ ยังหยิบทุกอย่างที่หยิบติดมือมาได้ ปาไปที่ตัวเยียนทิงเหลียนอย่างเอาเป็นเอาตายชาวบ้านร้านตลาดหรือ? เพียงแค่มีคนหนึ่งเริ่มต้น คนที่เหลือก็พากันทำตา
“ลงมือ”เซียวหมิงเสวียนไม่แม้แต่จะสนใจดูเยียนทิงเหลียนที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน“พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินอิ่นผลักเยียนทิงเหลียนไปข้างหน้า ทั้งร่างของเยียนทิงเหลียนก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อหัวหน้าทหารยามทั้งสองโบกมือให้สัญญาณอย่างสุดแรง ด้านหลังก็มีทหารเฝ้าเมืองก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว ๆ“อื้อ! อื้อ! อื้อ!”เยียนทิงเหลียนถอยหลังโดยใช้ทั้งมือและเท้าหากเวลานี้นางพูดได้ เสียงขอความเมตตาอย่างน่าเวทนาและเสียงร้องโหยหวนก็คงจะทำให้เกิดความสงสารอันเล็กน้อยจนแทบจะไม่มีอยู่เลยขึ้นมาบ้างน่าเสียดาย ตัวนางในขณะนี้วรยุทธ์ถูกทำลาย ลิ้นก็ถูกตัด ได้แต่ทนรับความอัปยศนี้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ร้องเรียกต่อฟ้าก็ไร้ผล อ้อนวอนต่อดินก็สิ้นหนทาง ทนทุกข์ทรมานแต่เพียงผู้เดียว ดิ้นรนอย่างขมขื่นทันใดนั้นเอง นางก็เห็นว่าบนรถม้าที่อยู่ด้านหลังนั้น ลั่วจิ่วหลีทอดสายตามาที่นางลั่วจิ่วหลี คนชั้นต่ำ นางชั้นต่ำนี่ ต้องเป็นความคิดของเจ้าแน่ ๆ ต้องใช่อย่างแน่นอนเยียนทิงเหลียนหลบทหารเฝ้าเมืองสองคนนั้นที่ไล่ตามมาประชิดตัว โหม่งหัวชนคนหนึ่งจนล้มลง ฝืนทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างกาย วิ่งพุ่งตรงไปทางลั่วจิ่วหลี
เมืองชั้นนอกนั้นหลัก ๆ เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป และคนมากหน้าหลายตาจากทุกกลุ่มในสังคม เมืองชั้นในล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ ส่วนวังหลวงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าสนมวังหลัง และบรรดาองค์ชายองค์หญิง จวนอี้กั๋วกงกับจวนอ๋องเก้านั้นอยู่ในเมืองชั้นในทั้งคู่ รถม้ากลับหยุดที่เมืองชั้นนอก ลั่วจิ่วหลีประหลาดใจไม่น้อย“ไปกัน ออกไปดูหน่อยกว่าเกิดอะไรขึ้น?”นางพูดพลางผลักประตูรถม้าออก ก็เห็นเซียวหมิงเสวียนที่อยู่ข้างหน้ายืนอยู่บนรถม้าอย่างสง่างามน่าเกรงขามพอดีผู้คนสองข้างทางเมื่อเห็นท่านอ๋องเก้า ก็พากันคุกเข่าลงที่พื้นไม่ไกลจากนั้น มีหัวหน้าทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองชั้นนอกรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน“กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องเก้า”“อืม ลุกขึ้นเถอะ”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเก้า”หัวหน้าทหารยามทั้งสองลุกขึ้น“ฉินอิ่น”เซียวหมิงเสวียนโบกมือให้สัญญาณไปทางด้านหลัง“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับ จากนั้นก็คุมตัวคนคนหนึ่งเดินไปที่หน้าหัวหน้าทหารยามสองคนนั้น เมื่อลั่วจิ่วหลีมองให้ดี ๆ คนที่ถูกคุมตัวมาไม่ใช่เ