บทที่ 27 : หนิงซีโย่ว ท่านช่างใจร้ายกับข้ายิ่งนักชิงอี้หรานที่ป่วยนอนซมอยู่ในตำหนักเป็นเวลาหลายวัน เมื่อเริ่มอาการดีขึ้น ซิวเอ๋อก็เข้ามาชวนให้นายหญิงของตนออกไปเดินสูดอากาศภายนอกตำหนัก“ฮองเฮา เสด็จออกไปเดินเล่นบ้างเถอะเพคะ อากาศข้างนอกกำลังสดชื่นดี พระองค์จะได้ผ่อนคลายบ้าง” ซิวเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใยหลังจากรบเร้านางอยู่หลายต่อหลายครั้ง“ข้าเหนื่อยกับเจ้าเสียเหลือเกิน แต่ก็ช่างเถอะก็ได้ ข้าจะตามใจเจ้าสักครั้ง” ชิงอี้หรานยิ้มอ่อนมองหน้าสาวใช้คนสนิทด้วยความจนใจ หญิงสาวรู้ดีว่าซิวเอ๋อเป็นห่วงเป็นใยนางมากเพียงใด ชิงอี้หรานรู้สึกโชคดีที่อย่างน้อยยังมีสาวใช้ที่ภักดีกับตนเช่นนางซิวเอ๋อประคองร่างชิงอี้หรานเดินออกไปยังสวนอันงดงามของตำหนัก สวนนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสและหอมกรุ่น ทั้งสองเดินผ่านต้นไม้ใหญ่และบ่อน้ำที่มีปลาว่ายเล่น ชิงอี้หรานรู้สึกถึงความสดชื่นของลมพัดผ่าน ใบหน้าที่เศร้าหมองเริ่มเปลี่ยนเป็นมีสีสันขึ้นมาบ้าง“ฮองเฮา สีหน้าท่านดูดีขึ้นมากนะเพคะ” ซิวเอ๋อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีใจที่ชิงอี้หรานรู้สึกสดใสขึ้นชิงอี้หรานยังคงพยักหน้ามองสาวใช้ด้วยความเอ็นดูระหว่างเดินเ
บทที่ 28 : งานเลี้ยงไม่กี่วันถัดมาบรรยากาศภายในตำหนักที่มีแต่ความเงียบงัน สักพักขันทีก็ได้ขอเข้าเฝ้าชิงอี้หราน เสียงก้าวเท้าของขันทีดังก้องในโถงยาวที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างประณีต ใบหน้าของนางดูสงบแต่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง"ฮองเฮา ค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับขุนนางใหม่ ฮ่องเต้ขอเชิญฮองเฮาเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพชิงอี้หรานรับฟังโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด นางรู้ดีว่างานเลี้ยงนี้หมายความว่านางต้องเผชิญหน้ากับหนิงซีโย่วอีกครั้ง"ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปได้" ชิงอี้หรานตอบเสียงเบาเมื่อขันทีจากไป ชิงอี้หรานลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง นางมองตัวเองในกระจก ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มกลับกลายเป็นหม่นหมอง ชิงอี้หรานเตรียมตัวอย่างเรียบง่าย นางสวมชุดฮองเฮาที่งดงาม แต่แววตาของนางกลับดูเศร้าหมองเมื่อชิงอี้หรานมาถึงตำหนักจัดเลี้ยง บรรยากาศภายในตำหนักจัดเตรียมอย่างหรูหรา ทันทีที่ขันทีประกาศเสียงดัง "ฮองเฮาเสด็จ" เสียงที่เคยดังเซ็งแซ่พลันเงียบสงบลง ทุกสายตาหันมอ
บทที่ 29: เมามายเมื่อถึงเวลางานเลี้ยงจบสิ้นลง ชิงอี้หรานค่อย ๆ พยุงร่างบางก้าวเดินออกจากตำหนักโดยมีซิวเอ๋อคอยประคองหญิงสาวไว้ไม่ห่าง หนิงซีโย่วยังคงทอดสายตามองตามร่างบางออกไปโดยไม่ปริปากออกมาแม้แต่คำเดียวชิงอี้หรานถึงแม้จะดื่มสุราไปไม่มาก แต่เพราะหญิงสาวคออ่อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำให้นางเริ่มรู้สึกซวนเซ ชิงอี้หรานยังจำได้ดีว่าท่านพี่ทั้งสามของเขามักจะหลอกล้อนางเสมอ ในวัยเยาว์ชิงอี้หรานพยายามดื่มสุราเพียงเพื่อสัมผัสรสชาติ แต่ทุกครั้งที่นางดื่มก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนหัวเราะ"อี้หราน เจ้าคออ่อนเหลือเกิน แค่จอกเดียวก็หน้าแดงหมดแล้ว" ชิงหยางพูดพลางหัวเราะด้วยความเอ็นดูชิงหลงก็ดึงจอกสุราออกจากมือนาง "พอแล้วล่ะอี้หราน สุรานี่สำหรับผู้ใหญ่ ไม่ใช่สำหรับเด็กน้อยเช่นเจ้า"ชิงอี้หรานพยายามโต้แย้ง "ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ ข้าไม่ได้เมาสักหน่อย ข้ายังไหว""เจ้าเนี่ยนะไหว ดูเจ้าสิ หน้าของเจ้าแดงยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ยามเย็นเสียอีก ต่อไปหากเจ้าต้องเข้าห้องหอเจ้ามิคอพับหลับไปก่อนเชียวรึ" ชิงหลงกล่าวแซว พร้อมส่งสายตาแกมล้อเลียนใส่นาง ชิงอี้หรานทำหน้าหงิกงอ พลางหันไปค้อนใส่พี่ชายทั้งสามอย่างอดไม่ได้ แต่
บทที่ 30 : ลูบคมสกุลชิงภายในจวนสกุลชิง เสียงลมพัดผ่านต้นไผ่ที่ปลูกอยู่รอบบริเวณทำให้เกิดเสียงซู่ซ่าที่สงบเงียบ แต่บรรยากาศภายในกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด ในห้องโถงใหญ่ชิงหยวนเปาเดินกระสับกระส่ายวนไปวนมาอย่างใช้ความคิด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาคมกล้าจ้องมองลูกชายทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านข้าง"ข้าไม่อาจทนเห็นสกุลชิงถูกหยามเกียรติเช่นนี้อีกต่อไป" ชิงหยวนเปากล่าวเสียงดัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล "ข่าวลือเรื่องชิงอี้หรานถูกละเลยและถูกหยามเกียรติแพร่สะพัดออกมาอย่างไม่ขาดสาย หนิงซีโย่วไม่เห็นหัวสกุลชิงเลยสักนิด"ชิงหยางยืนกอดอก ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด "ท่านพ่อ ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรนิ่งเฉย สกุลชิงไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้" ชิงหยางกล่าว ด้วยความที่ตัวเขาเป็นถึงรองแม่ทัพ ความดุดันมุทะลุจึงทำให้เขามิอาจอดทนได้"ถูกต้อง ข้าก็ไม่อาจทนเห็นอี้หรานต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดเช่นนี้อีกต่อไป หนิงซีโย่วทำเช่นนี้มันเกินไปแล้วจริง ๆ" ชิงเฟยเสริมออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ชายหนุ่มที่มีบุคลิกร่าเริง ใจดีและห่วงใยน้องสาว ด้วยความที่เขาเป็นบุตรชายคนเล็ก ทำให้ค่อนข้างใก
บทที่ 31 : หนี้แค้นที่ต้องสะสางณ ท้องพระโรงอันโอ่อ่าและสง่างามของราชสำนัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เสียงขุนนางต่างๆ ที่พูดคุยกันบ้างเบาราวกับกระซิบ บ้างดังก้องราวกับต้องการให้ทั่วทั้งห้องโถงได้รับรู้ เมื่อหนิงซีโย่วนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาของเขากวาดมองไปยังขุนนางทั้งหลายที่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ขุนนางที่นำโดยชิงหยวนเปาได้เร่งรัดในการเอาผิดแก่ขุนนางข้างหนิงซีโย่วอย่างหนัก"ฝ่าบาท ความผิดของใต้เท้าเสิ่น และใต้เท้าหวัง บัดนี้หลักฐานครบถ้วนยากแก่การหลีกเลี่ยง ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางคนหนึ่งยื่นฎีการ้องเรียนพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น"ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาปลดพวกเขาออกจากตำแหน่งและลงโทษสถานหนักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางอีกคนหนึ่งเสริมทัพด้วยเสียงที่กังวานหนิงซีโย่วทำท่าเคร่งเครียด ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังขุนนางทั้งสองที่กล่าวรายงานก่อนจะปรายตามองไปยังชิงหยวนเปา ใบหน้าของเขาตึงเครียดและเปี่ยมไปด้วยความคิดครุ่นคิด แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างอำมหิต และหัวเราะออกมาเบาๆ"ในเมื่อพวกท่านกล่าวอ้างว่าใต้เท้าทั้งสองมีความผิดเช่นนี้ ง
บทที่ 32 : สายฟ้าผ่ากลางใจณ ตำหนักฮองเฮา ชิงอี้หรานที่ยังคงนั่งเหม่อลอย สายตาทอดมองออกไปเบื้องนอกด้วยความรู้สึกชอกช้ำและเศร้าโศกเสียใจ ความว่างเปล่าที่ได้รับในแต่ละวันยิ่งทำให้ร่างกายหญิงสาวค่อย ๆ อ่อนแอลงไปทุกวันความรู้สึกดังกล่าวยังไม่ทันจางหาย ชิงอี้หรานกลับได้รับข่าวร้ายใหญ่ที่ทำให้หัวใจของนางพังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิง“ฮองเฮา...ฮองเฮา หม่อมฉันได้ยินข่าวร้าย ฮองเฮา...ฮองเฮาเพคะ” ซิวเอ๋อวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังห้องบรรทมด้วยท่าทีร้อนรน สีหน้าขาวซีดกลับดูแตกตื่นยิ่งนัก“ข่าวร้าย...ยังมีข่าวร้ายอันใดกันอีกรึ” ชิงอี้หรานหันหน้ากลับมามองสาวใช้ตรงหน้า ถามออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก“ใต้เท้าชิงเพคะ ใต้เท้าชิงและคนในตระกูลถูกจับเพคะ บัดนี้ฮ่องเต้รับสั่งขังคุกหลวงเตรียมรอวันประหารเพคะ” ซิวเอ๋อยังคงรีบรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกชิงอี้หรานรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านในใจ นางกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับหัวเราะและร้องไห้ออกมาอย่างเสียสติ“ข้าไม่เชื่อ...ข้าไม่เชื่อ ท่านพ่อ...ท่านพี่...ทุกคนในตระกูลชิง... ข้าไม่เชื่อ” ชิงอี้หรานร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลนองอาบแก้มไม่หยุดนางคร่ำคร
บทที่ 33 : ทางแยกหลังจากเหตุการณ์ในท้องพระโรง หนิงซีโย่วไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ชายหนุ่มเดินทางไปยังคุกหลวงทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เมื่อถึงที่นั่น ชายหนุ่มสั่งให้ทุกคนออกจากที่นั่นให้หมด ทหารและผู้คุมต่างพากันหลีกทางให้เขา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยังห้องขังของชิงหยวนเปาชิงหยวนเปามองหน้าหนิงซีโย่วด้วยความแค้นเคือง "เจ้า... เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน เจ้าหลอกลวงอี้หราน หลอกลวงพวกข้า บัดนี้ข้าหมดประโยชน์ เจ้ากลับเนรคุณเช่นนี้" ชายชรากล่าวอย่างมาดร้าย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชังหนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยแววตาเย็นชา "ท่านว่าข้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วท่านล่ะใต้เท้าชิง ข้าก็เพียงตอบแทนท่านกลับไปก็เท่านั้นเอง"ชิงหยวนเปาตะโกนถามด้วยเสียงแหบพร่า "ข้าทำอันใด...ข้าทำผิดอันใด"หลังจากพินิจดวงหน้าและชายหนุ่มอย่างจริงจัง ชายชราถึงกับผงะถอยหลังไปสองก้าว ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแววตาของหนิงซีโย่วเริ่มเปิดเผยให้เห็น "เจ้า...เจ้ารู้... เจ้ารู้เรื่องงั้นรึ"หนิงซีโย่วหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ความเงียบที่ตามมาเต็มไปด้วยความกดดันและความหวาดหวั่น ชิงหยวนเปาทรุด
บทที่ 34 : แผนร้ายสนมเสิ่นชิงอี้หรานเฝ้ารอคอยข่าวคราวจากหลีซานเกี่ยวกับครอบครัวของตนอย่างร้อนรน ในใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลและความหวังที่ยังไม่รู้จะเป็นจริงหรือไม่ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความหวังที่หลีซานจะนำข่าวดีมาให้นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางยังคงมีแรงสู้ต่อไปจู่ ๆ ขันทีตำหนักสนมเสิ่นก็เข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุภาพและเคารพ “ฮองเฮา สนมเสิ่นเชิญพระองค์ไปชิมน้ำชาที่ได้รับพระราชทานมาใหม่พ่ะย่ะค่ะ”หญิงสาวปรายตามองเล็กน้อย ความรู้สึกในใจนางเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนไม่พอใจ แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าเพียงเบา ๆหลังจากขันทีจากไปแล้ว ซิวเอ๋อเข้ามาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ฮองเฮาเพคะ สนมเสิ่นไว้ใจไม่ได้ พระองค์อย่าไปเลยเพคะ”แต่ชิงอี้หรานหาได้สนใจไม่ นางอยากรู้ว่าสนมเสิ่นมีจุดประสงค์อะไร นางจึงกล่าว “ข้าจะไปดูสักหน่อยว่านางต้องการอะไรกันแน่” ว่าแล้วก็ให้ซิวเอ๋อแต่งตัวให้นางและเดินไปตำหนักสนมเสิ่นตำหนักของเสิ่นเซียวเหยาได้รับการตกแต่งอย่างงดงามด้วยพรรณไม้และดอกไม้หลากสีสัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ในอากาศ เสิ่นเซียวเหยากำลังนั่งรอนางอยู่ในห้องรับแขก ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา