ผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าพวกเขาสามคนตามไปที่ว่าการอำเภอแล้ว เขาจึงขอตัวตามไปดูด้วยจะได้รับคนพวกนี้กลับหมู่บ้าน เพราะหลังจากถูกลงโทษพวกเขาคงเดินกันกลับไม่ไหวเป็นแน่
หนิงชิงยังนับถือความมีน้ำใจของผู้ใหญ่บ้านที่ยังอยากรับคนพวกนั้นกลับด้วย หนิงกวานเองก็ฝากเงินค่ายาให้ไปนิดหน่อยด้วยความสงสาร หนิงชิงกับคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ว่าอันใดหากท่านพ่อของพวกเขาอยากช่วยเหลือค่ายาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากเป็นเงินก้อนใหญ่พวกเขาคงไม่ยอมแน่
ผู้ใหญ่บ้านหนิงไค่ขับเกวียนไปรอรับคนทั้งสามหลังจากถูกลงโทษแล้วและยังย้ำเตือนให้พวกเขาย้ายออกไปเสีย ไม่เช่นนั้นหากทางการมาตรวจสอบคราวนี้คงจะได้มีคนได้เข้าคุกกันจริง ๆ หลานจิวกับลูก ๆ ได้แต่กลับพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านอย่างจนใจ พวกเขาถูกโบยจนไม่มีแรงเดินไหวจึงได้จำใจรับความเมตตาของผู้ใหญ่บ้าน ส่วนเรื่องย้ายออกพวกเขาขอเวลาให้หายดีเสียก่อนจึงจะย้ายได้ ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะย้ายเมื่อไหร่
เมื่อถึงวันหยุด หนิงชิงชวนหนิงกวานกับหนิงหยางไปขุดสมบัติที่พ่อนางพูดถึง นางรู้ดีว่าท่านพ่ออยากให้นางรีบไปนำสมบัติมาเก็บเอาไว้ เพียงแต่ท่านไม่ได้พูดมากเท่านั้น หนิงชิงให้พ่อของนางบังคับเกวียนไปยังที่ที่ท่านฝังสมบัติเอาไว้ หนิงกวานเองก็บังคับเกวียนอ้อมหมู่บ้านแล้วขึ้นเขาไปอย่างชำนาญทาง เขาจำได้ไม่เคยลืมว่าฝังเอาไว้ตรงไหน หนิงชิงเห็นพ่อนางเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ทำใจ นางไม่คิดว่าสมบัติจะมีสิ่งใดมากมายนักอย่างที่ท่านพ่อนางหวังเอาไว้แม้แต่น้อย ด้วยนางไม่เคยรู้ประวัติของครอบครัวนี้มาก่อน กว่าที่ทั้งสามคนจะไปถึงที่ที่หนิงกวานฝังสมบัติเอาไว้ก็เป็นเกือบสองชั่วยามต่อมา ด้วยบนภูเขาไม่สะดวกกับการพาเกวียนขึ้นนัก แต่หนิงกวานก็บังคับเกวียนได้ดีไม่แพ้เสี่ยวเหยา เขาจึงพาทุกคนมาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่งที่เขาแอบฝังสมบัติเอาไว้ หนิงกวานจุดคบไฟที
หลังจากวางแผนการต่าง ๆ แล้วหนิงชิงก็เตรียมตัวที่จะย้ายหลังจากน้องชายปิดเทอม นางยังให้น้องชายขอใบรับรองว่าเขาเรียนที่นี่อยู่เพื่อไปเรียนต่อที่โรงเรียนใหม่ได้สะดวกโดยไม่ต้องหาคนรับรองให้ใหม่ ส่วนท่านลุง ท่านป้า ท่านตาและท่านยายเองก็ไม่อยากให้พวกเขาไปนักหรอก เพียงแต่ในเมื่อหลาน ๆ อยากเห็นโลกภายนอกบ้างพวกเขาจึงไม่อาจห้ามได้ อย่างไรในอนาคตทุกคนต้องแยกย้ายกันทำมาหากินเหมือนหลาน ๆ ของพวกท่านทั้งสาม อย่างน้อยพวกเขาก็ยังย้ายไปอยู่เมืองเดียวกันกับเสี่ยวเจียง เรื่องนี้เสี่ยวเหยาเขียนจดหมายไปบอกลูกชายแล้วให้ดูแลครอบครัวท่านอาให้ดี ๆ โดยก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางเสี่ยวเหยาจะส่งจดหมายไปบอกลูกชายอีกครั้ง อย่างไรกว่าจะเดินทางถึงเมืองกังก็ต้องใช้เวลาสองหรือสามวันเลยทีเดียว ส่วนเสี่ยวหยวนที่อยู่ใกล้ครอบครัวที่สุดก็หมั่นกลับมาเยี่ยมพวกเขาทุกวันหยุด ด้วยว่าเขาชอบลูกสาวอาจารย์จึงได้กลับมาบ่อย ๆ และไปเยี่ยมอาจารย์ทุกครั้ง เขาไม่รู้ว่านางจะชอบเขาหรือไม่แต่เขาก็พยายามสอบถามอาจารย์เรื่องอื่นไปเรื่อยเพื่อให้ได
ขบวนเดินทางของหนิงชิงไม่ได้เร่งรีบนัก เมื่อค่ำพวกเขาก็พักทำอาหารทานกัน หนิงชิงยังให้ผู้คุ้มกันทานอาหารด้วยกันด้วย เพราะนางซื้อวัตถุดิบมาเผื่อพวกเขา ผู้คุ้มกันคราแรกไม่กล้ารบกวน แต่ด้วยการคะยั้นคะยอของทุกคนพวกเขาจึงได้ร่วมกินข้าวด้วยกัน เหล่าผู้คุ้มกันต่างชมอาหารของหนิงชิงว่าอร่อยมาก นางได้แต่ดีใจที่มีคนชอบอาหารที่นางทำ นางบอกว่านางจะเปิดร้านอาหารหลังจากได้ร้านที่เมืองกังแล้ว ผู้คุ้มกันต่างคาดว่าร้านนางต้องขายดีเป็นแน่ เพราะขนาดอาหารที่ทำข้างทางยังอร่อยขนาดนี้ หากมีเครื่องไม้เครื่องมือครบครันจะอร่อยขนาดไหน วันต่อมาหนิงชิงยังทำอาหารเช้าพร้อมซาลาเปาเอาไว้ทานตอนเที่ยงด้วย นางทำเอาไว้เผื่อทุกคนไม่น้อยเพราะพวกเขาช่วยกันปั้นซาลาเปาอย่างสบาย ๆ เพราะความเคยชิน พวกเขาเสียเวลาไม่นานกับอาหารเช้าก่อนจะเดินทางต่อไป ผู้คุ้มกันนำนางอย่า
หนิงชิงพอรู้ว่าน้องชายไม่ลำบากในการไปเรียนนางก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ไม่เช่นนั้นนางคงรู้สึกผิดไม่น้อยที่ชวนน้องย้ายมาแล้วทำให้น้องชายลำบาก ส่วนหนิงกุ้ยนั้นนางไม่มีผลกระทบอันใด ขอเพียงมีพื้นที่ให้นางได้ปลูกสมุนไพรนางก็อยู่ได้หมด หนิงชิงชวนแม่ของนางไปตลาดซื้อขายของสด เพื่อดูว่านางจะสามารถทำเมนูอันใดให้คนในบ้านรวมทั้งพี่ชายเสี่ยวเจียงทดลองชิมได้บ้าง นางยังไม่แน่ใจนักว่าร้านข้าวราดแกงของนางจะเป็นอย่างไร นางเข้าใจดีว่าในเมืองคงไม่มีใครทำข้าวราดแบบนางเป็นแน่ อย่างไรการทำข้าวราดแกงนางก็ต้องคิดว่าต้องทำวันละกี่อย่าง อย่างน้อยนางจะทำเอาไว้สักห้าอย่างเพื่อจะได้ไม่มากไม่น้อยเกินไปนัก ส่วนน้ำซุปนางก็จะให้ฟรีเหมือนเดิม ถึงแม้ท่านพ่อจะหายแล้วแต่การกินน้ำซุปกระดูกนั้นก็ช่วยให้ทุกคนสุขภาพดี ทำให้หนิงชิงคิดที่จะทำเหมืิอนเดิม หนิงชิงกับแม่ไปตลาดสดพบว่าของส่วนใหญ่ไม่สดมากเหมือนช่วงเช้าแล้ว ต่อไปนาง
หนิงชิงทดลองทำอาหารหลังจากเสร็จแล้วนางก็เปิดร้านให้คนได้ทดลองชิมและขายในราคาถูกเพื่อขอความคิดเห็นจากชาวเมือง ชาวเมืองเพิ่งเคยเจอการเสนอขายอาหารแบบนี้เป็นครั้งแรกพวกเขาจึงเข้าไปทดลองกินและจ่ายเงินในราคาถูก รสชาตินั้นอร่อยมากจนคนทดลองพากันซื้อกลับบ้านกันไม่น้อย หนิงชิงหลังจากขายของหมดแม้จะได้ไม่มากนักแต่นางก็ยังบอกทุกคนว่าพรุ่งนี้นางจะทดลองทำอีกครั้ง ขอให้ชาวเมืองช่วยมาติชมนางหน่อย ทำให้คนที่เข้ามากินต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่พลาดอาหารอร่อย ๆ ของนางแน่นอน หนิงชิงยิ้มรับคำชาวเมืองที่ช่วยมากินอาหารที่ร้านของนางจนหมดเกลี้ยงอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่ารายได้จะไม่ได้มากมาย แต่นางก็พอจะได้ทุนคืนมาบ้าง วันต่อมานางออกจากบ้านไปซื้อวัตถุดิบเร็วกว่าเมื่อวานครึ่งชั่วยาม กลับมาถึงบ้านก็พอดีเวลาที่นางคาดการเอาไว้ หนิงชิงรีบทำอาหารทุกอย่างแล้วเปิดขายในเวลาเช้าพอดี น้องชายนางก็ได้กินโจ๊กทะเลอีกตามที่เขาชอบ ส่วนอาหารอย่างอื่นที่ทำเอาไว้นางรอให้ม
หนิงชิงตั้งใจขายของเพื่อเก็บเงินทำงานที่นางชอบ ช่วงนี้เวลาว่างนางไม่ทำเมนูต่าง ๆ แต่จะหาวัสดุมาทำงานออกแบบที่นางชอบเท่านั้น บางอย่างนางยังเอามาใช้งานในการทำอาหารอีกต่างหาก เช่นพวกใบมีดในการหั่นผักแล่เนื้อ หนิงชิงทำขึ้นมาแล้วสอนทุกคนในบ้านใช้เพื่อประหยัดเวลาในการทำอาหาร หนิงกวานเห็นอุปกรณ์แปลก ๆ ที่ลูกสาวทำเขาก็สนใจ หนิงชิงจึงสอนพ่อนางทำด้วยเช่นกัน ทั้งสองพ่อลูกสนุกที่ได้ทำสิ่งของต่าง ๆ ออกมาใช้งาน จนหนิงชิงคุยกับพ่อของนางว่าหากมีเงินอีกก้อนนางอยากเปิดร้านของแปลกพวกนี้จริง ๆ เพียงแต่นางจะต้องทำสินค้าเอาไว้ขายให้ได้มาก ๆ เสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากของหมดก็ไม่มีของขายที่ร้าน หนิงกวานเห็นด้วยกับลูกสาว เขาอาสาช่วยทำงานด้วยเพราะชอบและช่วยเบาแรงลูกสาวสำหรับงานหนัก ๆ บางอย่าง สองคนพ่อลูกใช้เวลาว่างช่วงบ่ายของทุกวันสร้างสิ่งของแปลก ๆ ออกมาไม่น้อยในช่วงระยะเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ดีที่หนิงชิงทำที่
หลังได้ร้านแล้วสองพ่อลูกต่างช่วยกันตกแต่งร้านอย่างขยันขันแข็ง พวกเขาทำทั้งชั้นวางและบันไดเล็ก ๆ เอาไว้ให้คนที่ตัวเล็กได้ยืนดูของบนชั้นวางด้านบนได้สะดวก หนิงชิงยังทำโต๊ะ เก้าอี้เอาไว้เก็บเงินให้กับพ่อของนางด้วย นางชอบโต๊ะที่มีลิ้นชักจึงได้ทำเอง หนิงกวานเห็นว่าลูกสาวอยากทำเองเขาก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด ด้วยรู้ดีว่าฝีมือของลูกสาวดีกว่าเขาเสียอีก หากนางอยากทำสิ่งใดเขาก็จะปล่อยให้นางทำ หนิงชิงนำแผ่นไม้ที่มีในร้านเดิมมาต่อเป็นลิ้นชักให้กับท่านพ่อของนาง ส่วนเรื่องกุญแจโต๊ะ หนิงชิงคงต้องไปเดินดูวัสดุในเรือที่มีคนต่างชาติมาขายของก่อนกระมัง นางไม่คิดว่าตนเองจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ในเมื่อนางเก่งภาษามากตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว นางยังคิดว่าตนเองโชคดีที่บริษัทส่งไปเรียนภาษาหลายภาษาเพื่อติดต่อประสานงานกับบริษัทต่างชาติ หลังวางแผนแล้วหนิงชิงก็ทำโต๊ะเสร็จพอดี นางยังชวนพ่อของนางไปเดินดูร้านค้าของชาวต
หลังสอบถามเรื่องโรงตีเหล็กเรียบร้อยแล้ว หนิงชิงก็บอกกับเสี่ยวเจียงว่านางจะทำให้เขาเอาไว้สักกระบอกหนึ่ง แต่กระสุนจะได้เท่าไหร่นั้นต้องแล้วแต่ดินปืนว่าจะมีมากน้อยเพียงใด เสี่ยวเจียงจึงอาสาจะเป็นธุระจัดหาดินปืนให้กับหนิงชิงอีกแรงหนึ่ง ทำให้นางพอใจไม่น้อยที่พี่ชายเสี่ยวเจียงไม่คิดเอาเปรียบนาง เมื่อวางแผนการทำแล้วหนิงชิงก็ใส่กุญแจโต๊ะเสร็จพอดี นางบอกให้ท่านพ่อลองใช้ดูว่าโต๊ะนี้ล็อคใช้ได้ดีหรือไม่ เวลาไม่มีคนอยู่จะได้ล็อคสมุดบัญชีเอาไว้ได้ เพราะอย่างไรเสียเงินก็จะเอาไปเก็บไว้ที่ร้านอาหารอยู่แล้ว หนิงกวานทดลองใช้ลิ้นชักพบว่าสะดวกดีไม่มีปัญหา เขายังอยากได้ไปติดกล่องสมบัติอีก หนิงชิงเองก็กระซิบบอกท่านพ่อนางว่านางซื้อมาเผื่อแล้ว ทำให้หนิงกวานถอนหายใจอย่างโล่งอก ต่อไปเขาจะได้พกกุญแจแทนเพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินครอบครัวของเขา
ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวันหลังปิดร้านอาหารเช้าแล้ว ต้าเจียงพาเหล่าบ่าวแซ่เจิ้งมาทำความสะอาดและตกแต่งร้านให้เหมาะสมกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยห้องหอจะอยู่ที่สุดทางของห้องอื่น เพราะห้องของหนิงกุ้ยนั้นติดกับห้องของหนิงชิง พวกเขาจึงกลัวว่าเสียงดังจะทำให้หนิงชิงตกใจเอาได้จึงได้เปลี่ยนห้องให้หนิงกุ้ย กว่าที่ทุกคนจะตกแต่งร้านด้วยสิ่งของสีแดงเสร็จก็เกือบเย็นแล้ว หนิงชิงมองดูผ้าสีแดงด้วยความรู้สึกแปลก ๆ หากตอนนางแต่งงานก็คงจะต้องมีแต่ของสีแดงเช่นนี้หมดสินะ งานแต่งนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมาที่จะใส่ชุดอันใดก็ได้ รุ่งเช้าวันต่อมาร้านทั้งสามปิดทำการ ด้านหนิงกุ้ยเองถูกแม่ปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางด้วยซ้ำ ส่วนหนิงชิงนั้นปล่อยให้แม่ของนางกับแม่ของต้าเป่าช่วยกันจัดการหนิงกุ้ย เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวอย่างไร แต่งหน้าอย่างไรในยุคสมัยนี้
ฮุ่ยหลางได้รับจดหมายจากฮ่องเต้ในอีกห้าวันถัดมา เขารีบไปหาแม่สื่อเพื่อให้ไปคุยเรื่องงานแต่งงานของเขากับหนิงกุ้ยทันที โชคดีที่ฝ่าบาทอนุญาต แถมยังสั่งให้เขาอยู่คุ้มครองหนิงกุ้ยให้ดีด้วย ไม่จำเป็นต้องกลับเมืองหลวง เรื่องนี้ทำให้เขาดีใจมากที่จะได้อยู่กับภรรยาและดูแลนาง แม่สื่อได้รับค่าจ้างไม่น้อยจากฮุ่ยหลาง นางพาฮุ่ยหลางไปแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดตามธรรมเนียม รวมทั้งของหมั้นที่ฮุ่ยหลางแอบซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเป็นองครักษ์มาตั้งแต่เด็กทำให้มีเงินสะสมไม่น้อย จึงสามารถจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ พ่อแม่ของหนิงกุ้ยพอเห็นของหมั้นก็ได้แต่ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเขยแต่งเข้าของบ้านพวกเขาจะมีเงินมากมายขนาดนี้ เฉพาะตั๋วแลกเงินที่ให้มาก็เป็นพันตำลึงแล้ว ไหนจะผ้าไหมชั้นดีพร้อมเครื่องประดับอีกเล่า มูลค่าสิ่งของหมั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาส่งวันเดือนปีเกิดของหนิงกุ้ยให้กับแม่สื่อตามธรรมเนียมแล้วจ
หนิงชิงนั่งเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เจียงเฉิงรู้ นางไม่รู้ว่าที่เมืองหูกุ้ยมีพันธมิตรของตระกูลเจียงหรือไม่ นางอยากให้พวกเขาช่วยดูแลคนงานในร้านของนางด้วย เนื่องจากนางไม่รู้จักใครที่เมืองหูกุ้ยเลย หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนของนางนางคงรู้สึกผิดเป็นแน่ เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้วหนิงชิงก็รอทหารที่มักจะมาถามหาจดหมายจากนางในช่วงบ่ายของวันอยู่เป็นประจำ และไม่นานก็มีทหารมาจริง ๆ หนิงชิงจึงยื่นจดหมายให้กับเขา ตอนนี้ร้านข้าวเช้าปิดไปนานแล้ว หนิงชิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองใช้เวลาเขียนจดหมายนานมากถึงขนาดนี้ อาหารเที่ยงนางก็ลืมออกมากินเสียด้วยซ้ำ เป็นปกติที่แม่ของนางจะไม่มาเรียกเผื่อว่านางกำลังออกแบบงานอยู่จะเสียสมาธิได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันมานานหลายปีแล้ว ทหารที่มาส่งจดหมายและรับจดหมายเห็นหนิงชิงอยู่เสียที เขาส่งจดหมายที่แม่ทัพใหญ่เขียนมาให้นางก่อนที่จะรับจดหมายจากนางเพื่อนำไปส่งให้กับแม่ทัพใหญ่ที่เ
หลังจากหนิงชิงจากไปแล้ว ก้านลู่ก็ช่วยกันดูแลหน้าร้านเพราะคุณหนูใหญ่สั่งว่าสิ่งของพวกนี้เป็นตัวอย่าง หากลูกค้าอยากได้ก็ให้สั่งเอาไว้ก่อนพร้อมกับวางมัดจำแล้วค่อยสั่งให้คนงานสร้างออกมา นี่เป็นเทคนิคที่จะไม่ทำให้ทุนจมของหนิงชิง นางสร้างสิ่งของเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้สร้างออกมาจำนวนมากนอกจากจะมีคนมาสั่งซื้อ ที่เมืองสือมีคนซื้อมากก็เพราะนางทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน เรื่องประโยชน์ใช้สอยสิ่งของต่าง ๆ เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งก็อธิบายให้หูอ้าย หูกวนและก้านลู่ฟังแล้วก่อนที่จะนำออกมาหน้าร้าน พวกเขาจึงไม่กังวลว่าทั้งสามคนจะดูแลหน้าร้านไม่ได้ หากสงสัยสิ่งใดก็สามารถเข้าไปสอบถามพวกเขาให้มาสาธิตวิธีการใช้งานให้ได้เช่นกัน อย่างไรคุณหนูก็ฝากสาขานี้เอาไว้กับพวกเขา อย่างไรพวกเขาต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้านหนิงชิงกับต้าเจียงกว่าที่จะเดินทางถึงเมืองกังก็ใช้เวลาเก้าวันเช่นเคย พวกนางมาถึงเมืองกังก็เป็นช่วงบ่ายแล้วเช่นเดียวกับตอนไปที่เมืองหูกุ้ย นับว่าการเดินทางค
หลังจากกินอาหารและทาสใหม่เปลี่ยนชุดกันหมดแล้ว หนิงชิงก็เรียกพวกเขามาคุยกัน“ตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะซื่อสัตย์และตั้งใจทำงาน หากใครทำงานดีก็จะได้เงินดีด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นทาส แต่บ่าวทุกคนที่อยู่กับข้าก็ได้รับเงินเดือนไม่น้อยเลยสักคนเดียว หากไม่เชื่อพวกเจ้าค่อยลองสอบถามกับเจิ้งหงหรือเจิ้งหย่งก็ได้ ที่สาขานี้จะมีทั้งสองคนคอยดูแลงานแทนข้า ส่วนพ่อบ้านใหญ่อย่างต้าเจียงจะมาตรวจสอบบัญชีทุก ๆ หนึ่งเดือนและจ่ายค่าจ้างให้พวกเจ้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”“พวกเราเข้าใจขอรับ” คนทั้งแปดตอบเสียงดังฟังชัด พวกเขาไม่คิดว่าจะโชคดีได้รับใช้ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ ตั้งแต่เป็นทาสมาพวกเขาไม่เคยได้เงินเดือนเลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต ตอนนี้พวกเขามีนายที่ดี มีหรือที่จะคิดเป็นอื่น“พวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ทั้งห้าคนที่ทำงานไม้ต้องเรียนรู้และทำงานกับเจิ้งหย่
หลังอาหารเย็นไม่นานนัก ต้าเจียงก็กลับมาถึงร้านค้าพร้อมโฉนดที่ดิน นับว่าเจ้าหน้าที่ทำงานได้รวดเร็วจริง ๆ หนิงชิงให้ต้าเจียงกินข้าวเสียก่อนแล้วค่อยคุยกัน เขาจึงนั่งลงกินข้าวที่เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งเหลือเอาไว้ให้ไม่น้อย หนิงชิงคุยกับเจิ้งหงและเจิ้งหย่งเรื่องที่นางจะให้พวกเขาประจำการที่สาขานี้ นางไม่รู้ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่“ได้ขอรับคุณหนู พวกเราจะอยู่ดูแลคนงานที่สาขานี้ให้ขอรับ อย่างไรร้านที่เมืองกังก็มีงานไม่มากนัก พวกเราน่าจะช่วยทางนี้ได้มากกว่าขอรับ”“ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ช่วยกันทำงานและศึกษางานใหม่ ๆ กันมาตลอด ที่นี่ห่างไกลจากเมืองกังไม่น้อย หากต้าเจียงต้องมาตรวจงานก็คงต้องพึ่งพวกเจ้าให้ควบคุมคนงานใหม่ที่ข้าจะซื้อมาให้พวกเจ้าเสียก่อนล่ะนะ”“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราจะทำงานและดูแลร้านนี้ให้ดีอย่างแน่นอนขอรับ” หนิงชิงค่อยพรูลมหาย
บ่าวทั้งสามฟังที่หนิงชิงพูดแล้วก็ได้แต่นึกขอบคุณนางที่ทำทุกสิ่งเพื่อพวกเขา พวกเขายิ่งเคารพนางมากยิ่งขึ้น หากคุณหนูใหญ่ให้ทำสิ่งใด แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ขัดคำสั่ง กว่าที่หนิงชิงกับพวกจะเดินทางถึงมณฑลหูกุ้ยก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่เก้าในการเดินทางแล้ว เนื่องจากระยะทางไกลไม่น้อย รวมทั้งพวกเขาไม่รู้ทางไปที่เมืองหูกุ้ยจึงได้สอบถามคนมาตลอดทางกระทั่งมาถึงได้เสียที ต้าเจียงขับรถม้าพาทุกคนเข้าไปในเมืองอย่างช้า ๆ หนิงชิงสั่งให้ต้าเจียงไปที่ที่ว่าการมณฑลเลยเพื่อหาร้านทันที คืนนี้พวกนางจะได้หาที่พักก่อนหากยังซื้อขายไม่ได้ ต้าเจียงสอบถามคนไปจนถึงที่ว่าการ เขาลงจากรถม้าเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ซื้อขายร้านค้าภายในเมือง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ออกมาคุยกับเขา“คารวะท่านเจ้าหน้าที่ขอรับ ข้าเป็นพ่อบ้านตระกูลหนิง มาติดต่อขอซื้อร้านว่างที่เมืองนี
เมื่อตกลงเรื่องการเดินทางกับพ่อแม่ได้แล้ว หนิงชิงก็ขอบคุณพี่ชายเสี่ยวเจียงที่มาเป็นธุระให้นางอีกครั้ง พวกเขาแยกกันหลังจากทานอาหารเสร็จต่างคนต่างไปพักผ่อน ส่วนหนิงชิงยังต้องจัดเตรียมของสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้ นางจะต้องเอาเงินไปเพิ่มสักสองหมื่นตำลึง เพราะไปเมืองสือครั้งนี้นางหมดเงินไปหลายพันตำลึง จึงต้องหาเงินไปเผื่อเอาไว้สำหรับการจัดตั้งร้านสาขาใหม่ของนาง หนิงชิงนึกถึงพวกพี่ชายเจิ้ง นางจะให้พี่ชายเจิ้งหงกับพี่ชายเจิ้งหย่งไปด้วยในคราวเดียว รอพรุ่งนี้ออกเดินทางสายหน่อยก็คงไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ต้องกินข้าวเช้าก่อนอยู่ดี รุ่งเช้าวันต่อมาหนิงชิงมองหนิงกุ้ยกับชายร่างใหญ่ที่ช่วยกันทำอาหารอย่างแปลกใจ เอาไว้นางกลับมาค่อยสอบถามน้องสาวก็ยังไม่สาย หนิงชิงสั่งต้าเจียงให้พาเจิ้งหงกับเจิ้งหย่งไปด้วยเลย ให้พวกเขาเก็บเสื้อผ้าหลังอาหารเช้าให้เรียบร้อยเพื่อไปประจำที่สาขาใหม่เหมือนตอนที่พวกเขาไปสอนคนที่เมืองสือ ต้าเจียงรับคำสั่งคุณหนูใหญ่
รุ่งเช้าหลังอาหารวันต่อมา หนิงชิง หนิงกวานและเสี่ยวชุ่ยไปส่งหนิงหยางที่โรงเรียนใหม่ของเขา พวกนางซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้กับหนิงหยางอีกนับสิบตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะหนึ่งปีนี้เขาจะได้ตั้งใจทบทวนตำรา ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรืออาหารการกินใด ๆ หนิงชิงยังให้เงินเขาเอาไว้อีกห้าร้อยตำลึงนอกจากเงินสามสิบตำลึงที่เขาจะจ่ายให้กับโรงเรียน นางเห็นว่าน้องชายโตแล้วสามารถพิจารณาได้เองว่าสิ่งใดจำเป็นต้องซื้อ หากเป็นครอบครัวทั่วไปเงินห้าร้อยตำลึงสามารถอยู่ได้ไปจนตลอดชีวิต แต่หนิงชิงนึกถึงราคาหนังสือของหนิงหยางที่เจียงเฉิงเคยพานางไปซื้อ นางจึงให้เงินเผื่อเอาไว้กับน้องชายและสั่งว่าถ้าเงินหมดให้ไปรับที่ร้านแล้วส่งจดหมายมาบอกนาง นางจะชดเชยเงินให้ทางร้านเอง หนิงหยางรับฟังพี่สาวเขา เขาไม่เคยจากครอบครัวไปไหนจึงได้แต่น้ำตารื้น ถึงจะบอกว่าเขาโตแล้วก็เถอะ แต่เขาเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านอยู่ดี เขาจึงรู้สึกโหวงเหวงไม่น้อยที่จะต้องจากกับครอบครัว หนิงชิง