หลังจากที่โจวจื่อเว่ยเดินทางออกจากเมืองจิน อวิ๋นมู่หลันก็ใจคอไม่ดีสักเท่าใด นางไม่ได้กลัวเพียงแต่เหม่อลอยในบางครั้ง ด้วยได้ข่าวว่ามีชาวบ้านต่างพื้นที่อพยพมาอยู่นอกประตูเมืองมากกว่าเดิมหลายหมื่นคน “แม่นางหลัน ถึงแจกข้าวปลาอาหารแห้งที่เรามีที่ในเรือนก็ช่วยพวกเขาทั้งหมดไม่ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ทางการเถิด นอกจากนั้นยังมีโจรลักเล็กขโมยน้อยออกอาละวาด พวกมันปลอมตัวเป็นขอทานบ้าง คนป่วยบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นผิดปกตินัก เกรงว่าคงเป็นแผนภายในมากกว่าศัตรูต่างแคว้นอย่างแน่นอน” “หัวหน้าตงหมายความเช่นไร” อวิ๋นมู่หลันฟังหลิวตงกล่าวนางก็ครั่นคร้ามใจ “รัชทายาทต้องการให้เกิดจลาจล เขาจะได้ป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ เพื่อนำกำลังทหารหลวงปราบกบฏ รวมถึงโจรร้ายที่ก่อความวุ่นวายในต้าเหอตอนนี้” “สิ่งที่เจ้ากล่าวช่างน่ากลัว แต่จะให้ข้านิ่งเฉยมันถูกต้องแล้วหรือ” “แม่นางหลัน อย่างที่ท่านแม่ทัพเคยบอกไว้ หากเปิดเผยฐานะท่านให้ผู้อื่นรู้ เกรงว่าอาจตกเป็นเป้าให้คนไม่หวังดีทำร้าย และนั่นย่อมส่งผลเสียมากกว่าดี” หลิวตงเอ่ยเช่นนั้นอวิ๋นมู่หลันจึงแจ้งใจ
กวนฮูหยิน อวิ๋นมู่หลันหายใจไม่สะดวกนัก นางพยายามควบคุมสติ แต่มือสังหารที่ดักซุ้มอยู่มีหลายร้อยชีวิต “แม่นางหลัน เพื่อความปลอดภัยของท่านข้ายอมเอาชีวิตเข้าแลก ตอนนี้ส่งนกพิราบไปแล้ว ไม่นานคงมีกองกำลังมาเสริมและช่วยเหลือเราเป็นแน่” “หัวหน้าตง รักษาชีวิตไว้ก่อน คนพวกนั้นต้องการเพียงแค่ตัวข้า คงไม่คิดร้ายจนต้องเสียเลือดเนื้อ!” หลิวตงแม้อายุยังน้อยแต่หาใช่คนขี้ขลาด อีกทั้งวรยุทธ์ได้รับการฝึกฝนอย่างดี นอกจากทางด้านทหารเขายังใช้อาวุธลับได้อย่างแม่นยำ หัวหน้าหน่วยลับร่างสูงเพรียวกระโดดขึ้นสูงเหนือยอดต้นไม้ เขาสังเกตการณ์กองกำลังอีกฝ่าย ยามนั้นเห็นว่ามีคนที่หมายเข้ามาชิงตัว อวิ๋นมู่หลัน ฝีมือพวกมันนับว่าไม่ต่ำทราม แน่นอนไม่ใช่แค่มือสังหาร แต่เป็นองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งมาจากผู้มีอำนาจ เมื่อหลิวตงกลับมายังรถม้า เขาเอ่ยเสียงเครียดว่า “ข้ากับสาวใช้เหล่านี้ จะให้พวกนางปลอมตัวเป็นแม่นางหลัน ส่วนท่านไปกับพ่อบ้านหมิงและหมอตำแย” “อันตรายโดยแท้ หากถึงที่สุดให้พวกเขาพาตัวข้าไปเถิดหัวหน้าตง ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดสละเลือดเนื้อเพื
การต่อสู้ดุเดือดจนน่าประหวั่นใจ อวิ๋นมู่หลันนั่งอยู่ในรถม้าเพียงคนเดียว ส่วนด้านนอกทั้งสาวใช้ คนติดตาม แม้กระทั่งหมอตำแย ล้วนรับมือหน่วยสังหารพิเศษที่โพกผ้าสีแดงเลือดหมูคลุมหน้าตนเอง เสียงไป๋อิงดังกึกก้อง มันเห่าสลับขู่คำราม และลูก ๆ ของมันอีกสามตัวก็กระทำเลียนแบบด้วยความกล้าหาญ อวิ๋นมู่หลันห่วงทุกคนจับใจ แต่นางไม่อาจคิดอย่างคนโง่เขลา การออกไปให้ผู้อื่นพบตนอาจเป็นภาระและสร้างอันตราย กระทั่งหมอตำแยกลับเข้ามาในรถม้าอีกครั้ง และบอกว่า “ฮูหยิน ไปกับข้า เราต้องใช้รถม้าล่อพวกมัน” หมอตำแยว่าจบก็จับมืออวิ๋นมู่หลันพานางลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง เวลานั้นแสงอาทิตย์เจียนลับขอบฟ้า นับว่าช่วยอำพรางสายตาผู้อื่นได้ดี เมื่อลงจากรถม้า อวิ๋นมู่หลันเห็นลูกสุนัขทั้งสามตัวอยู่ข้าง ๆ ไป๋อิง ยามนี้พวกมันไม่ใช่ลูกสุนัขดั่งที่นางคิดแล้ว ด้วยต่างช่วยกันไล่กัดพวกมือสังหารที่หมายจะเข้ามาถึงตัวอวิ๋นมู่หลัน “หนานหนาน ฮวน... และเหลียวหง จะปลอดภัยหรือไม่” ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่เหลียวหง มันเป็นสุนัขสีแดงเพลิงตัวโต กว่าพี่น้อง ยามนี้แสยะเขี้ยวยาวพร้อมไล่กัดคนร้ายอย่างด
บ้านบรรพบุรุษของสกุลกวนอยู่บนพื้นที่สูงและอากาศดี เงียบสงบ อวิ๋นมู่หลันที่ห่วงหลายอย่างโล่งใจ เมื่อนางเห็นหลิวตงปลอดภัย ส่วนไป๋อิงกับลูกของมันอีกสามตัวได้แผลเล็กน้อยและฝ่ายที่คิดจับตัวนางนั้น สืบทราบได้ความว่าเป็นคนของเหนี่ยวซีกังซึ่งร่วมมือกับเจียงเฟย สองคนนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร เรื่องนี้สร้างความกังขายิ่งนัก ด้วยเจียงเฟยถือเนื้อถือตัวมาตลอด แต่นางกลับลดตัวมาสุงสิงกับเหนี่ยวซีกัง หรืออาจเป็นไปได้ว่านางเลือกทางให้ตนเองแล้ว ด้วยรู้ว่าหากต้องการหลุดจากเงื้อมมือของรัชทายาทก็คือต้องเข้าหาผู้ที่ชั่วร้ายกว่า และกล้าทำเรื่องซึ่งผู้อื่นไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่ง “จับตัวไว้ได้ราว ๆ ห้าสิบคน และข้าสั่งให้คุมตัวไปยังค่ายหหารเพื่อรอรับโทษ ส่วนใต้เท้าเหนี่ยวหนีไปได้ แต่ฮูหยินอย่าได้กังวล ขณะที่ข้าตามจับตัวเขา มีกองกำลังนุ่งชุดหนังสัตว์โผล่มา และประกาศก้องว่าต้องการตัวเขา หากใครคิดแย่งชิงย่อมเป็นศัตรูฝ่ายนั้น” “หัวหน้าตงรู้หรือไม่พวกเขาเป็นใคร” แต่เดิมหลิวตงไม่อยากบอกนาง ทว่าเป็นปรมาจารย์จางที่กล่าวขึ้นเสียเอง “เขาคือชาวหนานหยาง เป็นคนที่ข้าไม่คิดอยากจะรับเป็
ด่านเคราะห์ กวนเฉินหลางได้รับของฝากจากอวิ๋นมู่หลันพร้อมจดหมายที่เขียนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ยามห่างกัน เขาอ่านไปหลายรอบ และโหยหารอยยิ้มกับเสียงหวาน ๆ ของนาง ‘ลูกของเสี่ยวเฮยแข็งแรงทุกตัว ข้าตั้งชื่อให้พวกมันทั้งหมด และมีอยู่สามตัวที่ข้าไม่คิดยกให้ใคร ยามนี้ท้องข้าโตจนหายใจอึดอัด ทั้งหมอตำแย รวมถึงผู้อื่นบอกว่าท่านพี่คงได้ลูกสาวที่งดงามและแข็งแรงเหนือบุรุษ แต่ข้ากลับคิดว่าเขาเป็นลูกชายมากกว่า’ ชายหนุ่มนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่กับอวิ๋นมู่หลัน และนั่นทำให้เขารู้ว่ามีคนคอยอยู่ ยามนี้กวนเฉินหลางมีครอบครัวแล้ว ซึ่งเขาจะต้องดูแลทุกชีวิต รวมถึงแผ่นดินต้าเหอและพี่น้องทุกคนในกองทัพอินทรีทองคำ “พี่กวน ค่ายกลชาวหมิน ไม่ได้ซับซ้อนเช่นหนานหยาง อันที่จริงเราจะทำลายก็ได้ แต่การที่พี่หยั่งเชิงเช่นนี้ เพราะรอให้ผู้ร้ายตัวจริงแสดงตัวใช่หรือไม่” โจวจื่อเว่ยถามเช่นนั้น เขาคะเนสิ่งที่กวนเฉินหลางตั้งใจเอาไว้ได้ “อีกไม่กี่วัน คนร้ายจะปรากฏให้เราเห็น ส่วนการช่วยองค์ชายแปด อาจไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่ข้าคิด คงต้องเสี่ยงภัยสักหน่อย เจ้าเองก็เชี่ยวชาญเรื่องแผนที่และการแปลงโ
อวิ๋นมู่หลันปวดท้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง กระทั่งฟ้ามืดลงในเย็นวันเดียวกันยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น “เด็กตัวโตเกินไป!” หมอตำแยเอ่ยเช่นนั้น แต่ปรมาจารย์จางที่อยู่ด้านนอกมีความสงสัยทั้งห่วงลูกศิษย์ ถึงไม่เคยทำคลอดสตรี ทว่าพบเห็นเรื่องราวต่าง ๆ มามิน้อย ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องจับชีพจร การฝังเข็ม ดูโหงวเฮ้ง จนสามารถคาดเดาเพศเด็กในท้องมารดาได้ “ขอข้าตรวจชีพจรนาง อาจมีสิ่งที่พวกเรามองข้าม” ชายสูงวัยเอ่ยจบจึงก้าวไปยังห้องทำคลอด ซึ่งมีฉากกั้นไว้ นางยื่นมือผ่านฉากผ้าบาง ๆ ปรมาจารย์จางจับชีพจรในอึดใจต่อมา แล้วเอ่ยถาม “เจ้าหายใจลำบากหรือไม่ ยามเด็กในท้องดิ้น รู้สึกเช่นไร” อวิ๋นมู่หลันคิดตาม นางทบทวนถึงช่วงเวลายามเด็กในท้องดิ้น และไป๋อิงกับลูก ๆ ของมันมักมาดม หรือส่งเสียงหงิง ๆ พร้อมคลอเคลียคล้ายให้กำลังใจ “ศิษย์มักเหนื่อยง่าย มีครั้งหนึ่งหลังจากเด็กในท้องดิ้นจนหายใจไม่สะดวก หมอตำแยช่วยจับชีพจร นางบอกว่ามันไม่คงที่” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ อวิ๋นมู่หลันก็นึกไปถึงช่วงก่อนเดินทางมาถึงบ้านบรรพบุรุษ “จำได้ว่า ลูกดิ้นฝั่งด้านซ้ายไ
ผู้ที่ทำเรื่องชั่วช้า คงมีแต่ชาวหนานหยาง” หลิวอู้กล่าว แต่โจวจื่อเว่ยไม่เห็นด้วย เขาเอ่ยว่า “เจ้าคิดตื้นเขินเกินไป ระหว่างที่ข้าปะปนอยู่กับทหารรับจ้างของ หมิน เชื่อหรือไม่ว่าไม่พบชาวหนานหยางแม้แต่คนเดียว ที่สำคัญทหารที่คุมคนพวกนั้นนิยมกินเต้าหู้ใส่น้ำมันพริก และราดด้วยน้ำราดเข้มข้นที่ใช้น้ำหมึกดำในตัวปลาหมึกมาผสม มันมีรสเค็มจากเกลือ และอมหวานจากการหมักผลไม้กับข้าวเหนียว ทั้งเผ็ดที่ปลายลิ้นด้วยพริกไทยดำ” “พวกที่นิยมกินอาหารเช่นนี้เห็นจะมีแต่ทหารเมืองหลวงกับชาวต้าเหอแถบบรูพา” หลิวอู้เอ่ยและคิดตาม คนพวกนั้นล้วนอยู่ในความดูแลของสกุลเหนี่ยว หรือเป็นได้ว่ามีผู้แอบอ้างใช้ชื่อของแคว้น หมินและหนานหยางทำเรื่องชั่วช้า! “รู้เช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าพวกที่ทำค่ายกลเป็นชาวหนานหยางหรือไม่” “ข้าคิดน้อยเกินไปใต้เท้าโจว เช่นนี้สมควรมีความผิด” โจวจื่อเว่ยโบกมือไม่ใส่ใจ ยามนี้ทุกคนควรร่วมมือกันมากกว่าหาเรื่องจับผิด จากนั้นเสี่ยวเฮยก็แยกเขี้ยวขาว ๆ ก่อนที่จะเห่าเสียงดังกรรโชก เนื่องจากหูมันได้ยินการเคลื่อนไหว “ข้าจะปล่อยเสี่ยวเฮยเข้าไป
ความโกลาหลเกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่ออวิ๋นมู่หลันกำลังจะคลอดจริง ๆ นางพยายามอดกลั้นแล้ว แต่เสียงยังร้องดังจนคนที่อยู่ด้านนอกไม่อาจทนไหว “ต่อไปข้าจะไม่ให้นางตั้งครรภ์อีก” ปรมาจารย์จางว่า และหลิวตงที่ไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงกับผู้รอบรู้ กระนั้นเขาก็ไม่อาจสงบปากสงบคำได้ “ท่านหมายความเช่นไร ฮูหยินกับท่านแม่ทัพรักใคร่กัน ใช่เรื่องที่ท่านจะมาห้ามปรามหรือ อีกอย่างกว่าจะตั้งครรภ์นี้ แม่ทัพกวนต้องใช้ความพยายามทุ่มเททั้งกายใจ เสียเหงื่อมิน้อย ก่อนหน้านั้นก็ถูกพิษจินฉานเล่นงาน ผมขาวทั้งศีรษะ ร่างกายก็มีไอเย็น ดวงตาข้างหนึ่งบางครายังกลายเป็นสีดำทั้งหน่วย” “เฮอะ แม่ทัพของเจ้าไร้น้ำยาที่ดี มิเช่นนั้นศิษย์รักของข้าจะต้องทรมานเช่นนี้หรือ หลายชั่วยามแล้วที่นางเจ็บครรภ์ อย่างไรข้าจะปรุงน้ำแกงสลายความต้องการของบุรุษให้กวนเฉินหลางดื่ม” ชายสูงวัยกล่าวเช่นนั้นหลิวตงจึงฮึดฮัดหนัก เขาทั้งรักเคารพกวนเฉินหลาง ส่วนผู้อื่นมาอาศัยเรือนสกุลกวนอยู่โดยแท้ ยังกล้าวางมาดใหญ่โต พ่อบ้านหมิงที่อยู่ตรงหน้าเห็นท่าแล้วว่าสถานการณ์จะบานปลายจึงเอ่ยว่า “ท่านทั้งสองต่างห่วงใยคนที่รัก ฉะนั้น
อวิ๋นมู่หลันนึกเสียดายเหลือเกิน ในขณะกวนเฉินหลางถูกเมิ่งถูจับตัวไว้หลังจากเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากปูม่วงก้ามหนาม เขาควรได้ รับการลงโทษให้หนักกว่านี้ และจะดีมากหากฝ่ายนั้นสามารถทำให้บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของนางตายด้าน ไม่ต้องมีพละกำลังล้นเหลือยามขึ้นเตียง “อา... ฮูหยิน ห่างกันหนึ่งปีเต็ม เหมือนข้าได้พบดรุณีน้อย แสนบริสุทธิ์ เจ้างามหมดจดทุกส่วน ผิวเนียนนุ่ม จุดหวานล้ำก็เป็นสีชมพู!” คำชื่นชมเขาแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย และอวิ๋นมู่หลันขัดเขินจนหน้าแดงระเรื่อ มือไม้นางอ่อนไปหมด และสามีนางเป็นแมวหรอกหรือ ไฉนเดี๋ยวใช้ลิ้นสาก ๆ โลมเลียกลีบฉ่ำหวาน สลับการส่งแรงดูดล้ำลึก จนนางดิ้นพล่านอย่างเผลอไผล ลิ้นของเขาช่ำชอง และดูเหมือนคลั่งรักนางหนักจนชวนให้ตื่นตระหนก! ส่วนมือใหญ่ ๆ นั้นนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวยที่เด้งไหวรองรับสัมผัสที่ซ่านสยิว กวนเฉินหลางมีนิ้วมือยอดเยี่ยม ทั้งยังลงแรงสม่ำเสมอพลอยให้นางซ่านใจจนความหวานในแอ่งเนื้อนิ่มซึมเอ่อไม่หยุด “ฮูหยิน ไม่อยากลองกระทำสิ่งแปลกใหม่บางหรือ ขี่ม้าก็แล้ว ท่าสุนัขหรือให้ข้าอุ้มเจ้าก็ทำได้ยอดเยี่ยม เราจะได้ปลดปล่
อวิ๋นมู่หลันมองคนตัวโตในชุดเกราะ และมือหนึ่งนั้นอุ้มอี้เหยาเอาไว้ ท่าทางเขาเก้ ๆ กัง ๆ คงเพราะไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน แต่แสดงให้เห็นว่าเอ็นดูและห่วงใยลูกชายคนเล็กของนางเพียงใด ฝ่ายอี้เหยาก็ช่างรู้ความ ปกติไม่ใช่คนมักคุ้นคนแปลกหน้า แต่เด็กน้อยในยามนี้อมยิ้มอยู่น้อย ๆ ดวงตามีประกายแจ่มใส คอยมองบิดาราวกับนิยมในความสง่างามและกล้าหาญ ทั้งที่ร่างกายกวนเฉินหลางแผ่ไอเย็นออกมา ผู้ใดเห็นแล้วไฉนจะไม่ครั่นคร้าม “ท่านพี่... เหยาเอ๋อร์ คงเพลียแล้ว ส่งมาให้ข้าเถิด” นางเอ่ยพร้อมพยายามจับตัวลูกชายอีกคนให้ออกมาพบผู้เป็นบิดา แต่อี้หยางเข้าไปหลบอยู่ในกระโปรงนาง พอจะจับตัวเขาก็ร้องโวยวายสลับการข่มขู่ นิสัยเช่นนี้นาน ๆ จะเกิดขึ้น “มะ… ไม่! ขะ… ไม่ไป!” “โอ้ ฮูหยิน เด็กอีกคนนั้น เจ้ายังไม่ได้คลอดเขาออกมาหรอกหรือ” กวนเฉินหลางถามแล้วจึงหัวเราะร่วน ลูกชายคนโตของเขาดูเหมือนไม่อยากพบหน้าคนเป็นบิดา ช่างพิลึกดีแท้ “ปกติก็ร่าเริง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หยางเอ๋อร์ถึงหลบหน้าท่านพี่เช่นนี้” กวนเฉินหลางมองภาพตรงหน้าและชอบใจ เขามีบุตรชายสองคน ต่อไปนี้คงมีหล
“มู่หลัน เจ้าไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับการทำศึก กระนั้นเจ้าก็นับว่าเป็นท่านหญิง มีสายเลือดทั้งสองแคว้น หากช่วยปราบคนชั่วได้ นับว่าประเสริฐแล้ว” “เช่นนั้น อาจารย์จะให้ข้าเรียกพวกเขามาช่วยในเรื่องนี้” นางหมายถึงกองกำลังที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ “ไม่ใช่เจ้า หากเป็นเขา องค์ชายแห่งหนานหยาง” อวิ๋นมู่หลันได้ยินชื่อนั้นนางจึงแจ้งใจว่าเมิ่งถูยังไม่ตาย และนี่คงเป็นโอกาสที่นางจะได้ตอบแทนเขา แม้มิใช่กระทำด้วยตนเอง แต่นางรู้ว่าเมิ่งถูย่อมเข้าใจ “จะไม่มีการนองเลือดใช่หรือไม่ท่านอาจารย์” “แค่ตีสุนัขให้ขาหักและเนรเทศไปให้ไกลเท่านั้น สามีเจ้ากับองค์ชายหนานหยางทำข้อตกลงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งมันสำคัญยิ่งนัก” “สวรรค์นับว่าเมตา เมิ่งถูยังมีชีวิตรอด!” “ศิษย์รัก ให้ดีเจ้าควรเรียกเขาว่าจูเจียนไต้ซือ!” กวนเฉินหลางเผชิญหน้าอยู่กับทหารของเหนี่ยวซีกัง ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง เขาเห็นว่าทหารและมือสังหารของเหนี่ยวซีงกัง ตึงกำลังรอบ ๆ ศาลเจ้าถัวซาน ประเมินแล้วคงมีจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบหมื่นนาย และยังมีอยู่ด้านนอกอีกจำนวนมิน้อย และส่วนที่มากสุดในยามนี้
บทส่งท้าย เหนี่ยวซีกังประกาศกร้าวออกไปก่อนที่ร่างเขาจะโงนเงนไปมา “พวกเจ้าบังอาจใช้พิษกับข้า ช่างไร้ยางอาย” เขาเอ่ยจบจึงสัมผัสหน้าอกข้างซ้ายตน รู้สึกถึงความบีบรัดจนแน่นไปหมด เขาจึงรีบสกัดจุดเพื่อไม่ให้ตนต้องสิ้นใจตายก่อนที่จะพบชัยชนะ จากนั้นเขาก็กระอักเลือดกองโต เมื่อพอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นอาชาตัวโตสีขาว ผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนด้วยความองอาจคือชายในชุดเกราะน่าเกรงขาม คนผู้นั้นจะเป็นใครได้หากไม่ใช่กวนเฉินหลาง! เหนี่ยวซีกังคลั่งจัด ก่อนหน้านั้นเขาได้ข่าวว่าอีกฝ่ายหายสาบสูญ หลังจากเข้าไปช่วยหรงอู่เยว่ออกจากถ้ำใต้บาดาล ถึงเรื่องนี้ไม่ได้แพร่งพรายให้คนนอกล่วงรู้ ทว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บุรุษผมขาวผู้เป็นแม่ทัพหน่วยอินทรีทองคำก็ไม่เคยเปิดเผยตัว แล้วเหตุใดยามนี้ถึงกล้าบุกเดี่ยวเข้ามาที่ศาลเจ้าถัวซาน หรือทั้งหมดเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ บัดซบ คนสกุลกวนใช้แผนล่อลวงอย่างไร้เกียรติเช่นนี้ด้วยหรือ! “ฮ่า ๆ ๆ แต่แรกที่ได้ยินว่า มีรูปวาดท่านแม่ทัพและหุ่นไม้แกะสลักเพื่อนำมาบูชา ทั้งตุ๊กตาดินเผา ข้าก็นึกชมชอบมิน้อย ที่ท่านตายไปยังมีคนสรรเสริญอยู
เมื่ออวิ๋นมู่หลันคลายความกังวลเรื่องอี้เหยาลง นางกับทุกคนจึงเข้าไปอยู่รวมกันในเรือนรับรองของศาลเจ้า ซึ่งมีขนาดใหญ่ และประตูด้าน หน้าทำขึ้นจากเหล็กแข็งแรง และยามนี้ทุกคนมิได้ทำตัวเฉกเช่นการถูกจับเป็นตัวประกัน แม้ตอนนี้จะมีกำลังทหารประชิดพื้นที่โดยรอบ พร้อมเสียงที่ตะโกนอยู่ด้านนอก “น้องหลันอย่าวิตกอันใด” โจวจื่อเว่ยเป็นคนพูด แต่หน้าเขากลับซีดเผือดมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก “ใต้เท้าโจว นั่งลงบ้างเถิด ท่านเดินรอบศาลเจ้าเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว!” อวิ๋นมู่หลันกลับรู้สึกเป็นห่วงเขาเสียเอง โจวจื่อเว่ยไม่ยอมนั่ง เขายังกังวลใจอยู่มิน้อย เสียงด้านนอกดังต่อเนื่อง อีกทั้งหลิวอู้บอกว่าทหารและมือสังหารของเหนี่ยวซีกังที่ล้อมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้มีนับสองหมื่นนาย ส่วนทหารของเขาที่เดินทางมายังศาลเจ้าถัวซานมีเพียงสามพันนาย และบางส่วนยังรออยู่ด้านนอกศาลเจ้าถัวซาน “น้องหลัน เจ้าจะให้พี่นั่งได้อย่างไร ถึงรู้ว่าปลอดภัย แต่เรื่องนี้เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก เรามีโอกาสชนะไม่มาก” โจวจื่อเว่ยเอ่ยจบก็ถอนหายใจติด ๆ กัน “แต่เป็นใต้เท้าโจวที่บอกให้ข
เทพสงครามเคลื่อนขุนเขาแยกน้ำทะเล ประตูด้านหน้าของศาลเจ้าเปิดต้อนรับขบวนองค์ชายแปด อวิ๋นมู่หลันแปลกใจยิ่งนัก คราแรกนางคาดหวังจะเห็นกองกำลังนับสิบพันชีวิต ทว่าภาพตรงหน้านี้กลับเหนือความคาดหมาย! กระนั้นอวิ๋นมู่หลันที่ร้อนใจเรื่องอี้เหยาถูกลักพาตัวไปนั้นก็คลายความกังวลลงหลายส่วนเมื่อโจวจื่อเว่ยปรากฏตัว และนอกจากเขายังมีองค์ชายแปดที่มาพร้อมเสี่ยวเฮย ยามนั้นน้ำตานางเอ่อคลอหน่วย หัวใจคล้ายได้รับการเยียวยา เสี่ยวเฮยโตเต็มวัย มันเป็นหนุ่มเต็มตัวทั้งยังมีเกราะอ่อนสวมทับไว้ ความซุกซนหายไป ทว่าเมื่อเจอนางมันก็พุ่งเข้ามาหา แสดงความดีใจจนนางหวิดจะเสียน้ำตาอีกหน ยามนี้พวงหางใหญ่ ๆ ส่ายไหว พร้อมส่งเสียงเห่าทักทาย “เป็นเจ้าสินะ ที่เลี้ยงองครักษ์ตัวนี้ให้ข้าเป็นอย่างดี” หรงอู่เยว่เอ่ย และเขาเป็นบุรุษที่เปี่ยมด้วยเมตตา ใบหน้าก็อ่อนเยาว์มาก อวิ๋นมู่หลันหันไปมองโจวจื่อเว่ยเพื่อให้เขาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้นางฟัง “หลันเอ๋อร์ ยามนี้เสี่ยวเฮยคือองครักษ์ประจำตัวองค์ชายแปด รับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่!” ได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นมู่หลันทั้งดีใจและประหวั่นใจมิ
เจ้าจะตายด้วยน้ำมือผู้อื่นมิได้ อวิ๋นมู่หลันรับรูปวาดจากหมิงซีมาดู นางฉงนใจ แล้วตามด้วยความรู้สึกตื้นตัน ซึ่งต้องกลั้นก้อนสะอื้นอย่างลำบาก “ปีศาจกวน...” “เอ่อ ผู้คนต่างเรียกท่านแม่ทัพว่า เทพเจ้าแห่งสงครามขอรับฮูหยิน” หลิวตงแก้ไขให้ถูกต้องและเขายิ้มดีใจ ส่วนคนติดตามอวิ๋นมู่หลันรวมถึงคนงานในศาลเจ้าต่างส่งเสียงโห่ร้องเมื่อเห็นว่าที่ถนนมีขบวนของทหารอันเป็นกองทัพอินทรีทองคำกำลังทยอยเดินเข้ามาในประตูศาลเจ้าถัวซาน ซึ่งตั้งสูงตระหง่านราวกับภูเขาขนาดย่อมล้อมศาลเจ้าแห่งนี้เอาไว้ และจำนวนทหารเหล่านั้นมีกำลังราว ๆ สามพันนาย ซึ่งนับว่าน้อยอยู่มาก “แม่ทัพกวนเดินทางมาด้วยหรือไม่” อวิ๋นมู่หลันถาม และมือนางสั่น หัวใจเต้นแรง แต่นางตั้งใจมาที่นี่เพื่อไหว้ขอพรให้กวนเฉินหลางรวมถึงบิดากับพี่ชาย โดยไม่คาดคิดว่าจะได้พบผู้เป็นสามี! “ข้ากำลังให้คนไปสืบข่าว ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจ อย่างไรหากท่านแม่ทัพเดินทางมาด้วย ต้องได้พบกันแน่!” ได้ยินหลิวตงเอ่ย นางจึงหันไปมองเบื้องหน้า ยามนั้นพยายามเหลือเกินที่จะมองหาบุรุษร่างสูงใหญ่อันเป็นที่รักของตน
สับเปลี่ยนคุณชาย ด้านล่างของศาลเจ้าแห่งนั้นเป็นลานโล่ง ปลูกดอกไม้ต้นไม้ประดับหนาตา ทั้งยังมีสวนหิน รูปแกะสลัก บ่อปลาสวยงาม ด้านบนเป็นพื้นที่หวงห้าม คือศาลบรรพชนของการรวมแผ่นดินหลายแคว้นเข้าด้วยกันในอดีต และต้องขึ้นบันไดเกือบสองพันขั้น อีกทั้งไม่อนุญาตให้คนทั่วไปล่วงล้ำ เพราะเป็นที่สำหรับการปฏิบัติธรรม ดังนั้นบริเวณลานกว้างด้านล่างจึงมีหอพระ ศาลเจ้าประจำเดือนเกิด สิบสองหลัง ทั้งรูปปั้นเทพเซียนให้คนได้ขอพรหลายองค์ ทว่าวันนี้มีหลายสิ่งผิดปกติ เทศกาลไหว้เทพเจ้าแห่งเขาถัวซานซึ่งทุกปีคึกคัก ยามนี้กลับนับจำนวนคนมากราบไหว้ได้ ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยมีการแจ้งข่าวให้ชาวบ้านรู้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้ตกอยู่ในการควบคุมของกบฏที่คิดปองร้ายต่อองค์ชายแปด คนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงถูกเจ้าหน้าที่กันตัวไว้ด้านนอกประตูศาลเจ้าเพื่อไม่ให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ สตรีนางหนึ่งก้าวมาจากหลังโรงครัว ขาข้างซ้ายนางเดินเหินไม่สะดวกด้วยถูกคนใจร้ายทุบตี บางครั้งปวดจนต้องหวีดร้องด้วยความทรมาน ทว่าสวรรค์ยังเมตตาให้ได้รับการรักษาจากยาของนักพรตพอที่ จะช่วยให้คลายเจ็บปวด เขาถัวซานเป็นสถานที่ซึ่งมีการ
หนึ่งปีกว่าผ่านไป อวิ๋นมู่หลันสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย และอี้หยางกับอี้เหยาร้องไห้โยเยหนัก แม่นมกับหมอตำแยต่างดูแลจนเหนื่อยอ่อน และเด็กน้อยดื่มนมแล้ว หากแต่ดูเหมือนไม่ใช่เพราะหิว แต่อาจมีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาใจเสีย กระทั่งอวิ๋นมู่หลันสลับอุ้มลูกคนโตกับคนเล็ก พวกเขาจึงเบาเสียงลง “ฮูหยิน ข้าติดตามข่าวกับท่านอาแล้วยังไม่มีสิ่งใดตอบกลับ กระนั้นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ได้รับคือ แม่ทัพกวนพบสถานที่ซึ่งองค์ชายแปดถูกจับตัวไป และกำลังหาทางช่วยเหลือ ส่วนเสี่ยวเฮย มันอยู่กับท่านแม่ทัพขอรับ” สิ่งที่หลิวตงแจ้งเป็นข่าวนานแล้ว ซึ่งยังไม่มีสิ่งใดคืบหน้า และนั่นทำให้คนเป็นภรรยากับแม่ของลูกฝาแฝด ห่วงสามีใจจะขาด กวนเฉินหลางออกรบตั้งแต่ลูกยังไม่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ตอนนี้พวกเขาเริ่มหัดเดิน และกำลังส่งเสียงสื่อสารความหมายทีละคำ แต่ฟังแล้วเหมือนบ่นงึมงำ ทว่าเพียงเท่านั้นทุกคนที่อยู่ใกล้อี้หยาง อี้เหยาก็หลงรักเด็กทั้งสองคนหมดหัวใจ “ยามนี้มีข่าวลือมากมายเหลือเกินว่า กำลังจะเกิดการเปลี่ยน แปลงในวังหลวง แน่นอนเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับท่านแม่ทัพ ถึงเราไม่ทราบข่าวใด แต่ข