"นอกจากคนคุ้มกันสองคนที่ตระกูลไป๋ให้เจ้าไว้แล้ว ข้ายังแอบส่งองครักษ์เงาให้เจ้าอีกหนึ่งคน เขาจะตามเจ้าตลอดทาง ถ้าเจ้าเกิดอันตรายขึ้นเขาก็จะออกมา"เฉินหวานกระซิบบอกเธอก่อนจะขึ้นรถม้าถูซินเยว่พยักหน้าเธอไม่เคยรู้จักกับตระกูลไป๋จึงไม่ค่อยไว้ใจของของตระกูลไป๋สักเท่าไหร่ เธอจึงดีใจที่เฉินหวานส่งคนมาเพิ่ม อีกทั้งการไปเป่ยเจียงเป็นระยะทางที่ไกลมาก ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางมีคนคุ้มกันเธอเพิ่มขึ้นก็ไม่เลวเธอไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้าให้เฉินหวานจากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปแต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดคือ ถูซินเยว่พึ่งเปิดม่านประตูรถม้าก็เห็นในรถม้ามีคนเหนือความคาดหมายอยู่หนึ่งคนนั่นคือไป๋อี้หรัน!ชายหนุ่มนั่งเรียบร้อยอยู่ในรถสวมชุดสีขาวยาว บนคอยังมีขนจิ้งจอกสีเทาพาดไว้ ทำให้ยิ่งส่งให้หน้าตาดูสะอาดสะอ้านในรถม้าจุดหม้อถ่านเอาไว้จึงไม่หนาวและอบอุ่นมากในมือไป๋อี้หรันประคองแก้วชาเอาไว้ นั่งงอขาเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วคมขึ้นมองอีกฝ่าย สีหน้าแฝงความแกล้งเล่น"เหมือนเจ้าจะตกใจที่เห็นข้านะ?"ถูซินเยว่พยักหน้ายอมรับ เพราะตามแผนของพวกเธอไม่มีส่วนที่ไป๋อี้หรันตามตัวเองไปเขาเทียนซานด้วยเลย! ถ้าพ่อเฒ่าไป
บัวหิมะเทียนซานบานเต็มที่แล้ว ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางไปบนถนนจึงไม่กล้าหยุดพักผ่อนตอนแรกถูซินเยว่ก็เป็นห่วงว่าร่างกายของไป๋อี้หรันจะรับไม่ไหว แต่พอนานเข้าเธอก็ไม่เป็นห่วงเรื่องนี้แล้ว ในเมื่อไป๋อี้หรันดูร่างกายแข็งแรงกว่าเธอด้วยซ้ำตอนอยู่ในยุคปัจจุบันถูซินเยว่ไม่เคยเมารถเลย แต่ไม่รู้ทำไมพอมาอยู่ในอดีตถึงได้เมารถม้าต้องอยู่บนรถทั้งวัน เธอฝืนทนโดยอาศัยยาดมสะระแหน่ที่ใส่ในขวดกระเบื้องใบเล็กมา เมื่อถึงจุดไหนที่ทางหลุมเป็นบ่อ เธอก็อาเจียนจนหน้าซีดแต่เมื่อหันกลับไปดูสีหน้าของไป๋อี้หรันแล้วก็พบว่าสีหน้าของเขาดีกว่าถูซินเยว่ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ หน้าแดงมีเลือดฝาด ขนาดนั่งบนเบาะแคบ ๆ บนรถม้าก็ยังอ่านหนังสือได้ปกติ ไม่มีสีหน้าท่าทางว่าไม่สบายแต่อย่างใดพอเห็นท่าทางของไป๋อี้หรันแล้วถูซินเยว่ก็อยากกระอักเลือด"ไม่อย่างนั้นเราแวะพักที่โรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดสักวันดีไหม ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ข้าเกรงว่าถ้าพรุ่งนี้เรายังเดินทางต่อกันอีกวัน เจ้าคงไม่มีแรงที่จะฝังเข็มให้ข้าเป็นแน่"ทีแรกถูซินเยว่ก็คิดจะปฏิเสธ เพราะไม่ว่ายังไงการช่วยไป๋อี้หรันตามหาบัวหิมะเทียนซานก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ส
นานทีจะเห็นถูซินเยว่ทำท่าทางเอ๋อ ๆ แบบนี้ ไป๋อี้หรันส่ายหน้าอย่างจนใจ"ใช่" ถูซินเยว่ที่เพิ่งนึกออกพยักหน้าพูดว่า "ท่านเป็นคนตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋นั้นร่ำรวยกว่าพระคลังของประเทศเสียอีก อะไรที่ท่านอยากรู้ มีหรือจะสืบรู้ไม่ได้""ไม่เลวนี่" ไป๋อี้หรันพยักหน้าเขามองเข้าไปในดวงตาของถูซินเยว่ ราวกับว่าเขาอยากมองทะลุมองเข้าไปในหัวใจของผู้หญิงคนนี้แต่ถูซินเยว่จดจ่ออยู่กับการฟังเข็ม เธอมัวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาขยับเข็มในมือตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจว่าไป๋อี้หรันพูดอะไร และก็ไม่ได้สังเกตุสีหน้าของอีกฝ่ายด้วยเธอพยักหน้าบอกว่า "ท่านพูดถูก สามีของข้ากำลังเข้าไปสอบที่เมืองหลวง และข้าก็เชื่อว่าการสอบครั้งนี้จะต้องผ่านไปด้วยดี"พอพูดถึงเรื่องนี้ ถูซินเยว่ก็นึกสงสัยว่าทั้งที่อายุขนาดอย่างไป๋อี้หรันก็เข้าไปสอบได้แล้วแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะอยู่แต่ที่บ้านมาตลอด แต่พอคิดดูอีกที ไป๋อี้หรันสุขภาพไม่ดีเขาก็ควรต้องอยู่กับบ้านอยู่แล้วสิ"สามีของเจ้าต้องเป็นคนที่โชดดีมากแน่ ๆ" ไป๋อี้หรันพูดเนิบๆแต่ถูซินเยว่ไม่คิดอย่างนั้น เธอกลับรู้สึกว่าสามีของตัวเองขยันอดทน หลายสิ่งหลายอย่างไม่ใช่ได้มาด้วยความโชคดี แต่ไ
เมื่อได้ยินพ่อบ้านถามถึงซูจื่อหัง จู่ๆ หัวใจของถูซินเยว่ก็พองโตขึ้นมาอย่างไรก็ตาม แม้ว่าในใจของเธอจะปั่นป่วน แต่สีหน้าของถูซินเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังพ่อบ้านยังคงเรียบเฉย มีเพียงดวงตาใสแววคู่เดียวเท่านั้นที่จ้องมองไปที่เถ้าแก่ที่อยู่ด้านในโต๊ะราวกับว่าถ้าเถ้าแก่พูดอะไรออกมาสักประโยค เธอก็พร้อมจะพุ่งออกมาจากด้านหลังของอีกฝ่ายทันที"คุณชายซู? ซูจื่อหังหรือ?" เถ้าแก่ซึ่งกำลังทำบัญชีอยู่ เมื่อได้ยินเสียงของพ่อบ้านก็รีบเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเขาเห็นตราสัญลักษณ์ประจำตำหนักองค์ชายสามบนตัวของพ่อบ้าน สีหน้าของเขาก็กลายเป็นเคารพทันที"ท่านคือ..."พ่อบ้านยกมือขึ้นห้ามเถ้าแก่ที่กำลังจะออกมาทำความเคารพแล้วพูดเบาๆ ว่า "หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังข้าผู้นี้ มาพบคุณชายซู ช่วยตรวจดูให้ทีว่าคุณชายซูอยู่ห้องไหน"เถ้าแก่เหลือบมองถูซินเยว่ที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่อบ้าน จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และพูดว่า "รอสักครู่นะขอรับ ข้าจะตรวจสอบให้ท่านเดี่ยวนี้"หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของตำหนักองค์ชายสาม เถ้าแก่ก็เอาใจใส่เป็นพิเศษทั่วทั้งเมืองหลวงเป็นแบบนี้กันหมด พอมีข่าวอะไรแพร่กระจายออกมาสักหน่อย ท่ามีของประชาชนธร
แต่คิดไม่ถึงว่าต้องมาพ้ายแพ้ต่อหน้าซูจื่อหังเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าเมื่อกี้พวกเขาส่งเสียงดังมากไปหน่อย ผู้คนที่กำลังทานอาหารอยู่ใกล้ๆ ต่างก็มองมาที่พวกเขาและวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ ราวกับดูละครถูซินเยว่ไม่เคยสนใจสายตาของคนอื่นอยู่แล้ว ซูจื่อหังก็เช่นกัน ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่รู้สึกอะไรแต่หลิ่วโหรวโหรวนั้นแตกต่างจากพวกเขา นางเป็นหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวง นางต้องรักษาหน้าตา นางไม่สามารถทนให้คนอื่นมาติฉินนินทาเหมือนกับลิงชมละครแบบนี้ได้ เธอทนขายหน้าอย่างนั้นไม่ได้นางมองถูซินเยว่ด้วยสายตาดุดัน หลิ่วโหรวโหรวทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดว่า "พี่ซู เดี๋ยววันหนึ่งที่ท่านผ่านการคัดเลือกแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นภาระของท่าน พอถึงเวลานั้นท่านจะไม่คิดแบบนี้อีกแล้ว""นางเป็นภรรยาของข้า และจะไม่มีวันเป็นภาระของข้าด้วย" ซูจื่อหังดูนิ่งสงบเหมือนว่าเขาไม่อยากจะพูดอะไรกับหลิ่วโหรวโหรวอีกต่อไปแล้วหลิ่วโหรวโหรวโกรธมากจนสงบสติอารมณ์ไม่ได้อยู่นานนางมองซูจื่อหังเบิกตากว้าง ราวกับว่านางอยากที่จะควักหัวใจของชายคนนี้ออกจากอกของเขา และมองดูให้ชัดๆ ว่าใจของอีกฝ่ายเป็นหินหรือเปล่าสิ่งที่แย่กว่านั้นคือเมื่อซูจ
ถูซินเยว่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูจื่อหัง จากนั้นก็ผลักมือของอีกฝ่ายออกไปและพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า "ข้าไม่ไป""ทำไม?"หญิงสาวก้มศีรษะลงมาใกล้หน้าอกของเธอเรื่อยๆ แต่ใบหน้าของเธอนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีความสุข"ไม่อยากไป"ซูจื่อหังอดขำไม่ได้เขาจับมือของถูซินเยว่แล้วพูดอย่างจริงจัง "ข้าไม่รู้จักแม่นางหลิ่วคนเมื่อกี้จริงๆ เพียงแต่เมื่อวันก่อนนางโดนขโมยกระเป๋าเงิน ข้าเลยช่วยตามกลับมาให้ จากนั้นนางก็ตามข้ามาตลอดเลย"ในเรื่องนี้ซูจื่อหังไม่คิดปิดบังถูซินเยว่อยู่แล้ว เพราะอย่างไรแล้วเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาและไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ไม่ใช่ว่าถูซินเยว่ไม่เชื่อซูจื่อหัง แต่ก็แค่โมโหขึ้นมาเฉยๆ ตอนนี้เมื่อได้ยินชายหนุ่มสัญญาแบบนี้แล้ว เธอก็ไม่โวยวายโดยไม่มีเหตุผลอีก"ข้าเชื่อท่าน"แล้วรอยยิ้มที่จริงใจปรากฏขี้นบนใบหน้าของซูจื่อหังถูซินเยว่กลัวว่าเขาจะได้ใจจนลืมตัว เธอจึงรีบพูดต่อว่า "แต่ว่าเราต้องตกลงกันก่อนนะว่าถ้าท่านทำอะไรที่มันล้ำเส้นเกินไป ข้าก็จะไม่ยกโทษให้ท่าน!"คนสองคนอยู่กินด้วยกันกัน ถูซินเยว่ก็จะไม่สงสัยใครโดยไม่มีเหตุผล แต่อย่างไรก็ตามความไว้วางใจของเธอมีให้เขาได้เพียงครั้งเดียวเท
พอมาถึงตลาดถูซินเยว่ก็เลือกผ้านวมหนา ๆ ให้ซูจื่อหัง คาดว่าหลังจากได้ห่มผ้าห่มผืนนี้แล้วซูจื่อหังคงจะไม่เป็นหวัดแล้ว เธอจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย"เดี๋ยวข้าจะเลือกเสื้อผ้าใหม่ให้ท่านสักสองชุด" ถูซินเยว่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ พูดตามตรง เมืองหลวงไม่เพียงใหญ่กว่าชิงเฉิงมาก แต่ผู้คนที่เข้าและออกในตลาดก็มากกว่าเมืองเล็กๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่มากนัก ยิ่งเรื่องสิ่งที่น่าตื่นตาในตลาดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยในทางกลับกันหนอนหนังสืออย่างซูจื่อหังเห็นอะไรก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น เดิมทีเขาก็เดินตามถูซินเยว่อย่างว่าง่าย แต่เมื่อเขาได้ยินภรรยาของเขาบอกว่าเธอจะซื้อเสื้อผ้าให้เขาอีกสักสองชุด เขาก็ไม่สบายใจขึ้นมา"ก่อนมาเจ้าก็ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ข้าตั้งสองชุดแล้วไม่ใช่หรือ? ถ้าจะซื้อเสื้อผ้าตอนนี้อีกมันไม่เปลืองไปหรือ... ข้ามีเสื้อผ้าแล้วข้าก็ไม่หนาวด้วย!""แล้วใครใช้ให้ท่านไม่เอาเสื้อผ้ามาจากบ้านเล่า ซื้อแล้วก็ไม่ยอมใส่" ถูซินเยว่กลอกตามองอีกฝ่ายอย่างจนใจ แสร้งทำเป็นโกรธแล้วพูดว่า "ผู้ชายอกสามศอกอย่ามัวลังเลอยู่เลย ถ้าท่านยังมัวลังเลข้าจะไม่คุยด้วยแล้วนะ!"ต้องบอกว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ได้ผลเท่ากับคำขู่
หากไม่เพราะถูซินเยว่ มายืนจังก้าต่อหน้าให้เห็น เขายังนึกว่าสายตาตนเองมีปัญหาเสียด้วยซ้ำเมืองหลวงอยู่ห่างจากหมู่บ้านต้าเย่ไกลนับพันลี้ ต่อให้นางกับซูจื่อหังล้วนเป็นผู้ชาย ระหว่างทางก็ต้องระหกระเหิน ลำบากตรากตรำกว่าจะมาถึงเมืองหลวงได้แต่นี่ถูซินเยว่เป็นผู้หญิงแท้ ๆ นางมาได้อย่างไรกัน?"อาซ้อ ใช่ท่านจริงหรือน่ ข้ายังนึกว่าตัวเองฝันไปซะอีก"หนิงอวี้ตกใจเป็นอย่างมาก เดินมาตรงหน้าคนทั้งคู่ พลางพิจารณาถูซินเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายรอบ จึงได้เกิดความมั่นใจ“แล้วจู่ ๆ มาเมืองหลวงได้ยังไง ที่บ้านยังมีแม่ต้องดูแลไม่ใช่หรือ?"ถูซินเยว่คล้องแขนขอซูจื่อหัง พลางยิ้มเบา ๆ ใบหน้าเรียวเท่าฝ่ามือดูหมดจด ไม่ว่าจะพูดจาหรือยิ้มล้วนแสดงถึงความงามอันบาดตาทั้งสิ้นเรื่องตระกูลไป๋ถูกซูจื่อหังรับรู้เข้า ก็ถือว่าเหนือความคาดหมายแล้ว นางไม่ต้องการจะบอกคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองอีก ด้วยเหตุนี้ถูซินเยว่จึงได้แต่กล่าวว่า "นับแต่แต่งงานกันมา ยังไม่เคยได้พรากจากท่านพี่เลย ช่วงนี้ที่ท่านพี่ออกจากบ้าน ในใจจึงรู้สึกเป็นห่วงนัก ท่านแม่ก็เกรงว่าเขาจะมาลำบากที่เมืองหลวง จึงให้ข้าติดตามคนตระกูลไป๋แห่งผิงโจวมาด้วยก
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด