ปัญหาที่ถูซินเยว่นึกกังวล ซูจื่อหังก็คิดอยู่เช่นกัน เขาจึงโอบร่างสาวน้อยเข้าในอ้อมแขน "เจ้าไปเมืองผิงโจวคนเดียว แม้ท่านแม่ปากจะไม่พูด แต่ในใจก็อดห่วงไม่ได้ อีกอย่าง เจ้าไม่เคยไปผิงโจวมาก่อน ข้าจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ส่วนทางด้านท่านแม่ ข้าจะให้ทางบ้านหยวนเป่ามาช่วยดูแลแทน"อย่างมากก็แค่จ่ายเงินให้ซูเฟิ่งอี๋หน่อย ให้นางมาช่วยดู ปกติแม้นางจะชอบก่อเรื่องก็จริง แต่เป็นคนเห็นเงินแล้วตาโต อย่างไรก็ไม่มีวันปฏิเสธเงินอยู่แล้ว"ท่านคิดดีแล้วหรือที่จะไปกับข้าน่ะ?" ถูซินเยว่ดึงมือซูจื่อหังและหันไปมองเขา ที่จริงพอได้ยินว่าเขาจะไปเมืองผิงโจวกับนาง ในใจก็แอบรู้สึกดีใจเหมือนกันเพราะไม่ว่าอย่างไร ใครก็ไม่ต้องการพลัดพรากกับสามีอยู่แล้ว"ถ้าไม่คิดทบทวน ข้าจะพูดกับเจ้าได้ยังไง?" ซูจื่อหังเลิกคิ้ว แกล้งย้อนถามนางลูกผู้ชายเอ่ยวาจาคำไหนคำนั้น ในเมื่อพูดแล้ว ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอีก"ถึงเวลาถ้าการเดินทางลำบาก ท่านห้ามโอดครวญล่ะ และห้ามเหลี่ยนใจด้วย" เส้นทางไปเมืองผิงโจวยาวไกลนัก อาจต้องรอนแรมถึงสองสามวัน จึงจะถึงที่หมายและเท่าที่นางรู้ ซูจื่อหังก็เหมือนนาง ไม่เคยออกจากบ้านไปไกล ถึงเวลาอาจต้องเผชิญกับคว
ในยามนี้ ขบวนรถได้เริ่มออกเดินทางแล้วภายในรถม้าคันสีเขียว ถูซินเยว่กับพวกต่างมองตากันเมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งจู่ ๆ มุดเข้ามา และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เมื่อกู้เยว่หวาขึ้นมาแล้ว ก็โผเข้าสู่อ้อมอกของเฉินหวานทันทียังดีที่เฉินหวานเป็นคนมือไวและตาไว จึงรีบผลักไสกู้เยว่หวาออกไป หาไม่คงต้องถูกนางแต๊ะอั๋งเป็นแน่แท้กู้เยว่หวาเห็นท่าทีเย็นชาของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างน้อยใจ "คุณชาย ท่านลืมข้าไปแล้วหรือ? ข้าคือกู้เยว่หวาที่วันก่อนเดินเล่นกับท่านอยู่ตั้งนาน ท่านลืมไปแล้วหรือ?"เฉินหวานเหลียวมองดูนาง สีหน้าไม่ได้แปรเปลี่ยนใด ๆ ยังคงมีแต่ความเย็นชาดังเช่นเก่าก่อนถูซินเยว่กลับเป็นฝ่ายหันหลังให้ ด้วยคร้านจะยุ่งกับเรื่องเช่นนี้ นางกับซูจื่อหังแลกเปลี่ยนสายตากัน พร้อมพยักหน้าอย่างมั่นใจ ใช้กิริยาบอกกล่าวแก่ซูจื่อหัง ว่าเด็กสาวผู้นี้ก็คือกู้เยว่หวาที่ตนได้พูดถึงเมื่อวันก่อนนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเฉินหวาน ซูจื่อหังกับถูซินเยว่จึงไม่กล้าออกความเห็น ได้แต่พร้อมใจกันไม่ไปมองดูพวกเขามีเพียงฉงเป่าที่นั่งเหงาอยู่ด้านตรงข้าม มองดูความเย็นชาของเฉินหวานที่ถูกกู้เยว่หวาตอแย ด้านหนึ่งก็เคี้ยวเนื้อแห้ง
พ่อบ้านหลี่นั่งชิดหน้าประตูรถม้าและกล่าวว่า "องค์ชายสามกลับมาจากเป่ยเจียง ขณะที่ผ่านเมืองผิงโจว ได้ถูกปองร้ายเข้า"กู้เจิ้นเทียนลูบเคราเบา ๆ นัยน์ตาหลุบต่ำลง ไม่รู้ว่าครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เขาจึงขมวดคิ้วและเอ่ยปากถามต่อ "เรื่องนี้ เกิดมานานแค่ไหนแล้ว?""ประมาณครึ่งเดือนที่แล้วขอรับ" พ่อบ้านหลี่ตอบกลับ "เพียงแต่ข่าวมาช้า ใต้เท้า ถ้าองค์ชายสามหายสาบสูญที่ผิงโจวจริง เรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่แน่! เพราะถ้าองค์ชายสามเกิดเรื่อง ท่านก็ยากที่จะปัดความรับผิดชอบได้""ครึ่งเดือนหรือ?" กู้เจิ้นเทียนเหลียวมองดูพ่อบ้าน สายตามีแววเย้ยหยัน ไม่รู้ว่าหยันตัวเองหรือหยันพ่อบ้านหลี่กันแน่ เขานำถ้วยชาในมือวางลงบนโต๊ะเตี้ยอย่างแรง พลางถามกลับว่า "ตั้งครึ่งเดือน คิดว่าองค์ชายสามยังมีโอกาสรอดอีกหรือ?"การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนักรุนแรงนัก แม้แต่องค์ชายก็ไม่อาจละเว้นและในยามนี้ ไม่ว่าองค์ชายสามจะเกิดเรื่องจริงหรือไม่ ขอเพียงเขารับราชโองการมา ลับหลังก็จะมีสายตามาจับจ้องอยู่มากมาย และไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ล้วนมีคนไม่พอใจทั้งสิ้นใกล้จะถึงสิ้นปี กลับมีโจทย์ยากมาถึงมือเขาอีกกู้เจิ้นเทียนได้แต่แ
มือแนบอยู่ที่ทรวงอกของชายหนุ่ม ถูซินเยว่รับรู้ได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจเขาเสียงดังตุ่บ ๆ ราวกับเต้นอยู่ข้างหูของตนกระนั้นนางกระพริบตาเล็กน้อย สบสายตาร้อนแรงของซูจื่อหัง ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับรู้สึกกระดากกระเดื่องอย่างไรชอบกลแต่จะว่าไป ทรวงอกของซูจื่อหังก็ช่างอบอุ่นนัก ผ่านไปเพียงครู่เดียว ถูซินเยว่ก็รู้สึกว่ามือตนเริ่มมีความอุ่นขึ้นมาบ้าง"ซินเยว่ เจ้าอยากกินอะไรหรือเปล่า กินแต่อาหารแห้งมาทั้งวัน ข้าจะไปห้องครัวข้างล่างหาอะไรมาให้เจ้ากินหน่อย"ซูจื่อหังไม่พูดยังพอว่า พอเอ่ยขึ้นมา นางก็ชักรู้สึกหิวเหมือนกันแต่ในห้องมีเตาถ่านอยู่ ถูซินเยว่แทบไม่อยากออกไปไหนอีกในเมื่อซูจื่อหังบอกว่าจะลงไปหาของกินให้ นางก็ย่อมยินดีอยู่แล้วอาการของฉงเป่ายังน่าเป็นห่วง ในยามนี้ถ้าให้ซูจื่อหังออกไปก่อน แล้วให้ฉงเป่าไปพักผ่อนในมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ซักครู่ก็คงจะดีไม่น้อยซูจื่อหังออกไปหลังจากดื่มน้ำชาที่ถูซินเยว่รินให้ เมื่อเห็นชายหนุ่มออกไปแล้ว นางก็รีบปิดประตู แล้วพาฉงเป่าเข้าไปอยู่ในมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในมิตินั้นช่างมีบรรยากาศที่อบอุ่น และเต็มไปด้วยพลังทิพย์ฉงเป่าเมื่อเข้าไปแล้ว สีห
แววตาของเด็กสาวจ้องมองเขาด้วยความคาดหวัง จิตใจร้อนรุ่มอยากรู้ว่าสามีได้ซื้อของขวัญอะไรมาให้ตนเดิมทีซูจื่อหังตัั้งใจว่าพรุ่งนี้ขณะออกเดินทาง ค่อยเอาเสื้อมาให้นางสวมใส่ แต่พอเห็นแววตาคาดคั้นของถูซินเยว่เข้า ก็ทำให้ใจอ่อนลงในฉับพลัน"เจ้ารอเดี๋ยว" ชายหนุ่มลุกขึ้น เดินไปยังหน้าประตูหยิบถุงใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ที่ราวลงมาสายตาของถูซินเยว่ตามติดเขาอยู่ตลอด มองดูการกระทำของเขาแล้ว ก็ให้ร้องถามอย่างตกใจ "ท่านเอาของมาซ่อนไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย?"ซูจื่อหังพยักหน้า แววตามีประกายขบขันเล็กน้อย เลิกคิ้วพลางกล่าวว่า "เมื่อกี้ห้องข้างในมืดสลัว เจ้าเลยไม่ทันได้สังเกต"ถูซินเยว่ไม่อยากถือสาเรื่องเหล่านี้ นางยืนขึ้นและรับถุงนั้นมา พลางถามอย่างตกใจ "นี่คืออะไรน่ะ ถุงใหญ่ขนาดนี้ซ้ำยังอ่อนนุ่มด้วย""เจ้าเปิดดูก็จะรู้เอง"ขนาดส่งของมาถึงมือตนแล้ว ชายหนุ่มยังไม่วายอมพะนำอีกถูซินเยว่มองหน้าเขาไม่พูดจา แต่ในใจยังคงมีความคาดหวังอยู่มากภายใต้สายตาอันเปี่ยมด้วยความรักของซูจื่อหัง นางจึงเอื้อมมือแล้วเปิดถุงออก แต่พอเห็นสิ่งของที่บรรจุอยูข้างใน ฉับพลันก็ตกตะลึงพรึงเพริ
"น้าหลิน" ถูซินเยว่นั่งลงที่อีกมุมหนึ่งของตั่ง มองดูหลินเพียวเหมียวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมา เส้นผมดำยาวสลวยเคลียอยู่ที่บ่าไหล่ราวกับน้ำตกที่ไหลพลิ้ว อ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยว่า หญิงที่งดงามสมบูรณ์แบบดังเช่นน้าหลินผู้นี้ จะมีชายใดที่สามารถเอาชนะหัวใจของนางได้"จะมาพูดคุยเรื่องเปิดร้านใช่ไหม?" น้าหลินหยิบกระดาษชุดหนึ่งออกมาจากด้านหลัง เลิกคิ้วพลางกล่าวว่า "หน้าร้านอยู่ที่ผิงโจว ข้าได้ติดต่อไว้แล้ว ถึงที่นั่นเมื่อไหร่ เราสองคนจะไปดูด้วยกัน เมืองผิงโจวมีร้านขายเครื่องประดับไม่น้อย ถึงเวลาเราอาจต้องหาหนทาง ทำยังไงจึงจะโดดเด่นกว่าคนอื่นได้"พูดพลาง น้าหลินก็หยิบกล่องด้านข้างมาใบหนึ่ง เปิดฝาออกพลางถามว่า "ซินเยว่ เจ้าว่าปิ่นหยกเล่มนี้เป็นอย่างไร?"ถูซินเยว่เอื้อมมือหยิบปิ่นหยกออกจากกล่องมา วางอยู่ในฝ่ามือทดสอบเล็กน้อย แม้ว่านางจะเป็นคนอก ก็ยังสัมผัสได้ว่าปิ่นหยกเล่มนี้มีความงดงามเพียงใดโดยเฉพาะลวดลายดอกกล้วยไม้กว่างอวี้นั้น เบ่งบานมีชีวิตชีวาราวกับของจริงก็ไม่ปาน"ปิ่นหยกเล่มนี้คือ.."น้าหลินอมยิ้มและกล่าวว่า "ปีที่แล้วข้าได้ช่วยสตรีไว้นางหนึ่ง ฝีมือนางดีมาก ปิ่นเล่ม
ถูซินเยว่รับรู้โดยสัญชาตญาณ นับแต่พูดคุยเรื่องนี้กับตนแล้ว อารมณ์ของน้าหลินดูคล้ายจะไม่สู้ดีเท่าไหร่"น้าหลิน เป็นไรหรือเปล่า?"ที่จริงนางคิดมาตลอดว่าน้าหลินเป็นคนที่มีเรื่องราว ยิ่งผ่านการเรียนรู้มาหลายวันนี้ ถูซินเยว่ก็รู้ว่า น้าหลินไม่มีครอบครัว อยู่ลำพังคนเดียว ในฐานะเป็นผู้หญิง ถือว่าใช้ชีวิตไม่ง่ายนัก"วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร" น้าหลินส่ายหน้า แววตามีความอ่อนโยนเพียงพริบตาก็ผ่าน นางเอื้อมมือตบไหล่ของถูซินเยว่และกล่าวว่า "งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ อย่าลืมไปล่ะ"เมื่อกล่าวจบประยคนี้ น้าหลินก็ขอตัวกลับไปก่อนทุกคนต่างมีความลับของตนเอง ถูซินเยว่เดาว่าในใจของน้าหลินก็คงมีความลับเก็บซ่อนอยู่เช่นกันนางรู้หน้าที่ดี จึงไม่คิดขุดคุ้ยความลับของน้าหลิน มองดูนางจากไปหลังจากถือเทียบเชิญกลับเข้าห้องแล้ว ถูซินเยว่ก็ดูคล้ายคนมีความในใจซูจื่อหังเห็นนางเข้ามาก็นั่งเหม่ออยู่ข้างเตียง ในมือยังถือสิ่งของอย่างหนึ่งไว้ จึงเลิกคิ้วกล่าวว่า "ทำไมหรือ? วันนี้ออกไปไม่สบายใจหรือไง ทำไมหน้าตาดูเคร่งเครียดล่ะ?"ชายหนุ่มวางตำราในมือลง เดินไปยังเบื้องหน้าถูซินเยว่ พร้อมลูบศีรษะของนางถูซินเยว่ถือโอกาสจับมื
หลังจากที่รู้ว่าซูจื่อหังความจำดีขนาดนี้ ถูซินเยว่ก็รู้สึกนับถือในตัวสามีของตนเองอย่างมากเพราะอย่างไรเสียคิดว่าทั้งต้าฉีก็คงหาคนที่มีความสามารถเฉกเช่นสามีตนเองไม่ได้อีกแล้ว"การสอบในปีหน้า ที่รักเจ้าจะต้องได้รับชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน"หลังจากที่ทดสอบซูจื่อหังมาทั้งคืน ในที่สุดถูซินเยว่ก็มีความเชื่อมั่นในตัวของอีกฝ่ายอย่างมากมาย"อนาคตหากเจ้าติดอันดับหนึ่งในการสอบจอหงวนจริงๆ ข้าก็จะกลายเป็นภรรยาร่วมทุกข์ยากของเจ้าแล้ว เจ้าห้ามทอดทิ้งข้านะ!" หญิงสาวใช้มือตบไปที่ไหล่ของชายหนุ่ม และพูดด้วยท่าทีจริงจัง"ภรรยาทุกข์ยากอะไรกัน?" ซูจื่อหังแสดงสีหน้าจนปัญญา จากนั้นก็จับมือของหญิงสาวมากุมเอาไว้ในมือตนเองแน่น พูดว่า "ที่รัก ทุกอย่างที่ข้าทำในตอนนี้ก็เพื่อที่จะกลายเป็นคนที่คู่ควรกับเจ้า และเพื่อที่ข้าจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้"ตั้งแต่ที่กิจการของถูซินเยว่ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ซูจื่อหังก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเล็กน้อยของตนเอง โดยเฉพาะที่มาผิงโจวครั้งนี้ เขาในฐานะที่เป็นสามีของถูซินเยว่ แต่กลับช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย นอกจากคอยเป็นกำลังใจให้เธอจากเบื้องหลังแต่ที่ซูจื่อหังต้องการไม่ใช่การสนับสนุนใ
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด