ตอนแรกนางหยูก็ไม่อยากพูดอะไร แต่ฟางจินกุ้ยยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟังจนนางหยูทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงต้องพูดว่า "พี่ใหญ่ พี่เลิกพูดได้แล้ว ซินเยว่นางก็มีข้อดีของนาง อีกอย่างตอนอยู่บ้านนางก็ช่วยงานไม่น้อย"ฟางจินกุ้ยหัวเราะเยาะและพูดจาถากถางว่า "จะไปมีข้อดีอะไรได้ วัน ๆ เอาแต่ไปอยู่ในเมือง ข้ามาตั้งนานขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นว่านางจะช่วยงานอะไรเจ้าเลย เจ้าน่ะ ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะว่าลูกสะใภ้แบบนี้ไม่ควรเอา ใครจะไปรู้ว่านางอยู่ข้างนอกนั่นไปทำอะไรเหลวไหลยังไงบ้าง!""พอแล้ว พี่ใหญ่ ท่านเลิกพูดเถอะ" นางหยูทำหน้าบึ้งเหมือนว่าจะโกรธขึ้นมานิดหน่อยแล้วพอฟางจินกุ้ยเห็นท่าทางนางแบบนี้ก็รีบหุบปากทันที หม่าหยิงหยิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ช่วยออกมาทำให้สถานการณ์คลี่คลาย นางพยุงนางหยูให้นั่งลงแล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า "น้าเล็กอย่าถือสาแม่ข้าเลยนะ แม่ข้าน่ะปากไว แต่นางก็เป็นห่วงท่านนะ ไม่ได้คิดร้ายอะไร ท่านนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไปยกกับข้าวออกมาเอง"นางหยูโบกมือ นางไม่อยากฟังฟางจินกุ้ยพูดอะไรไร้สาระพวกนี้แล้ว จึงลุกเข้าครัวไปหลังจากนางหยูออกไป ฟางจินกุ้ยก็ยักคิ้วมองไปที่หม่าหยิงหยิงแล้วทวงบุญคุณว่า "เจ้ายังจะห้ามไม่ให้ข้า
สายตาของหม่าหยิงหยิงดูเป็นห่วงเป็นใยมาก นางนั่งยองลงข้าง ๆ ซูจื่อหัง อยากจะจับมือเขาแต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยกมือขึ้นหลบมือของนาง"หยิงหยิง ทำอะไรให้เกียรติตัวเองด้วย" ซินเยว่ออกไปช่วยท่านแม่ล้างจานแล้ว เขาไม่อยากให้ซินเยว่ต้องเข้าใจผิดเหมือนตอนถูหมิงซวนอีก ถึงเวลานั้นต่อให้เขาพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อแล้วยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่อยากให้เมียของเขาต้องคิดมากเสียใจท่าทางการปฏิเสธอย่างเหินห่างของซูจื่อหังทำให้หม่าหยิงหยิงเสียใจเป็นที่สุด นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ กัดฟันกรอด ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา"พี่จื่อหัง ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แค่เห็นว่าท่านบาดเจ็บจึงไม่สบายใจ หรือว่าท่านลืมความผูกพันธ์ที่เราเคยมีให้แต่ก่อนแล้วหรือ" หม่าหยิงหยิงปาดน้ำตาแล้วกล่าวต่อ "ตอนที่ท่านยายไล่พวกท่านออกมา ข้ายังแอบยัดหมั่นโถวลูกหนึ่งให้ท่านอยู่เลยนะ"ซูจื่อหังขมวดคิ้ว เขาไม่ได้กลับบ้านท่านตาท่านยายมานานแล้ว เรื่องตั้งนานนมขนาดนี้ เขาจะไปจำได้ยังไงกันแล้วนับประสาอะไรกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ด้วย?แต่หม่าหยิงหยิงร้องไห้น่าสงสารแบบนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ เดี๋ยวถ้านางหยูออกมาเห็นคงหาว่าเขารังแกหม่าหยิงหยิงเป็น
"ข้าเปล่าจริง ๆ นะ""เอาล่ะ ๆ ข้าก็ไม่ว่าอะไรท่านสักหน่อย ท่านปล่อยข้าได้แล้ว" ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไปเรียนจากใครมา เอออะก็ถือว่าตัวเองตัวใหญ่กว่าแล้วเอาตัวมากั้นเธอไว้ ทำเอาเธอเขินไปหมดเดิมที่ซูจื่อหังแค่อยากให้ถูซินเยว่ยอมคุยกับตัวเองก็เท่านั้น แต่พอเข้าใกล้เธอ ขังเธอไว้ในอ้อมอกแบบนี้แล้วก็ไม่อยากปล่อยเธอไป ราวกับว่าหญิงสาวมีมนต์เสน่ห์ดึงดูด ดูดให้เขาไปไหนไม่รอด ไม่อยากห่างไปแม้แต่ก้าวเดียว"เมียจ๋า" ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว สายตากวาดผ่านดวงตากลมใสไปยังริมฝีปากเล็กกระจับที่อ้าพะงาบ ๆ อยู่ คิดถึงวันนี้ตอนที่ริมฝีปากของเธอทาชาดทาปากแล้วสวยจนคนใจละลาย น้ำเสียงก็สั่นเครือขึ้นมา "เมียจ๋า รัญจวนแรกแย้มของเจ้าไปไหนแล้วล่ะ?"สองคนอยู่ใกล้กันมาก เมื่อลมหายใจของเขารดลงมา ใบหน้าของถูซินเยว่ก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงตอนที่ปากของซูจื่อหังติดรัญจวนแรกแย้มจากริมฝีปากของเธอในวันนี้แล้ว เธอก็เบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า "รัญจวนแรกแย้มอะไร ข้าจะนอนแล้ว ท่านหลบไปเลย ข้ายังต้องล้างเท้าอีก""เดี๋ยวข้าจะช่วยล้างเท้า กล่อมเจ้าเข้านอนเอง" ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ เขากระตุกมุมปาก สายตาแพรวพราวเสี
พอนางหยูเข้าไปข้างในปุ๊ป ฟางจินกุ้ยไม่สามารถควบคุมจิตใจที่กระวนกระวายของนางได้อีกต่อไป นางเดินไปหาเมียหยวนเป่าและกระซิบถามเบา ๆ ว่า "ปลาเยอะขนาดนี้ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะทำเสร็จหรือ?""ท่านอาไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมีคนมาเพิ่มอีก"ฟางจินกุ้ยพยักหน้า แล้วกระซิบถามอีกว่า "แล้วปลาพวกนี้ขายได้เท่าไหร่กันล่ะ?""เอ่อ..." เมียหยวนเป่าขมวดคิ้ว น้ำเสียงลังเลเล็กน้อย ปลาแห้งพวกนี้ต้องผ่านมือนางกับสามี เรื่องว่าขายได้เท่าไหร่นั้นนางก็พอประมาณได้ ต้องรู้คร่าว ๆ อยู่แล้วแต่ว่าฟางจินกุ้ยก็จะทำเป็นกันเองเกินไปแล้ว มาถึงก็ถามเรื่องเงินเลย"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" หลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง เมียหยวนเป่าก็ตัดสินใจตอบออกมาแบบนี้ "ปลาแห้งพวกนี้ซินเยว่เป็นคนเอาไปขายในตัวเมือง ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าขายได้เท่าไร พวกเราแค่ทำงานให้ตระกูลซูเท่านั้นแหละ"เดิมทีนางคิดว่าฟางจินกุ้ยจะหุบปากเมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ ไม่คาดคิดว่าเมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าถูซินเยว่เป็นคนไปขายปลาแห้งในตัวเมือง นางก็เยาะเย้ยถากถางทันทีว่า "หมดกัน เงินที่ได้จากการขายปลาล้วนเข้ากระเป๋าของถูซินเยว่หมดแล้วอย่างนี้ นางบอกว่าได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นสิ แ
นายอำเภอมั่นใจมากว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับถูซินเยว่อย่างแน่นอน แต่อีกฝ่ายเป็นแค่หญิงชนบท ไปขอให้ผู้ว่าการมณฑลออกหน้าจัดการแทนได้ยังไงกัน?เข้าคิดไม่ตกจริง ๆ แต่ก็เพราะไม่รู้นี่แหละจึงทำให้เขาไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามกับถูซินเยว่ต้องบอกว่า เรื่องนี้นายอำเภอคิดมากไปจริง ๆ ผู้ว่าการมณฑลนั้นมาเพราะคนของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงต่างหาก ส่วนถูซินเยว่นั้นก็แค่พลอยได้ประโยชน์ไปกับเขาด้วยเท่านั้น"แม่นางถู" บรรยากาศน่าอึดอัด นายอำเภอฝืนยิ้มฝืด ๆ ก่อนจะพูดว่า "ก่อนหน้านี้ข้าตาถั่วไปเอง ที่ไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถมากขนาดนี้""ใต้เท้าก็ชมเกินไป หากไม่ใช่ว่าใต้เท้าฉลาดหลักแหลมเท่าสุนัขจิ้งจอก ข้าน้อยคงไม่กล้าจะมีความสามารถเหล่านี้หรอก" ถูซินเยว่ประชดกลับนายอำเภอสีหน้าแข็งทื่อไปในทันใด อย่างไรเสียเขาก็เคยชินกับการอยู่เหนือกว่าชาวไร่ชาวนาเหล่านี้มาตลอด ตอนนี้เขาถูกถูซินเยว่ทำให้เสียหน้ามาสองหนแล้ว เขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากถูซินเยว่เป็นคนฉลาด รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพอ ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าเกิดนายอำเภอโกรธขึ้นมาแล้วจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า "ในเมื่อท่านนายอำเภอเห็นความสามารถขอ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของฮูหยินเฒ่าแล้วถูซินเยว่กลับนิ่งสงบเป็นพิเศษ ถึงขั้นว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยเธอมองมือของฮูหยินเฒ่าแล้วพูดเรียบ ๆ ว่า "ฮูหยินเฒ่าไม่ต้องขู่ข้าหรอก ท่านเป็นแม่ของนายอำเภอ ท่านต้องรู้อยู่แล้วว่าหลังจากที่นายอำเภอรับปากข้าแล้วเขาทำอะไรลงไปบ้าง เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดให้แย่มากก็ได้ และก็ไม่ต้องทำให้มันแย่มากด้วยนะเจ้าค่ะ""เจ้าขู่ข้าหรือ?" ฮูหยินเฒ่าขมวดคิ้ว"ข้าไม่ได้ขู่" ถูซินเยว่ส่ายนิ้วมือไปมาแล้วบอกว่า "ฮูหยินเฒ่าก็คงจะรู้ว่าข้าเพิ่งออกมาจากโถงสวนดอกไม้ของนายอำเภอ ข้าคุยกับนายอำเภอเรียบร้อยดีแล้ว วันนี้เรื่องทุกอย่างลงเอยด้วยดี แล้วท่านจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากอีกทำไมล่ะเจ้าคะ?"ถูซินเยว่ไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ ถึงเธอจะเคารพที่ฮูหยินเฒ่าอายุมากกว่าเธอและเคยเป็นห่วงเป็นใยเธอ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าวันนี้เธอจะยอมให้ฮูหยินเฒ่าพูดจาขู่เข็นเธอแบบนี้ได้"ที่เจ้าพูดหมายถึง ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดถึงมันอีกสินะ?" ฮูหยินเฒ่าหัวเราะเยาะถูซินเยว่เลิกคิ้วแล้วพูดว่า "คนเราต้องมองไปข้างหน้า หากมัวแต่รื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ ใครถูกใคร
"ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่หน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีปลาจำนวนมาก" ถูซินเยว่ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว และพูดอย่างใจเย็นว่า "ซึ่งช่วงนี้ก็พ้นช่วงเพาะปลูกไปพอดี ดังนั้นเราเรียกคนมาสานแหจับปลาและฆ่าปลาเพิ่มอีกหน่อยก็ได้"ค่าแรงที่ถูซินเยว่ให้ถือว่าสูงมาก ดังนั้นคนในหมู่บ้านต้องมาด้วยความยินดีแน่นอนหยวนเป่ารีบลุกขึ้นยืน ใช้มือตบหน้าอกของตนเอง พูดว่า "วางใจเถอะ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง"ถูซินเยว่พยักหน้า แล้วพูดว่า "อื้อ เรื่องนี้ฝากพี่เป็นคนทำ ข้าก็วางใจ"แม้ว่าหยวนเป่าจะไม่รู้จักตัวหนังสือ แต่ทำงานเชื่อถือได้มาก ตั้งแต่ที่ให้เขารับผิดชอบเรื่องเก็บแห ถูซินเยว่ก็ไม่เคยต้องเป็นกังวลเลยถูซินเยว่พูดอธิบายถึงความคิดของตนเองกับหยวนเป่าอยู่ครู่หนึ่ง ก็ฝากเรื่องนี้ให้กับหยวนเป่า ส่วนตัวเธอ แค่ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ที่ดูแลภาพรวมอยู่เบื้องหลังก็พอหลังจากที่ทั้งคู่คุยธุระกันเสร็จเรียบร้อย ถูซินเยว่ก็เดินออกมาข้างนอกพร้อมกับหยวนเป่าซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภรรยาของหยวนเป่ารมควันปลาเสร็จพอดี จึงรีบเดินเข้ามาเช็ดมือตัวเองแล้วพูดว่า "ซินเยว่ คืนนี้อยู่ทานอาหารที่นี่ไหม?""ไม่ต้องแล้วล่ะ" ถูซินเยว่ส่ายหน้า
เสียงแสยะยิ้มที่อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้น ทำให้หมาหยิงหยิ่งและฟางจินกุ้ยตกใจแทบตายหมาหยิงหยิ่งกลัวว่า ภาพลักษณ์ความอ่อนโยนเชื่อฟังที่ตนเองอุตส่าห์สร้างขึ้นมาจะถูกคนเปิดโปงส่วนฟางจินกุ้ยกลัวว่าคนอื่นได้ยินคำพูดของตนเองแล้วจะเอาไปพูดต่อ แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่นางพูดกับถูซินเยว่ คำพูดคำจาจะไม่ได้น่าฟังมากก็ตามทั้งสองคนรีบหันหลังกลับ ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นพุทรา และมองไปที่พวกนางด้วยสายตาเย็นชาเมื่อเห็นว่าพวกนางหันมา หญิงคนนั้นก็ส่งเสียงฮึดฮัดว่า "ข้าก็นึกว่าใคร? ที่แท้ก็พี่ใหญ่ของนางหยูนี่เอง? อะไรกัน? ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว คงลืมข้าไปแล้วสิ?"ฟางจินกุ้ยจำอีกฝ่ายไม่ได้ในทันทีจริงๆ เพราะครั้งก่อนตอนที่นางมาที่หมู่บ้านต้าเย่ก็เป็นตอนที่สามีของนางหยูเสีย จึงมาแสดงความเสียใจ นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว นางจะจำได้อย่างไร?ทว่าหม่าหยิงหยิ่งที่อยู่ข้างๆ ใช้มือกระตุกชายเสื้อของฟางจินกุ้ย แต่เตือนเสียงเบาว่า "ท่านแม่ เมื่อกี้ตอนที่ฆ่าปลาอยู่ตรงนั้น ข้าเห็นนาง"เมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกกำลังซุบซิบอะไรบางอย่างอยู่ หญิงคนนั้นก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า "ข้าเป็นพี่ใหญ่(ของสามี)ของนางหยู ป้าของจื่อหัง ซ
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด