แม้ว่าบนใบหน้าของถูหมิงซวนจะไม่แสดงอาการใดๆ ทว่าดวงตากลับแดงก่ำ ซึ่งดูก็รู้ว่าโกรธไม่น้อย เพราะแม้แต่ขอบตาก็ยังแดงด้วย"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?" ถูชิวหลานมองไปที่เหลียงปินที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านใน และถามเสียงเบา "ทำไมอยู่ดีๆ เหลียงปินถึงตกน้ำ?"ที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่ตกน้ำมีถูซินเยว่อยู่ใกล้ๆ ด้วย ซึ่งชวนสงสัยอย่างมากหากเป็นเมื่อก่อน สภาพอย่างถูซินเยว่ ต่อให้เธอพลีกายให้เหลียงปิน อย่างมากถูชิวหลานก็แค่เหน็บแนมเยาะเย้ยเท่านั้นแต่ตอนนี้นั้นแตกต่างไปแล้ว ถูซินเยว่ลดความอ้วนแล้ว หน้าตาก็ดูดีน่ารัก ถูชิวหลานรู้ใจู้ชายดีที่สุด เรื่องนี้เหลียงปินต้องมีอะไรที่ผิดปกติ มิเช่นนั้นถูหมิงซวนก็คงไม่กังวลมากขนาดนี้"ท่านแม่!" อย่างที่คาดเดาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดของถูชิวหลาน น้ำตาของถูหมิงซวนก็ไหลลงจากหางตา นางด่าทอด้วยความรู้สึกทั้งโมโหทั้งแค้นใจว่า "เหลียงปิน...เหลียงปินเขามันแย่มาก เขาไปแอบนัดพบกับถูซินเยว่ที่ข้างลำธาร"ถูหมิงซวนเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่ตนเองเห็นให้ถูชิวหลานฟัง ซึ่งก็ไม่ลืมที่จะใส่สีตีไข่เพิ่มด้วย และบอกด้วยว่าถูซินเยว่ใช้นิ้วมือยั่วยวนเหลียงปินอย่างไร"ถุ้ย นังแพศยา
ตอนที่ถูซินเยว่มองอีกฝ่ายนั้น อีกฝ่ายรีบก้มหน้าแล้วเขี่ยผักในชามอย่างในทันทีราวกับตกใจวันนี้อาหารที่บ้านตระกูลถูนั้นอลังการมาก แต่ตอนปีใหม่ได้กินอาหารหรูหรามามากแล้ว ถูซินเยว่จึงไม่ได้อยากอาหารมากนักเธอคีบหมูนึ่งข้าวคั่วที่ซูจื่อหังชอบให้อีกฝ่ายชิ้นหนึ่ง ขณะที่กำลังจะหันไป ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องตรงมาที่ตนเองถูซินเยว่เลิกคิ้วขึ้นก็ประสบเข้ากับสายตาคู่นั้นของเหลียงปินพอดีเหลียงปินเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดิมทีอีกฝ่ายนั้นใส่เสื้อผ้าชุดใหม่มา และสวมเครื่องเงินไว้ที่คอ ให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าของที่ แต่พอเสื้อผ้าเปียก ตอนนี้จึงเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าของพ่อของถูหมิงซวนแทนซึ่งแต่เดิมหน้าตาก็น่าเกลียดอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูเตี้ยตันมากขึ้นไปอีกถูซินเยว่ขมวดคิ้ว ดวงตามีแววรังเกียจ ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันไปหาสามีของตนเองยังไงสามีตนเองก็หล่อกว่า หน้าตาคมคาย รูปร่างกำยำ เสียงมีความทุ้มต่ำ นั่นทำให้หัวใจหญิงสาวเต้นระรัวเลยทีเดียวแม้ว่าปกติแล้วถูซินเยว่จะมีสติดีมาก แต่ต่อหน้าซูจื่อหัง เธอมักจะมีท่าทีหลงใหลอย่างช่วยไม่ได้ซูจื่อหังราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ จึงหันมา แล
ถูชิวเหมยแต่งงานกับผู้ชายยาจก เดิมทีก็กลัวว่าบ้านแม่จะดูถูกเป็นทุนเดิม ดังนั้นปกติในช่วงเทศกาลจึงไม่กล้ากลับบ้าตระกูลถู มีเพียงแค่ปีใหม่ที่กลับมาไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อไม่ให้ขายหน้า ทั้งครอบครัวจึงสวมใส่ชุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายบนโต๊ะอาหารก็ยังต้องขายหน้าอย่างมากเมื่อเห็นท่าทางน้อยใจและใสซื่อของสวีเจี๋ยเอ๋อร์ ถูชิวเหมยผู้ที่เป็นแม่ก็ทำใจดุว่าลูกไม่ลง เพราะเดิมทีก็เป็นนางกับคนที่เป็นพ่อไม่ได้เรื่องเอง แล้วจะนำผลประโยชน์ของพวกผู้ใหญ่ไปผูกมัดบนตัวเด็กๆ ได้อย่างไรทันทีที่ถูชิวเหมยปล่อยมือ สวีเจี่ยเอ๋อร์ก็ทนความยั่วยวนไม่ไหว รีบแย่งน่องไก่ที่อีกฝ่ายเอาไปกลับมา และใส่ปากเคี้ยวทันทีนางหลินที่นั่งมองเด็กหญิงอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า "กินช้าๆ หน่อย ในชามยังมีอีกสองชิ้น เป็นของเจ้าทั้งหมด"สวีเจี่ยเอ๋อร์มองไปที่น่องไก่สองชิ้นในชามตามที่นางหลินบอก ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย นางรีบพยัหน้าให้นางหลิน พร้อมเผยรอยยิ้มขี้ขายบนใบหน้าถูซินเยว่ที่นั่งมองอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสงสารเด็กหญิงดูจากท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้ทันทีว่าปกติแล้วคงไม่เคยได้กินอาหารดีๆ แค่ได้เห็นน
ถูซินเยว่เข้ามาห้ามนางหลินไม่ทัน นางหลินเดินตรงไปหาแม่เฒ่าตระกูลถูแล้วหยิบอั่งเปาออกมาจากแขนของตนวางลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า "ท่านแม่ ซินเยว่เอาอั่งเปามาให้จริง ๆ พวกเจ้าก็อย่าพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้เลย”“โอ้โห อั่งเปาจริง ๆ ด้วย”ถูชิวหลานที่อยู่ข้าง ๆ สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม แต่ก็ไม่ได้เคลือบแคลงว่าเงินนี้นางหลินเป็นคนเอาออกมาเอง อย่างไรเสีย บ้านตระกูลถูก็ไม่ได้แยกกัน และเงินทั้งหมดก็ต้องมอบให้กับแม่เฒ่าถู นางหลินไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้เมื่อเห็นอั่งเปา ถูชิวหลานก็กลอกตาพร้อมยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า "ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง พวกเจ้ายากจนขนาดนี้ ใครจะไปอยากได้เศษเงินของพวกเจ้า?"ถูชิวหลานคนนี้ไม่จบไม่สิ้นสักทีใช่ไหม?ถูซินเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า "ถ้าเจ้าไม่อยากได้ และดูถูกเงินจำนวนน้อยนิดนี้ ก็เอาคืนมา""ข้าคืนให้เจ้าแน่!" ถูชิวหลานไม่เคยเห็นพวกเขาในสายตา เมื่อมองดูเสื้อผ้าการแต่งตัวของซูจื่อหังและถูซินเยว่ ใคร ๆ ก็มองออกว่าพวกเขายากจนแค่ไหน ถูชิวหลานบีบซองอั่งเปาเอาไว้ และดึงออกมานางจงใจบีบมุมซองของอั่งเปา หวังจะทำให้เงินข้างในหล่นออกมา เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่
ถนนในชนบทไม่กว้างมากนัก ถูซินเยว่และซูจื่อหังเดินไหล่ชนไหล่กันอยู่ตรงกลางถนน ซูจื่อหังเดินกุมมือเธอและก้มหน้าลงมองถูซินเยว่ถูซินเยว่รู้สึกเขินหนักมาก จึงพยายามหาข้ออ้างที่จะเปลี่ยนเรื่อง แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงสุนัขเห่าลอยมาจากทางด้านหลังเสียงหมาเห่า?ถูซินเยว่หันไปมองโดยสัญชาตญาณ ก็เห็นว่ามีสุนัขสีดำตัวใหญ่วิ่งออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ และตรงเข้าหาพวกเขาในขณะที่มันวิ่งเข้าหา ก็ส่งเสียงเห่าอย่างบ้าคลั่งสุนัขสีดำใหญ่ตัวนี้ตัวใหญ่มาก ลิ้นยาวแลบออกมา เขี้ยวแหลมของอีกฝ่ายน่ากลัวยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาของอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความดุร้ายดูท่าทางเหมือนกำลังจะพุ่งเข้ามากัดพวกเขา!ถูซินเยว่ตกใจ ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ซูจื่อหังก็ดึงเธอไปข้างหลังพร้อมกับพูดขึ้นว่า "ระวังด้วย มีบางอย่างผิดปกติกับหมาตัวนี้!"เป็นเรื่องปกติที่สุนัขจะเห่าเมื่อเห็นคน แต่สุนัขที่กระโจนตรงเข้าใส่คนแบบสุนัขตัวนี้ ทั้งยังแสดงท่าทีดุร้ายเช่นสุนัขตัวนี้นั้นมักจะพบเห็นได้น้อยปฏิกิริยาแรกของซูจื่อหังก็คือสุนัขตัวนี้กำลังพุ่งตรงมายังพวกเขา!"หมาตัวนี้มันจะเข้ามากัดพวกเรา!" ถูซฺินเยว่พูดขึ้นทันที“ไม่ต้องกลัว” ซูจื่อหั
“โอ๊ยยย!” ถูหมิงซวนส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ทำให้นกกระจอกในรังตระหนกตกใจบินหนีไปถูซินเยว่ก็ตกใจเช่นกัน เธอไม่คิดว่าสุนัขบ้าตัวนั้นจะกระโจนเข้าไปกัดถูหมิงซวนเดิมทีเธอแค่อยากจะกระโดดหนีสุนัขบ้าขึ้นไปบนเกวียนวัว แล้วขี่หนีไปแต่คาดไม่ถึงว่า........สุนัขสีดำกัดจะกัดไปที่มือของถูหมิงซวน เขี้ยวแหลมทั้งสองของมันฝังเข้าไปในฝ่ามือของนางเข้าอย่างจังตอนนี้บนเกวียนวัววุ่นวายอย่างมาก ถูหมิงซวนเจ็บจนแทบจะหมดสติ นางมองไปที่อีกด้านของเหลียงปิน และร้องขอความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "ท่านพี่ ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!"เหลียงปินไม่แม้แต่จะกล้าเข้าไปใกล้สุนัขสีดำตัวนี้น่ากลัวมาก เขาตกใจมากเมื่อเห็นท่าทางที่หวาดกลัวอันน่าเวทนาของถูหมิงซวน จนเขาอยากจะกระโดดหนีลงจากเกวียนและเหลียงปินก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ“ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ข้าช่วยเจ้าไม่ได้!”เหลียงปินตะโกนขึ้น ถอยหลังไปสองก้าวโดดลงจากเกวียนโดยทันที โดยไม่สนว่าท่าที่กระโดดลงไปจะถูกหรือผิดหลังจากที่เขากระโดดลงจากเกวียนวัว ก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้ และตกลงไปบนคันนา“โอ๊ยยย!” เหลียงปินตะโกนขึ้นอย่างดังถูหมิงซวนเสียใจกับความใจดำของเหลี
เดิมทีคิดว่าหลังจากถูชิวหลานได้ยินคำพูดของตนแล้วจะรีบเข้าไปหาแม่เฒ่าตระกูลถู และคนอื่น ๆ ทันที แต่ใครจะคิดว่าถูชิวหลานกลับกลอกตามองตรงไปที่พื้นถูซินเยว่รีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายโดยปกติแล้วถูชิวหลานมักมีท่าทีดุร้าย แต่คิดไม่ถึงว่านางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้เมื่อถูชิวหลานได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้สลบไปทันที นางเพียงตกใจราวกับว่าโดนปะทะเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกหน้ามืดจะเป็นลมหลังจากที่ถูซินเยว่เข้าไปพยุง นางก็รู้สึกตัวได้ทันที“เป็นเจ้า ต้องฝีมือของเจ้าแน่ ๆ !”ดวงตาของถูชิวหลานเบิกกว้าง เกลียดแค้นจนอยากจะฆ่าเธอให้ตายเสียนางและลูกสาวได้วางแผนไว้อย่างดีที่จะปล่อยสุนัขดุร้ายตัวนั้นให้ตามถูซินเยว่ไป แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นถูหมิงซวนที่ถูกกัด ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆหลังจากที่ถูซินเยว่หายสติไม่ดีแล้ว ก็ค่อย ๆ เปิดเผยความชั่วร้ายออกมา ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ถูชิวหลานกัดฟันกรอด และเกือบจะมั่นใจว่าเป็นกลอุบายอะไรบางอย่างของถูซินเยว่“ต้องเป็นเจ้า ต้องเป็นฝีมือของเจ้าแน่ ๆ ที่ทำให้หมิงซวนต้องถูกสุนัขกัด วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเลยคอยดู!”พูดจ
"พอได้แล้ว ไม่ต้องร้อง ร้องหาพระแสงอะไรนักหนา!"แม่เฒ่าถูยื่นไม้เท้าออกมาตีบนหลังถูชิวหลานอย่างแรง ถูชิวหลานร้องโหยหวนจนเกือบจะทำให้ถูหมิงซวนสะดุดล้มเมื่อหันไปเห็นถูซินเยว่ยืนอยู่ที่ประตู นางก็ตะโกนขึ้นทันทีว่า "เจ้า เจ้า นางคนต่ำช้า มายืนอยู่ตรงนี้ทำไมอีก?"ตอนนี้พอนางเห็นถูซินเยว่ก็โมโหขึ้นมาทันทีระหว่างทางที่เดินกลับมานี้ เมื่อเห็นมือที่ถูหมิงซวนถูกสุนัขกัด เธอก็กระจ่างขึ้นมาทันทีถูหมิงซวนใช้มือข้างนั้นนำขาแกะใส่ลงในตะกร้าของตน พอหมาบ้าได้กลิ่นที่มือของถูหมิงซวนจึงได้กัดนางเข้าให้เมื่อนึกได้ ถูชิวหลานทั้งโกรธทั้งกลัวความผิด หากไม่เป็นเช่นนั้นสุนัขคงไม่กัดถูหมิงซวนน่าโมโหจริง ๆ เดิมทีพวกเขาต้องการทำร้ายถูซินเยว่ แต่คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นตนที่กลับมาทำร้ายลูกสาวตัวเองหลายคนเข้ามาที่ลานบ้าน และมองไปที่บาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือดบนฝ่ามือของถูหมิงซวน ถูชิวหลานก็แทบจะเป็นลม“สาวน้อยผู้น่าสงสารของแม่ ทำไมเจ้าถึงโชคร้ายเพียงนี้!” ถูชิวหลานเป็นผู้หญิง แม้ว่าปกติแล้วนางจะมีเจตนาไม่ดีมากมาย แต่เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริง นางเองก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ทำได้เพียงแต่ร้องไห้เท่านั้
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด