“ไม่เป็นไรค่ะ นี่เป็นสิ่งที่หนูควรทำอยู่แล้ว!” ฟู่ซือฝานหัวเราะฮ่า ๆ ก่อนจะเปรยถามขึ้นว่า “พรุ่งนี้จะเปิดเรียนแล้ว คุณป้าจะไปส่งหนูไหมคะ?”“กลัวว่าจะไม่ได้น่ะ พรุ่งนี้เช้าป้าจะต้องไปขึ้นเครื่องบิน”ไม่รอให้ฟู่ซือฝานพูด ฟู่เจิงก็ชิงถามก่อนว่า “ขึ้นเครื่องบิน? เธอจะไปไหน?”“เมืองจิง ไปเข้าร่วมงานมอบรางวัลการแข่งขันถ่ายภาพ”ฟู่เจิงชะงักไป สายตามองไปด้านหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เขาจำได้ว่า ฮั่วตงเฉิงคือหนึ่งในคณะกรรมการของการแข่งขันถ่ายภาพ เขาเองก็คงกลับไปด้วยแน่ ๆฟู่เจิงเม้มริมฝีปาก“ว้าว คุณป้าเก่งจังเลยค่ะ!” ฟู่ซือฝานประหลาดใจวันจันทร์ ณ โรงเรียนอนุบาล ฟู่ซือฝานมาถึงยังห้องเรียน เธอถามเพื่อนร่วมโต๊ะว่า “วันนี้เช้าใครมาส่งเธอเหรอ?”“แม่ของฉัน ทำไมเหรอ?” เพื่อนร่วมโต๊ะไม่เข้าใจฟู่ซือฝานแสร้งทำเป็นถอนหายใจ “วันนี้คุณป้าเป็นคนมาส่งฉัน หม่ามี๊ของฉันไปเมืองจิงแล้วน่ะ”เด็กที่เรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ภูมิหลังของครอบครัวแต่ละคนถ้าไม่ใช่คนมีเงินก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่บ้านมีคนขับรถมีแม่บ้านไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าให้ประหลาดใจอะไรเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เพื่อนร่วมโต๊ะลวดถามขึ้นว่า
หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ ฮั่วตงเฉิงก็ไปส่งเวินเหลียงที่โรงแรมห้าดาวที่ทางผู้จัดงานจัดเตรียมเอาไว้ให้ ตอนบ่ายไปซ้อมใหญ่ยังสถานที่จัดงานหนึ่งทุ่มตรง เวินเหลียงมาถึงยังพิธีจัดงานมอบรางวัลพิธีมอบรางวัลยังไม่เริ่ม มีผู้ร่วมการแข่งขันที่ได้รับรางวัลสองสามท่านมาถึงแล้ว กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนที่นั่งที่แปะชื่อของตนเอาไว้เวินเหลียงนั่งลงในตำแหน่งที่นั่งของตน ก่อนจะเปิดโน้ตเตรียมคำพูดที่ใช้พูดในตอนรับรางวัลถัดไปทางขวาสองที่นั่งมีช่างภาพหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ช่างภาพคนนั้นมองเวินเหลียง ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ต่อข้างช่างภาพหนุ่มเป็นชายสวมแว่น เขาโน้มตัวไปด้านหน้าข้ามตัวช่างภาพหนุ่มไปมองเวินเหลียง ก่อนจะกลับมาซุบซิบกันว่า “นี่ คนที่อยู่ข้างนายใช่คนที่ได้รางวัลที่หนึ่งนั่นไหม? วันนั้นฉันส่องเฟซบุ๊กเธอถึงได้รู้ว่าเธอคืออดีตภรรยาของประธานบริหารฟู่ซื่อ”ช่างภาพหนุ่มชำเลืองมองเวินเหลียงเงียบ ๆ “เหมือนจะใช่”ชายใส่เว่นเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม “ฉันเดาว่าคงซื้อรางวัลนี้มาแน่ ๆ นายเชื่อไหม? วั่งเฉิงนั่นน่าสงสารมาก ผลงานดีได้รางวัลที่หนึ่ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นของคนอื่นไปเสียได้ แถมตัวเอง
เวินเหลียงก้มหน้าก้มตา ทว่านิ้วมือที่กำลังพิมพ์ข้อความหยุดลงแล้ว นัยน์ตาพลางประกายการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งออกมาวั่งเฉิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ตงเฉิง?ปฏิกิริยาแรกของเธอคือไม่เชื่อรู้จักกันมานานขนาดนี้ เวินเหลียงรู้สึกว่าฮั่วตงเฉิงไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ญาติทำความผิดโดยไม่ห้ามปรามหรือใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอีกอย่าง ตอนที่เธอส่งหลักฐานให้ฮั่วตงเฉิง ปฏิกิริยาของฮั่วตงเฉิงไม่เหมือนคนที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้วคุณลุงพูดขึ้นอีกว่า “คนมีเงินก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”“ผมเสิร์ชหาดู ชื่อจริงของตงเจ๋อชื่อว่าฮั่วตงเฉิง มีความเป็นไปได้จริง ๆ ว่าวั่งเฉิงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ลูกพี่ลูกน้องเขาคงไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ?” ชายสวมแว่นยิ้มพลางเอ่ยคาดเดาช่างภาพหนามส่ายหน้า “ไม่หรอกมั้ง? นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว จะมีเรื่องลูกพี่ลูกน้องชอบกันได้ยังไง?”“นี่” คุณลุงพูดขึ้นมา “ญาติกันทางสายเลือดน่ะคงไม่มี แต่ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องทางสายเลือดของตงเจ๋อ เป็นหลานสาวของคุณนายที่เป็นแม่เลี้ยงเขา”เมื่อเวินเหลียงได้ยินดังนั้น ก็นึกไปถึงท่าทีไร้เหตุผลของแม่เลี้ยงฮั่วตงเฉิง ทันใดนั้นก็คิด
เธอจำได้แม่น ในช่วงสองสามวันนั้นที่ถูกรังแกอย่างโหดร้ายที่สุด เธอถึงขั้นเก็บไปฝันว่าแม่กลับมา แม่กอดเธอพร้อมกับบอกว่าจะไม่จากไปไหนอีก หลังจากนั้นเธอก็มีเพื่อนที่โรงเรียนแล้ว และไม่มีใครรังแกเธออีกทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา มีเพียงผ้าห่มเย็น ๆ ผืนหนึ่งกับค่ำคืนที่มืดสนิท เธอนอนขดตัวพร้อมน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างช่วยไม่ได้ตอนประถมเธอฝันแบบนี้บ่อยมาก ทว่าหลังจากนั้นก็เริ่มน้อยลงไปตามอายุที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ของเธอครั้งสุดท้ายที่ฝันแบบนี้ เธอจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเป็นเมื่อไร แต่สรุปก็คือมีสิบกว่าปีแล้วก่อนหน้านี้เวินเหลียงก็มีคิดบ้างว่าตอนนี้ ‘เธอ’ อยู่ที่ไหน? แต่งงานใหม่หรือเปล่า? ทำไมถึงใจร้ายขนาดนั้น ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลย? ข้างกายมีลูกอีกคนไปตั้งนานแล้วใช่ไหมถึงได้ทิ้งเธอให้อยู่ไกล ๆ ตัว?บางครั้งเวินเหลียงก็เคียดแค้นที่ ‘เธอ’ ทิ้งเวินเหลียงเอาไว้ บางครั้งก็คิดว่า ‘เธอ’ มีความลำบากใจของตัวเองใช่ไหมหลังจากนั้นเวินเหลียงเลิกเฝ้ารอผู้ที่มีบทบาทเป็นแม่คนนี้แล้ว และไม่เคียดแค้นอะไรกับ ‘เธอ’ อีก ทำเป็นว่าบนโลกใบนี้ไม่มีคนคนนี้อยู่หลังพ่อจากไป ต้องเดินโซซัดโซเซมาตลอดทางหลายปีมานี้ เธอก็ผ่าน
ฝานฝานยังไม่ทันพูดจบ เสียงชายหนุ่มที่คุ้นเคยก็พูดแทรกเข้ามา “ฝานฝาน ไปอาบน้ำได้แล้ว”ฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้นแล้วเบะปากอย่างไม่พอใจ “หนูกำลังคุยกับคุณป้าอยู่นะ!”“อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยกลับมาคุยต่อ”มือใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางหน้าจอ มือนั้นลูบศีรษะของฟู่ซือฝาน“ฝานฝานรีบไปอาบน้ำเร็วเข้าเถอะ อาบน้ำเสร็จแล้วเราค่อยมาคุยกันต่อนะ” เวินเหลียงเอ่ย“คุณป้ารอหนูก่อนนะคะ” ฟู่ซือฝานวางโทรศัพท์ลงแล้วลุกออกไปทันใดนั้นหน้าจอก็สั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาของฟู่เจิงปรากฏขึ้นกลางหน้าจอ หน้าตาที่เคร่งขรึมทำให้คนสัมผัสได้ถึงการโจมตีที่รุนแรงเขามองวิวทิวทัศน์เบื้องหลังเวินเหลียง ก่อนจะถามขึ้นว่า “พิธีมอบรางวัลจบแล้วเหรอ?”“ฉันไม่ได้เข้าร่วม”“ทำไมล่ะ?”“เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย เลยให้คนไปรับแทนน่ะ”“เรื่องไม่คาดคิดอะไร?” ฟู่เจิงเอ่ยถามขึ้น“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” เวินเหลียงหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบฟู่เจิงมองสีหน้าของเธอในหน้าจอ “อารมณ์ของเธอไม่เหมือนกับที่เธอบอกฉันเลยนะ”เขามองออก เธอไม่สบอารมณ์เล็กน้อยเวินเหลียงไม่คิดว่าฟู่เจิงจะสายตาเฉียบแหลมขนาดนี้ นัยน์ตาเธอเปล่งประกาย พลางเม้มริ
หลินอี้หน่วนมาที่นี่บ่อย พนักงานจำเธอได้จึงฉีกยิ้มอย่างประจบสอพลออกมารอยยิ้มหนึ่งบวกกับความสัมพันธ์ของแขกในห้องรับรอง พนักงานจึงบอกมาตามตรงว่า “นายน้อยรองอู๋จองเอาไว้เมื่อสองวันก่อน ตอนนี้คุณฮั่วมาถึงแล้วค่ะ”สีหน้าหลินอี้หน่วนพลันเปลี่ยนไป ไม่คิดเลยว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของตน?“มีคนอื่นอีกไหม?”“เหมือนว่า...คุณชายเฉิน คุณชายมั่ว คุณชายเหอก็มาค่ะ”หลินอี้หน่วนหน้าคล้ำดำเขียวไปเลยบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานไฮโซที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฮั่วตงเฉิง บางคนหัวดีฉลาดประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ บางคนก็พึ่งใบบุญที่บ้านกินดื่มเที่ยวเล่นเสเพลไปวัน ๆ ทว่าภูมิหลังและตัวตนของแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดาเลยหากไม่มีคนกลาง เวินเหลียงไม่มีทางนั่งร่วมห้องรับรองกับพวกเขาได้หรอกฮั่วตงเฉิงต้องเป็นคนกลางนั่นแน่ ๆไม่นึกเลยว่าพี่ตงเฉิงจะพาเวินเหลียงไปเจอเพื่อนของตัวเอง?ทำไมกัน?หรือว่าเขาชอบเวินเหลีนง ตัดสินใจจะคบกับเวินเหลียงจริงจัง?แม่หม้ายเคยผ่านการหย่าอย่างเวินเหลียง จะคู่ควรกับเขาได้ยังไงกัน?หลินอี้หน่วนเดือดดาลจนกำมือทั้งสองข้างเป็นหมัดแน่น สีหน้าแดงระเรื่อ ไฟโทสะสุมทรวงอกทว่าไม่สามารถระบายอ
“เวินเหลียง?”“ใช่ เธอนั่นแหละ”อู๋ฮ่าวหรันเห็นหลินอี้หน่วนมีท่าทางแปลก ๆ จึงเกิดความสงสัยขึ้นมา “มีอะไรเหรอ?”“นายไม่รู้จักเวินเหลียงเหรอ?” หลินอี้หน่วนเลิกคิ้ว“ไม่รู้ ฉันต้องรู้จักเหรอ?”“เดิมทีเธอคือหลานสาวบุญธรรมที่ตระกูลฟู่แห่งเจียงเฉิงรับไปเลี้ยง ไต่เต้าขึ้นเตียงของฟู่เจิงคุณชายรองตระกูลฟู่ ยุแยงให้ผู้ใหญ่ตระกูลฟู่แตกคอกัน แต่ฟู่เจิงไม่เคยชอบเธอ หลังจากแฟนเก่ากลับมาก็หย่ากับเธอทันที”หลินอี้หน่วนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “สองสามวันก่อนคุณอาฉันไปเจียงเฉิง ได้ยินคุณอาบอกว่าเวินเหลียงตามตอแยพี่ตงเฉิงแจ ตอนพี่ตงเฉิงไปเที่ยวชมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเธอก็จะไปด้วยให้ได้ นายเองก็รู้ว่าคุณลุงเตรียมการแต่งงานของพี่ตงเฉิงเอาไว้แล้ว คุณอาเลยไปโน้มน้าวเธอ แต่ใครจะรู้ว่าเธอไม่เพียงพูดจาไม่เคารพคุณอา แต่ยังทำร้ายตงหลินจนโรคหอบหืดกำเริบด้วย”“เธอพูดจริงเหรอ?”อู๋ฮ่าวหรันไม่รู้จักเวินเหลียง แต่รู้จักฟู่เจิง“เรื่องจริงสิ ฉันจะโกหกนายทำไมล่ะ?” หลินอี้หน่วนเลิกคิ้ว “แฟนเก่าของฟู่เจิงเป็นดาราคนหนึ่ง เวินเหลียงเคยออกข่าวอยู่เหมือนกัน ไม่เชื่อนายลองไปค้นหาดูสิ”เมื่อได้ยินดังนั้น
นี่เขาเพิ่งถามขึ้นมาสองสามประโยคเท่านั้น ตงเฉิงก็ทนไม่ไหวจนต้องออกหน้ามาช่วยเวินเหลียงแล้วอู๋ฮ่าวหรันแอบพูดในใจว่า เวินเหลียงนี่มีกลยุทธ์เด็ดสุดยอดอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ถ้าขืนปล่อยให้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปแบบนี้ อาจทำให้เธอบรรลุผลที่ปรารถนาได้จริง ๆ“ฉันก็แค่สงสัยเอง?” อู๋ฮ่าวหรันฉีกยิ้ม กลัวจะแตกหักกับฮั่วตงเฉิง จึงไม่ได้ถามต่อเขาจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป“ไม่ได้เล่นมานานแล้ว คันไม้คันมือชะมัด มาเล่นสักสองสามตาดีไหม?” เฉินชวนชี้ไปที่โต๊ะเล่นไพ่กลัวว่าบรรยากาศในห้องรับรองจะดูแปลกไป ทุกคนจึงพร้อมใจพยักหน้าตอบรับเฉินชวน: “คุณเวินเล่นเป็นไหมครับ? มาเล่นด้วยกันเถอะ?”เขาชวนด้วยเจตนาดี เพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกระแวงอะไรขนาดนั้น จึงชวนเข้ามาร่วมด้วย เวินเหลียงตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งยังหน้าโต๊ะเล่นไพ่ “เคยเล่นมาสองสามครั้งค่ะ หวังว่าจะไม่แพ้หลายตาจนเกินไปนะ”“โธ่ ยิ่งเป็นมือใหม่ยิ่งโชคดีรู้ไหมครับ?” เฉินชวนมองไปที่ฮั่วตงเฉิง “ตงเฉิง นายเล่น...”ยังไม่ทันได้พูดจบ อู๋ฮ่าวหรันก็นั่งลงตรงหน้าเวินเหลียง เขาฉีกยิ้ม “ฉันเองก็คันไม้คันมือเหมือนกัน เล่นเป็นเพื่อนพวกนายสักสองสามตาละกั