เฟยเซียงนั่งเงียบก้มหน้านิดๆ อยู่ในเกี้ยวโดยไม่กล้ามองสบตาคุณชายฉีนัก ด้วยรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก จึงเพียงฟังพี่สาวกับชายหนุ่มพูดคุยกันเท่านั้น แม้เยว่ซินเองจะค่อนข้างถนอมคำตอบหากคุณชายฉีก็ดูจะพึงใจไม่น้อย ชวนคุยหลายเรื่องมาตลอดทาง“เราจะซื้อโคมกันก่อน แล้วข้าจะพาแม่นางทั้งสองไปยังที่นึง”อี๋เฉินบอกเมื่อเกี้ยวหยุดลง ก่อนเขาจะเปิดม่านแล้วลงไปก่อน เพื่อรอรับแม่นางทั้งสองคน แต่เจียวเหมยที่ตามมาด้วยและนั่งด้านหน้าเกี้ยวรีบเอ่ย“ขอโทษเจ้าค่ะคุณชายฉี”นางเป็นฝ่ายยื่นมือไปรับคุณหนูใหญ่และตามด้วยคุณหนูรองด้วยตัวเองอี๋เฉินขัดใจอยู่เพียงในใจ แต่ก็วางสีหน้าเรียบเฉยแล้วเดินนำแม่นางสองพี่น้องไปเลือกโคมไฟผู้คนโดยรอบต่างก็หันมาสนใจ ไม่มีใครไม่รู้จักคุณชายฉีผู้เก่งกาจและแม่นางลู่บุตรีท่านแม่ทัพที่มีฝีมือในการต่อสู้สามารถเดินตามรอยบิดาได้ ที่สำคัญช่างงามโดดเด่นเหนือใคร ทว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงใบหน้าหวานล้ำสะดุดตาอีกคนเป็นผู้ใด“ท่านพี่”เสียงทักดังขึ้นทำให้ทั้งสามหันมอง อี้เฉิงก้าวเข้ามาใกล้พี่ชายตน ขณะที่ผู้เป็นพี่ชายนึกแปลกใจ“อี้เฉิง แปลกนักที่เห็นเจ้า ปกติเจ้าไม่ค่อยชอบความอึกอึกรื่นเริงนี่นา”แรก
เฟยเซียงไม่ชอบที่คุณชายอี้เฉิงกล่าวเลย นางพยายามสะบัดมือดึงออกทั้งยังแกะมือหนา ทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้ อย่างไรนางก็ไม่อยากลงเรือเพราะไม่ชอบน้ำอยู่แล้ว ยิ่งต้องไปกับคนเอ่ยไม่ดีกับตนยิ่งไม่อยากไป“ข้าไม่ไปกับท่านแล้ว เชิญท่านไปผู้เดียวเถิด”อี้เฉิงไม่ยอมปล่อย เขาพยายามจะบังคับให้เฟยเซียงก้าวลงเรือ“ทำไม ไม่อยากไปลอยโคมกับข้า เพราะอยากไปกับพี่ชายข้าหรือ”“คุณชายฉี ปล่อยคุณหนูของข้าเถิดเจ้าค่ะ”เจียวเหมยเห็นว่ายืนยื้อยุดดึงรั้งกันไปมาริมน้ำค่อนข้างอันตรายจึงพยายามห้าม“ท่านเอ่ยวาจาร้ายนัก ปล่อยข้า”เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยตนง่ายๆ และไม่รู้จะทำอย่างไร เฟยเซียงจึงตีมือและทุบอกอีกฝ่าย เขาก็ยังยืนนิ่ง หมดหนทางแล้วจึงออกแรงผลักอีกฝ่ายด้วยความโมโห“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ”นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่อี้เฉิงกระตุกร่างบอบบางมาหาตนเพราะหงุดหงิดกำปั้นเล็กๆ ทว่าเมื่อร่างอีกฝ่ายถลามาหาเขาก็เสียหลัก แต่ชายหนุ่มก็ไหวตัวทัน พลิกตัวหลบทำให้เลี่ยงที่จะตกน้ำได้ ทว่าก็ล้มลงไปนั่งบนชานริมน้ำโดยมีเรือนร่างนุ่มหอมอยู่บนตัวใบหน้าเล็กซุกลงบนอกแกร่ง ปากอิ่มสวยแตะแนบเหนือตำแหน่งหัวใจ เฟยเซียงชะงักชั่วอึดใจ
ค่ำคืนที่ผ่านมาฝนตกหนักสายฟ้าแปลบปลาบและร้องคำรามอย่างน่ากลัว เฟยเซียงผวาตื่นเพราะรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมาบนตัว เจ็บจนแทบขาดใจ แล้วก็นอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความหวาดหวั่นกระทั่งใกล้ฟ้าสาง นางยังเป็นแบบนี้ในทุกครั้งเมื่อมีฝนฟ้าคะนองหนักในเช้านี้สีหน้าเฟยเซียงจึงไม่สดใสนักจนเยว่ซินที่นั่งปักผ้าใกล้ๆ เพราะต้องเริ่มหัดงานการเรือนให้คล่องแคล่วเอ่ยถาม“เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจหรือซินซิน พักนี้ดูเจ้าค่อนข้างเงียบ จะว่าไปก็นับแต่กลับจากงานเทศกาลโคมไฟ”ยิ่งใกล้ออกเรือน เยว่ซินก็ยิ่งอยากให้น้องสาวสดใส ตนเองจะได้แต่งออกไปอย่างสบายใจ แต่ดูท่าทางแล้วอีกฝ่ายน่าจะเหงายิ่งกว่าเดิม“หรือไม่อยากให้พี่แต่งงานออกไป”คนถูกถามรีบส่ายหน้า เพราะคำถามเกือบจะจี้ใจดำ มีบางแวบในความคิดที่อยากให้ไม่มีงานแต่งของพี่สาว แต่ก็ต้องต่อว่าตัวเองทุกครั้ง“เมื่อคืนข้าฝันร้าย นอนไม่หลับเจ้าค่ะ”“ฝันร้ายอาจเพราะมีเรื่องกังวลใจ”เยว่ซินไม่อยากซักไซ้ให้น้องสาวยิ่งไม่สบายใจ“ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับที่ท่านพี่แต่งงานแน่เจ้าค่ะ”เฟยเซียงบอกให้พี่สบายใจขึ้น“อืม เอาอย่างนี้ไหม พี่จะขอท่านพ่อพาเจ้าไปไหว้พระ พี่เองก็อยากไหว้พร
ภายในเกี้ยวยังเต็มไปด้วยความอึดอัดสำหรับเฟยเซียงไม่เปลี่ยน คืนที่ผ่านมานางนอนแทบไม่หลับ จิตใจกระวนกระวาย คิดไม่ตกว่าหากน้าเจียวเหมยมองนางออก แล้วพี่สาวของนางเล่า เฟยเซียงไม่อยากให้พี่สาวขุ่นเคืองใจตนเอง ความรู้สึกที่มีต่อคุณชายฉีในเวลานี้เต็มไปด้วยหวาดระแรงแม้เพียงอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนสำหรับเฟยเซียงพี่เยว่ซินกับน้าเจียวเหมยคือคนที่รักนางรักที่สุด ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากกว่าคนทั้งสองเกี้ยวเคลื่อนมาในเส้นทางช่วงที่เป็นป่าทึบแล้วอยู่ๆ ก็หยุดอย่างกะทันหัน ก่อนจะได้ยินเสียงร้องของเจียวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้า ทำให้เยว่ซินขยับตัวไปใกล้น้องสาวอย่างเป็นห่วง“ว้าย มีโจรอีกแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”ร่างสูงใหญ่ของอี๋เฉินพรวดออกไปด้านนอกทันควัน แล้วเสียงต่อสู้ก็ดังขึ้น ขณะที่เจียวเหมยเข้ามาด้านใน เยว่ซินจึงจะตามออกไป“พี่ซินซิน”เฟยเซียงรั้งพี่สาวเอาไว้ แต่เยว่ซินตบมือเบาๆ ปลอบใจก่อนจะส่งให้เจียวเหมยดูแลแล้วออกนอกเกี้ยวไปเช่นครั้งก่อน ความกลัวเข้าครอบงำหัวใจเฟยเซียง เป็นเพราะนางหรือไม่ นางเป็นตัวอัปโชคผู้นำความหายนะมาสู่ครอบครัว“ข้านำเคราะห์ร้ายมาให้ครอบครัวอย่างที่ท่านพ่อพูดใช่ไหมน้าเจียวเหมย”
เปลือกตาบางกะพริบเมื่อเริ่มรู้สึกตัว พอลืมตาขึ้นก็เห็นว่าอยู่ในกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่ง ภายในมีตะเกียงดวงน้อยเพียงดวงเดียว และด้านนอกเริ่มมืดแล้ว ร่างอ้อนแอ้นลุกพรวดพยายามที่จะออกไปข้างนอก พอจับประตูเปิดกลับไม่สามารถเปิดได้จึงเขย่าโดยแรง เริ่มได้ยินเสียงแว่วด้านนอกจึงเงี่ยหูฟัง‘มีคนต่อสู้กัน หรือมีคนมาช่วยข้าแล้ว’เฟยเซียงทั้งดันทั้งเขย่าประตูไม่หยุด“ช่วยด้วย ข้าอยู่ในนี้ ช่วยด้วย”นางตะโกนออกไปจนสุดเสียง“พี่ซินซิน ท่านมาช่วยข้าใช่หรือไม่”ไม่นานเสียงก็เงียบ แล้วมีเสียงเดินเร็วๆ มาหน้าประตูโดยไม่มีคำพูดใด เฟยเซียงหวาดหวั่นกึ่งเกรงว่าอาจไม่ใช่พี่สาวจึงถอยออกจากประตูมายืนติดโต๊ะกลางห้อง แล้วก็ได้ยินเสียงตัดเหล็กก่อนประตูจะเปิดออกอย่างรวดเร็วร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏขึ้นทำให้เฟยเซียงโล่งอก และเมื่อสบตากับตาคู่คมอ่อนเชื่อมก็อุ่นวาบไปทั้งใจ“คุณชายฉี”“แม่นางลู่ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”อี๋เฉินรีบเข้ามาจับร่างบอบบางดูอย่างเป็นห่วง เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าเขาก็ถอนหายใจโล่งอก“สวรรค์ ใจข้าไม่ดีเลยเมื่อรู้ว่าพวกโจรภูเขาฉุดเจ้ามา”เฟยเซียงยืนนิ่ง หัวใจกระตุกก่อนจะเต้นระรัว ใบหน้าร้อน ตัวร้อนวูบวาบ เห็
เฟยเซียงขยับตัวอย่างยากลำบาก รู้สึกทั้งจมูกและปากเต็มไปด้วยบางอย่างติดขัด ภายในอกอึดอัดหายใจได้ยากนัก แต่ก็พยายามลืมตาขึ้นมา“คุณหนูท่านฟื้นแล้ว”เจียวเหมยขยับมานั่งใกล้ พลางมองคุณหนูของตนด้วยสายตาเจ็บปวดอย่างที่สุด“น้าเจียวเหมย ขอน้ำ”เสียงหวานนั้นแหบเครือ รู้สึกแสบคอไปหมด พอขยับปากจะดื่มน้ำชาที่เจียวเหมยป้อนก็แสบตรงแก้มข้างหนึ่งและลำคอ มือบางยกขึ้นจะแตะแต่สาวใช้คนสนิทรั้งเอาไว้“ระวังเจ้าค่ะ แตะไม่ได้นะเจ้าคะ”“น้าเจียวเหมย”ดวงตาคู่กลมโตหวานเวลานี้ตื่นกลัว พร้อมกับมีน้ำตาคลอหน่วยแล้วรินไหลออกมาในทันใด ความรู้สึกทั้งตึงและแสบตรงข้างแก้มกับลำคอพร้อมกับมีบางอย่างโปะอยู่ บ่งบอกโดยไม่ต้องเอ่ยถามใดๆ“ไม่เป็นไรนะเจ้าคะคุณหนู น้าเจียวเหมยจะทายาสมุนไพรตามที่หมอสั่งให้คุณหนูไม่ขาด แล้วต้มยาบำรุงให้ คุณหนูใหญ่ก็บอกว่าจะขอให้นายท่านหาหมอที่เก่งทางด้านนี้มารักษาคุณหนู”เจียวเหมยพยายามให้กำลังใจ แต่นางเองก็ร้องไห้เช่นแผลไฟไหม้น่ะหรือจะหาย...เฟยเซียงคิดพลางสะอึกสะอื้น ในตอนที่ท่อนไม้หล่นลงมาแล้วโดนหน้า แม้จะไม่นานแต่ก็ร้อนรวดร้าว แต่ตนไม่มีเวลาใส่ใจ ด้วยต้องพยายามเอาชีวิตรอดก่อน ไม่คิดถึงด้วยซ้
อี้เฉิงเปิดกล่องที่ได้จากเฟยเซียงเมื่อกลับถึงจวนและอยู่ในห้องตน หลังจากอ่านจดหมายที่แนบมาด้วยแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักรูปกระต่ายอยู่มุมด้านล่างขึ้นมามอง เฟยเซียงไม่ต้องการให้เขาไปหานางที่จวนอีกแล้ว แต่เขาไม่อาจปล่อยไปได้ ก่อนหน้านี้อี้เฉิงสนใจในตัวนางเป็นทุนเดิม เมื่อเห็นว่าเฟยเซียงพึงใจในพี่ชายตนเขาก็ขุ่นเคือง ทว่าเมื่อเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้นกับนางเขายิ่งต้องการดูแลนาง“ข้าต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะเข้าใจ ต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมเปิดใจให้ข้า”เขาเอ่ยกับผ้าเช็ดหน้าไปพร้อมครุ่นคิด อยากให้นางรู้ว่าแม้นางมีรอยแผลบนใบหน้าเขาก็ไม่ติดใจ ไม่ถือใดๆ ทั้งสิ้น“หรือเพราะเจ้ามีพี่ข้าอยู่ในใจ จึงมองข้ามความใส่ใจของข้า”ความเคร่งเครียดเกาะกินจิตใจ อี้เฉิงจึงออกมาฝึกดาบที่ลานฝึกภายในจวน หากในความคิดก็ยังวนเวียนอยู่ที่ลู่เฟยเซียงแม้ไม่ได้คบหารู้จักกันนานนัก แต่เขากลับมีใจผูกพันต่อนาง อาจเพราะเคยพบกันในวัยเด็ก รอยยิ้มสดใสอย่างดีใจในวันที่เขายกกระต่ายของตนให้นั้นยังติดตา อี้เฉิงเลี้ยงกระต่ายเป็นเพื่อนในยามที่เขาร่างกายยังไม่แข็งแรงนัก แต่ตอนที่พบหนูน้อยน่ารักในวันนั้นเขาดีขึ้นมากแล้ว หากมันช่วยทำให้
เฟยเซียงวาดภาพคู่แต่งงานอย่างตั้งอกตั้งใจมาหลายวัน กระทั่งเสร็จในวันนี้ นางจะมอบสิ่งนี้ให้พี่สาว แม้รู้สึกขอบคุณคุณชายอี๋เฉินอยู่ในใจที่บุกไปช่วยเหลือตนจากโจรร้าย ทว่าใจนางไม่สั่นไหวหรือหวนคิดถึงเขาเกินควรอีกแล้ว อาจเพราะเกิดเรื่องร้ายกับตนเองและกระทบกระเทือนจิตใจมากกว่าจะใส่ใจสิ่งอื่นนางรีบเอาภาพวาดไปมอบให้พี่สาวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อให้ไม่สายเกินไป“ข้าขอให้พี่ซินซินมีความสุข”นางพึมพำพร้อมยิ้มบาง รู้สึกก้ำกึ้งระหว่างความสุขกับความเศร้าอย่างแยกไม่ออก ดีใจที่พี่สาวแต่งาน ทว่าเสียใจที่ต้องจากกันเยว่ซินหยิบภาพออกจากม้วนมาดูแล้วก็ชอบยิ่งนัก หากก็ทำให้ขัดเขินไปด้วย นางกอดน้องสาวอย่างรักใคร่“ขอบใจเจ้ามาก”เอ่ยแล้วก็ขยับห่างมองใบหน้าที่มีผ้าปิดครึ่งหน้า ก่อนจะประคองสองข้างแก้มด้วยความสงสาร“พี่คงคิดถึงเจ้ามาก”“ข้าก็เช่นกัน”เฟยเซียงเสียงเครือทว่าพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เยว่ซินเองก็กะพริบตาถี่ไล่น้ำตา“พี่อยากให้เจ้าแต่งงานออกไปจากบ้านนี้นัก”มีหรือที่เยว่ซินจะไม่รู้ว่า แม่เลี้ยงตนนั้นไม่อยากให้น้องสาวตนอยู่บ้านหลังนี้ ด้วยมองว่าอัปมงคลนำพาหายนะ ที่สนับสนุนให้นางพาน้องสาวไปวัดก็เพื
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา
“ขอลูกข้าคืนด้วย”หนิงเฟิ่งตัดความ ไม่คิดจะพูดคุยอะไรอีกแล้วเจิ้งหานยอมปล่อยลูกน้อย ไม่ใช่เพราะความตั้งใจถดถอย ยิ่งได้รู้เช่นนี้เขายิ่งรู้สึกผิดต่อหนิงเฟิ่งและลูก สมควรแล้วที่ได้รับการโกรธเคืองจากนาง“ข้าทำผิด และจะไม่แก้ตัว เวลานั้นข้าเห็นแก่งานราชกิจก่อนเจ้า จนตัดสินใจพลาดไป แต่ข้าไม่เคยคิดปล่อยคนที่ใส่ร้ายเจ้าลอยนวลเลย”“ไม่ปล่อยลอยนวลก็เลยรับเป็นสนมเช่นนั้นหรือ”หนิงเฟิ่งไม่คิดว่าตนจะหึงหวง นางโกรธที่เจิ้งหานยอมรับคนที่ใส่ร้ายนางเป็นสนม ทว่าเมื่อได้ยินกับหูนางจึงรู้ว่าตนมีความหึงหวงอยู่ในใจเอ่ยอย่างขุ่นเคืองแล้วหนิงเฟิ่งก็อุ้มลูกน้อยหันหลังจะเดินจากไป ทว่าเสียงเข้มก็ดังขึ้นด้านหลัง“ข้าไม่เคยแม้แต่ชายตาแลนาง เรื่องสนมเป็นเพียงเรื่องการเมืองสำหรับข้า ขอโทษที่ทำให้เจ้าเสียใจ”นางก้าวต่อทั้งที่รู้สึกราวเท้าหนักอึ้ง ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังเอ่ย“แม้ไม่ยกโทษให้ ก็ขอให้ข้าได้อยู่ใกล้เจ้ากับลูกเถิด หนิงเฟิ่ง ข้าอยากทำหน้าที่ของข้า...”“ข้าไม่ต้อง...”“ทั้งสามีและพ่อ”เจิ้งหานสวนขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ“หากเจ้าหมดรักแล้วข้าก็จะไม่ฝืนใจ รู้ไว้ว่าข้ารักเจ้าหมดใจก็เพียงพอแล้ว”ขอบตานางร้อนผ่า
นับแต่พบหน้าเจิ้งหานในวันนั้นหนิงเฟิ่งก็ไม่พาอวี้หลันไปสวนดอกไม้อีก หนูน้อยงอแงขึ้นอย่างไม่ยอมเชื่อฟัง ส่วนนางเองยังต้องฝึกพลังปราณอยู่ จึงต้องให้มารดากับอิงอิงดูแลแทนบางเวลา ทว่าเมื่อออกมาแล้วไม่เห็นผู้ใดนางจึงแปลกใจแล้วไปยังอุทยาน เห็นว่ามารดาตนพักผ่อนอยู่โดยมีเซียนบุปผาน้อยดูแล หากไม่เห็นอวี้หลันน้อยกับอิงอิง“หลันเอ๋อร์เล่าท่านแม่”ราชินีฟางเซียนถอนหายใจ แม้ตนจะอยู่ดินแดนบุปผาเนิ่นนาน แต่เพราะหนิงเฟิ่งเองก็ยังไม่แข็งแกร่งสมบูรณ์ ทั้งหลานก็ยังเล็กนัก ต้องมีผู้ช่วยดูแล นางจึงไม่อาจวางใจกลับเผ่าวิหคได้ แล้วยิ่งมีเรื่ององค์ชายเพิ่มมาด้วยราชินียิ่งต้องคอยช่วยเหลือให้จบลงด้วยดีเสียก่อน“แม่ให้ไปอยู่กับผู้เป็นพ่อบ้าง”“ท่านแม่”“หลันเอ๋อร์ควรได้รับความอบอุ่นจากพ่อและแม่ จะได้เติบโตขึ้นโดยไม่รู้สึกขาดสิ่งใด”“ไม่จำเป็น ลูกดูแลหลันเอ๋อร์ได้”หนิงเฟิ่งเสียงแข็งใส่มารดาอย่างไม่เคยเป็น ทั้งยังก้าวพรวดรวดเร็วจะออกไปจากตรงนี้“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน”“จะไปตามลูกเจ้าค่ะ”“อีกไม่นานอิงเอ๋อร์ก็พากลับมาแล้ว”“อิงเอ๋อร์พาไปสินะ คงต้องลงโทษกันบ้างแล้ว”เมื่อเห็นบุตรสาวเข่นเขี้ยวราชินีฟางเซียนก็ถอนหายใจ“
อวี้หลันน้อยโตเร็วจนสามารถเดินได้แล้วทว่าพูดได้ไม่กี่คำ หนิงเฟิ่งมักจะพามาเดินเล่นอุทยานดอกไม้บ่อยจนหากวันไหนไม่ออกมาหนูน้อยจะงอแงร่างน้อยเตาะแตะเล่นกับผีเสื้อวนเวียนไปมา ขณะที่หนิงเฟิ่งนั่งฝึกปักผ้าไม่ห่างและเงยหน้ามองเป็นระยะ อยู่ๆ นางก็นึกอยากทำขึ้นมาแม้ช่วงแรกจะโดนเข็มทิ่มไปไม่น้อยเลย ทว่าความทรงจำบนโลกมนุษย์ทำให้จดจำได้ว่าปักผ้านั้นช่วยให้ใจสงบมีสมาธิ แม้จะทำให้ความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องบนโลกมนุษย์บ่อยครั้ง หากก็ไม่ฟุ้งซ่านในตอนฝึกฝนจิตและพลังปราณตุ้บ...“แง...”เสียงล้มและร้องทำให้หนิงเฟิ่งรีบลุกขึ้นพร้อมทิ้งผ้าที่ปัก ขยับตัวเร็วเพื่อไปหาลูกสาวตัวน้อย ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาอุ้มขึ้นเสียก่อน นางจึงเอ่ยเสียงเข้ม“เจ้าเป็นใคร ปล่อยลูกข้านะ”ร่างสูงสง่าที่หันหลังให้นั้นดูคุ้นตา และเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาพร้อมอวี้หลันน้อยในอ้อมกอดหนิงเฟิ่งก็ถึงกับผงะ“ท่าน...ไท่จื่อ...”“มา...มา...”อวี้หลันน้อยชูมือมาทางมารดาของตน ขณะที่หนิงเฟิ่งนั้นยืนมองหน้าลูกกับใบหน้าคมคายสลับไปมา ดวงหน้าหวานซีดเผือด ทำตัวไม่ถูกกระทั่งหนูน้อยเริ่มร้องไห้อีกครั้งที่มารดาไม่เข้ามาหาตนเอง“มา...แง...”“ส่งล