เย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้า มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน“เขาตายแล้วจริงๆ หรือ”จากประสบการณ์เรื่องของอาซือหลาน ทำให้เย่จิ่งอวี้ไม่กล้ายืนยันใดๆ เจ้าสำนักเซี่ยวพยักหน้ากล่าวว่า “ตายแล้วจริงๆ”“ท่านตาฆ่าเขาหรือขอรับ”เย่จิ่งอวี้จ้องเขม็งที่ศพ รู้สึกว่าการตายของตู้เยี่ยนนั้นออกจะปุบปับไปหน่อย“มิได้”เจ้าสำนักเซี่ยวจึงค่อยๆ เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้“หรือเป็นคนที่พาตู้เยี่ยนออกไป?”เย่จิ่งอวี้สับสนอยู่ครู่หนึ่งอยู่ที่นี่ตู้เยี่ยนคงไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด แล้วคนผู้นั้นเป็นใครเจ้าสำนักเซี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คิดว่าคงไม่ใช่ คนที่ต่อสู้กับข้ามีวรยุทธ์ไม่เลวเลยทีเดียว เป่ยไห่เล็กๆ แห่งนี้ เป็นที่ที่เสือหมอบมังกรซ่อนจริงๆ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้ากล่าวว่า “ในเป่ยไห่มีสำนักต่างๆ หลายสำนัก จะต้องมียอดฝีมือเร้นกายในหมู่พวกเขาอยู่มากแน่ ในเมื่อตู้เยี่ยนตายไปแล้ว ทุกอย่างก็ยุติลง พวกเราจะได้มีความสุขในปีใหม่ได้ เสวียนเอ๋อร์ยังเตรียมเสื้อคลุมตัวใหม่ไว้ให้ท่านตาด้วย กำลังรอให้ท่านตาไปลองสวมใส่อยู่ขอรับ”ครั้นได้ยินดังนี้ ใบหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยวก็แสดงรอยยิ้มขึ้นมาทันทีนี่เป็น
อินชิงเสวียนใช้คะแนนแลกของกินจากมิติ มีบัวลอยไส้งาดำ รวมถึงบัวลอยไส้ถั่วลิสงและไส้ซานจาด้วย และยังแลกเค้กสำเร็จรูปและข้าวเหนียวแปดสมบัติด้วยศิษย์ในสำนักมาจากทั่วทุกหนทุกแห่ง มีพฤติกรรมการกินที่แตกต่างกัน จะเอาตามความชอบของตนเองอย่างเดียวไม่ได้นอกจากนี้ อินชิงเสวียนยังแลกสินค้าสำเร็จรูปจากที่ต่างๆ มาด้วย เช่นสินค้าประเภทเมล็ดแตงโมและลูกอมถั่วลิสง คะแนนสะสมจึงถูกใช้ไปเหมือนน้ำแม้ว่าของพวกนี้ราคาไม่แพง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะซื้อมาเยอะๆ ดังนั้น 500 คะแนนจึงใช้หมดอย่างรวดเร็วอวิ๋นฉ่ายอยู่กับอินชิงเสวียนมานานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นอาหารหรือของกินเล่นที่เลิศรสเช่นนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แทบอยากให้เริ่มมื้ออาหารเย็นเดี๋ยวนี้เลยเหล่าศิษย์คนอื่นได้สับไม้ไผ่จำนวนมาก เพื่อใช้ทำเป็นประทัดเฉลิมฉลองตรุษจีน เดิมทีอินชิงเสวียนอยากแลกประทัดมาบ้าง แต่คิดแล้วก็ตัดสินใจปล่อยผ่านดีกว่าเพราะของโบราณแบบนี้มีเสน่ห์มากกว่าในชั่วพริบตาก็ถึงเวลาจุดตะเกียง เฮ่ออวิ๋นทงพาต่งจื่ออวี๋มางานเลี้ยง“แม่นางอิน สวัสดีปีใหม่!”เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ต่งจื่ออวี๋ก็มีสีหน้าชื่นมื่น รีบเอ่ยทักทายถ้อยคำมงคลทัน
“ของขวัญอะไร”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายระยิบระยับคิดในใจว่าเป็นเงื่อนปมผูกรักที่เห็นเมื่อวานนี้หรือเปล่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม การรับของขวัญ ย่อมทำให้คนรู้สึกดีเสมอเย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ของสิ่งนี้ข้าใช้เวลาหาคนมาแกะสลักอยู่ตั้งนาน เสวียนเอ๋อร์ต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ”เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้พูดถึงขนาดนี้ อินชิงเสวียนก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น“เป็นอะไรหรือ”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้าลึกลับ “เสวียนเอ๋อร์หลับตาก่อน”อินชิงเสวียนปิดตาทันที กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นบนริมฝีปาก จากนั้นก็ได้กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยนางลืมตาขึ้น มองเย่จิ่งอวี้ด้วยความโกรธ“อาอวี้ทำไมถึงกะล่อนแบบนี้”“ที่ไหนกัน”เย่จิ่งอวี้ถอนริมฝีปากออก หัวเราะเบาๆ แบมือออกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือของเขา อินชิงเสวียนก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจในฝ่ามือของเขาคือหยกขนาดเท่าหัวแม่มือ ส่วนสีขาวแกะสลักเป็นรูปคนเล็กๆ สวมชุดสีฟ้าอ่อน มองเห็นเสื้อผ้าและผ้าคาดเอวได้ชัดเจน บนศีรษะยังสวมหมวกสีกรม มีจมูกมีลูกตา เหมือนจริงมากคนตัวเล็กมือทั้งสองข้างประสานกัน ถือของบางอย่างที่เป็นสีขา
อีกประเดี๋ยวต้องออกลาดตระเวนกลางคืน ทั้งสองจึงไม่ได้ไปที่โต๊ะหลักของเจ้าสำนักเซี่ยวฮวาเชียนเตรียมโต๊ะสุราอาหารให้สองพี่น้องตระกูลเย่ อินชิงเสวียนกับสาวใช้ รวมถึงโมริตะคาวาสึบาเมะและคนอื่นๆ ไว้โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่สุราอาหารบนโต๊ะใหญ่นี้ เย่จิ่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายยัยเด็กบ้านี่มีน้ำใจทีเดียว ทุกสิ่งที่เขาต้องการก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยนอกจากนี้ยังมีอาหารบางจานที่เขาไม่เคยชิมมาก่อน มองแวบแรกก็รู้ว่าอาหารสมัยใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองชิมทุกอย่าง เขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมา และลงมือกินทันทีแม้ว่าโมริตะคาวาสึบาเมะจะอยู่ในจงหยวนมานานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นอาหารที่ซับซ้อนมากมายขนาดนี้มาก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารในตงหลิว มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเดิมทีสิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นของพวกเขา แต่ชาวจงหยวนเหล่านี้หาข้ออ้างขึ้นมาส่งเดช ขับไล่ไสส่งพวกเขาไปที่เกาะ ปล่อยให้ใช้ชีวิตตามยถากรรมโมริตะคาวาสึบาเมะยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น คีบไก่ผักพริกเข้าปาก แล้วเคี้ยวหยับๆ หวังซุ่นนั่งอยู่ข้างโมริตะคาวาสึบาเมะ กลิ่นหญ้าเทียนเหลี่ยวก็โชยเข้าจมูก จึงอดไม่ได้ที่จัมองโมริตะอีกโมริตะคาวาสึบาเมะถือจอกสุรา พ
หวังซุ่นหมดสติไป แต่เย่จิ่งหลานยังคงเมาอยู่ โมริตะคาวาสึบาเมะพาทั้งสองคนไปที่ถ้ำที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ทางเข้าถ้ำแคบมาก แต่ด้านในกว้างขวาง โมริตะคาวาสึบาเมะและผู้ติดตามสองคนคลานเข้าไป เหวี่ยงเย่จิ่งหลานและหวังซุ่นสองคนลงไปที่พื้นขณะที่มองเย่จิ่งหลาน เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชา“ตัดเอ็นร้อยหวายของพวกเขาซะ จะได้หนีไปไม่ได้ หวังซุ่นเจ้าคนทรยศ รอให้ข้าจัดการผู้หญิงบ้าแซ่อินนั่นก่อนเถอะ แล้วจะมาสะสางบัญชีกับเจ้า”ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน ดึงมีดสั้นออกมาจากเอวโมริตะคาวาสึบาเมะมองด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นออกจากถ้ำไป แล้วเอาหญ้าแห้งมาปิดทางเข้าถ้ำไว้เขายังพุ่งเป้าไปที่เด็กน้อยที่ชื่อจ้าวเอ๋อร์ด้วย แต่สุนัขสีขาวตัวใหญ่นั่นมักจะติดตามเขาเป็นเงาตามตัวเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามเข้าใกล้ เจ้าสุนัขนั่นก็จะแยกเขี้ยวใส่เขาเพื่อไม่ให้คนสังเกตเห็น โมริตะคาวาสึบาเมะจึงต้องยอมแพ้แต่ความแค้นนี้เขาจดจำไว้แล้ว หากจัดการให้เป่ยไห่มาอยู่ในกำมือได้ เขาจะถลกหนังสุนัขแล้วเอาไปตุ๋นในหม้อซะพอนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ทำเสียงฮึดฮัดอย่างอาฆาตแค้น และรีบกลับเข้าเมืองเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที
หยาดฝนเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นสายฝนพรั่งพรู เปลวไฟบนเรือก็ดับลงอย่างรวดเร็ว แม้จะพบตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าไฟไหม้ แต่ก็เสียหายไปหลายส่วนของชิ้นใหญ่พวกนี้ไม่ใช่ถูกๆ อินชิงเสวียนทั้งโมโหทั้งปวดใจ“เป็นไอ้สารเลวคนไหนกันแน่ ถึงชั่วร้ายขนาดจุดไฟเผาเรือ?”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “คงมีสายลับปะปนเข้ามาในเป่ยไห่ และกบดานอยู่ที่นี่ตลอด เพื่อรอการป้องกันที่หละหลวมในวันนี้”อินชิงเสวียนเดือดดาลจนหน้าแดง“ไม่รู้ว่าศิษย์สำนักใดเป็นคนเฝ้าเรือวันนี้ พรุ่งนี้ต้องลงโทษให้หนัก”ทันทีที่พูดจบ ก็เหมือนจะได้ยินเสียงผ้าสะบัดดังมาจากข้างหลังเย่จิ่งอวี้หันหลังซัดฝ่ามือไปทันที“ผู้ใด”ชายสวมหน้ากากยิ้มเยาะ“คนที่ต้องการชีวิตของพวกเจ้า”“ตายซะ!”อินชิงเสวียนกำลังโกรธจัด นางแลกความเร็วและพลังจากมิติทันที แล้วเหาะเข้าไปเตะทันทีนอกจากนี้ยังใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภจากคนผู้นี้อีกด้วยจะสนใจทำไมว่าเขาเป็นใคร ตราบใดที่กล้าลงมือกับตัวเอง ย่อมไม่ใช่คนดีแน่นอนโมริตะคาวาสึบาเมะรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เดิมทีหลังจากตากฝน เขารู้สึกว่าตัวเองมีกำลังภายในท่วมท้น แต่เพียงครู่หนึ่ง ก็รู้สึก
“อาอวี้ อาอวี้!”อินชิงเสวียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความหวาดกลัวในเวลานี้ ประตูห้องถัดไปเปิดออก เสี่ยวหนานเฟิงเดินเตาะแตะออกมาจากห้องเขาพุ่งตัวไปหาเย่จิ่งอวี้อย่างมีความสุข ตะโกนด้วยเสียงนุ่มนิ่ม “เด็จพ่อ ลูกคิดถึงเด็จพ่อ!”อินชิงเสวียนตกใจ ตะโกนอย่างสิ้นหวัง “เสี่ยวหนานเฟิง อย่าไป!”แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เย่จิ่งอวี้หายตัวมาปรากฏต่อหน้าเสี่ยวหนานเฟิง แล้วกระบี่นั้นก็แทงทะลุร่างเล็กๆ จากนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเขายกกระบี่ขึ้น โดยมีร่างเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิงห้อยอยู่บนนั้น เลือดไหลลงมาที่ปลายกระบี่ ย้อมรองเท้าปักดิ้นมังกรทองเป็นสีแดงฉานอินชิงเสวียนไม่อาจสาธยายถึงความประหวั่นพรั่นพรึงของตัวเองได้ ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเย่จิ่งอวี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ ภาพที่ปรากฏสู่สายตาล้วนมีแต่ร่างอันไร้วิญญาณไม่เพียงแต่ศิษย์ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลอินด้วย อินจ้งถูกมีดยาวตอกร่างติดต้นไม้ ที่ปลายเท้า เป็นซูหมิงหลานที่เอื้อมมือไปที่ต้นไม้ ดวงตาเบิกโพลง ตายตาไม่หลับสองพี่น้องตระกูลอินก็ล้มอยู่ข้างๆ แม้แต่เป่าเล่อเอ่อร์ก็ไม่รอด ถัดจากนั้นก็คืออินจื่อลั่วท
ในเวลานี้ มโนภาพของเย่จิ่งอวี้ยังคงดำเนินต่อไป กิ่งไม้บนหน้าผาส่งเสียงกรอบแกรบ กิ่งไม้ปริหักแล้ว มีเพียงเปลือกไม้เล็กๆ ที่เชื่อมติดไว้ อินชิงเสวียนที่ถูกมัดมือทั้งสองข้างจมลงทันทีดวงตาของเย่จิ่งอวี้ตกใจจนดวงตาแทบถลน คำรามลั่น“เสวียนเอ๋อร์ ข้าไม่ให้เจ้าตาย!”เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี ใช้ทั้งมือและเท้าปีนขึ้นไปบนหน้าผา กอดร่างกายที่เริ่มเย็นเฉียบของอินชิงเสวียนอย่างไรก็ตาม กิ่งไม้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักของคนสองคนได้ มันหักดังแกร๊กแล้วก็ร่วงลงไปเย่จิ่งอวี้ปกป้องสมองส่วนหลังของอินชิงเสวียน และกลิ้งไปกับพื้นพร้อมนางเพื่อปกป้องหญิงสาวจากอันตราย เย่จิ่งอวี้ยอมให้สมองส่วนหลังของตัวเองกระแทกก้อนหินขรุขระ“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เสวียนเอ๋อร์ เจ้าลืมตามองหน้าข้าเร็ว ข้าคือโอรสสวรรค์ตัวจริง หากไม่มีคำสั่งจากข้า เจ้าห้ามตายเด็ดขาด!”เขาเขย่าอินชิงเสวียนอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน“เจ้ารีบคุยกับข้าเร็ว พวกเรายังมีจ้าวเอ๋อร์ ในอนาคตก็จะมีองค์หญิงน้อยน่ารัก เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อนุญาต ข้าไม่อนุญาต!”เขาปกป้องอินชิงเสวียนด้วย
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ