อินชิงเสวียนจึงทำการแลกทักษะห้าสิบห้าสิบ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จะต้องฆ่าตัวหายนะนี่ให้ตายเมื่อเห็นอินชิงเสวียนโจมตีตัวเอง อาซือหลานก็ดีใจมากในการรับรู้ของเขา อินชิงเสวียนเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดท่ามกลางคนเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย ตราบใดที่สามารถจัดการนางได้ ก็จะสามารถใช้นางกดดันเจ้าสำนักเซี่ยว เพื่อหนีไปจากที่นี่จากนั้นก็รีบรวบรวมกำลังภายในไว้ที่ฝ่ามือขวา และพูดเสียงเหยาะแหยะว่า “หากชิงเสวียนยอมฝังร่างไปพร้อมกับข้า ข้าจะยอมตายเพื่อเจ้าในทันที”เมื่อสิ้นเสียงลง ก็รู้สึกว่ากำลังที่ทรงพลังยิ่งใหญ่โจมตีมาจากฝ่ามือของอินชิงเสวียน อาซือหลานรู้สึกเจ็บหน่วงที่หน้าอก แม้ว่าเขาจะพยายามที่จะอดกลั้นเอาไว้ แต่เลือดสดก็ยังไหลออกมาจากมุมปากสีหน้าก็ซีดขาวในทันทีเหตุใดแม้แต่อินชิงเสวียนก็มีศักยภาพมากพอที่จะต่อสู้กับเขาได้ พวกเขาแอบทำกลอุบายอะไรใส่ตัวเองกันแน่? อินชิงเสวียนก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากเช่นกัน ความสามารถทักษะห้าสิบห้าสิบของนางทักษะนี้ เมื่อเจอศัตรูที่มีความแข็งแกร่ง ตัวเองก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน หากศัตรูได้รับความบาดเจ็บอย่างไร นางก็จะได้รับเช่นกันแต่
เจ้าสำนักเซี่ยวหันกลับไปพร้อมฝ่ามือภายใต้ความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลังอานุภาพจึงน่าสะพรึงกลัวอย่างมากเมื่อสองฝ่ามือปะทะกัน ลมแรงก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาในทันทีอินชิงเสวียนตามมาด้านหลัง และจำได้ว่าเขาคือผู้ที่ลักพาตัวของตัวเองมา“ผู้อาวุโสเซี่ยว เขานี่แหละ!”นางตะโกนเสียงดัง แลกทักษะห้าสิบห้าสิบอีกครั้ง และฟาดไปยังด้านหลังของชายชุดดำชายชุดดำถูกกำลังภายในอันมหาศาลของเจ้าสำนักเซี่ยวปะทะจนถอยหลังไปหลายก้าว และหลบจากการโจมตีของอินชิงเสวียนได้อย่างหวุดหวิด“เจ้าคือใครกันแน่? เหตุใดต้องทำร้ายอวี้เอ๋อร์เช่นนี้ด้วย?”เจ้าสำนักเซี่ยววางเย่จิ่งอวี้ลง และคุ้มกันเขาไว้ด้านหลังของตัวเอง ดวงตาคู่หนึ่งจ้องไปที่ชายชุดดำอินชิงเสวียนฉวยโอกาสนี้มาอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้“อาอวี้ ท่านรีบตื่นขึ้นมาสิ!”เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู สายตาของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ ฟื้นสู่ความปกติเขาจับมือที่เย็นเล็กน้อยของอินชิงเสวียน และพูดปลอบใจว่า “เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ข้าไม่เป็นไร”เมื่อเห็นว่าเขายังจำตัวเองได้ อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันนั้น เจ้าสำนักเซี่ยวปะทะฝ่ามือกับเข
จังอวี้จิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “การได้ฉลองปีใหม่ที่ริมทะเลก็ดีเช่นกันนะเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะเกิดอยู่ในหมู่บ้านประมง แต่ก็เคยเห็นเพียงแค่แม่น้ำ ไม่เคยได้เห็นทะเลที่กว้างใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”“ทะเลเป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกโล่งใจ เพียงแต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้ยังไม่สงบ ข้าจึงไม่มีทางพาพวกเจ้าไปเล่นที่ริมทะเล”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อยเมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ชาวตงหลิวพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง แม้ว่าจะหวนกลับคืนมาอีกก็ต้องใช้เวลาอีกสักพัก สองวันนี้น่าจะยังปลอดภัยอยู่“วันนี้ตอนบ่าย พวกเจ้าทั้งสองตามฝูอี้อ๋องออกไปเล่นสิ!”เมื่อสิ้นเสียงของอินชิงเสวียน เย่จิ่งหลานก็วิ่งออกมาจากห้อง“อินชิงเสวียน ดูเหมือนว่าข้าจะมีกำลังภายในบ้างแล้ว”อินชิงเสวียนไม่ค่อยอยากเชื่อ เพราะว่าเขาเพิ่งได้วิชากำลังภายในมาเมื่อวานนี้“จริงหรือ?”เย่จิ่งหลานพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ“หรือว่าเจ้าจะลองให้ข้าฟาดฝ่ามือดูล่ะ?”อินชิงเสวียนรีบปฏิเสธในทันที“ข้าไม่มีวิชาการต่อสู้ เจ้าไปฝึกซ้อมกับหวังซุ่นเถอะ อ้อ จริงด้วย อาซือหลานตายแล้วนะ”“เขา... ตายแล้วจริงหรือ
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พระจันทร์ขึ้นอย่างเงียบๆ แสงจันทร์ที่สว่างไสวสะท้อนกับผิวน้ำทะเล พื้นผิวสีฟ้าครามของน้ำทะเลดูเหมือนจะถูกเคลือบด้วยแสงสีเงินจางๆฟางรั่วนั่งอยู่บนหินโสโครกก้อนหนึ่ง เมื่อมองผิวน้ำทะเลซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด ในใจก็คิดถึงท่านแม่และน้องชายทันใดนั้นดูเหมือนนางจะเห็นท่านแม่และน้องชายจับมือกัน และเดินขึ้นจากพื้นผิวทะเลมาหานาง“ลูกรัก รีบขึ้นมาหาแม่เร็วเข้า”ท่านแม่กวักมือเรียกนางด้วยใบหน้าที่รักและเมตตา น้องชายก็ตะโกนเรียกเสียงหวานว่า “ท่านพี่ พี่รีบมานี่สิ!”ฟางรั่วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นใบหน้าซีดขาวก็มีแดงเป็นเลือดฝาดขึ้นมาสองแถบนางพูดพึมพำเบาๆ ว่า “ท่านแม่ น้องเล็ก ข้าจะไปหาพวกท่านเดี๋ยวนี้”น้ำทะเลที่มีความอุ่นห่อหุ้มเท้าเปลือยเปล่าของฟางรั่ว ราวกับสองมือของท่านแม่ที่อบอุ่นเป็นอย่างมากนางพูดเสียงดังอีกครั้งว่า“ท่านแม่ น้องเล็ก ข้ามาแล้ว!”ทันใดนั้น ฟางรั่วก็รีบตะบึงอย่างบ้าระห่ำ น้ำทะเลเปียกโชนเอวของนางอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็ถึงหน้าอกของนางความรู้สึกหายใจไม่ออกแผ่ซ่านเข้ามา ฟางรั่วปิดตาสองข้างอย่างเงียบสงบขณะนั้น แขนอันแข็งแกร่งคู่หนึ่งยื่น
ฟางรั่วเดินมาถึงชายฝั่ง เสื้อผ้าแนบกับร่างกายเพราะเปียกน้ำเย่จิ่งอวี้หันหน้าไปอีกด้านทันที และพูดกับกวนเซี่ยวว่า “ไปกับข้าหน่อยสิ”กวนเซี่ยวเหลือบมองฟางรั่ว โน้มตัวตอบรับ และเดินตรงไปยังพื้นทรายพร้อมกับเย่จิ่งอวี้อินชิงเสวียนโยนเสื้อคลุมในมือให้กับฟางรั่ว“หากเจ้าแข็งตายอยู่ที่นี่ก็คงเปลืองโลงศพแย่เลย ช่วยประหยัดทรัพยากรของต้าโจวสักหน่อยดีกว่านะ!”ฟางรั่วรับเสื้อคลุมไปคลุมไว้บนไหล่ รู้สึกอบอุ่นขึ้นไม่น้อยนางเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องไปยังอินชิงเสวียน“ท่านบอกว่าหากอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน ก็อย่ามาคบกันเลย เช่นนั้นเหตุใดจึงมาช่วยข้า?”อินชิงเสวียนรวบกระโปรงและนั่งลงบนหินโสโครกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาซือหลานตายไปแล้ว เจ้าเป็นเพียงแค่คนที่ทำตามคำสั่งผู้อื่น แม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถสร้างเรื่องข่มขู่ข้าและอาอวี้ได้อีกแล้ว”อินชิงเสวียนพูดถึงเรื่องนี้ นางชะงักเล็กน้อย และหันหน้าไปมองฟางรั่วแสงจันทร์สะท้อนบนผิวสีขาวราวกับหยกของนาง แม้จะเยือกเย็นเล็กน้อย แต่ก็ยังสวยงามอย่างไม่อาจเทียบได้“ข้าช่วยเจ้า เพราะเจ้ายังคงมีสติปัญญาในการตัดสินใจ การสังหารชาวตงหลิวเหล่า
อินชิงเสวียนหน้าแดงเล็กน้อย และรีบปรามเขาไว้“อย่านะเพคะ เจ้าสำนักเฮ่อและคนอื่นๆ ยังคงแอบอยู่ ข้าไม่อยากให้พวกเขาเห็น”เย่จิ่งอวี้จึงนึกได้ว่า ด้านหลังยังมีผู้อาวุโสสองท่านเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ จึงกระแอมไอเสียงแห้งอย่างอดไม่ได้“สีพระจันทร์ในค่ำคืนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว บทเพลงที่เจ้าร้องเมื่อครู่ก็ไพเราะอย่างมาก ชื่อเพลงคืออะไรงั้นหรือ?”อินชิงเสวียนขำพรวดออกมา นี่มันอะไรกันเนี่ย? แต่ปากก็ตอบอย่างจริงจังว่า “บทเพลงนี้มีชื่อว่าใต้ท้องทะเล ผู้ประพันธ์เพลงเขียนให้เพื่อนของเขา เพื่อหวังว่าเพื่อนคนนั้นจะรับรู้ถึงความเป็นห่วงของตัวเองผ่านเสียงเพลง และหวังว่าบทเพลงนี้จะมอบพลังในเขาผ่านความยากลำบากไปได้”“เช่นนั้นตอนจบเป็นอย่างไร?”เย่จิ่งอวี้ถามด้วยความประหลาดใจอินชิงเสวียนยิ้ม“ข้าเองก็ไม่รู้เพคะ บางทีเพื่อนของเขาอาจได้รับการรักษาจนหายดีแล้วก็ได้เพคะ”ตามข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เพลงนี้แต่งขึ้นเพื่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งตรงกับที่ผู้เขียนรู้สึกแบบเดียวกับที่เขา จึงสามารถเขียนเพลงเกี่ยวกับความสิ้นหวังและอาการหายใจลำบากที่รายล้อมไปด้วยความมืดมิด ซึ่งเหมาะกับความรู้สึกเมื่อครู่ของฟ
อินสิงอวิ๋นพยักหน้าเมื่อรู้ว่าน้องใหญ่ตามหาฝ่าบาทพบแล้ว เขาจึงวางใจได้อย่างแท้จริง เพียงแต่นางไปทำอะไรที่เป่ยไห่? อินสิงอวิ๋นมีความตั้งใจอยากถาม เมื่อเห็นเย่จั้นขมวดคิ้วแน่น สายตามองไปยังที่ห่างไกล เขาก็กลืนคำพูดลงคอไปเขาคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง และโค้งศีรษะคำนับด้วยความเคารพ“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่บอกความจริง กระหม่อมจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หากพูดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ กระหม่อมขอยอมรับความตาย”เย่จั้นได้สติกลับมาก็ยื่นมือมาพยุงเขาลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้ามีนิสัยหนักแน่น เมื่อเจอปัญหาก็ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงยอมบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า อีกทั้งเจ้ายังเป็นคนที่สนิทสนมกับฝ่าบาทและกุ้ยเฟยที่สุด เจ้ามีสิทธิ์ที่จะรับรู้ที่อยู่ของพวกเขาเช่นกัน”อินสิงอวิ๋นพูดด้วยความขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงไว้ใจ”เย่จั้นยิ้มเล็กน้อย“เจ้าและข้าต่างก็เป็นขุนนางร่วมราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องพูดจาอย่างเป็นทางการหรอกนะ ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้าช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ไปส่งยังหอเซียวเหยาแห่งเป่ยไห่ จำไว้ว่าอย่าได้ใช้คนของจุดพักม้าเชื้อพระวงศ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวรั่ว
เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนก็รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย“อาอวี้ ท่านกลับไปก่อนเถอะ”เย่จิ่งอวี้รู้ว่าอินชิงเสวียนอยากถามเรื่องเมื่อคืนนี้ จึงพยักหน้ารับ“ข้าจะรอเจ้า”อินชิงเสวียนตอบรับ และเดินมากลางห้องโถงเจ้าสำนักเซี่ยวนั่งลงบนเก้าอี้ ยกน้ำชาที่ชงด้วยน้ำพุวิญญาณขึ้นมาดื่ม และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย“ผู้เยาว์ขอพบผู้อาวุโสเซี่ยว ให้ผู้เฒ่าเช่นท่านออกไปลำบากตลอดค่ำคืนเพื่อพวกข้า ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างแท้จริง”อายุของท่านผู้เฒ่าแก่ชรายิ่งกว่าคุณย่าในยุคปัจจุบันของอินชิงเสวียนเสียอีก เมื่อมองหนวดเคราที่เต็มไปด้วยหงอก แต่กลับยังต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเรื่องนี้ อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าควรแสดงความขอบคุณอย่างไรดีเมื่อได้ยินเสียงของอินชิงเสวียน สีหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยวก็ผ่อนคลายลงทันที“ชีวิตของข้ามีไว้เพื่อความลำบาก เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่คืนนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ข้านำสุนัขออกตามหาโดยรอบ แต่กลับไม่พบร่องรอยของคนคนนั้นเลย สถานการณ์ทางด้านพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เจ้าสำนักเซี่ยวถาม แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี