เย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด”ทั้งสองคำนับอีกครั้ง และยืนขึ้นด้วยความเคารพนบนอบ“ฝ่าบาทเชิญด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและก้าวเข้าไปในบ้านซูหมิงหลานมองดูเด็กที่อวิ๋นฉ่ายอุ้มไว้อีกครั้งเสี่ยวหนานเฟิงตัวอ้วนท้วนผิวขาวอมชมพู กำลังกัดกำปั้นน้อยๆ ของตัวเองพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ดวงตาคล้ายองุ่นสีดำผลใหญ่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นช่างเป็นเด็กที่รูปงามจริงๆ!ซูหมิงหลานเห็นแล้วก็ชอบ อดไม่ได้ที่จะมองดูอีกสักหน่อยทว่าอินชิงเสวียนกลับกำลังมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา รู้สึกว่าสตรีคนนี้ดูท่าทางใจดี เค้าหน้าได้สัดส่วน ดูเหมือนคนที่มีแผนร้ายซุกซ่อนอยู่เลยแต่ว่าจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจครั้นจึงขยิบตาให้อวิ๋นฉ่าย แล้วเดินตามเย่จิ่งอวี้เข้าประตูไปทุกคนต่างนั่งในตำแหน่งที่เหมาะสม แต่อินจ้งกลับไม่มีของสิ่งใดที่จะต้อนรับขับสู้ฝ่าบาท จึงร฿สึกกระดากอายอย่างอดไม่ได้ก่อนหน้านี้ยังพอจะเหลือใบชาคุณภาพแย่อยู่บ้าง จึงรีบสั่งคนไปชงชามาต้อนรับเย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “แม่ทัพอินไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะนั่งพักสั
อินจื่อลั่วลืมตาขึ้นด้วยความไม่เชื่อ“ท่านพี่ ข้าอุ้มเขาได้จริงหรือเจ้าคะ”“อืม”อินชิงเสวียนตอบด้วยรอยยิ้มทันใดนั้นอินจื่อลั่วก็ดูมีความสุข นางอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงอย่างระมัดระวัง แล้วพาเขาไปนั่งบนเก้าอี้จู่ๆ เสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นในตัวอินจื่อลั่ว ซูหมิงหลานรีบมาอยู่ข้างๆ ลูกสาว ด้วยกลัวว่านางจะอุ้มไม่ดี ทำให้เด็กตกได้เมื่อมองดูความกังวลบนใบหน้าของซูหมิงหลานที่ดูไม่เหมือนการเสแสร้งแกล้งทำ อีกทั้งหน้าตาของนางก็ดูเอื้ออารี ไม่เหมือนคนใจร้าย บางทีเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมคิดไปเองเกินไปอินปู้อวี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเงิน ไม่เช่นนั้นข้าจะได้ซื้อของเล่นให้จ้าวเอ๋อร์เล่น”เขามีนิสัยตรงไปตรงมา คิดสิ่งใดก็พูดไปตามนั้น เขามีใบหน้าที่สง่างามและหล่อเหลา แต่จริงๆ แล้วเขามีนิสัยง่ายๆ หลังจากได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็จำได้ว่าตัวเองกลับมาเพื่อเอาเงินไว้ให้เขาจึงรีบหยิบตั๋วเงินปึกหนาออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้อินจ้ง“นี่เป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ลูกสะสมตั้งแต่ตอนที่อยู่ในวัง เดิมทีอยากฝากจิ้งอ๋องนำไปมอบให้ท่านพ่อ แต่เมื่อรู้ว่าท่านพ่อจะกลับเมืองหลว
ชาวประมงก็ประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าจะลากอวนขึ้นมาเป็นคนได้มีคนก้าวไปลองแตะดูอย่างใจกล้า พบว่ายังมีลมหายใจอุ่นๆ มาจากคนผู้นั้นทุกคนรีบกดหน้าท้องของเขา แต่ชายผู้นั้นกลับไม่สำลักน้ำออกมาเลยชายสูงอายุขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูท่าทางไม่เหมือนคนจมน้ำเลย”“จริงด้วย แต่เขาตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ล่ะ”หลายคนเห็นว่ามือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ จึงไม่สามารถตัดสินได้ชั่วขณะหนึ่งชายชราจับหน้าอกของเขาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างหนักแน่น “คนผู้นี้ยังไม่ตายแน่นอน อุ้มเขาไปที่บ้านของข้าก่อนเถอะ!”“ได้”ชาวประมงล้วนเป็นบุรุษเรียบง่าย ไม่นานก็พาคนผู้นั้นไปที่บ้านของชายชราแซ่จังอย่างสบายๆจังอวี้จิ่นผู้เป็นลูกสาวกำลังตากปลาแห้งอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อนางเห็นพ่อประคองใครบางคนเข้ามา นางก็รีบเช็ดมือแล้ววิ่งไปถามว่า “ท่านพ่อ นี่ใครเจ้าคะ”ผู้เฒ่าจังพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้จักเขาเหมือนกัน วันนี้ลากตัวเขาขึ้นมาได้ตอนเอาปลาน่ะ ข้าจับดูยังมีลมหายใจอุ่นๆ อยู่ จึงพากลับมา เจ้าไปต้มน้ำร้อนเร็วเข้า จะได้เพิ่มความอบอุ่นแก่เขา น้ำในแม่น้ำของเราหนาวเย็นมากจริง ไม่แน่ว่าอาจจะแข็งตายแล้วก็ได้”จังอวี้จิ่น
“ไม่ต้องร้องไห้แล้วเจ้าค่ะ เราผ่านความยากลำบากมาแล้ว”อินชิงเสวียนจับมืออันหยาบกร้านของซูหมิงหลานขึ้นมา และตบเบาๆ ซูหมิงหลานยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาของนาง แต่น้ำตาหยดใหม่ก็ไหลอาบหน้าทันที“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำลายบรรยากาศนะ จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้ว...”ซูหมิงหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างยากลำบาก “ข้าคิดว่าเจ้าทุ่มเทเพื่อตระกูลอินมากเกินไป เดิมทีเจ้าไม่ชอบฝ่าบาท แต่เจ้าต้องทนความยากลำบากในวังเพื่อครอบครัวของเรา ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเรื่องนั้น ก็จะรู้สึกเสียใจมาก แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของข้า แต่ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ต่างจากจื่อลั่ว ความลำบากของเจ้าที่อยู่ในวัง ข้าย่อมรู้ดี”หลังจากฟังคำพูดของซูหมิงหลานแล้ว อินชิงเสวียนก็รู้สึกตกตะลึงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีมิน่าละตั้งแต่ที่ตัวเองเข้ามา นางก็มองตัวเองด้วยความสงสาร ที่แท้นางกำลังคิดเช่นนี้อยู่นี่เองแต่นางไม่รู้ว่าตัวเองที่เป็นในวังมีชีวิตเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ จะมีความลำบากอะไร ไม่ต้องพูดถึงการได้รับความรักจากหนึ่งบุรุษที่ทุกคนใฝ่ฝัน ก็แทบเพียงพอให้อยู่อย่างสบายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังชอบเย่จิ่งอวี้อีกด้วยไม่ว่าในแ
แม่ลูกทั้งสามคุยกันจนดึกดื่น แล้วซูหมิงหลานก็พาอินจื่อลั่วที่ไม่เต็มใจกลับไปนอนยายหลี่พาเสี่ยวหนานเฟิงเข้านอนแล้ว เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนคุยกับพวกนางอย่างถูกชะตา ยายหลี่ก็พูดอย่างมีความสุข “นิสัยของพระสนมเปลี่ยนไปมาก ฮูหยินรองจะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนตบเสี่ยวหนานเฟิงเบาๆ หันกลับมาแล้วถามว่า “จากสายตาของยายหลี่ ฮูหยินรองเป็นคนดีหรือไม่ดี”ยายหลี่พูดด้วยความจริงใจ “มีสุขร่วมเสพนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่มีทุกข์ร่วมต้านนั้นเป็นเรื่องยาก แม้ว่าตระกูลอินจะถูกเนรเทศ ฮูหยินรองก็ยังไม่จากไปไหน คนเช่นนี้หาได้ยากนิ่งนัก นอกจากนี้ตั้งแต่นางแต่งเข้ามา นางก็คอยดูแลพระสนมและคุณชายทั้งสองเป็นอย่างดี พอนางรู้ว่าพระสนมชอบอันผิงอ๋อง ยังคิดที่จะให้คุณหนูสี่แต่งงานเข้าจวนรัชทายาทแทนพระสนมด้วยซ้ำ เพื่อให้พระสนมกับอันผิงอ๋องหนีไปด้วยกัน ทว่าอันผิงอ๋องกลับไปแต่งงานกับบุตรีของโหวเหนือ นางจึงต้องปล่อยวางเรื่องนี้ ฮูหยินรองปฏิบัติต่อพระสนมและคุณชายทั้งสองเช่นนี้มาหลายปีแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถเสแสร้งได้”อินชิงเสวียนพยักหน้า“เช่นนี้ก็พิสูจน์ว่าข้าไม่ได้ดูคนผิด ซูหมิงหลานเป็นคนดีอย่าง
“ชิงเสวียน!”อินปู้อวี่ยกกระบี่ขึ้นรับหน้าคนชุดดำ คนชุดดำส่งเสียงเหยียดหยาม ก้าวตัดในแนวทแยงมุมสามก้าว และสะบัดฝ่ามือใส่ที่ข้อมือของอินปู้อวี่ความเร็วของอินปู้อวี่ไม่ได้ช้า หมัดซ้ายได้เหวี่ยงออกไป ตรงไปยังรักแร้ของคนชุดดำคนชุดดำแค่นเสียงหึอย่างแหบแห้ง“สมแล้วที่เป็นคนตระกูลอิน พอมีฝีมืออยู่บ้าง”คนผู้นั้นหลบหมัดของอินปู้อวี่ บิดร่างกายด้วยท่าประหลาด และโจมตีไปยังอินชิงเสวียนอีกครั้งการเคลื่อนไหวนี้รวดเร็วมาก ความเร็วเทียบได้กับสายอสุนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงลงมา อินชิงเสวียนก็เตรียมพร้อมเช่นกัน นางรู้ว่าคนชุดดำมีวรยุทธ์สูง พลังมิติไม่สามารถจัดการกับคนผู้นั้นได้เลย ดังนั้นนางจึงแลกทักษะห้าสิบห้าสิบมาโดยไม่ต้องคิดทันใดนั้น ทั้งสองก็ก้าวเท้าจังหวะเดียวกัน ปะทะฝ่ามือออกไปพร้อมกันมีเสียงดังเปรี้ยง ฝ่ามือทั้งสองที่ปะทะกันทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายคลุ้งลานบ้านทั้งสองต่างถอยกลับไปสามก้าว แต่คนชุดดำก็หยุดเคลื่อนไหวอีกครั้ง“เจ้าเป็นใครกันแน่” คนผู้นั้นถามด้วยน้ำเสียงอึมครึมอินชิงเสวียนก็มองเขาด้วยสายตาที่เย็นชาเช่นกัน“แล้วเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงพยายามแย่งชิงพิณการเวกไป”คนชุดดำพูดอย่างเย
แม้ว่าผู้นี้จะดูลับๆ ล่อๆ แต่ก็ยังพอมีหลักการของชาวยุทธ์อยู่บ้าง หากเขาต้องการใช้ตระกูลอินข่มขู่นาง เขาคงทำไปนานแล้วอินปู้อวี่นั่งยองๆ อยู่บนพื้น มองอินชิงเสวียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล“พิณการเวกคือเรื่องอะไรกันแน่ ที่เจ้าพูดถึงลิ่นเซียว คือเป็นปรมาจารย์กระบี่ในตำนานงั้นหรือ แล้วเจ้ามีปัญหากับคนผู้นี้ได้อย่างไร”“เรื่องมันยาวน่ะ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ เล่าให้อินปู้อวี่ฟังเรื่องที่นางดีดพิณการเวกให้ส่งเสียงได้ ตลอดจนเรื่องวุ่นวายต่างๆ ทั้งหลายจู่ๆ อินปู้อวี่ก็รู้สึกหนักอึ้งจนไม่สามารถหันศีรษะได้“ในเมื่อพิณการเวกล้ำค่าถึงเพียงนี้ ทำไมถึงอยู่ในโรงเตี๊ยมได้นานขนาดนี้ ทำไมคนผู้นี้ถึงไม่มาชิงไปตั้งแต่แรก ไยจึงต้องรอจนป่านนี้”อินชิงเสวียนกลอกตา“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”เดิมทีขก็อยากไปถามลิ่นเซียวเช่นนี้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าต้องไปหาเขาได้ที่ไหน“สรุปแล้วก็คือ ห้ามบอกท่านพ่อก็พอ เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”อินปู้อวี่พยักหน้าและกล่าวว่า “คนผู้นี้มีทักษะวรยุทธ์เยี่ยมยอด แม้ว่าในวังจะมีองครักษ์ แต่พวกเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ต่อไปเจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้น ในที่สุดครอบครัวของเราก็กลับมาอยู่กั
หลิวเหล่าไท่ไท่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่กล้าคิดถึงไปไกลเพียงนั้น แค่อ่อนออกเขียนได้ก็พอแล้ว”ขณะที่เรากำลังคุยกัน ก็มีคนมาซื้อข้าว“ท่านทำงานไปก่อน ข้าจะกลับไปดูหน่อย”อินชิงเสวียนมาถึงเรือนหลังเล็กอย่างง่ายดาย อย่างที่คาดไว้ ข้าวและแป้งหมี่เหลือไม่มากแล้วนางใช้คะแนนในมิติแลกเป็นแรงงาน จากนั้นข้าวและแป้งหมี่ที่อยู่ข้างในก็ลอยออกไปโดยอัตโนมัติและจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากนั้นอินชิงเสวียนก็ออกไปจ้างรถม้า ให้ขนข้าวและแป้งหมี่สิบถุงบรรทุกกลับจวน อินปู้อวี่กำลังกวาดสายตามองไปรอบทิศอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นอินชิงเสวียนในชุดบุรุษ เขาก็วิ่งเข้ามาหาทันทีเขาพูดอย่างโกรธๆ ว่า “น้องหญิงใหญ่ ทำไมเจ้าถึงออกไปคนเดียว”“ไม่เป็นไร ข้าออกไปซื้อข้าวกับแป้งหมี่มา ขนย้ายเข้าไปข้างในได้เลย”อินชิงเสวียนมอบเงินก้อนหยวนเป่ามูลค่าห้าตำลึงให้คนขับรถม้าเมื่อเห็นเงินมากมาย คนขับรถม้าก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น“ทั้งสองท่านไม่ต้องห่วง ข้ารับรองว่าจะขนย้ายข้าวและแป้งหมี่เข้าไปเก็บโดยไม่ทำหกแม้แต่เม็ดเดียวเลย”เมื่อเห็นว่าคนขับสามารถแบกถุงข้าวและแป้งหมี่ได้เพียงสองถุงในคราวเดียว อินปู้อวี่ก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง