ซ่งจืออันรีบถามขึ้น "ท่านขอรับ มิทราบว่าสถานที่นี้คือที่ไหน ทำไมจึงลักพาตัวครอบครัวของเราทั้งสี่คนมา ไม่รู้ว่าข้าทำให้พวกท่านขุ่นเคืองยังไง หากข้าทำอะไรล่วงเกิน ข้าจะขอโทษให้ แต่ภรรยาและลูกๆ ของข้าก็ไม่เกี่ยวด้วยนี่ โปรดปล่อยพวกเขาไป มีอะไรก็ลงที่ข้าได้ จะลงโทษอย่างไรข้าก็ยอมรับเลย"ฝู้หม่ากู้พูดอย่างเย็นชา "เมื่อถึงเวลาฆ่าเจ้าจริงๆ เกรงว่าเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังภรรยาและลูกๆ ของเจ้า คนขี้ขลาดที่ไร้ค่า หุบปากซะ"ยาให้อ่อนแรงได้หมดฤทธิ์กับซ่งจืออันเกือบทั้งหมดแล้ว เขาแนบตัวอยู่บนหน้าต่างเล็กๆ แล้วมองออกไปข้างนอก "ข้าจะไม่ซ่อน ตราบใดที่ปล่อยภรรยาและลูกๆ ของข้าไป จะให้ข้าตายอย่างไรข้าก็ยอม""ฝู้หม่าแย่างข้าเกลียดคนชอบอวดความแข็งแกร่งและความกล้าหาญเช่นเจ้ามากที่สุด" หลังจากพูดเสร็จ ฝู้หม่ากู้ก็เดินกลับไปทางซ้ายอย่างเย็นชา จากนั้นเปิดประตูห้องขังห้องหนึ่งแล้วเข้าไปองค์หญิงสั่งว่าเทศกาลหันอี้ไม่อนุญาตให้เขามา ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวในคุกใต้ดินเพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับเฟิ้งเอ๋อ เขาได้ติดสินบนคนที่ดูแลคุกใต้ดินแล้ว จะให้ปล่อยพวกนางออกไปมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าเขาต้องการเข้ามาก็ไม่จำเป็นต้อ
แต่พวกเขายังคงตัวสั่น แต่เดิมพวกเขาอยู่ที่บ้านดีๆ แต่กลับถูกหลายๆ คนลักพาตัวมาอย่างโหดเหี้ยมและให้คุมขังที่นี่ อายุมากที่สุดยังไม่ถึงแปดขวบด้วยซ้ำ แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร?นางหวงก็กลัวมากเช่นกัน แต่ในฐานะแม่คน นางมีจิตใจเข้มแข็ง อดทนต่อความกลัวและความกังวล ได้ปลอบโยนบุตรชายสองคนพร้อมกับสามีแต่พอทั้งสองก็มองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและจนใจเซี่ยหลูโม่อยู่ในห้องขังอีกห้องหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งจืออันและนางหวง เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่าจิตวิญญาณของพ่อตาของเขาถูกส่งต่อไปยังลูกหลานทุกคนของตระกูลซ่งจริงๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซ่งจืออันแทบไม่ได้สุงสิงกับพ่อตาของเขาเลย เขาเป็นเพียงนักธุรกิจที่ซื่อสัตย์ แต่กลับเข้มแข็งและไม่ยอมคนเช่นนี้ ไท่กงได้สอนพวกเขาเป็นอย่างดีจริงๆตระกูลขุนนางชนชั้นสูงที่แท้จริงคืออะไร? ก็คือพวหเขาแหละ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีสมาชิกในครอบครัวรับราชการในราชสำนัก แต่ความสามัคคีและอุปนิสัยของพวกเขาก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลขุนนางหลายตระกูลต้องอับอาย ฝู้หม่ากู้ก็โกรธเพราะสิ่งนี้ ซ่งจืออันทำได้แล้ว แต่เขาไม่สามารถทำได้ฝู้หม่ากู้และหลินเฟิ้งเอ๋ออยู่ในห้องขั
ภายใต้การจัดการของไท่กง ทางตระกูลซ่งไม่ได้เกิดความวุ่นวายเขาส่งคนไปกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวง ค่ายลาดตระเวน และรอให้สำนักเขตจิงจ้าวทำงาน คนของตระกูลซ่งไปแจ้งความที่สำนักเขตจิงจ้าว พวกเขาทำเรื่องเป็นขั้นเป็นตอน เขาเชื่อว่าหากท่านอ๋องและซีซีรู้เรื่องนี้จะไม่อยู่เฉยๆ แน่ๆ พวกเขาจะต้องมีวิธีของพวกเขาเอง ส่วนคนของตระกูลซ่งในตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ งั้นเป็นสามัญชนก็ใช้วิธีของสามัญชนด้วยสำนักเขตจิงจ้าวเริ่มการสอบสวนอย่างรวดเร็ว และพบว่าแม่ลูกทั้งสามหายตัวไปกลางดึกโดยไม่ผ่านทางเข้าด้านข้างหรือทางเข้าหลัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกแอบเข้าไปและลักพาตัวไปตามปกติแล้ว สำนักเขตจิงจ้าวยังต้องการสอบถามว่าพวกเขาได้มีเรื่องกับใครหรือไม่หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงขณะตามหาคนพลางสอบปากคำ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังรู้เรื่องนี้ด้วย วันนี้ไม่มีงานประชุมยามเช้า ปี้หมิงจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงยังรายงานเรื่องตามประจำวัน โดยกล่าวว่าภรรยาและลูกๆ ของซ่งจืออันหายตัวไปอย่างไม่มีเหตุผลในกลางคืนผู้คนจากตระกูลซ่งมักจะทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับพวกเขาเสมอในเวลานี้ ทางสำนักกิ
จักรพรรดิ์ซูชิงไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่อู๋ต้าปั้นรู้จักเขาเป็นอย่างดี รู้ว่าเขากำลังโกรธเพราะสำนักกิจการภายในทำงานไม่ได้เรื่องไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นฝีมือของพระชายาอ๋องฮวย แม้ว่าจะเป็นพระชายาอ๋องฮวย แต่ก็ไม่มีทางที่ให้เครื่องประดับทองและเงินมากมายแก่นางเพียงเพื่อพูดคำดีๆ ให้ตัวเองเท่านั้นต้องมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่ในนี้ ถ้าน้องไม่พบอะไรแปลกๆ คงไม่ส่งกลับมาในวังหรอก ย่อมได้เจออะไรมาบ้าง แต่เขาเลือกที่ส่งกลับสำนักกิจการภายในอทนที่จะสอบสวนเอง ก็แสดงว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายจนเกินไปแต่ในเมื่อได้ส่งคนกลับมาแล้ว ทว่าไม่ได้ข้อมูลใดๆ แล้วจะให้จักรพรรดิ์ซูชิงไม่โกรธได้อย่างไรจักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ "เจ้าไปหาหมอหลวงให้รักษาชีวิตของนางเอาไว้ ต่อให้จะหลงเหลือลมหายใจสุดท้ายไว้ก็ต้องสอบปากคำต่อ"หากไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เขาจะรู้สึกเหมือนมีมือใหญ่กำลังจัดการมันอยู่ที่ไหนสักแห่งที่เขามองไม่เห็น มันเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังวางตาข่ายอยู่ เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้มากนัก"พ่ะย่ะค่ะ!" อู๋ต้าปั้นรับคำสั่งและถอยออกไปหลังจากสอบปากคำไปได้ครึ่งชั่วยาม อู๋ต้าปั้นก็กลับมารายงาน "ฝ่าบา
อู๋ต้าปั้นก้มหน้าลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังตอบด้วยความเคารพ "ข้าน้อยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เป่ยหมิงอ๋องไปที่สนามรบเขตหนานเจียงจากคำสั่งของฝ่าบาท และในที่สุดก็ยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมาตามความคาดหวังของฝ่าบาท ได้สร้างผลงานไว้จริงๆ ฝ่าบาทได้ให้รางวัลตอบแทนและได้ประกาศให้คนทั่วประเทศได้รับรู้ ข้าน้อยคิดว่าเป่ยหมิงอ๋องสร้างผลงานในฐานะขุนนางเป็นเรื่องจริง แต่หากบันทึกความสำเร็จที่เป็นผลดีนับพันปี ย่อมเป็นผลงานของฝ่าบาทเอง"จักรพรรดิ์ซูชิงยิ้ม "เจ้าเนี่ย เวลาพูดกับข้าก็มาเล่นไม้ด้วย อู๋ต้าปั้น ข้าไม่ใช่คนใจแคบนัก ระมัดระวังคนที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่ ข้าแค่สงสัยนิดนึง หากประชาชนต้องการสร้างวิหารเทพแห่งสงครามให้เขา ทำไมไม่เสนอข้อเสนอนี้ออกมาตอนที่เขาเพิ่งกลับเมืองหลวงหลังยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมาล่ะ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนมีอารมณ์ตื่นเต้นที่สุดต่างหาก"จักรพรรดิ์ซูชิงหยิบถ้วยขึ้นมาด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง "นอกจากนี้ ข้าจำได้ว่าในเวลานั้นมีนักปราชญ์จากทั่วประเทศได้เขียนบทความสรรเสริญเขาแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงกลับมาสรรเสริญอีก? ใช่คนกลุ่มเกียวกันอยู่หรือไม่?"อู๋ต้าปั้นถอนห
องค์หญิงใหญ่รู้ว่าพวกนางมาที่นี่เพื่อเอาใจไทเฮา แม้ว่านางจะโกรธแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะในปกติแล้วนางได้สุงสิงกับฮูหยินเหล่านั้นด้วย จึงไม่ควรมีเรื่องได้ โดยเฉพาะเสด็จพี่เพิ่งกลับมาเมืองหลวงอีกอย่าง เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ตุลาคม แผนการของซ่งซีซีจะเริ่มลงมือนั้นก็ต้องใช้พวกนางเป็นประโยชน์ด้วย เพราะนางจึงแทบไม่ได้ลังเลก็เชิญพวกนางมาฮูหยินหยานไท่ฟู่มาถึงก่อนโดยนำหยานหรูอวี้ หลานสาวนางมาด้วย องค์หญิงใหญ่อธิบายสถานการณ์ไปคร่าวๆ เนื่องจากไทเฮาได้ส่งอาหารเจและเครื่องสังเวยมาด้วย พระสนมในวังหลังก็ได้ส่งมาด้วย ส่งผลทำให้ฮูหยินคนอื่นๆ ก็อยากมาด้วยฮูหยินไทฟู่กล่าวว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากอยากทำบุญก็มาได้หมด"ฮูหยินไทฟู่นับถือศาสนาพุทธมาหลายปีแล้ว และมีจิตใจเมตตา แม้ว่านางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเหมือนกับฮูหยินเสนาบดีมู่เป็นครั้งคราว แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางกระตือรือร้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือเทศกาลหันอี้ประจำปีหนึ่งคือนางมาที่นี่เพื่อช่วยทำบุญให้วิญญาณของผู้ตายพวกนั้น สองคือนางต้องการเรียนรู้พุทธศาสนาจากพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วย ในปีก่อนๆ นางไม่ได้พาหยานหรูอวี้มาด้วย แต่ในปีนี้ หยานหรูอวี้เสนอตัวว
องค์หญิงใหญ่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย จากนั้นจ้องมองชายารองจินด้วยสายตาเย็นชา และให้นางดูแลนางเสิ่นเอาไว้ชายารองจินก็รู้สึกรำคาญเช่นกัน แต่เนื่องจากสถานะของนางเป็ฯแค่ชายารอง เมื่อกี้ที่นางเสิ่นดึงคนอื่นมาถามสารทุกข์สุขดิบนั้น นางจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งโดยตรงได้ก่อนมาที่นี่ก็บอกนางว่าคืนนี้จะเคร่งขรึม ไม่ใช่เพื่อไปตีสนิทกับผู้ใด ต้องอยู่เงียบๆ คัดลอกพระคัมภีร์ สวดมนต์ แสดงความเมตตาของตนเองจะถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าสังคมแต่แล้วทันทีที่นางมาถึง ก็เอาแต่ดึงทุกคนมาพูดคุย เห็นทุกคนเป็นคนกันเอง ทำเหมือนตนเองมาชเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น ไม่เห็นว่าสีหน้าของคุณนายใหญ่เหล่านั้นได้เปลี่ยนไปหรือ?นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อคารวะจากนั้นก็พูดเบาๆ "พระชายา มาคัดลอกพระคัมภีร์ด้วยกันเถอะนะ"นางได้นำหนังสือ "พระสูตรดั้งเดิมของพระกษิติครภโพธิสัตว์" และ "พระสูตรพระไทซ่านช่วยความทุกข์" มาด้วย ส่วนนางได้คัดลอกมาแล้วหลายรอบตอนที่ดูแลเสด็จแม่ในวังนางเสิ่นนั่งคัดลอกพระคัมภีร์บนเบาะนั่งอย่างไม่เต็มใจ พระคัมภีร์นั้นเข้าใจยากและเขียนยากด้วย แค่ไม่นานนักนางก็รู้สึกเจ็บข้อมือ อยากจะวางปากกาลงแต่กลับโด
เรื่องแผนการองค์หญิงใหญ่คืนนี้ พวกเขาไม่ได้กังวลเท่าไร ในเมื่อมือสังหารลงมือแล้วก็ย่อมจะบุกเข้าไปในคุกใต้ดินอย่างแน่นอนเนื่องจากพิธีทำบุญในคืนนี้ จวนองค์หญิงใหญ่จึงมีพระสงฆ์หลายองค์ ค่ายลาดตระเวนและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงจะลาดตระเวนสถานที่นั้นเป็นพิเศษอย่างแน่นอน หากมีมือสังหารปรากฏตัว ผู้คนที่จัดโดยอาจารย์หยูจะตะโกนเสียงดังเพื่อดึงดูดพวกเขาเมื่อเข้าไปในจวนองค์หญิง จะเข้าสู่คุกใต้ดิน มือสังหารรู้โครงสร้างของจวนองค์หญิง และรู้ทางเข้าคุกใต้ดิน ดังนั้นจะนำพวกเขาเข้าไปซ่งซีซีรู้สึกว่าสงสัยเล็กน้อย ไทเฮามอบอาหารเจและผลไม้สดมาสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ ซึ่งดึงดูดผู้คนมากมายไปเข้าร่วมด้วยเป็นไปไม่ได้ที่ไทเฮาจะทำเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นนางทำเช่นนี้เลย มีความเป็นไปได้ก็คือมันจัดโดยฮ่องเต้เนื่องจากจิ้งซินถูกส่งกลับไปยังสำนักกิจการภายใน หลังจากการสอบสวนต้องเปิดโปงองค์หญิงใหญ่แน่ๆเพราะด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับพิธีทำบุญในคืนนี้?แต่ประเด็นของความสนใจดังกล่าวเพื่ออะไรล่ะ? มันทำได้แต่ดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมมากขึ้นเท่านั้นหลังจากที่ทุกค
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก
จักรพรรดิ์ซูชิงกลับไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายในครั้งนี้จะลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงในการทดลองสูตรยารักษาใหม่ ทรงมอบหมายกิจการราชการสำคัญให้แก่เสนาบดีใหญ่ ตำรับยารักษาใหม่นี้เป็นผลจากการวิจัยอย่างหนักของหมอหลวงหลายคน ซึ่งใช้การบำบัดด้วยความร้อนเป็นหลัก ร่วมกับการฝังเข็ม และเสริมด้วยยาต้มเพื่อบำรุงร่างกาย ผ่านไปปหลายวัน มีผลดีอยู่บ้าง อาการปวดศีรษะลดลง และไม่ทรงมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน ดังนั้น ในวันนี้ที่เสด็จมาร่วมประชุมราชการ พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากรมฉีแม้จะได้ไปพบอวี้ฉื่อสวี่แล้ว แต่ความคิดของอวี้ฉื่อสวี่กลับไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ เพราะทรงทำตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ และไม่สนใจสถานการณ์สงคราม เป็นการกระทำที่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อคำกล่าวของเจ้ากรมฉีที่ว่า การเลือกพระชายารองให้เป่ยหมิงอ๋องเป็นความคิดของฮองเฮา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ ตามที่เขารู้มา ฮองเฮาเพิ่งถูกปลดจากการกักบริเวณได้ไม่นาน หลังจากได้รับอิ
ฉีฮองเฮายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ได้? ฮ่องเต้มีงานราชกิจล้นมือ จะมายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ส่วนอวี้ฉื่อสวี่นั่น ข้าจะไปทำให้เขาตายได้อย่างไร?” อวี้ฉื่อสวี่ เป็นพ่อตาขององค์หญิงใหญ่หมินฉิง ฉีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับตระกูลนี้ ฉีฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เป่ยหมิงอ๋องกำลังออกรบ เจ้ากลับไปยุ่งเรื่องหา พระชายารองให้เขา ไหนจะเรื่องที่ฮ่องเต้เคยให้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนเดียวหลายวัน แล้วเสด็จไปเยี่ยมกลางดึก เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เจ้ายังจะสร้างเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้คนเขาคิดมากได้อย่างไร?” “นั่นมันพวกเขาคิดมากไปเองทั้งนั้น เป็นการคาดเดาแบบไม่มีมูล” ฉีฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ฉีฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง “อย่าว่าแต่เรื่องร้อยเรียงที่ผู้คนเขาคาดเดากันเลย แค่ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหรือพูดอะไรออกมา ขุนนางก็ยังตีความกันไปต่างๆ นานา เจ้าจะพูดว่าไม่เกี่ยว แต่แม้แต่ในวังหลัง ฮ่องเต้ทำสีหน้ากับเจ้า เจ้าจะไม่