ซ่งซีซีบีบแก้มเขาด้วยมือ "หยุดทำหน้าดุๆ แบบนี้ต่อหน้านาง นางจะไม่คิดว่าท่านกำลังจะว่านาง"เซี่ยหลูโม่จับมือนาง ประกบริมฝีปากของนางเบาๆ "ช่วยไม่ได้ น่ะ เกิดมาก็มีสีหน้าดุร้านเช่นนี้""ท่านก็มักจะยิ้มกับข้าไม่ใช่หรือ งั้นก็ยิ้มให้นางมากๆ ด้วย"เซี่ยหลูโม่พยักหน้า "ตกลง ตามที่เจ้า"พูดเลยซ่งซีซีออกไปสั่งว่าไม่จำเป็นต้องส่งอาหารไปที่ห้องไทเฟยอีก นางจะไปตามหาไทเฟยไปยังห้องอาหารด้วยตนเองสนมฮุ่ยไทเฟยทำตัวลังเล และถามอยู่หลายครั้งว่าวันนี้อารมณ์ของเขาเป็นอย่างไร ซ่งซีซีปลอบใจนางว่า "อารมณ์ดีอยู่น่ะ"จากนั้นสนมฮุ่ยไทเฟยถึงรู้สึกโล่งใจ และไปที่ห้องอาหารกับนาง เซี่ยหลูโม่ได้นั่งลงแล้ว เมื่อเขาเห็นนางมาก็ยืนขึ้นพลางพูดว่า "เสด็จแม่มาแล้วหรือ"เขามีรูปร่างที่สูงเพรียว ใบหน้ายังคงสงบนิ่งตามปกติ เผยความสง่างามและออร่าของผู้บัญชาการทหารอย่างไรอย่างนั้นจากนั้นเขาก็ทำตัวเชื่อฟังคำพูดของภรรยาของเขาและค่อยๆ ยิ้มให้สนมฮุ่ยไทเฟยสนมฮุ่ยไทเฟยตกตะลึงในใจของนางก็นึกถึงภาพที่ก่อนจะฮ่องเต้องค์ก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมา เขาก็เผยรอยยิ้มจางๆ เช่นนี้ หรือไม่ก็ยิ้มเยาะ จากนั้นก็เป็นการดุอย่างรุนแรงตอนนี้เ
สนมฮุ่ยไทเฟยกล่าวว่า "คุณหนูจากตระกูลหวังช่างน่าสงสารจริงๆ"เสิ่นว่านจือหัวเราะเยาะ "น่าสงสารอะไรกันล่ะ ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกท่านคงไม่รู้น่ะ วันที่ซีซีแต่งงานกับผู้บังคับบัญชา นางก็แต่งงานเข้าจวนแม่ทัพด้วย แต่นางพยายามอยากเอาชนะซีซีด้วยทุกวิถีทาง ยังบอกสาวใช้ที่ข้างกายนางว่าสินเดิมของซีซีมีน้อยมากน่าอับอาย หลังๆ มีสินเดิมเพิ่มมาเป็นจำนวนมาก พวกท่านไม่รู็ว่าสีหน้าของนางมันดูแย่ขนาดไหนเชียว""มรเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร" สนมฮุ่ยไทเฟยถาม"แน่นอนว่าเป็นคนของข้าไปสอบสวนมา ตระกูลหวังดูแลจวนก็ไม่เอาไหนเช่นกัน ควบคุมปากของคนใช้ไม่ได้ ถึงยังไงหวังชิงหลูก็เกลียดแค้นซีซีของเราด้วย" เสิ่นว่านจือดูภูมิใจเล็กน้อย และตอนนี้นางก็พบว่าคนที่ศิษย์พี่สาวรองของซีซีให้นั้นใช้งานได้ดีมากทีเดียวซ่งซีซีจำได้ว่าได้พบกับหวังชิงหลูมาสองครั้ง ครั้งแรกไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ครั้งที่สองนางก็รู้สึกถึงอีกฝ่ายไม่เป็นมิตรแล้วนางกล่าวว่า "ถึงยังไงเราก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว จะเกลียดอะไรนักหนาก็แล้วแต่นาง"สนมฮุ่ยไทเฟยถ่มน้ำลาย "ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเอาซะ"นางคิดได้ทันทีว่าอำนาจทางทหา
เซี่ยหลูโม่รอมานาน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด สักวันนางจะตกหลุมรักเขาจริงๆ แล้วจะบอกเขาด้วยตนเองชีวิตของพวกเขายังคงยาวนานมาก เขาจะค่อยๆ รอวันรุ่งขึ้น ซ่งซีซีพาเสิ่นว่านจือและหงเชวี่ยไปที่จวนเฉิงเอินป๋อ และนำของขวัญมากมายไปด้วยฮูหยินเฉิงเอินป๋อนำครอบครัวออกมาเพื่อต้อนรับพวกนางเหลียงเส้าเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอก และเป็นซื่อจื่อจวนป๋อ (ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ 'ป๋อ') มีภูมิหลังที่ดีและมีหน้าตา จริงที่ว่าเป็นายในฝันของสตรีมากมายซ่งซีซีเป็นถึงพระชายา จวนเฉิงเอินป๋อจึงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ได้ยินมาว่าเฉิงเอินป๋อมีอนุมากมาย แต่วันนี้ไม่ได้เห็นพวกนางเลย เห็นเพียงฮูหยินจากบอนรองบ้านสามและบ้านสี่นำลูกๆ มาด้วยฮูหยินเฉิงเอินป๋อมีอายุเพียงประมาณสี่สิบปี นางเป็นคนอ้วนนิดหน่อย แต่ทั่วทั้งตัวของนางก็แสดงออกถึงความฉลาดและความสง่างามของนายหญิงคุณชายและคุณหนูจากจวนเฉิงเอินป๋อต่างออกมาพบ ซ่งซีซีมอบของขวัญด้วยตนเอง และพูดคุยกับพวกเขาอยู่สักพัก จากนั้นฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็เรียกให้พวกเขาออกไปจากนั้นดวงตาของซ่งซีซีก็ตกลงไปที่ใบหน้าของหลานเอ่อร์ ท้องน้อยข
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ก่อนที่ยายคนนั้นจะเดินออกไป สตรีที่สวมกระโปรงหรูปักดอกดาดตะกั่วสีแดงที่ส่งเสียงเมื่อกี้ก็เดินเข้ามา และยังคลุมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกอันล้ำค่าด้วยซ่งซีซีเหลือบมองดูแวบหนึ่ง และเห็นว่าผมของสตรีคนนี้เป็นสีเข้มและเป็นประกาย คิ้วงดงาม ผิวขาวราวกับหิมะ และใบหน้าของนางหาที่ติไม่ได้จริงๆปิ่นปักผมหยกสีขาวลายยู่อี่ปักเข้าไปในมวย มีแปะกลีบดอกไม้ที่ด้านข้างของมวย และต่างหูทับทิมคู่หนึ่งห้อยลงมาจากติ่งหูของนางเอวของนางบางและนุ่มนวลมาก ในขณะที่นางเดินนั้น มีท่าทีสง่างาม ทั้งมีเสน่ห์แต่ไม่มากเกินไปและมีความสดใสแฝงด้วยฮูหยินเฉิงเอินป๋อขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางเข้ามา ยัยตัวแสบนี่ไม่อยู่ในห้องให้ดีๆ ออกมาขัดหูขัดตาแขกผู้มีเกียรติหลังจากเห็นนางเข้าไปในห้องโถงดอกไม้ ก็มองอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ไหว้ให้ "คารวะฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่าที่จวนมีแขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยม ไม่อนุญาตให้ข้าเข้ามาห้องโถงดอกไม้ ข้าตั้งใจมาขอพบแขกผู้มีเกียรติ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียมารยาทเอา"หลานเอ่อร์เงียบมาตลอด เมื่อเห็นนางเข้ามาอย่างเย่อหยิ่ง ไม่เห็นท่านพี่อยู่ในสายตาเลย จึงดุขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือทันที "เจ้ามาทำ
หลานเอ่อร์ลุกขึ้นและพาซ่งซีซีออกไป และบังเอิญเห็นเยียนหลิวถูกเสิ่นว่านจือจับผมไว้ในขณะนี้ นางไม่หยิ่งหรือเย็นชา แก้มทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยตบหลายฉาดอย่างชัดเจน หน้าบวมด้วย เห็นๆ อยู่ว่าเสิ่นว่านจือลงมือได้โหดเหี้ยมมากเพีบงใดเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นพวกนางออกมา จากนั้นผลักนางด้วยความรังเกียจ "ไสหัวออกไป!"เยียนหลิวพยายามให้ยืนนิ่ง แต่ยังคงเงยคางมองไปที่หลานเอ่อร์ "ฮูหยินซื่อจื่อ แขกของเจ้าช่างป่าเถื่อนจริงๆ แต่ข้าต้องขอบคุณแขกของเจ้าด้วย ซื่อจื่อจะต้องรักข้ามากยิ่งขึ้น"หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็กุมท้องแล้วจากไปพร้อมกับความช่วยเหลือจากสาวใช้จู่ๆ ใบหน้าของหลานเอ่อร์ก็ซีดลง และน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างไม่หยุดซ่งซีซีพานางกลับไปที่ห้องโถงด้านข้างในลานบ้านที่นางอาศัยอยู่ เอาผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาให้นาง แล้วถอนหายใจ "นางก็กดขี่เจ้าเช่นนี้หรือ หลานเอ่อร์ เจ้าเป็นถึงท่านหญิงน่ะ!"หลานเอ่อร์สะอื้น "ท่านหญิงจะมีประโยชน์อะไร? เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้า อีกอย่าง ต่อให้เสด็จพ่อแม่ของข้าอยากจะช่วยอะไรเขาเรื่องอาชีพขนนุงก็ช่วยไม่ได้หรอก"ท่านอ๋องที่มีแค่ในนาม ไร้อำนาจ ไม่รู้หาผลประ
เสิ่นว่านจือและซ่งซีซีต่างก็กราดเกรี้ยวอย่างมาก เหลียงเส้าคนนี้ช่างโหดร้ายขนาดไหน? เขาเอาเงินของอนุเหวินไปเพื่อแต่งงานกับคนที่เขารัก ทว่าเขากลับตบหน้านางเพียงคำพูดคำเดียวซ่งซีซีถามด้วยความโกรธทันที "เขาเคยใช้กำลังกับเจ้าหรือเปล่า"หลานเอ่อร์กล่าวว่า "ยังไม่เคย"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ตอนนี้ไม่ได้ลงมือ แล้วผู้ใดจะไปรู้ว่าอนาคตเป็นยังไง หญิงงามเมืองคนนั้นกล้าหยิ่งต่อหน้าข้ามากขนาดนี้ในวันนี้ ไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะไม่ไปหาเรื่องเจ้า นางออกมาจากซ่อง แม้ว่าเป็นสตรีที่หาเงินด้วยความสามารถด้านศิลปะ แต่ฝีมือของนางก็ไม่เบาเลย"นางจับไหล่ของหลานเอ่อร์ แล้วพูดว่า "คนที่ติดตามเจ้ามามีเท่าไร เพียงพอที่จะปกป้อเจ้าหรือไม่"หลานเอ่อร์กล่าวว่า "มีสาวใช้สี่คนและยายคนหนึ่ง"ซ่งซีซีคิดที่จะกลับไปหารือกับกุ้นเอ๋อร์ และให้เขาเขียนจดหมายกลับไปถึงนิกายเพื่อถามว่าสามารถขอศิษย์พี่สาวสักสองคนมาเป็นองรักษ์ได้ได้หรือไม่ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาจะตอบตกลงหรือไม่ แต่เดิมอาจารย์ของเขาไม่เห็นด้วยให้ลูกศิษย์หญิงลงจากภูเขาเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่มันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น เมื่อเด็กคลอดออกมามีอายุได้หนึ่งเดือน ก็จะให้พวก
องค์หญิงหมิ่นชิงไม่ได้ถือสาที่ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน นางต้อนรับพวกนางอย่างกระตือรือร้นซ่งซีซีกล่าวขอโทษ "ต้องขอโทษจริงๆ คสรจะส่งจดหมายมาบอกก่อน เพียงแต่เป็นเหตุฉุกเฉิน ก็เลยมาเยี่ยมอย่างไม่ได้บอกล่วงหน้า ขอโทษจริงๆ""เจ้าพูดเช่นนี้กับข้ามันไม่ดูเหินห่างไปหน่อยหรือ" องค์หญิงหมิ่นชิงพูดด้วยรอยยิ้ม "เจ้ามาวันนี้ และฮุ่ยเจิงก็มาเที่ยวที่นี่พอดี นางตะกละเลยท้องเสีย เวลานี้ไปห้องน้ำแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะเห็นนางด้วย""ตะกละเลยท้องเสียอะไรกัน ท่านพี่อย่าพูดไม่จริงเลย"ทันใดนั้น องค์หญิงฮุ่ยเจิงก็นำคนใช้เข้ามา นางเอามือปิดหน้าท้องของนาง เห็นได้ชัดว่ายังคงรู้สึกไม่สบายอยู่ แต่การเถียงกับองค์หญิงหมิ่นชิงกลับดูทรงพลังมากองค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ฮาๆ ซีซีอยู่ที่นี่ เจ้าอยากรักษาหน้าเลยไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เจ้าก็ตะกละไง เซียนหนิงก็เหมือนกับเจ้าไม่มีผิด"ซ่งซีซีพาเสิ่นว่านจือ และหงเชวี่ยกราบไหว้ "ขอคารวะองค์หญิงฮุ่ยเจิงเจ้าค่ะ"ฮุ่ยเจิงก็ไหว้กลับ "ทุกคนก็นั่งลงกันเถอะ มัวแต่ยืนอยู่ที่นั่นทำไม ซีซี ทำไมวันนี้หน้าซีดจัง ใครรังแกเจ้าล่ะ?"ซ่งซีซีนั่งลงและเล่าเรื่องทุก
องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ท่ารพ่อตาของข้าดูแลฝ่ายตรวจการเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจการ ก่อนหน้านี้ที่เขากลับจวนมาทานข้าว ได้ยินเขาพูดถึงว่าบัดนี้ต้องปรับปุงและเข้มงวดกับการกระทำของข้าราชการมากขึ้น ต้องใช้กฏต่างๆ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนตั้งไว้ต่อ การเป็นข้าราชการย่อมซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจ ทุกวันนี้เขากำลังหารือกับอวี้สื่อจงเฉิง(เป็นขุนนางฝ่ายตรวจสอบในราชสำนัก)เกี่ยวกับเรื่องนี้ งั้นซื่อจื่อเหลียงก็มาถูกเวลาพอดี"ซ่งซีซีได้ยินคำพูดนั้น และพูดด้วยรอยยิ้ม "นั่นก็พอดีเลย แต่รอสักวันสองวันก็ได้ หญิงงามเมืองคนนั้นโดนทุบตีในวันนี้ ซื่อจื่อคงทุกข์ใจมาก ข้าเคยเจอเขามาครั้งหนึ่ง เขาดูถูกดูแคลนข้าอย่างมาก คิดดูว่าเขาต้องมาเอาเรื่องที่จวนแน่ๆ ไม่รู้ว่าการรุกรานพระชายาถือเป็นอาชญากรรมได้หรือไม่"องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ได้ยินมาว่าซื่อจื่อเป็นเทวดาลับชาติมาเกิด มีพรสวรรค์พิเศษ เขาเป็นถ้านฮัวที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เอง เป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิ การเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิยิ่งต้องยับยั้งตัวเองและเป็นตัวอย่างที่ดี ตอนนี้ฝ่ายในวุ่นวายไปหมด ยังไปเที่ยวสถานบันเทิงอย่างเปิดเผย กลับรับคนในนั้นมาเป็นอนุภรรยาและให้ความ
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู