ซ่งซีซีบีบแก้มเขาด้วยมือ "หยุดทำหน้าดุๆ แบบนี้ต่อหน้านาง นางจะไม่คิดว่าท่านกำลังจะว่านาง"เซี่ยหลูโม่จับมือนาง ประกบริมฝีปากของนางเบาๆ "ช่วยไม่ได้ น่ะ เกิดมาก็มีสีหน้าดุร้านเช่นนี้""ท่านก็มักจะยิ้มกับข้าไม่ใช่หรือ งั้นก็ยิ้มให้นางมากๆ ด้วย"เซี่ยหลูโม่พยักหน้า "ตกลง ตามที่เจ้า"พูดเลยซ่งซีซีออกไปสั่งว่าไม่จำเป็นต้องส่งอาหารไปที่ห้องไทเฟยอีก นางจะไปตามหาไทเฟยไปยังห้องอาหารด้วยตนเองสนมฮุ่ยไทเฟยทำตัวลังเล และถามอยู่หลายครั้งว่าวันนี้อารมณ์ของเขาเป็นอย่างไร ซ่งซีซีปลอบใจนางว่า "อารมณ์ดีอยู่น่ะ"จากนั้นสนมฮุ่ยไทเฟยถึงรู้สึกโล่งใจ และไปที่ห้องอาหารกับนาง เซี่ยหลูโม่ได้นั่งลงแล้ว เมื่อเขาเห็นนางมาก็ยืนขึ้นพลางพูดว่า "เสด็จแม่มาแล้วหรือ"เขามีรูปร่างที่สูงเพรียว ใบหน้ายังคงสงบนิ่งตามปกติ เผยความสง่างามและออร่าของผู้บัญชาการทหารอย่างไรอย่างนั้นจากนั้นเขาก็ทำตัวเชื่อฟังคำพูดของภรรยาของเขาและค่อยๆ ยิ้มให้สนมฮุ่ยไทเฟยสนมฮุ่ยไทเฟยตกตะลึงในใจของนางก็นึกถึงภาพที่ก่อนจะฮ่องเต้องค์ก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมา เขาก็เผยรอยยิ้มจางๆ เช่นนี้ หรือไม่ก็ยิ้มเยาะ จากนั้นก็เป็นการดุอย่างรุนแรงตอนนี้เ
สนมฮุ่ยไทเฟยกล่าวว่า "คุณหนูจากตระกูลหวังช่างน่าสงสารจริงๆ"เสิ่นว่านจือหัวเราะเยาะ "น่าสงสารอะไรกันล่ะ ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกท่านคงไม่รู้น่ะ วันที่ซีซีแต่งงานกับผู้บังคับบัญชา นางก็แต่งงานเข้าจวนแม่ทัพด้วย แต่นางพยายามอยากเอาชนะซีซีด้วยทุกวิถีทาง ยังบอกสาวใช้ที่ข้างกายนางว่าสินเดิมของซีซีมีน้อยมากน่าอับอาย หลังๆ มีสินเดิมเพิ่มมาเป็นจำนวนมาก พวกท่านไม่รู็ว่าสีหน้าของนางมันดูแย่ขนาดไหนเชียว""มรเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร" สนมฮุ่ยไทเฟยถาม"แน่นอนว่าเป็นคนของข้าไปสอบสวนมา ตระกูลหวังดูแลจวนก็ไม่เอาไหนเช่นกัน ควบคุมปากของคนใช้ไม่ได้ ถึงยังไงหวังชิงหลูก็เกลียดแค้นซีซีของเราด้วย" เสิ่นว่านจือดูภูมิใจเล็กน้อย และตอนนี้นางก็พบว่าคนที่ศิษย์พี่สาวรองของซีซีให้นั้นใช้งานได้ดีมากทีเดียวซ่งซีซีจำได้ว่าได้พบกับหวังชิงหลูมาสองครั้ง ครั้งแรกไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ครั้งที่สองนางก็รู้สึกถึงอีกฝ่ายไม่เป็นมิตรแล้วนางกล่าวว่า "ถึงยังไงเราก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว จะเกลียดอะไรนักหนาก็แล้วแต่นาง"สนมฮุ่ยไทเฟยถ่มน้ำลาย "ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเอาซะ"นางคิดได้ทันทีว่าอำนาจทางทหา
เซี่ยหลูโม่รอมานาน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด สักวันนางจะตกหลุมรักเขาจริงๆ แล้วจะบอกเขาด้วยตนเองชีวิตของพวกเขายังคงยาวนานมาก เขาจะค่อยๆ รอวันรุ่งขึ้น ซ่งซีซีพาเสิ่นว่านจือและหงเชวี่ยไปที่จวนเฉิงเอินป๋อ และนำของขวัญมากมายไปด้วยฮูหยินเฉิงเอินป๋อนำครอบครัวออกมาเพื่อต้อนรับพวกนางเหลียงเส้าเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอก และเป็นซื่อจื่อจวนป๋อ (ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ 'ป๋อ') มีภูมิหลังที่ดีและมีหน้าตา จริงที่ว่าเป็นายในฝันของสตรีมากมายซ่งซีซีเป็นถึงพระชายา จวนเฉิงเอินป๋อจึงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ได้ยินมาว่าเฉิงเอินป๋อมีอนุมากมาย แต่วันนี้ไม่ได้เห็นพวกนางเลย เห็นเพียงฮูหยินจากบอนรองบ้านสามและบ้านสี่นำลูกๆ มาด้วยฮูหยินเฉิงเอินป๋อมีอายุเพียงประมาณสี่สิบปี นางเป็นคนอ้วนนิดหน่อย แต่ทั่วทั้งตัวของนางก็แสดงออกถึงความฉลาดและความสง่างามของนายหญิงคุณชายและคุณหนูจากจวนเฉิงเอินป๋อต่างออกมาพบ ซ่งซีซีมอบของขวัญด้วยตนเอง และพูดคุยกับพวกเขาอยู่สักพัก จากนั้นฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็เรียกให้พวกเขาออกไปจากนั้นดวงตาของซ่งซีซีก็ตกลงไปที่ใบหน้าของหลานเอ่อร์ ท้องน้อยข
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ก่อนที่ยายคนนั้นจะเดินออกไป สตรีที่สวมกระโปรงหรูปักดอกดาดตะกั่วสีแดงที่ส่งเสียงเมื่อกี้ก็เดินเข้ามา และยังคลุมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกอันล้ำค่าด้วยซ่งซีซีเหลือบมองดูแวบหนึ่ง และเห็นว่าผมของสตรีคนนี้เป็นสีเข้มและเป็นประกาย คิ้วงดงาม ผิวขาวราวกับหิมะ และใบหน้าของนางหาที่ติไม่ได้จริงๆปิ่นปักผมหยกสีขาวลายยู่อี่ปักเข้าไปในมวย มีแปะกลีบดอกไม้ที่ด้านข้างของมวย และต่างหูทับทิมคู่หนึ่งห้อยลงมาจากติ่งหูของนางเอวของนางบางและนุ่มนวลมาก ในขณะที่นางเดินนั้น มีท่าทีสง่างาม ทั้งมีเสน่ห์แต่ไม่มากเกินไปและมีความสดใสแฝงด้วยฮูหยินเฉิงเอินป๋อขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางเข้ามา ยัยตัวแสบนี่ไม่อยู่ในห้องให้ดีๆ ออกมาขัดหูขัดตาแขกผู้มีเกียรติหลังจากเห็นนางเข้าไปในห้องโถงดอกไม้ ก็มองอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ไหว้ให้ "คารวะฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่าที่จวนมีแขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยม ไม่อนุญาตให้ข้าเข้ามาห้องโถงดอกไม้ ข้าตั้งใจมาขอพบแขกผู้มีเกียรติ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียมารยาทเอา"หลานเอ่อร์เงียบมาตลอด เมื่อเห็นนางเข้ามาอย่างเย่อหยิ่ง ไม่เห็นท่านพี่อยู่ในสายตาเลย จึงดุขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือทันที "เจ้ามาทำ
หลานเอ่อร์ลุกขึ้นและพาซ่งซีซีออกไป และบังเอิญเห็นเยียนหลิวถูกเสิ่นว่านจือจับผมไว้ในขณะนี้ นางไม่หยิ่งหรือเย็นชา แก้มทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยตบหลายฉาดอย่างชัดเจน หน้าบวมด้วย เห็นๆ อยู่ว่าเสิ่นว่านจือลงมือได้โหดเหี้ยมมากเพีบงใดเมื่อเสิ่นว่านจือเห็นพวกนางออกมา จากนั้นผลักนางด้วยความรังเกียจ "ไสหัวออกไป!"เยียนหลิวพยายามให้ยืนนิ่ง แต่ยังคงเงยคางมองไปที่หลานเอ่อร์ "ฮูหยินซื่อจื่อ แขกของเจ้าช่างป่าเถื่อนจริงๆ แต่ข้าต้องขอบคุณแขกของเจ้าด้วย ซื่อจื่อจะต้องรักข้ามากยิ่งขึ้น"หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็กุมท้องแล้วจากไปพร้อมกับความช่วยเหลือจากสาวใช้จู่ๆ ใบหน้าของหลานเอ่อร์ก็ซีดลง และน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างไม่หยุดซ่งซีซีพานางกลับไปที่ห้องโถงด้านข้างในลานบ้านที่นางอาศัยอยู่ เอาผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาให้นาง แล้วถอนหายใจ "นางก็กดขี่เจ้าเช่นนี้หรือ หลานเอ่อร์ เจ้าเป็นถึงท่านหญิงน่ะ!"หลานเอ่อร์สะอื้น "ท่านหญิงจะมีประโยชน์อะไร? เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้า อีกอย่าง ต่อให้เสด็จพ่อแม่ของข้าอยากจะช่วยอะไรเขาเรื่องอาชีพขนนุงก็ช่วยไม่ได้หรอก"ท่านอ๋องที่มีแค่ในนาม ไร้อำนาจ ไม่รู้หาผลประ
เสิ่นว่านจือและซ่งซีซีต่างก็กราดเกรี้ยวอย่างมาก เหลียงเส้าคนนี้ช่างโหดร้ายขนาดไหน? เขาเอาเงินของอนุเหวินไปเพื่อแต่งงานกับคนที่เขารัก ทว่าเขากลับตบหน้านางเพียงคำพูดคำเดียวซ่งซีซีถามด้วยความโกรธทันที "เขาเคยใช้กำลังกับเจ้าหรือเปล่า"หลานเอ่อร์กล่าวว่า "ยังไม่เคย"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ตอนนี้ไม่ได้ลงมือ แล้วผู้ใดจะไปรู้ว่าอนาคตเป็นยังไง หญิงงามเมืองคนนั้นกล้าหยิ่งต่อหน้าข้ามากขนาดนี้ในวันนี้ ไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะไม่ไปหาเรื่องเจ้า นางออกมาจากซ่อง แม้ว่าเป็นสตรีที่หาเงินด้วยความสามารถด้านศิลปะ แต่ฝีมือของนางก็ไม่เบาเลย"นางจับไหล่ของหลานเอ่อร์ แล้วพูดว่า "คนที่ติดตามเจ้ามามีเท่าไร เพียงพอที่จะปกป้อเจ้าหรือไม่"หลานเอ่อร์กล่าวว่า "มีสาวใช้สี่คนและยายคนหนึ่ง"ซ่งซีซีคิดที่จะกลับไปหารือกับกุ้นเอ๋อร์ และให้เขาเขียนจดหมายกลับไปถึงนิกายเพื่อถามว่าสามารถขอศิษย์พี่สาวสักสองคนมาเป็นองรักษ์ได้ได้หรือไม่ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาจะตอบตกลงหรือไม่ แต่เดิมอาจารย์ของเขาไม่เห็นด้วยให้ลูกศิษย์หญิงลงจากภูเขาเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่มันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น เมื่อเด็กคลอดออกมามีอายุได้หนึ่งเดือน ก็จะให้พวก
องค์หญิงหมิ่นชิงไม่ได้ถือสาที่ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน นางต้อนรับพวกนางอย่างกระตือรือร้นซ่งซีซีกล่าวขอโทษ "ต้องขอโทษจริงๆ คสรจะส่งจดหมายมาบอกก่อน เพียงแต่เป็นเหตุฉุกเฉิน ก็เลยมาเยี่ยมอย่างไม่ได้บอกล่วงหน้า ขอโทษจริงๆ""เจ้าพูดเช่นนี้กับข้ามันไม่ดูเหินห่างไปหน่อยหรือ" องค์หญิงหมิ่นชิงพูดด้วยรอยยิ้ม "เจ้ามาวันนี้ และฮุ่ยเจิงก็มาเที่ยวที่นี่พอดี นางตะกละเลยท้องเสีย เวลานี้ไปห้องน้ำแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะเห็นนางด้วย""ตะกละเลยท้องเสียอะไรกัน ท่านพี่อย่าพูดไม่จริงเลย"ทันใดนั้น องค์หญิงฮุ่ยเจิงก็นำคนใช้เข้ามา นางเอามือปิดหน้าท้องของนาง เห็นได้ชัดว่ายังคงรู้สึกไม่สบายอยู่ แต่การเถียงกับองค์หญิงหมิ่นชิงกลับดูทรงพลังมากองค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ฮาๆ ซีซีอยู่ที่นี่ เจ้าอยากรักษาหน้าเลยไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เจ้าก็ตะกละไง เซียนหนิงก็เหมือนกับเจ้าไม่มีผิด"ซ่งซีซีพาเสิ่นว่านจือ และหงเชวี่ยกราบไหว้ "ขอคารวะองค์หญิงฮุ่ยเจิงเจ้าค่ะ"ฮุ่ยเจิงก็ไหว้กลับ "ทุกคนก็นั่งลงกันเถอะ มัวแต่ยืนอยู่ที่นั่นทำไม ซีซี ทำไมวันนี้หน้าซีดจัง ใครรังแกเจ้าล่ะ?"ซ่งซีซีนั่งลงและเล่าเรื่องทุก
องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ท่ารพ่อตาของข้าดูแลฝ่ายตรวจการเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจการ ก่อนหน้านี้ที่เขากลับจวนมาทานข้าว ได้ยินเขาพูดถึงว่าบัดนี้ต้องปรับปุงและเข้มงวดกับการกระทำของข้าราชการมากขึ้น ต้องใช้กฏต่างๆ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนตั้งไว้ต่อ การเป็นข้าราชการย่อมซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจ ทุกวันนี้เขากำลังหารือกับอวี้สื่อจงเฉิง(เป็นขุนนางฝ่ายตรวจสอบในราชสำนัก)เกี่ยวกับเรื่องนี้ งั้นซื่อจื่อเหลียงก็มาถูกเวลาพอดี"ซ่งซีซีได้ยินคำพูดนั้น และพูดด้วยรอยยิ้ม "นั่นก็พอดีเลย แต่รอสักวันสองวันก็ได้ หญิงงามเมืองคนนั้นโดนทุบตีในวันนี้ ซื่อจื่อคงทุกข์ใจมาก ข้าเคยเจอเขามาครั้งหนึ่ง เขาดูถูกดูแคลนข้าอย่างมาก คิดดูว่าเขาต้องมาเอาเรื่องที่จวนแน่ๆ ไม่รู้ว่าการรุกรานพระชายาถือเป็นอาชญากรรมได้หรือไม่"องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ได้ยินมาว่าซื่อจื่อเป็นเทวดาลับชาติมาเกิด มีพรสวรรค์พิเศษ เขาเป็นถ้านฮัวที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เอง เป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิ การเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิยิ่งต้องยับยั้งตัวเองและเป็นตัวอย่างที่ดี ตอนนี้ฝ่ายในวุ่นวายไปหมด ยังไปเที่ยวสถานบันเทิงอย่างเปิดเผย กลับรับคนในนั้นมาเป็นอนุภรรยาและให้ความ
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก