ตลอดเวลาที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในราชสำนักไม่เคยเงียบลงเลย แทบทุกเช้าในที่ประชุมราชสำนัก ต้องมีขุนนางนำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวเสมอ ในที่สุด วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประกาศว่า พระองค์ทรงมีพระทัยเลือกองค์รัชทายาทแล้ว แต่เนื่องจากองค์รัชทายาทยังเยาว์วัย จึงมิได้ประกาศต่อสาธารณะ พระองค์เพียงเขียนพระราชโองการเก็บไว้ แล้วนำไปเก็บรักษาบนขื่อของไทเมี่ยว จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสกลางท้องพระโรงว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่าใครคือองค์รัชทายาท มิได้เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ เช่นนี้ก็เพื่อให้ เสนาบดีมู่และเซี่ยหลูโม่ ไม่ต้องคอยถูกซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ถึงแม้จักรพรรดิ์จะมิได้ตรัสออกมาโดยตรง ทุกคนล้วนคาดเดา บัดนี้องค์ชายใหญ่เลิกเกียจคร้าน เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนขยัน ตั้งใจศึกษา และมีนิสัยอ่อนน้อมขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีซ่งรุ่ย คุณชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วเป็นสหายร่วมศึกษาด้วย ดังนั้น ทุกคนจึงคาดเดาว่าองค์ชายใหญ่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องยากจะคาดเดา ท้ายที่สุดแล้ว องค์ชายใหญ่ครองตำแหน่งรัชทายาท อีกทั้งยังเปลี่
หลานเจี่ยนกูกูจำต้องลองหาทางไปพบองค์ชายใหญ่ ทว่าเขตตำหนักศึกษานั้นเป็นสถานที่สำคัญ แต่ไหนแต่ไรก็มิอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป นางจึงทำได้เพียงรอคอยอยู่ห่างๆ หวังว่าในยามที่องค์ชายใหญ่ออกจากตำหนักศึกษา กลับไปตำหนักฉือหนิง หรือเดินทางไปยังลานฝึกยุทธ์ จะสามารถมองเห็นพระองค์ได้สักครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น เพราะรอบกายล้วนมีองครักษ์คอยคุ้มกัน บางครั้งแม้แต่เงาก็มิอาจเห็นได้ เพราะองครักษ์ที่ล้อมรอบล้วนตัวสูงใหญ่ องค์ชายใหญ่ถูกขนาบอยู่ตรงกลาง ศีรษะของพระองค์ก็ยังถูกบดบังจนสิ้น นางลองใช้เงินติดสินบนองครักษ์ เพื่อขอให้องค์ชายใหญ่ได้ออกมาข้างนอกสักครึ่งชั่วยาม แต่เหล่าองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นคนของไทเฮา ต่อให้มอบเงินทองมากเพียงใด ก็ไม่เป็นผล ไทเฮาใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการปกป้ององค์ชายใหญ่ กระทั่งฮ่องเต้ต้องการเข้าเฝ้า ก็ยังต้องมีขบวนอารักขาคอยส่งพระองค์ไป ส่วนองค์ชายรองนั้น มีความผ่อนปรนมากกว่าหน่อย เพราะพระสนมเต๋อเฟยครองอำนาจในวังหลังมานาน ได้วางคนของตนไว้ทั่วทุกแห่ง นางมีอำนาจพอที่จะปกป้ององค์ชายรองได้ แต่ถึงกระนั้น ไทเฮาก็ยังลอบส่งคนคอยจับตาดูอยู่ หาใช่เ
ทุกคนล้วนเข้าใจกันดี แม้ว่าการแข่งขันขี่ม้านี้ดูเหมือนจะถูกจัดขึ้นเพื่อบรรดาแม่ทัพนายกอง แต่ที่แท้แล้ว จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า องค์ชายใหญ่มีพัฒนาการมากเพียงใดเมื่อเทียบกับช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนเรื่องที่อ้างว่าในวันนั้นองค์ชายใหญ่พลาดพลั้งเพราะปวดท้องนั้น ภายหลังเมื่อใครๆ ได้คิดทบทวนก็เข้าใจได้ หากเจ็บป่วยจริง ย่อมต้องแสดงอาการตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่ว่าเช้าวันนั้นพระองค์ยังคงวิ่งเล่นโลดโผนอยู่เลย ที่สำคัญ พระองค์มิใช่แค่พลาดเป้า แต่กลับร้องไห้โฮออกมา จะมีรัชทายาทที่มีจิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ได้หรือ? เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้น พระนางก็ดีพระทัยนัก รีบไปยังตำหนักฉือหนิง ขอพระราชทานโอกาสจากไทเฮา เพื่อให้ได้พบหน้าพระโอรสสักครา ครานี้ไทเฮาทรงอนุญาต แต่มีข้อแม้ว่าพระนางต้องอยู่ต่อหน้าพระองค์ และห้ามพบกันเป็นการส่วนตัว แม้ว่าฉีฮองเฮาจะอยากพูดคุยกับพระโอรสเป็นการส่วนตัว เพื่ออธิบายเรื่องการวางยา แต่เมื่อตรัสห้ามไปแล้ว ก็ย่อมฝืนมิได้ เพียงแค่ได้พบหน้าก็ถือว่าดีแล้ว พระนางไปถึงตำหนักฉือหนิงในช่วงเย็น คอยรับใช้ไทเฮาขณะเสวย จากนั้นก็ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม จึงได้พบองค์ชา
องค์ชายใหญ่ถูกบังคับให้อยู่ต่อ ได้แต่มองซ่งรุ่ยและองค์ชายรองเดินออกไปเพื่อเสวย ภายในใจของพระองค์รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่เสด็จย่าเคยสั่งสอนไว้ว่า แม้จะโกรธก็อย่าได้แสดงออกมาโดยง่าย พระองค์จึงเพียงแค่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “เสด็จแม่มีสิ่งใดจะตรัสกับลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” "เจ้า..." ฮองเฮามองดูพระโอรสด้วยความเจ็บปวดและขุ่นเคือง "เจ้าไม่ได้พบเสด็จแม่มานานถึงเพียงนี้ เจ้าไม่คิดถึงเสด็จแม่บ้างหรือ? ไม่มีสิ่งใดจะพูดกับเสด็จแม่เลยหรือ?" องค์ชายใหญ่เหลือบมองพระนาง ก่อนจะหันไปมองหลานเจี่ยนกูกู สายตาของหลานเจี่ยนกูกูเต็มไปด้วยความอ้อนวอน องค์ชายใหญ่เห็นดังนั้นจึงเกิดความลังเล ก่อนจะรีบกล่าวว่า “แน่นอนว่าลูกคิดถึงเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกหิวมาก อยากรีบไปเสวย” กล่าวจบ พระองค์ยังไม่ลืมที่จะถวายบังคมลาไทเฮา จากนั้นก็วิ่งออกไปดั่งสายลม ไล่ตามรุ่ยเอ่อร์และองค์ชายรอง ฮองเฮานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดออกมาเป็นระยะ "เขาไม่เห็นหม่อมฉันเป็นมารดาอีกแล้ว เสด็จแม่พอพระทัยแล้วหรือยัง?" พระนางกล่าวขึ้นในที่สุด เช็ดน้ำตาด้วยท่วงท่าที่แข็งกระด้าง คำพูดนั้น
องค์ชายใหญ่โอบต้นไม้ไว้ทั้งสองมือ ขยับเข้าไปแนบใบหน้ากับลำต้น แววตาเต็มไปด้วยความสับสน "ไม่รู้สิ เสด็จแม่ดีกับข้ามาโดยตลอด แต่วันนั้น…ท้องของข้าปวดมาก ปวดจนอยากตายเลย" องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วหันไปถามรุ่ยเอ่อร์ "ท่านอาน้อยของเจ้าดีต่อเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่รู้อยู่แล้วว่ามารดาของรุ่ยเอ่อร์สิ้นไปแล้ว เดิมทีพระองค์เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อโตขึ้น พระองค์ก็เริ่มเข้าใจจิตใจผู้อื่น และรู้ว่ารุ่ยเอ่อร์เป็นสหายที่ดี จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องที่อาจทำให้เขาเศร้า เสด็จย่าเคยตรัสไว้ว่า การเป็นสหายที่ดี ต้องรู้จักใส่ใจความรู้สึกของกันและกัน รุ่ยเอ่อร์ตอบว่า "ท่านอาน้อยดีกับข้ามาก ดีเป็นพิเศษเลยล่ะ" "แล้วเจ้าคิดว่าท่านอาน้อยของเจ้าจะยอมวางยาพิษเจ้าเพียงเพราะเป้าหมายบางอย่าง ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจนแทบเอาชีวิตไม่รอดหรือไม่?" รุ่ยเอ่อร์แทบไม่ต้องคิด รีบตอบทันทีว่า "ไม่มีทาง!" "แล้วถ้าเพื่ออนาคตของเจ้าเล่า?" ครานี้รุ่ยเอ่อร์นิ่งไปเล็กน้อย มิได้ตอบในทันที เขาเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นขอทานมาก่อน ย่อมเข้าใจโลกเร็วกว่าเด็กทั่วไป หากเขาตอบว่า ‘ไ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงกำหนดให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นที่อุทยานบุปผาหลวง สำนักพระคลังได้เตรียมการล่วงหน้ามาเป็นเวลานาน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เหลือเพียงรอวันพิธีมาถึงเท่านั้น ในวันที่ยี่สิบห้าของเดือนสิบสอง องค์ชายทั้งหลายยังคงฝึกซ้อมขี่ม้าอย่างเข้มงวด แม้แต่องค์ชายสามก็ยังเข้าร่วมการฝึก องค์ชายสามยังต้องให้คนอุ้มขึ้นหลังม้า แต่ข้อดีของพระองค์คือความกล้าหาญ พระองค์ปฏิบัติตามที่เสด็จอาสอนอย่างเคร่งครัด จับบังเหียนแน่นแล้วควบม้าไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี ในขณะที่พระองค์ควบม้า เซี่ยหลูโม่ก็จัดให้มีคนคอยประกบตลอด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ส่วนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนั้น ฝึกจนชำนาญแล้ว การควบม้าตะลุยไปข้างหน้าหาใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา ม้าของพวกเขาล้วนเป็นลูกม้าพันธุ์จ้าวหง (ม้าแดงด่าง) ซึ่งอุปนิสัยอ่อนโยนและควบคุมได้ง่าย เมื่อถึงสองทุ่ม เซี่ยหลูโม่ได้กล่าวเตือนพวกเขาเกี่ยวกับข้อควรระวังในวันพรุ่งนี้ และสอนวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพิ่งกล่าวจบ พระสนมเต๋อเฟยก็ส่งคนมารับองค์ชายรอง เดิมทีองค์ชายรองคิดจะกลับไปตำหนักฉือหนิงพร้อมกับพี่ชายทั้งสองเพื่อกินอาหารว่างยามดึก
องค์ชายรองถูกคำพูดของพระสนมเต๋อเฟยทำให้หน้าซีดเผือดโดยไม่รู้ตัว มือของเขาเผลอกุมหน้าท้องแน่น ราวกับว่ายาพิษนั้นยังคงอยู่ แต่ในหัวของเขากลับเต็มไปด้วยภาพในช่วงเวลาที่ได้เรียนและฝึกยุทธ์ร่วมกับเสด็จพี่ใหญ่และพี่รุ่ยเอ่อร์ แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือและให้กำลังใจกันตลอด เขาลังเล “เสด็จแม่ บางทีนี่อาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด? ตอนนี้เสด็จพี่ใหญ่ก็ดีกับลูกมากพ่ะย่ะค่ะ” พระสนมเต๋อเฟยทอดถอนพระทัย ดวงเนตรเต็มไปด้วยความเมตตาและเวทนา "เจ้ากินข้าวให้เสร็จก่อน เสด็จแม่จะพาเจ้าไปที่หนึ่ง" "ไปที่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?" องค์ชายรองถามด้วยความสงสัย "กินให้เสร็จก่อนเถิด กินเสร็จแล้วเสด็จแม่จะพาไป" พระสนมเต๋อเฟยตรัสพลางนั่งลงข้างเขาอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้ชิงหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ องค์ชายรองรู้สึกไม่สบายใจนัก เคี้ยวอาหารช้าลง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความคิดมาก ที่จริงแล้ว พระองค์รู้มาโดยตลอดว่าพระองค์ต้องแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทกับเสด็จพี่ใหญ่ เสด็จแม่ก็พร่ำสอนให้พระองค์คิดเช่นนั้นตลอดมา พระนางย้ำเสมอว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทสำคัญเพียงใด ในอดีต พระองค์เคยคิดว่า หากเสด็จพี่ใหญ่ไ
ดอกหนามถูกส่งมายังมือขององค์ชายรอง พระองค์รับมันมาด้วยมือที่สั่นสะท้าน มองมันอย่างละเอียด และแน่ใจว่านี่คืออันเดียวกับที่น้องสามเคยเล่น "พวกเขาทำกับเจ้าอย่างไร เจ้าก็ทำกับพวกเขาอย่างนั้น" เสียงของเสด็จแม่กระซิบข้างหู ทำให้พระองค์สะดุ้งเฮือก รีบขว้างดอกหนามออกไปทันที พระสนมเต๋อเฟยก้มลงเก็บดอกหนามกลับมา ก่อนจะจูงมืออันเย็นเฉียบของพระองค์เดินจากไป "ตอนนี้เสด็จแม่ไม่ได้กุมอำนาจในวังหลัง ฮองเฮาจึงคิดว่าตนสามารถทำร้ายเจ้าได้ตามอำเภอใจ แต่หารู้ไม่ว่าเสด็จแม่ยังมีเครือข่ายในแต่ละตำหนัก แผนการของแม่ลูกคู่นี้จึงถูกข้าจับได้ ข้าจึงนำตัวคนของพวกเขามาสอบสวน ซึ่งเจ้าก็เห็นแล้ว คนผู้นั้นเจ้าก็คงจำได้ดี เป็นคนของตำหนักฉางชุนมิใช่หรือ?" องค์ชายรองรู้สึกวุ่นวายไปหมด ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน พระนางฮองเฮาต้องการฆ่าเขาจริงหรือ? เสด็จพี่ใหญ่ก็ด้วยหรือ? ทุกสิ่งที่ผ่านมาล้วนเป็นการแสร้งทำเป็นมิตรภาพอย่างนั้นหรือ? เมื่อกลับมาถึงตำหนัก พระองค์ยังคงตกอยู่ในภวังค์ของความคิด พระสนมเต๋อเฟยนั่งลงข้างๆ เอ่ยกระซิบข้างหู "พรุ่งนี้ เจ้าต้องทำเช่นนี้..." เมื่อฟังแผนการจบ ร่างกายขององค์ชายรองก็เริ่มสั่น
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
หลายปีที่ข้าประจำการอยู่ชายแดนเฉิงหลิง ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึงสองครั้ง บัดนี้ข้ามียศเป็นแม่ทัพ ดูแลทหารนับพันนายข้าไม่เคยกลับเมืองหลวงอีกเลย เมื่อประจำอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง หากไม่มีพระราชโองการ ย่อมมิอาจกลับได้ตามอำเภอใจข้ายังคงโดดเดี่ยว ไร้ภรรยา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลมทรายแห่งเฉิงหลิงพัดผ่านปีแล้วปีเล่า ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าข้า จนข้าดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปีข้าเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายปี ต้องพึ่งยาเพื่อระงับจิตใจจึงจะหลับได้บางครั้ง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิด...หากวันนั้นข้าไม่ก่อเรื่องกับยี่ฝาง ชีวิตของข้าในวันนี้จะเป็นเช่นไร?ข้ากับซ่งซีซี อาจได้เป็นสามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก เป็นที่อิจฉาของผู้คนกระมัง?พวกเราอาจมีลูกที่น่ารัก ข้าทุ่มเทอยู่ในกองทัพ ส่วนซีซีก็ดูแลบ้าน เฝ้ารับใช้พ่อแม่ ดูแลลูกๆ แม้ว่าข้าจะไม่เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง คงเป็นเพียงแม่ทัพชั้นผู้น้อยตลอดชีวิต...แต่นางก็คงจะไม่จากข้าไปแต่ก่อน ข้าไม่รู้เลยว่านางคืออินทรีที่โผบินบนฟากฟ้า ทว่าเต็มใจหักปีกเพื่อข้าคนเดียว คอยดูแลมารดาที่ป่วยหนัก จัดการทุกเรื่องจุกจิกในจวนแม่ทัพของข้าเมื่อข้ารู้ตัว...ข้าจะเสียใจหรื
ข้าขอร้องท่านแม่ไม่สำเร็จ ก็หันไปพึ่งท่านพ่อ แต่กลับได้รับการตำหนิที่รุนแรงยิ่งกว่ามิใช่เพียงเท่านั้น พวกท่านเห็นว่าข้าคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเหลียงจือชุน จึงตัดสินใจให้เขาพาข้าออกไปเที่ยว เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นข้าไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ถูกคุณนางข้างกายท่านแม่บังคับให้ขึ้นรถม้าไป อีกทั้งยังกำชับสาวใช้ให้จับตาข้าไว้ อย่าให้พูดจาเสียหายเหลียงจือชุนหน้าตามันเยิ้ม ตอนแรกก็แสดงความเคารพต่อข้าบ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เผยนิสัยแท้ วิจารณ์หน้าตาข้าอย่างไร้มารยาท บอกว่าหากข้ามิใช่หญิงงามเช่นนี้ และมิใช่บุตรีตระกูลเสิ่น เขาคงไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาแน่นอนท่าทางอวดดีของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากมีแค่เพียงเท่านี้ ข้าอาจไม่ถึงขั้นคิดทำสิ่งร้ายแรงนักแต่ระหว่างทางกลับ เขาอ้างว่าจะช่วยพาข้าขึ้นรถ แล้วแอบหยิกก้นข้าเข้าอย่างหนึ่งในขณะนั้น เลือดทั้งร่างข้าพุ่งขึ้นหัวเมื่อสบตากับสายตาหยอกล้อของเขา น้ำตาข้าก็พรั่งพรูออกมา ความอัปยศทำให้ข้าทั้งตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยวาจาใดไม่ออกเลยสักคำสาวใช้กับสารถีไม่เห็นเหตุการณ์นั้น กลับคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุ
ข้าสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปทันที ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักใต้เงาไม้ เขาสวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีขาวทั้งชุด ผอมแห้งทรุดโทรม ดวงตายังมีรอยคล้ำอยู่ใต้เบ้าตาเป็นเขา...บัณฑิตที่ขายภาพวาดอยู่ริมสะพานในวันนั้น คนเดียวกับที่ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อว่าเป็นศิษย์ที่ไม่เอาถ่าน เลี้ยงหญิงคณิกาแล้วขอลาออกจากสำนัก“เจ้าพูดมั่วแล้ว” ข้าถลึงตาใส่เขา คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าทะเลสาบนี้มีผี เจ้าหลอกข้า!”ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวผี ยิ่งกลัวการถูกจมอยู่ใต้โคลนเลนนั่น“ข้ามิได้หลอกเจ้า” เขาเดินออกมา ในลมหนาวทำให้เขาดูบอบบางยิ่งขึ้น “เจ้าดูสิ บริเวณริมทะเลสาบนี้ไม่มีใครเลย มิแปลกหรือ? ทั้งที่ทิวทัศน์ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครมา?”“นั่นเพราะคนที่มาวัดล้วนมาสักการะ มิใช่มาชมทิวทัศน์ พวกเขากราบพระเสร็จก็จากไป” ข้ากล่าว แต่พลางถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือนในทะเลสาบลึกนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่เขาหยุดยืน กล่าวว่า “ผู้ที่มีใจสักการะ ล้วนเคารพฟ้าดินและธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ใยจะไม่มาชมเล่า? ที่แห่งนี้สมควรจะเปี่ยมด้วยพลังแห่งสวรรค์ กลับกลาย
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา