หลังจากส่งฮองเฮาออกไปแล้ว ไทเฮาก็ส่งคนออกจากวัง ไปถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์กับซ่งซีซีว่า สถาบันการศึกษาหย่าจวินจะจัดการอย่างไรนั้น ก็ให้นางจัดการได้เลย คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจส่งคนไปถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์แล้ว ก็ยังส่งคนไปบอกจักรพรรดิซูชิง ให้เขามาเสวยอาหารเย็นด้วยฝูฉิวอันชงชาให้นางแล้วพูดว่า “อย่าทรงกริ้วไปเลย ไม่คู่ควร ฮองเฮาไม่เข้าใจ ท่านแค่สอนนางก็พอ”“หลายปีมานี้ยังสอนไม่พออีกหรือ? มีคำไหนบ้างที่นางเชื่อฟัง? เหตุใดข้าต้องเสียเวลาพูดกับนางอีก?” ไทเฮาขมวดคิ้ว “ขนาดเรื่องที่สร้างความลำบากให้เหล่าหรงไทเฟยนางยังกล้าทำ นางกลัวอ๋องเยี่ยนจะหาเหตุผลออกไปป่าวประกาศข้างนอกไม่ได้หรืออย่างไร”ตอนนี้อ๋องเยี่ยนกลับมาที่เยี่ยนโจวแล้ว เมื่อคนพิการ ย่อมจะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมมากขึ้น หากสนมหรงตายอย่างน่าเวทนา มันจะทำให้เขามีโอกาสหาข้ออ้างที่จะปลุกปั่นชาวเยี่ยนโจวได้พอดี ซึ่งหมอนนี้นางส่งได้เหมาะเจาะยิ่งนักถ้าไม่ไหวจริงๆ งั้นตำแหน่งฮองเฮานี้ก็เปลี่ยนคนเถอะในห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิซูชิงได้ยินคนจากตำหนักฉือหนิงมารายงาน บอกว่าไทเฮาเชิญเขาไปเสวยคืนนี้จักรพรรดิซูชิงรู้สึกชาวาบไปทั่วศีรษะ เ
จักรพรรดิซูชิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววโกรธขึ้ง “ข้าบอกเจ้าหรือยังว่าจะปิดสถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวิน? สถาบันการศึกษาสตรีก่อตั้งโดยเสด็จแม่ อนาคตจะสามารถรวบรวมสตรีจากตระกูลขุนนางมารวมตัวกันได้มากมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อข้ามาก ทำไมข้าถึงอยากปิด?”ฮองเฮาพูดอย่างว่างเปล่า “แต่ฝ่าบาทไม่ต้องการให้ซ่งซีซีติดต่อกับพวกนางอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่หรือ?”จักรพรรดิซูชิงจ้องมองนาง พูดเน้นทีละคำ “ฮองเฮาไม่มีความสามารถที่จะมาแทนที่ซ่งซีซีกระนั้นหรือ?”ฮองเฮาเบิกตากว้าง ราวกับแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ฝ่าบาทหมายความว่า ให้หม่อมฉันลดตัวลงไปหาสถาบันการศึกษาสตรี? หรือไปเอาใจบรรดาฮูหยินของขุนนาง?”นางเป็นฮองเฮานะ ให้นางไปสถาบันการศึกษาสตรีจะเป็นการสมควรหรือ? แล้วฮูหยินขุนนางเหล่านั้น ทำไมต้องให้นางที่เป็นฮองเฮาไปเอาใจพวกนางด้วย? ไม่ใช่พวกนางหรอกหรือที่ต้องมาประจบประแจงนางที่นี่?นี่ไม่เท่ากับว่าทำลายศักดิ์ศรีหรือ?จักรพรรดิซูชิงกล่าวอย่างเย็นชา “อำนาจกษัตริย์ดูอาจดูเหมือนสูงส่งยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถสูงส่งได้จริง ถ้าไม่ระวังก็จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็วและพังทลาย ข้าเป็นฮ่องเต้ มีหลายเ
เมื่อประตูตำหนักเปิดออก อู๋ต้าปั้นก็รีบร้องว่ายกเกี้ยว ส่วนป้าหลานเจี่ยนก็รีบเดินเข้าไปในตำหนัก ช่วยพยุงฮองเฮาขึ้นมา“มือของฮองเฮาได้รับบาดเจ็บ” ป้าหลานเจี่ยนรีบเช็ดเลือดด้วยผ้าเช็ดหน้า จากนั้นจึงเรียกนางกำนัลเข้ามาทำความสะอาดบาดแผลฮองเฮาฉีนั่งอิดโรยบนเก้าอี้ สีหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัว “เขาบอกว่าเขาจะปลดฮองเฮา ฝ่าบาทบอกว่าจะปลดฮองเฮา”“ฝ่าบาททรงพิโรธเพียงชั่วขณะ จะทรงปลดฮองเฮาได้อย่างไร? ไม่ต้องกังวลเพคะ” ป้าหลานเจี่ยนไล่นางกำนัลที่เข้ามารับใช้ออกไป มองดูฮองเฮาที่มีสีหน้าซีดเซียว แล้วถอนหายใจ “ฮองเฮาไม่ควรไปพูดเรื่องนั้นกับไทเฮา อีกอย่างเรื่องเหล่าหรงไทเฟย บ่าวก็เกลี้ยกล่อมท่านแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง”“ข้าไม่เข้าใจ มันผิดอะไร!” ดวงตาของฮองเฮาฉีเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ “เรื่องสองเรื่องนี้ แม้จะมีความผิด แต่ก็เป็นเพียงความผิดเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ”ป้าหลานเจี่ยนถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ฟังสิ่งที่ไทเฮาและฝ่าบาทพูด ตอนนี้จิตใจของนางมุ่งความสนใจไปที่การโจมตีซ่งซีซี และวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่แต่นี่เป็นวิธีที่ผิด“ฮองเฮาสามารถตีสนิทซ่งซีซีได้ ไม่จำเป็นต้องต่อต้านนาง นางไม่ใช่ส
“ฮองเฮาไม่ควรเป็นคนโง่เขลาขนาดนี้ เมื่อก่อนนางเคยฉลาดมาก” ไทเฮาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร นั่งบนเก้าอี้ไม้จันทน์ กินอิ่มเจ็ดส่วน ก็นั่งสบาย “คนผู้หนึ่งที่เฉลียวฉลาดกลับกลายเป็นคนโง่เขลา เพราะว่าอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อผลประโยชน์นี้ ไม่ว่านางจะเสียสละใคร นางก็คิดว่ามีเหตุผลทั้งนั้น”“ใช่ เสด็จแม่ตรัสถูกต้อง” จักรพรรดิซูชิงพยักหน้าเห็นด้วยไทเฮาให้เขานั่งลง ตรัสถามว่า “เรื่องที่สถาบันการศึกษาสตรีรับสมัครนักเรียน เต้าคิดเห็นอย่างไร?”จักรพรรดิซูชิงตรัสตอบว่า “ลูกคิดว่าเป็นสิ่งที่ที่ดีมาก สามารถทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ตนเองละผู้มีอำนาจอยู่ไม่ห่างชั้นกันมากนัก ความขุ่นเคืองของประชาชนก็ลดน้อยลงมาก”เขาย่อมคิดจากสถานการณ์โดยรวมอยู่แล้ว ส่วนจะทำให้เด็กสาวชาวบ้านได้มีความรู้อะไรนั่น เขาไม่สนใจ“แล้วเจ้าคิดว่า นักเรียนจากทั่วทั้งแผ่นดินจะโจมตีนักเรียนกลุ่มนี้หรือไม่?” ไทเฮาถามอีกครั้งจักรพรรดิซูชิงหัวเราะและตรัสว่า “เป็นไปได้อย่างไร? บัณฑิตบางคนไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ คิดว่าสตรีไม่ฉลาดพอ คิดว่าสถาบันการศึกษาสตรีเป็นเพียงการละเล่นของเด็ก ก็
หลังจากการสอบสวนของหอหนานเฟิงชัดเจนแล้ว ซ่งซีซีก็ไปรายงานที่วังด้วยตนเองนางไม่รู้ว่าตัวเองถูกฮองเฮาฟ้อง ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะรายงานธุระให้เสร็จ แล้วค่อยไปถวายพระพรไทเฮาเมื่อจักรพรรดิซูชิงได้ยินว่ามีคนจากแคว้นซาที่รู้วรยุทธ์ซ่อนตัวอยู่ในหอหนานเฟิง เขาก็ประหลาดใจมาก สีหน้าเคร่งขรึมทันทีนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่อาจารย์ฉีไปเยือนที่หอหนานเฟิง เพราะจากการสืบสวน ที่อาจารย์ฉีไปหอหนานเฟิงนั้นเป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แม้แต่ตัวตนก็ยังถูกปิดบังไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แต่งตัวให้ตัวเองดูพิลึกแบบนั้นเมื่อแอบฟังหลายครั้ง ก็พบว่าเขาพูดแต่เรื่องความรัก ไม่พูดถึงเรื่องการเมือง และไม่ได้ทำอะไรผิดปกติเป็นพิเศษ จึงไม่ได้แพร่งพรายออกไปหงเซียวแอบฟังบริกรพูดถึงอาจารย์ฉี แอบเรียกเขาว่าผีเฒ่า แถมยังพูดด้วยความรังเกียจว่าผีเฒ่านี่กลับมาอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ฉีให้เงินมาก คงไม่มีใครเต็มใจรับรองเขาเนื่องจากเป็นความสนใจส่วนตัว จึงไม่จำเป็นต้องพูด นอกจากนี้เขาอาจจะไม่รู้ว่าบริกรบางคนมาจากแคว้นซา แถมแคว้นซายังเลือกมาก ต่างก็เลือกแต่หนุ่มหล่อที่ออกแนวแปลกๆ นิดหน่อย แต่กลับไม่สอดคล้องกับคุณลักษ
คุกในจวนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงนั้นเรียบง่ายและหยาบมาก โดยทั่วไปจะไม่ขังใครไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครถูกจับกุม สำหรับคดีเล็กๆ น้อยๆ จะถูกปรับเงินหรือโบยด้วยไม้กระดาน หากเป็นคดีร้ายแรงจะถูกส่งไปยังทางการ และสอบสวนตามกฎหมายซ่งซีซีถามว่า “ถ้ามีขุนนางในราชสำนัก ให้พากลับมาด้วยหรือไม่?”จักรพรรดิซูชิงพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “แน่นอนว่าต้องพากลับมาให้หมด”ซ่งซีซีเข้าใจว่าฝ่าบาทต้องการให้บทเรียนให้พวกเขา แต่ก็ไม่อยากให้ทางการรู้เรื่องนี้ เพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของพวกเขา จึงแค่ให้ขังไว้ในคุกจวนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงจุดประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดคือ การจับสายลับแคว้นซาและสอบปากคำพวกเขาอย่างเข้มข้น“ห้ามบอกใครก่อนเด็ดขาดนะ” จักรพรรดิซูชิงเตือน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้บทเรียนแก่คนเหล่านั้น เพื่อปรับปรุงความประพฤติทางศีลธรรมซ่งซีซีกล่าวด้วยความเคารพ “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา”หลังจากรับคำสั่งและออกมาแล้ว ซ่งซีซีก็นึกถึงอาจารย์ฉีพูดตามตรง ที่อาจารย์ฉีพูดกับนางในวันนั้น แม้ว่านางจะโกรธอยู่ในใจ แต่ก็คิดเสมอว่าเขาเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ ได้ชื่อว่าเป็นราชครู ถ้า
ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ดังมาจากข้างใน ซึ่งเสียงหายใจนั้นแฝงความตื่นตระหนก บางทีอาจารย์ฉีคนนี้ไม่เคยตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเขาอาจจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ๆ ได้ แต่เขาไม่สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตที่นี่ทันที ก็ไม่อยากให้ศพถูกค้นพบที่นี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่เขาออกจากวังในวันส่งท้ายปีเก่า เขาตำหนิติเตียนซ่งซีซีอย่างเข้มงวด“ออกมา!” ซ่งซีซีตะโกนอีกครั้งบริกรน้อยสองคนเดินเท้าเปล่าออกมา ในห้องนี้มีการเผาถ่านเงิน และปูด้วยพรม ที่นี่จึงสามารถเดินเท้าเปล่าได้“จะออกมาเองหรืออยากให้ข้าเชิญ?” ซ่งซีซีพูดเรียบๆทันใดนั้นบริกรทั้งสองก็วิ่งออกไป เหลือเพียงคนที่อยู่ด้านหลังฉากบังลมที่สั่นเล็กน้อยซ่งซีซีดึงผ้าปูโต๊ะปักลายดอกไม้บนโต๊ะออก เดินอ้อมฉากบังลมและคลุมตัวอาจารย์ฉีไว้ จากนั้นจับมือของเขาแล้วพูดว่า “ไป!”อาจารย์ฉีซึ่งถูกผ้าปูโต๊ะคลุมหน้าไว้ถูกลากไป และเซไปข้างหน้า เขาก้มศีรษะลงก็ยังคงมองเห็นทางเขาไม่เข้าใจมาก ซ่งซีซีต้องไม่เห็นเขาแน่นอน เพราะเขาซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลม ยังไม่เคยพบหน้าซ่งซีซีแบบเต็มๆแต่ซ่งซีซีดูเหมือนจะรู้จักตัวตนของเขา ยังคงให้เก
ข่าวที่ว่าหอหนานเฟิงถูกบุก ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วโหวกวางหลิงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง คืนนี้เขารู้สึกไม่สบายพอดี ไม่ได้ไปที่หอหนานเฟิง คิดไม่ถึงว่าจะถูกยึดเช่นนี้หอหนานเฟิงเปิดมาหลายปีแล้ว เขาได้ให้ความบันเทิงแก่บุคคลสำคัญมากมายในเมืองหลวง ตามหลักแล้วหากฝ่าบาทต้องการยึดหอหนานเฟิง ก็จะมีคนแจ้งเขา แต่ทำไมไม่มีใครแจ้งเขา มาทำการปราบปรามอย่างฉับพลันหรือ?เมื่อเขารู้สึกตัวก็รีบเรียกหาคนสนิททันที ให้เขาออกไปสืบดูว่าใครเป็นคนกวาดล้าง และที่สำคัญที่สุดคือ คืนนี้อาจารย์ฉีมาหรือไม่เขารู้ว่าอาจารย์ฉีไปที่หอหนานเฟิง ซึ่งได้เก็บไว้เป็นความลับมาโดยตลอด แม้แต่ทุกคนในตระกูลฉีก็ยังไม่รู้ มีเพียงเหลียงฉีคนสนิทของเขาเท่านั้นที่รู้สำหรับคนเพียงคนเดียวในหอหนานเฟิงที่รู้ตัวตนของเขา นั่นคือผู้ดูแลคนรับจ้างจอดม้าให้ของหอหนานเฟิงไม่ถูกจับ จึงรีบไปที่จวนโหวกวางหลิง เพื่อรายงานสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องออกไปสอบสวน มีข่าวใหญ่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือซ่งซีซีนำกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงและกองพันลาดตระเวนไปยึด อีกเรื่องหนึ่งคือชายชราหน้าขาวก็มา และถูกนำตัวกลับไปที่จวนกองกำลังรักษา
เส้าปู้เข้ามาในเมืองพร้อมกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน มีมีดโค้งคาดอยู่ที่เอว ดูท่าทางน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าสงคราม แต่เมื่อได้นั่งดื่มสุรากินเนื้อ ใบหน้าสีเข้มของพวกเขากลับเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หลางจู่เส้าปู่อายุห้าสิบกว่าปี ผิวสีเข้มเป็นประกายเหมือนพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยพลังและความคมกล้า เขาเป็นคนฉลาดเป็นพิเศษและมีจิตใจรอบคอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาระแวงอยู่เสมอและไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้เป่ยหมิงอ๋องอย่างเต็มที่ เขามีเพียงข้อเรียกร้องเดียว คือการร่วมมือกันครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หลังจากขับไล่คนของแคว้นซาได้สำเร็จ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว และห้ามเข้าสู่เขตหลักของทุ่งหญ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เซี่ยหลูโม่ตอบรับข้อเรียกร้องและลงนามในข้อตกลงทันที หลังจากลงนามในข้อตกลง พวกเขาก็ไม่รั้งรอและจากไปทันที ชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อแคว้นซางนัก เพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีล้วนส่งผลกระทบถึงพวกเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าทุ่งหญ้ามีหลายเผ่าและไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถต่อต้านทั้งแคว้นซางหรือแคว
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป
แววตาของชิวเหมิงเป็นประกาย "ดี งั้นข้าจะลองฟังคำพูดที่ดูดีแต่ไร้ความจริงใจดูบ้าง" จักรพรรดิ์ซูชิงมีนิสัยหวาดระแวงเป็นทุนเดิม และหวั่นเกรงต่อสำนักเป่ยหมิงอ๋องมาโดยตลอด วันนี้เมื่อถามนางว่าจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสตรีหรือไม่ แม้ว่านางจะตอบว่าไม่ จักรพรรดิ์ซูชิงก็ยังต้องเก็บคำถามนี้ไว้ในใจ ซ่งซีซีจะไม่รู้หรือว่าเขามีเจตนาอะไร? ตั้งแต่เขาถามคำถามนั้นออกมา นางก็รู้แล้วว่ามันคือกับดัก เพียงแต่ซ่งซีซียังไม่ทันได้พูดอะไร ชิวเหมิงก็หัวเราะเยาะพลางเสริมว่า "เจ้าก็ลองยกยอจักรพรรดิ์ซูชิงสักหน่อยสิ ว่าภายใต้นโยบายของพระองค์นั้น สตรีได้รับความโปรดปรานเพียงใด หากจิตสำนึกของเจ้ายอมรับได้ ก็เชิญยกยอไปเถอะ" ซ่งซีซีถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ นางจ้องมองดวงตาเสียดสีและท้าทายของเขา "เจ้าอย่าตั้งสมมติฐานเลย มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เจ้ามองว่าผู้คนโง่เขลาและปิดกั้นความคิด จนไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าชอบ จึงใช้วิธีการสุดโต่งนี้เพื่อให้พวกเขายอมรับเจ้า แต่นั่นคือปัญหาส่วนตัวของเจ้า เจ้าถึงขั้นไม่อาจเป็นตัวแทนของคนที่เหมือนเจ้าได้ เจ้าไม่ได้ทำเพื่อพวกเขาเลย เจ้ากลับดึงความเกลียดชังและความรังเกียจมาให้พวกเขา
อาจารย์ฉีและชิวเหมิงพบกันที่ห้องสอบสวนในหอต้าหลี่ ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่งคั่นกลางระหว่างพวกเขา ซ่งซีซีเองนั่งอยู่หลังโต๊ะของเจ้าหน้าที่บันทึก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก แม้ทั้งสองจะพูดคุยกันเสียงเบาเพียงใด นางก็ยังสามารถได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน เสียงลมหายใจ เสียงหัวใจเต้น และบางครั้งก็มีเสียงถอนหายใจแผ่วเบา แต่ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น แม้แต่การสบตากันของทั้งสองก็มีเพียงไม่กี่ครั้ง ราวกับคนแปลกหน้าที่ถูกบังคับให้นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งห่างเหินและเย็นชา ซ่งซีซีคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่ แต่เพราะนางออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงอยู่ร่วมกับบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ผ่านไปนาน อาจารย์ฉีจึงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า "ทำไม?" เขารู้สึกสงสัยอย่างแท้จริง ราวกับว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนในความทรงจำของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันได้ ชิวเหมิงประสานมือทั้งสองแล้วส่ายหน้า "จะค้นหาทำไม? ผู้ชนะคือผู้เป็นใหญ่ ผู้แพ้คือผู้ต่ำต้อย" "ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีที่มาใช่หรือไม่?" อาจารย์ฉีถามด้วยเสียงแหบพร่า ชิวเหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "อย่างไรเสีย