อู๋เซี่ยงเห็นว่าเขาไปจากเมืองหลวงไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่สองสามวัน จึงพูดกับอ๋องเยี่ยนว่า "ตอนนี้ท่านอ๋องต้องพักฟื้น ไม่สามารถกลับไปที่เยี่ยนโจว แต่ก็จากเยี่ยนโจวมานานแล้ว อ๋องฮวยกุมอำนาจอยู่ที่เยี่ยนโจวตลอด เกรงว่าจะเป็นนกพิราบเข้าครองรังนกกางเขน ข้าจำเป็นต้องกลับไปที่เยี่ยนโจวก่อน”หลังจากที่อ๋องเยี่ยนตกตะลึง เขาก็โกรธเล็กน้อย "ตอนนี้เจ้าทิ้งข้ากลับไปที่เยี่ยนโจว? แล้วปัญหาเละเทะนี่ เจ้าจะให้ข้าเก็บกวาดมันอย่างไร?"อู๋เซี่ยงรู้ว่าเขาจะโกรธ ดังนั้นจึงอธิบายให้เขาฟังด้วยความอดทนว่า "ท่านอ๋อง ตอนนี้ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไรก็ล้วนแต่ต้องเจอกับปัญหาเละเทะนี้ แต่ท่านอยู่พักฟื้น พวกชาวบ้านเอาไปพูดกันสองสามวันก็จะไม่พูดอีก มิสู้ก็อยู่ที่เมืองหลวงมันทั้งแบบนี้ กระหม่อมจะกลับไปหารือกับอ๋องฮวยว่าก้าวต่อไปเราจะเดินกันต่ออย่างไร เพราะตอนนี้นักรบสิ้นหวังของเรากว่าครึ่งล้วนตกอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว จำเป็นต้องวางแผนกันใหม่ อีกอย่างมอบเยี่ยนโจวให้อ๋องฮวยดูแล พระองค์ทรงวางใจจริงๆ?”อ๋องเยี่ยนไม่วางใจ แต่เขาก็ไม่อยากเผชิญกับปัญหาเละเทะนี้เพียงลำพัง จึงดูโกรธเล็กน้อยอู๋เซี่ยงจึงได้แต่พูดว่า "ตอนนี้ พร
จ้านเป่ยว่างนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน เดิมทีคิดว่าเขาจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่ดวงตากลับไม่มีน้ำตาสักหยด แค่นั่งซึมกระทืออยู่นานเซี่ยหรูหลิงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงยื่นกาเหล้าให้เขากาหนึ่ง เขาดื่มมันทั้งหมดในครั้งเดียว แล้วก็เมาล้มพับไปเขาไม่ได้ส่งจ้านเป่ยว่างกลับไปเช่นกัน แต่ให้เขาค้างอยู่ที่เรือนพักคืนหนึ่งเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินจากพ่อบ้านว่าเขากลับไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างแล้วหลังจากนั้นเขาก็ยังมาที่นี่อีกหลายครั้ง เอาจริงๆ ทั้งคู่ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกัน ก็แค่หาเพื่อนดื่มเซี่ยหรูหลิงรู้ว่าภรรยาของเขากลับไปที่บ้านของพ่อแม่นางแล้ว บอกว่าต้องการจะหย่ากับเขาหลังจากที่เขาดื่มจนเมาไม่ได้สติ เขายังเปิดเผยเรื่องบางเรื่องออกมา บอกว่าเขารู้ความลับเกี่ยวกับภรรยาของเขา ความลับนี้เป็นเหมือนเข็มที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขา ยากที่จะถอนมันออกไป แต่กับคนเช่นเขา จะถอนออกไปหรือไม่นั้นล้วนไม่สำคัญ ยังใช้ชีวิตต่อไปได้เพียงแต่ว่านางไม่ต้องการที่จะหันหลังกลับแล้วเซี่ยหรูหลิงถามเขาว่าความลับนั้นคืออะไร เขาไม่พูด เพียงแค่ยิ้มขมขื่นและส่ายหัว "พูดมามีแต่จะทำร้ายนาง ถ้าน
ซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ข้าจำได้ว่าเซียนเกอเอ๋อร์ของเจ้าเรียนเก่งไม่เลว ทำไมถึงอยากให้เขามาเรียนวรยุทธกับข้าเล่า? ฮูหยิน ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีได้อย่างไร แถมอีกหน่อยเขายังต้องขึ้นรับสืบทอดตำแหน่งเจวี๋ย ให้เขาอ่านเขียนแล้วสอบเข้ารับราชการมิใช่ทางออกที่ดีที่สุดหรือ?”ซ่งซีซีไม่อยากรับศิษย์ นางมีตำแหน่งอยู่กับตัว จึงไม่สามารถสอนศิษย์อย่างเต็มที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนเกอเอ๋อร์อายุยังน้อย เด็กอายุสิบกว่าปี นอกจากต้องสอนศิลปะการต่อสู้ ยังต้องสอนเขาว่าจะเป็นคนดีได้อย่างไร ชี้นำให้เขามีทัศนคติต่อชีวิตที่ถูกต้องต่างจากจือจือ ลูกศิษย์ของนางหลายคนมีอายุมากกว่านาง แถมแต่ละคนก็มีหน้าที่การงานเป็นของตัวเองแล้ว“สืบทอดตำแหน่งเจวี๋ย?” นางจียิ้มอย่างขมขื่น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “พระชายา ตำแหน่งเจวี๋ยนี้ยังไม่ทราบชัดว่าจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ กระทั่งเป็นเผือกร้อนก้อนหนึ่ง…ข้าไม่ใช่ว่าจะขอให้ท่านรับเขาเป็นศิษย์ให้ได้ แค่ท่านหาคนมาสอนเขาแค่นั้นก็พอแล้ว ข้าแค่หวังว่าเขาจะสามารถเรียนรู้วิธีปกป้องตัวเอง เผื่อว่าวันหนึ่ง เขาเกิดเรื่องขึ้น อย่างน้อยก็ยังมีร่างกายที่แข็งแก
เมื่อนางพาเซียนเกอเอ๋อร์มาในวันรุ่งขึ้น นางก็แจ้งว่าเบี้ยหวัดรายปีของกุ้นเอ๋อร์อยู่ที่สามร้อยตำลึงกุ้นเอ๋อร์ชอบเงิน แต่เขารู้ว่าเขาไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย เขาจึงรีบปฏิเสธไปว่า "ไม่ต้อง ปีละหกสิบตำลึงก็ถือว่าเยอะแล้ว สามร้อยตำลึง ข้ารับแล้วไม่สบายใจ"ไม่ว่านางจีจะพูดอย่างไร เขาก็ปฏิเสธที่จะรับเงินสามร้อยตำลึง และยืนกรานรับเพียงหกสิบตำลึงต่อปีก็เพียงพอแล้วนางจีมองไปที่ซ่งซีซีอย่างขอความช่วยเหลือ และหวังว่านางจะช่วยพูดซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "หกสิบตำลึงก็หกสิบตำลึงเถอะ ฟังที่อาจารย์เมิ่งพูด ไม่ว่าจะเป็นหกสิบตำลึงหรือสามร้อยตำลึง คำสอนนั้นก็เหมือนกัน นี่จะช่วยให้เขาไม่ต้องรู้สึกมีภาระมากด้วย"พระชายาเอ่ยปากพูดมาเช่นนี้แล้ว นางจีจึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณอย่างสุดซึ้งไปจะอ่านเขียนก็ดี ฝึกวรยุทธก็ช่าง ขอแค่ให้ได้เรียนรู้ทักษะ ไม่สำคัญว่านางจะใช้เงินไปเท่าไหร่ตราบเท่าที่มันยังอยู่ในขอบเขตที่นางสามารถรับไหว กุ้นเอ๋อร์คิดว่าเงินห้าตำลึงต่อเดือนก็ถือว่าเยอะแล้ว ชาวบ้านทั่วไป ในปีหนึ่งอาจจะใช้เงินไม่ถึงห้าตำลึงด้วยซ้ำยิ่งไปกว่านั้น เขาเพียงแค่ชี้แนะ ไม่ได้สอนอย่างสุดกำลัง เพราะท้ายที่สุดแล้ว
อันที่จริงเซี่ยหลูโม่เองก็ไม่สนใจเรื่องสามีภรรยาของคนอื่น เพียงแต่เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ตอนนี้จึงเผลอพูดออกมาเซียนเกอเอ๋อร์ฝึกฝนเกือบสองชั่วยาม จนจวนจะถึงยามไฮ่แล้วถึงกลับจวน หลังจากฝึกติดต่อกันหลายวัน เขาก็ยังไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ยิ่งไม่รู้สึกว่าการเรียนในตอนนี้มันน่าเบื่อ กระทั่งบางครั้งเขายังท่องตำราไปด้วย ฝึกท่าขี่ม้าไปด้วยบางครั้งเมื่อซ่งซีซีมองไปที่เขา มันช่างยากที่จะจินตนาการจริงๆ ว่าเขาคือบุตรชายของหวังเบียว แต่เมื่อนางคิดว่าเขาเป็นบุตรชายของนางจี นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลในเวลานี้เอง อาจารย์หยูก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบแล้วพูดว่า "ท่านอ๋อง มีรายงานกลับมาแล้ว ยังไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ"เซี่ยหลูโม่ไม่แปลกใจสักนิด เพียงแค่ถามไปว่า "มีคนลอบอารักขาไปหรือไม่?"“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ มียอดฝีมือคอยคุ้มกันไปตลอดทาง ประมือกันสามครั้ง แต่ทางเรากลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย”เซี่ยหลูโม่ถามว่า "เป็นนักรบสิ้นหวังหรือไม่?"“อิงตามรูปแบบการต่อสู้ พวกเขาไม่ใช่นักรบสิ้นหวังพ่ะย่ะค่ะ ล้วนแต่งกายในชุดชาวยุทธ ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าเป็นกระบวนท่านิกายไหน”ซ่งซีซีฟังอยู่ด้านข้าง ในตอนแรกนางฟังไม่เ
ช่วงนี้ เสิ่นว่านจือออกเช้ากลับดึก นางจะออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย ก็ไม่เห็นเงาคนแล้วแต่ทว่า นางจะกลับไปอยู่ที่โรงงานราวหนึ่งชั่วยามทุกวัน โรงงานตอนนี้มีหญิงสาวเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน นั่นคือเฉินชีเหนียง นางถูกไล่ส่งกลับบ้านเกิด พี่ชายฝั่งตระกูลมารดายินยอมจะรับนางกลับไป แต่ทว่าพี่สะใภ้ไม่ยอม นางเองก็ไม่อยากทำให้พี่ชายลำบากใจ จึงให้นางมาทำงานที่โรงงานแทนพวกนางปักถักเย็บร้อยด้วยกัน พูดคุยกันไปด้วย แต่ละคนไม่พูดถึงเรื่องอดีต มีแต่เรื่องในอนาคตเสิ่นว่านจือชอบบรรยากาศเช่นนี้ แถมบางครั้งนางยังหันไปพูดคุยกับหลานเอ่อร์ และยังมีศิษย์พี่ซือโซ ศิษย์พี่หลัวควังอยู่ที่นี่ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางราวกับสนิทสนมกันในบัดดลนางจีเองก็จะมาหาด้วย ตอนที่นางมาวันนี้ได้พบกับเสิ่นว่านจือพอดี จึงได้สนทนาร่วมกับนางไปด้วยเสิ่นว่านจือรู้ว่าเซียนเกอเอ๋อร์กำลังเรียนรู้วิชาวรยุทธ์กับกุ้นเอ๋อร์ จึงได้เอ่ยคำพูดตรงไปตรงมาว่า “เซียนเกอเอ๋อร์ขยันก็จริง ทว่าขาดพรสวรรค์ไปบ้าง แต่เป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการเรียนหนังสือ”นางจีเองก็พูดยิ้มๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ขอให้เรียนรู้ทักษะวรยุทธ
เรื่องของหวังชิงหลู ซ่งซีซีเองก็รู้เช่นกันเพราะนางเองก็อยู่ในที่เกิดเหตุพอดีวันนี้นางได้ซุ่มดูการลาดตระเวนของค่ายลาดตระเวน เพราะการลาดตระเวนเป็นหนึ่งในรายการสอบช่วงนี้ แม้ว่าพฤติกรรมชั่วร้ายก่อนหน้านี้จะถูกแก้ไขแล้ว แต่ก็มีพ่อค้าจำนวนมากนำของมาติดสินบน เพื่อเป็นการเอาใจพวกเขาเหมือนแต่ก่อนเดิมทีนางส่งคนไปเฝ้าดู ทุกคนล้วนบอกไม่ได้รับสินบน เพียงแต่ขาดความกระตือรือร้นไปบ้าง ลาดตระเวนได้ไม่นาน ก็หาร้านชานั่งดื่มชาพูดคุยกัน เช่นนี้ไม่เข้าท่าซ่งซีซีคิดหากจับจุดอ่อนได้คาหนังคาเขา จะได้เชือดไก่ให้ลิงดูได้ง่าย ทว่าไม่คิดว่าจะเจอเรื่องนี้เข้าจนได้นางลาดตระเวนไปถึงร้านขายยาเย่าหวังพอดี จึงเข้าไปขอน้ำดื่มถ้วยหนึ่ง และได้เห็นความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดผ่านม่านสีเขียวอ่อนบริเวณห้องโถงด้านหลังแรกเริ่มนางได้ยินของหวังชิงหลูก่อน คิดในใจว่าไม่อยากเจอหน้าทักทายนาง ดังนั้นถึงได้เลือกนั่งอยู่ข้างหลังห้องโถง คิดว่าหากนางซื้อยาเสร็จแล้ว ก็คงกลับ แต่ไม่คิดว่ายาที่นางจะซื้อคือยาดันเสวี่ย พ่อค้าบอกกับนางว่าไม่มี แต่นางไม่เชื่อขณะนั้น ลู่ซื่อชินเพิ่งกลับถึงร้าน แล้วเจอกับนางพอดี เพื่อทำเหมือนว่าไม่มี
นับได้ว่าภายในจวนป๋อผิงซียุ่งเหยิงไปหมดแล้วอวี้เอ๋อร์ยังเล่าได้ไม่ชัดเจนพอ ต้องรอนางจีกลับมาถามให้เข้าใจ ถึงจะรู้ว่าเรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตมากเพียงใดนางลู่ตบหน้าหวังชิงหลูไปหลายครั้ง นอกจากคนไข้ในร้านขายยาเย่าหวังที่เห็น ก็ยังมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเข้ามาดูแวบหนึ่งหงเอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายหวังชิงหลูยังบอกอีกว่า ได้ยินคนตะโกนประโยคหนึ่งท่ามกลางความวุ่นวายว่า พระชายาอยู่ด้านใน หากก่อความวุ่นวายขึ้นมาจะเป็นการเสียมารยาทนางจีตะลึง จากนั้นก็นึกได้ว่า พระชายาท่านนี้คงจะเป็นซ่งซีซี เพราะนางมักจะไปร้านขายยาเย่าหวังบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นพระชายาพระองค์ใด เรื่องล้วนแพร่ออกไปแล้ว คราวนี้หน้าตาของจวนป๋อผิงซีไม่เหลือแล้วจริงๆนางจีนั่งดื่มชาที่ลานด้านนอกสักพักหนึ่ง ถึงได้เข้าไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินผู้เฒ่าดึงมือนาง ร่ำไห้ พลางเอ่ยว่า “เจ้าว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี คิดหาวิธีปกปิด หรือหาตัวนางลู่ผู้นั้นออกมา นางต้องการสิ่งใด ก็ให้สิ่งนั้น ให้นางออกหน้าชี้แจง บอกว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แบบนี้ถึงจะสงบได้”นางจีได้ยินวาจานี้ ก็รู้ว่า แม้ว่านางจะคับแค้นใจ แต่ก็คิดหาวิธีมากมายเช่นกัน