ดวงตะวันถูกเงามืดใต้เส้นขอบฟ้าดึงหายลับไปอีกครา ม่านราตรีเวียนมาปกคลุมผืนฟ้าในจวนเจิ้นกั๋วกงอันเงียบสงัด ห้องของชุยอันหรูยังคงสว่างไสว“ท่านหญิง พวกเขาจะมาจริงหรือเจ้าคะ?”ตันชิงถามเสียงเบา กังวลว่าจะดังเกินไปจนผู้มาเยือนยามราตรีที่ชุยอันหรูกล่าวถึงหนีเตลิด“วันนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ดูจากนิสัยของคนตระกูลเซียวและวิธีการลงมือของตระกูลหลิน หากว่าไม่ตอบโต้ข้า นั่นต่างหากที่เรียกว่าแปลก”ตันจูเติมชาร้อนให้นาง “ท่านหญิงเจ้าคะ รอต่อไปเช่นนี้หาใช่ทางออกไม่ พวกบ่าวจะคอยอยู่ตรงนี้เอง ท่านไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ”แต่ชุยอันหรูตอบว่า “รออีกสักประเดี๋ยวเถิด”ทุกคนต่างสงบปากคำ ไม่มีใครยืนยันอะไรอีกต่อไป ขณะที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไปอย่างเชื่องช้าแม้พวกตันชิงจะยังมีความคลางแคลงใจ แต่ก็ยังรออยู่เป็นเพื่อนชุยอันหรูเวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งคืนหลัง กระทั่งชุยอันหรูเองก็เริ่มสงสัยว่าตนคาดการณ์ผิดไป ในที่สุด เสียงเคลื่อนไหวภายนอกก็ดังขึ้น“ท่านหญิง มีคนเข้ามาแล้วขอรับ...”คนที่ชุยอันหรูจัดให้ซุ่มซ่อนตัวไว้รีบเข้ามารายงาน“ในที่สุดก็มาได้เสียที...” ชุยอันหรูเอ่ยด้วยสติที่ยังเต็มร้อยตันชิงและคนอ
มีองครักษ์เข้ามารายงานเพิ่มเติมว่าพบ แผ่นป้ายประจำตัวของกองทหารรักษาการณ์บนตัวของคนเหล่านั้นชุยอันหรูหัวเราะเย็นชา เซียวรั่งนะเซียวรั่ง ช่างไม่ระมัดระวังเสียเลย เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ กลับกล้าใช้คนเหล่านี้มาก่อเรื่องชั่วเสียแล้ว?“ในเมื่อท่านอ๋องมีคำสั่ง เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนเจ้าและพี่น้องของเจ้าช่วยข้าจัดการบางเรื่องด้วย”“น้อมรับคำสั่งท่านหญิง”ในจวนอันหนานโหว ยามค่ำคืนอันเงียบสงัด บรรดาเจ้านายในจวนกลับกระวนกระวายใจฮูหยินผู้เฒ่าเอาใจออกหากจากนางหยาง ใช้เวลาทั้งคืนครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางหยางได้หลอกลวงและเสแสร้งต่อตนมาตลอดหลายปีด้านนางหยางเองก็หวาดหวั่นใจยิ่งนัก ภาพลักษณ์ของนางสูญสิ้น วันข้างหน้าจะยืนหยัดอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไรเซียวเสวี่ยหลิงกลัวว่าตนเองจะไร้โอกาสได้แต่งกับหลินชวน เพราะเรื่องราวของพี่ชายและพี่สะใภ้ลงเอยในสภาพเช่นนี้ด้านหลินจืออินที่ตั้งกำลังครรภ์และได้แต่งเข้าจวนของบุรุษที่นางแย่งชิงมา แต่ยังมิทันได้ลิ้มรสความสุข เรื่องวุ่นวายที่ประดังประเดเข้ามากลับทำให้นางเริ่มตั้งคำถามถึงชีวิตของตนเองส่วนเซียวรั่ง แม้ภายในใจเต็มไปด้วยความเคียด
ในหัวของเซียวรั่งราวกับถูกระเบิดเสียงดังสนั่น เรื่องราวมันคลาดเคลื่อนเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากนักเขาสั่งคนของตนให้ไปจับตัวชุยอันหรู หวังจะทำลายชื่อเสียงของนางจนย่อยยับ แต่เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเรื่องบุกโจมตีค่ายทหารรักษาการณ์กลางดึกไปได้?“ทูลฝ่าบาท งานสมรสเมื่อวานนี้วุ่นวายมากนักพ่ะย่ะค่ะ ท่านย่าและมารดาของกระหม่อมต่างก็เป็นลมหมดสติในงาน กระหม่อมแทบไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องอื่นใด... อีกทั้งกระหม่อมเพิ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์มาไม่นาน จะกล้าทำเรื่องที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ...”เหตุผลนี้ของเขาฟังดูสมเหตุสมผลพอควร ทว่าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงกลับพากันหันไปสนใจเรื่องความวุ่นวายในงานสมรสของเขาเมื่อวานมากกว่าขุนนางหลายคนที่ไปร่วมงานเมื่อวานนี้ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่โดยแท้เวินจี้หลี่ซึ่งได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตระกูลเซียวเมื่อวันก่อน ก็อดรู้สึกอายแทนไม่ได้ถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่เชื่อว่าเซียวรั่งจะมีความกล้าถึงเพียงนี้“ดังนั้น พวกทหารคนสนิทที่ติดตามเจ้าเข้าสนามรบ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา พอเจ้าได้รับต
คำตอบนี้ของเขา แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประทับใจแต่ขุนนางใหญ่ผู้นั้นกลับไม่เห็นด้วย “เจิ้นกั๋วกงและบุตรชายผู้มีความชอบด้านการศึกโดดเด่นไม่อาจรอดกลับมา แต่เหตุใดอันหนานโหวจึงดูแคลน หรือแม้กระทั่งลบหลู่ใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้? ท่านโหวกระทำสิ่งใดในช่วงเวลาที่วิญญาณของพวกเขายังไม่ทันจะสงบ ข้าไม่ขอกล่าวถึง ไม่อยากให้ปากต้องแปดเปื้อน!”เซียวรั่งถึงกับชะงักไป ไม่คิดว่าขุนนางใหญ่ผู้นี้จะกล้ากล่าวเช่นนี้ฮ่องเต้หรี่ดวงตาเล็กน้อย ยังคงนิ่งฟังต่อไป“มีเจตนาร้ายหรือไม่ ข้าเชื่อว่าขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักทุกคนล้วนมีความคิดของตนเอง ข้าไม่ได้ต้องการทำให้นางต้องเสื่อมเสีย แต่นางยืนยันจะออกจากจวนอันหนานโหวไปเอง ทว่านางกลับเป็นคนที่ย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้ข้า”ขุนนางใหญ่ผู้นั้นถามกลับไปตรง ๆ ว่า “เช่นนั้น ท่านโหว ท่านมีหลักฐานหรือไม่? เรื่องที่ท่านหญิงอันกั๋วทำให้ท่านพลาดฤกษ์มงคล กินมูลนก และทำให้ท่านย่าและมารดาของท่านป่วย เรื่องเหล่านี้ท่านมีหลักฐานหรือไม่?”เซียวรั่งถึงกับนิ่งอึ้งไป เรื่องเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว จะต้องการหลักฐานไปทำไม?“เรื่องพลาดฤกษ์มงคล ข้ายอมรับผิดเอง เพราะท่านหญิงมีความแค
หน้าร้านยาซิ่งหลินถังบนถนนสายหลักร้านถูกล้อมรอบจนแทบไม่มีช่องว่างแม้แต่ให้ลมพัดผ่านอีกครั้งลูกจ้างในร้านได้แต่ยืนมองไปยังหญิงชราที่นอนอยู่หน้าร้านอย่างจนปัญญา และยังมีครอบครัวของนางที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังเรียกร้องให้ร้านยาซิ่งหลินถังออกมาแสดงความรับผิดชอบ“เมื่อวานนี้เราซื้อบัวหิมะจากที่นี่ ราคาถูกไม่มีของดีโดยแท้ แม่ของข้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกเวียนหัว ไม่สบาย เข้านอนเร็วตั้งแต่เมื่อคืน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย พวกเจ้าเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาจริง ๆ”“ถูกต้อง พวกเราเห็นแก่เจิ้นกั๋วกงและบุตรชายที่เสียชีวิตในสนามรบ นี่เป็นร้านที่คุณหนูตระกูลชุยเปิดขึ้น พวกเราไม่มีความสามารถอะไร จึงช่วยอุดหนุนกิจการของนางก็ถือเป็นการตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนใจดำอำมหิตเช่นพวกเจ้า...”“เรื่องในวันนี้ ต้องมีคำอธิบาย มิฉะนั้นต่อให้ต้องไปโขกหัวตายหน้าจวนว่าการก็ต้องทวงความยุติธรรมมาให้ได้”คนเหล่านั้นผลัดกันพูดไป แต่กลับดูสอดประสานกันอย่างน่าประหลาดผู้ดูแลร้านปวดหัวเช่นกัน เขาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว ร้านค้าทุกแห่งที่อยู่ภายใต้ชื่อของชุยอ
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากพวกเขายืนยันได้ว่าอาการของแม่เจ้าในตอนนี้เกิดจากการกินยาบัวหิมะของร้านยาซิ่งหลินถัง ข้าจะรับผิดชอบจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องสละตำแหน่งท่านหญิง หรือขายทรัพย์สินทั้งหมด ข้าก็จะให้คำอธิบายแก่เจ้า”ชุยอันหรูเอ่ยด้วยความมั่นใจที่สุด กลับทำให้ครอบครัวนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปฝูงชนรอบข้างเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา“เจ้าหน้าที่ทางการย่อมต้องเข้าข้างท่านหญิงอยู่แล้ว...”เสียงหนึ่งที่ดูเหมือนตั้งใจจะปลุกปั่นดังขึ้นอย่างชัดเจนคนของชุยอันหรูจับตำแหน่งของชายผู้กล่าวคำปลุกปั่นนั้นแล้วคิดซ่อนตัวในฝูงชนได้พร้อมลากตัวออกมาทันที“หมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าไม่ให้คนพูดความจริง?”ชายคนนั้นเมื่อถูกจับได้ก็รีบโวยวายชุยอันหรูเดินไปถึงตรงหน้าเขา มองแววตาที่เจือความตื่นตระหนกของอีกฝ่าย“ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อทางการ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิว่า จะต้องพิสูจน์เรื่องนี้อย่างไรเจ้าจึงจะเชื่อ ข้าจะทำตามที่เจ้าร้องขอเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เป็นอย่างไร?”ชายคนนั้นไม่คิดเลยว่าชุยอันหรูจะมาเผชิญหน้ากับเขาที่ไม่โดดเด่น จึงเครียดมากกว่าเดิม“ข้าก็แค่พูดไปอ
เจ้าหน้าที่ลงมือทันที หลังจากที่นักชันสูตรที่พามาตรวจดูแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “คนยังมีชีวิตอยู่ ที่นี้หมดหน้าที่ของข้าแล้ว...”เขาคารวะชุยอันหรู จากนั้นก็ถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง ไม่พูดอะไรอีกส่วนหมอที่เจ้าหน้าที่พามาด้วยนั้นกำลังเริ่มตรวจชีพจรอย่างตั้งอกตั้งใจ เปิดดูเปลือกตา และตรวจดูสีลิ้นของหญิงชราอย่างละเอียดหลังจากนั้น เขาสอบถามครอบครัวของหญิงชราว่า ก่อนที่นางจะหมดสติ นางกินอะไรบ้างคนพวกนั้นต่างมองหน้ากันไปมา ก่อนที่จะตอบอย่างเป็นเสียงเดียวกันว่ากินยาบัวหิมะ“ข้าขอดูยาบัวหิมะที่หญิงชราผู้นี้กินไปหน่อยได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นไร?”บุตรชายดูเหมือนจะเห็นโอกาสทันที จึงรีบหยิบกล่องออกมาจากอกเสื้อของตนเอง“ยังเหลือยาอีกเม็ดอยู่ในนี้ ของสิ่งนี้ค่อนข้างแพง ปกติพวกเราก็ไม่มีปัญญาซื้อกิน หากไม่ใช่เพราะมาทันตอนที่ร้านนี้ลดราคาเหลือหนึ่งในสิบ พวกเราคงไม่กล้าคิดจะซื้อมันกินแน่... สุดท้ายซื้อมาได้สองเม็ด แม่ของข้ากินไปแค่เม็ดเดียวก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”ขณะพูด เขาก็ส่งกล่องนั้นไปให้หมอเมื่อหมอเปิดกล่องออก ก็หยิบเม็ดยาขึ้นมาอย่างระมัดระวังเขาเริ่มจากการดมกลิ่น จากนั้นก็ใช้เล็บขูดออกมาเล็กน้อยเพ
“ท่านหมอ หญิงชราผู้นี้หมดสติไปเพราะอะไรหรือ?”“เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ ก็เป็นเพราะโดนพิษไง ยาบัวหิมะของท่านมีสารหนูตกค้าง”ครั้งนี้บุตรสาวของหญิงชราเอ่ยแทรกทว่าสีหน้าของหมอกลับชวนให้คนสงสัย เขามองดูญาติทั้งสี่คนของหญิงชราอย่างพิจารณา“หญิงชราผู้นี้เพียงแค่กินหญ้าเมาเข้าไปเท่านั้น...” หญ้าเมา?สมุนไพรชนิดนี้พอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง แค่ได้กลิ่นของมัน ก็สามารถทำให้เวียนหัวและหน้ามืดตาลายได้ หากเผลอกินเข้าไป จะทำให้หมดสติไม่ฟื้น“ท่านพูดอะไร?” บุตรชายของหญิงชราลนลานแล้วหมอคลึงเม็ดยาบัวหิมะในมือแล้วพิจารณาดูโดยละเอียดอีกครั้ง “ชั้นนอกของเม็ดยานี้ดูไม่เหมือนสิ่งที่มีมาตั้งแต่แรก แต่เหมือนถูกเคลือบ...”บุตรสาวของหญิงชราร้อนตัวขึ้นมาทันที “ท่านพูดจาเหลวไหล!”ทว่าหมอกลับไม่รีบ “หากพวกเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นก็เชิญหมอคนอื่นมาตรวจดูอีกครั้งก็ได้ ต่อให้เป็นหมอหลวงจากในวังมาตรวจเอง แต่ท่านผู้เฒ่าผู้นี้มิได้โดนพิษจากสารหนูจริง ๆ”พูดจบ เขาก็ปัดมือสองสามทีแล้วลุกขึ้นยืนชุยอันหรูหันไปมองเจ้าหน้าที่ทางการ ก่อนจะจงใจถามว่า “พี่ชายเจ้าหน้าที่ท่านนี้ หมอท่านนี้ตรวจพบสารหนูและกุหลาบเยว่จี้
“ตอนนี้เซียวรั่งแต่งงานกับหลินจืออินแล้ว ในภายภาคหน้าตระกูลหลินกับตระกูลเวินก็ต้องเข้าข้างเขาอย่างแน่นอน...”เหลียงจื่ออวี้ก็นึกถึงเรื่องเหล่านี้ นางจึงถามออกมาตรง ๆ“พี่สะใภ้ ข้าย่อมมีวิธีของข้าอยู่แล้ว ท่านมิต้องกังวล ตอนนี้ข้ายังมิอาจอธิบายให้ท่านฟังได้ อย่างไรก็ตามข้ารับปากท่าน สามปีให้หลัง ตอนที่ท่านกับหลางเอ๋อร์กลับมา ผู้คนในเมืองหลวงที่ทำให้ท่านรู้สึกรังเกียจเหล่านั้น หากไม่ตายแล้วก็ต้องหมดสภาพ”เมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่ของชุยอันหรู เหลียงจื่ออวี้ก็รู้ว่านางมิได้โกหกตนยิ่งไปกว่านั้นนางเข้าใจตนเองอย่างชัดเจนแล้ว ภูมิหลังของนาง ความรู้ของนาง และสมองของนาง การอยู่ที่นี่ต่อไปมิได้ช่วยเหลือสิ่งใดชุยอันหรูได้เลย ในทางตรงกันข้ามอาจจะกลายเป็นภาระของนาง“ข้ารู้แล้ว แต่เจ้าต้องปกป้องตนเองให้ดี หลังจากสามปี เจ้าก็มิจำเป็นต้องไว้ทุกข์อีกแล้ว หากเจอบุรุษที่เหมาะสมก็อย่าพลาดโอกาสเชียว”ตอนนี้ตระกูลชุยมีนางเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติช่วยชุยอันหรูจัดการเรื่องการแต่งงาน“ได้ ข้ารู้”วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เวินจี้หลี่เลิกประชุมเช้าก็เจาะจงไปที่จวนอ๋องอี้ หลังจากเมื่อวานนางเวินไปเอะอะโวยวา
หลังจากชุยอันหรูรับมาแล้ว ก็ตั้งใจอ่านอยู่รอบหนึ่ง“ระวังว่าจวนอ๋องอี้จะไม่ส่งผลดีต่อศิษย์ของหมอเทวดา”ในตอนนั้นนางเข้าใจแล้ว ช่วงที่ศิษย์ของหมอเทวดาเข้ามาเมืองหลวงประจวบเหมาะกับองค์ไทเฮากำลังจะออกจากเมืองหลวงในสายตาของไท่เฟยจวนอ๋องอี้ ก็ยังมิแน่ว่าจะทำเพื่อรักษาลู่จิ่งเชินหากทำเพื่อให้ลู่จิ่งเชินตายเร็วขึ้น พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ศิษย์ของหมอเทวดาติดต่อกับเขาอย่างแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือทำให้เขาหายตัวไปนางค่อย ๆ นำจดหมายหย่อนเข้าไปในกระถางธูป และมองดูมันกลายเป็นเถ้าถ่าน“ศิษย์พี่เข้ามาในเมืองหลวงครั้งนี้ เกรงว่าคงต้องเจอปัญหาไม่น้อย”“แน่นอนว่าจะต้องมีคนจำนวนมากแย่งชิงศิษย์ของหมอเทวดา...” ตันจูเอ่ยวิเคราะห์ตันเสวียนนิ่งเงียบ ปกตินางจะมิชอบเอ่ยขัดจังหวะตันชิงกลับเป็นคนซ่อนความในใจไม่อยู่ จึงเอ่ยออกมาตามตรงว่า “หากพูดตามหลักแล้ว คนที่มีความสามารถเช่นศิษย์พี่ของท่านหญิง มิใช่คนมากมายต้องการปกป้องหรอกหรือ? อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าวันข้างหน้าตนเองและครอบครัวจะไม่เจ็บป่วยหนัก หมอธรรมดาก็ไม่อาจรักษาได้”ชุยอันหรูไม่รีบร้อนอธิบาย ตันจูจึงเอ่ยขึ้น
เซียวรั่งมิได้แสดงท่าทีใดนัก ที่จริงเขาคิดวิธีนี้ออกตั้งแต่ตอนที่อยู่ตระกูลเวินแล้ว แต่มิกล้าพูดเท่านั้นในเวลานี้นางเวินพูดออกมาแล้ว เขาก็มีความหวังเพิ่มขึ้นมาบ้างบางที หากมารดาสามีไปเอะอะโวยวายที่ตระกูลเวินเอง พวกเขาก็คงจะช่วยเหลือตนหลินจืออินก็คิดว่าวิธีนี้ดีเช่นกัน ในตอนนั้นนางก็นึกไม่ออกจริง ๆ“หากข้าคิดได้ พี่ชายของเจ้าจะคิดไม่ออกได้อย่างไร เพียงแต่มิอยากออกหน้าเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรตระกูลเวินก็มิใช่เขาเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ข้ามิเชื่อหรอกว่าท่านพ่อกับท่านพี่จะไม่ช่วยข้า”เป็นจริงตามคาด ท่าทีของนางเวินเป็นไปในทิศทางที่เซียวรั่งคาดไว้ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน บ่าวรับใช้ก็เข้ามา“นายท่าน ฮูหยิน...”“มีอะไรหรือ?”สีหน้าของบ่าวรับใช้ดูแปลกชอบกล คงว่าได้ยินข่าวแปลก ๆ บางอย่างมา“ด้านนอกดูเหมือนมีคนกระจายข่าวว่า อีกไม่กี่วันศิษย์ของหมอเทวดาจะเข้ามาในเมืองหลวง...”“จริงหรือ?” เซียวรั่งแทบจะดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ข่าวนี้ช่างมาในเวลาที่เหมาะสม ประจวบเหมาะกับการแก้ปัญหาเร่งด่วนของพวกเขา“มิรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ทุกคนก็พูดต่อๆ กัน อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่เกี่ยว
เซียวรั่งกับหลินจืออินมิได้รับประโยชน์ใด ๆ และมิได้กลับจวนในทันที แต่ไปที่จวนตระกูลหลินนางเวินเห็นสีหน้าของพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาน่าจะพบเจอปัญหาแล้ว“มีสิ่งใดหรือ? เพราะหน้าที่ต้อนรับคณะราชทูตถูกคนแย่งไปหรือ?”หลินจืออินอธิบายว่า “มิใช่เจ้าค่ะ พวกเราเพิ่งกลับมาจากบ้านท่านยาย...”“อยากให้ลุงเจ้าออกหน้า? เดาว่าเขาคงไม่เห็นด้วย” นางเวินคาดเดาบทสรุปได้แล้ว“ถูกต้องเจ้าค่ะ แต่ก็มิใช่ว่าท่านลุงไม่เต็มใจ แต่เป็นพี่ชายที่ปฏิเสธ...ป้าสะใภ้ก็ไม่พูดสิ่งใดตั้งแต่แรกจนจบ จะต้องไม่อยากช่วยเหลืออย่างแน่นอน”ความขุ่นเคืองของหลินจืออินพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด“พี่ชายเจ้าผู้นี้กับหรูซวง ได้รับการอบรมสั่งสอนจากป้าสะใภ้เจ้า จึงไม่สนิทสนมกับพวกเราแม้แต่น้อย พวกเราก็มิใช่คนนอก เอาแต่กังวลว่าพวกเราจะทำให้ตระกูลเวินเดือดร้อน ระแวดระวังมาหลายปีแล้ว ก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”หลินจืออินรีบคว้าแขนของนาง “ท่านแม่...”ตอนนี้นางเวินถึงนึกขึ้นได้ว่า ยังมีเซียวรั่งอยู่ข้าง ๆนางเปลี่ยนสีหน้าในทันที “เซียวรั่ง เรื่องของวันนี้ เจ้าอย่าโทษลุงเจ้าเลย เรื่องที่ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว ผู้ใดก็มิอาจเปลี่ยนแปลง หากลุงเ
“ถ้าเช่นนั้นท่านลุงกราบทูลฝ่าบาทไปตามตรงว่า เซียวรั่งเป็นคนที่เหมาะสมกว่า ท่านลุงเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ทำเช่นนี้มิได้หรือเจ้าคะ?” หลินจืออินนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งเวินหรูเฟิงเอ่ยเตือนอีกครั้ง “ครั้งนี้คนที่ฝ่าบาททรงเลือกเป็นที่แน่นอนแล้วคือหลี่ฉุนจงเสนาบดีกรมพิธีการ เป็นพระเชษฐาแท้ ๆ ของฮองเฮา เจ้าหวังว่าจะให้ท่านพ่อใช้เหตุผลใดถึงจะทำให้ฝ่าบาททรงเพิกถอนเขา ทั้งยังมิทำให้ฮองเฮาทรงแค้นเคืองตระกูลเวินของพวกเรา?”คราวนี้หลินจืออินอับจนหนทางอย่างสิ้นเชิงแล้ว นางมองเวินหรูเฟิงด้วยความขุ่นเคือง“ท่านพี่ ท่านดูแคลนพวกเรามากใช่หรือไม่?”เวินหรูเฟิงถึงกับงงงัน เอาความคิดนี้มาจากที่ใด?“น้องสาว เจ้าดูเหมือนจะเข้าใจผิดบางอย่าง”“ข้ามิได้เข้าใจผิด ข้าออกเรือนท่านก็มิได้มา พวกเรากลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานท่านก็มิได้มา...”หัวข้อสนทนาของหลินจืออิน ถูกโยงไปอีกทิศทางหนึ่ง ในเวลานี้นางเมิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าพาน้องเขยมาสอบถามถึงจวนแล้ว เจ้ารีบเอ่ยขอโทษก็พอ มิต้องอธิบายให้มากความ”หลังจากนางเอ่ยจบ เริ่มแรกก็ทำเป็นตัวอย่าง “จืออินเอ๋ย สองครั้งนั้นป้าสะใภ้มีธุระก็มิได้ไปเช่นกัน แล
หลินจืออินเอ่ยจบ ทุกคนพากันเงียบสนิทความเงียบของเซียวรั่ง เป็นเพราะเสียอารมณ์กับเรื่องการแต่งงานที่เคยเกือบจะเกิดขึ้นส่วนความเงียบของคนในตระกูลเวิน ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางจะตามหาหมอเทวดาได้ มิเช่นนั้นหลายปีมานี้พวกเขาก็คงทนรับทางด้านของไทเฮาไม่ไหวไปนานแล้ว“จืออิน ความคิดนี้ของเจ้าก็ไม่เลว ทว่าพวกเรามิรู้ว่าหมอเทวดาอยู่ที่ใด...” เวินจี้หลี่อธิบายด้วยความอึดอัดใจ“เป็นไปได้อย่างไร ทุกครั้งขอเพียงท่านตาเกิดปัญหา หมอเทวดาก็มักจะมาปรากฏตัว หลายวันก่อนท่านตาทวดร่างกายไม่สบาย ก็มิใช่หมอเทวดาให้คนนำยามาส่งให้ กินยาจนกระทั่งหายจากอาการป่วย...หากพวกท่านหาเขาไม่พบ แล้วเขาจะมาปรากฏตัวอย่างทันเวลาทุกครั้งได้อย่างไร...”คำถามของหลินจืออิน ที่จริงแล้วก็สร้างความสงสัยให้ตระกูลเวินมานานมาก “จืออิน พวกเรามิรู้ที่พำนักของหมอเทวดาจริง ๆ เขาไปมาอย่างไร้ร่องรอยเสมอ เมื่อหลายปีก่อนเคยมาที่จวนมหาราชครูครั้งหนึ่งจริง ๆ นับแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ท่านตาเจ้าล้มป่วย จะมีคนนำยามาส่งให้โดยเฉพาะ พวกเราก็ลองสะกดรอยตามคนส่งยา ทว่ากลับไม่ได้เบาะแสใดเลย”ฮูหยินผู้เฒ่าเฮ่อเป็นพยานได้ว่า พวกเขาไม่มีหนทางจริง ๆ
มหาราชครูเวินคิดจะวางมาดน่าเกรงขามตามเดิม ทว่าสำหรับหลานสาวที่เอ็นดูมาตั้งแต่เล็กผู้นี้ คงมิอาจทำได้เสียแล้ว“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องบอกให้ตารู้ว่า เจ้าต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่...”“หรือเป็นเพราะคำพูดที่อ๋องอี้เอ่ยในราชสำนักวันนี้ ทำให้ฝ่าบาททรงยึดหน้าที่การต้อนรับคณะทูตของเซียวรั่งกลับไป?”เวินจี้หลี่ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็รู้ว่าพวกเขาต้องการทำสิ่งใด“ท่านลุงยอดเยี่ยมยิ่งนัก จืออินยังมิทันเอ่ย ท่านก็คาดเดาได้ถูกแล้ว”เวินจี้หลี่ยิ้มจาง ๆ พร้อมเอ่ยว่า “เจ้าหนอเจ้า วันนี้มีเพียงเรื่องเดียวนี้เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเขา เจ้าคิดว่าจะเป็นเรื่องใดได้อีกเล่า?”“ข้าเกิดคิดถึงท่านตาท่านยาย และคิดถึงท่านลุงมิได้หรือเจ้าคะ?”หลินจืออินโผเข้าไปข้างกายเวินจี้หลี่ราวกับผีเสื้อตัวหนึ่ง และคล้องแขนของเขาไว้“ท่านลุงพวกเราทำศึกชนะ การต้อนรับคณะทูตในครั้งนี้ ท่านโหวมิใช่คนที่เหมาะสมที่สุดหรอกหรือ? หากเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปคงไม่มีอำนาจโน้มน้าวกระมัง?”นางเมิ่งเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ดื่มชาด้วยท่าทางผ่าเผย ประโยคเดียวก็มิเอ่ยเซียวรั่งมองเห็นท่าทางของนางเมิ่ง ในใจก็นึกถึงสิ่งที่หลินจืออินบอกเขาเมื่อหลายวัน
“จืออิน เจ้ามีวิธีใด?” ในเวลานี้เซียวรั่งรู้สึกเหนื่อยใจความสุขของการมีภรรยาหลายคนที่เขาวาดฝันนอกจากจะไม่เคยได้รับ ทว่าภายใต้การจัดการต่าง ๆ นานาของชุยอันหรู กลับต้องกลายมาเป็นสภาพเช่นทุกวันนี้แม้ว่าเขาจะได้แต่งงานกับหลินจืออินแล้ว ตอนกลับไปบ้านฝ่ายหญิงก็ได้พบปะคนตระกูลเวิน ทว่าทุกครั้งที่ตนเอ่ยว่าจะไปเยี่ยมเยือนจวนมหาราชครู เวินจี้หลี่ก็จะใช้เหตุผลต่าง ๆ มาคัดค้านเขาเข้าใจดี คนตระกูลเวินดูถูกเขาเพราะเขาเป็นคนทรยศจวนเจิ้นกั๋วกง“ท่านโหว พวกเราไปตระกูลเวินสักครั้งเถิด”คำพูดของหลินจืออิน ประจวบเหมาะกับทำให้จิตใจที่วิตกกังวลของเซียวรั่งได้คลายลงในทันทีเขาถึงกับคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญที่สรรค์ประทานให้ เรื่องที่เขากลุ้มใจเป็นที่สุดก็คือจะเข้าไปสร้างสัมพันธ์กับตระกูลเวินอย่างไร นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้หลินจืออินจะช่วยเขาแก้ปัญหา“ตอนนี้หรือ?”น้ำเสียงของเขาฟังดูสั่นเครือฮูหยินผู้เฒ่ากับนางหยางต่างมิกล้าพูดมาก พวกเขาเข้าใจดีว่า หากตีสนิทกับตระกูลเวินได้จริง ๆ ก็จะนำพาผลประโยชน์มาให้พวกเขาได้มากเพียงใด“แน่นอนว่า หากรอจนกระทั่งองค์ชายสามของต้าชิ่งผู้นั้นเสด็จมาถึง ทั้งหมดก็จะไม่
เซียวเสวี่ยหลิงชอบยกยอหลินจืออินอยู่เสมอ ไม่เพียงเพราะตระกูลเวินที่อยู่เบื้องหลังนางเท่านั้น ยังเป็นเพราะนางปรารถนาจะแต่งงานกับหลินชวนมาตลอดแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะเป็นจวนป๋อ ทว่ากลับได้รับการเมินเฉย ทำให้นางเมื่ออยู่ต่อหน้าคนตระกูลหลินที่มิใช่ขุนนางใหญ่ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจตามเดิมตอนนี้นางเป็นน้องสาวของอันหนานโหวแล้ว ตามหลักแล้วก็ควรมองหาคนที่มีสถานะสูงกว่า ทว่านางยังคงทุ่มเทใจให้กับหลินชวนหลินจืออินลูบคลำท้องของตนเอง “ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว สถานะของนางในเมืองหลวงจะเป็นอย่างไร ข้ามิจำเป็นต้องพูดให้มากความ นางล่วงเกินฮองเฮากลับคิดจะหลีกหนี ทำได้ง่ายเช่นนั้นที่ไหนกัน ถึงแม้จะฝากฝังคนไว้กับไทเฮา แล้วจะอย่างไร? หรือว่าองค์ไทเฮาจะไม่เสด็จกลับมาอีกแล้ว? ภายภาคหน้า ชุยหลางมิต้องการจะรับตำแหน่งต่อหรือ? คนที่นางล่วงเกินเหล่านั้น ก็ไม่คิดจะให้นางชดใช้หรือ?”เซียวเสวี่ยหลิงดูเหมือนก็ตั้งตารอคอย “คนอย่างนาง ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่สามารถทำให้ข้าคลายความโกรธแค้นได้...”ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ เซียวรั่งก็กลับมาแล้ว“ท่านโหว เหตุใดวันนี้ถึงกลับจวนมาเร็วเช่นนี้?”หลินจืออินรีบลุกขึ้นและเด