10 วันผ่านไป“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะคุณนายหลี่ เสียใจด้วยนะคะคุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง”แขกที่มาร่วมงานพิธีเคารพศพของหลี่ซีซวนวันสุดท้ายมีมากกว่า 9 วันที่ผ่านมา แขกชายจากตระกูลต่าง ๆ ในเฉิงตูไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย แต่ไม่ใช่อย่างนั้นกับแขกฝ่ายหญิงประโยคเน้นคำเรียกคุณนายหลี่ คือสิ่งที่ตอกย้ำติงหรูอี้ซ้ำ ๆ เป็นสิบเป็นร้อยเป็นพันครั้งเธอเหมือนโดนหลี่เหม่ยถิงถีบออกมายืนท่ามกลางผู้คน ให้คนเหล่านั้นรุมเย้ยหยัน ตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันยิ้มสู้พอคล้อยหลังเธอ พวกสาวสังคมเหล่านั้นก็จับกลุ่มนินทาหัวเราะเยาะ เรื่องที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มือเรียวเหล่านั้นชี้นิ้วมายังเธอด้วยอาการล้อเลียนติงหรูอี้ชำเลืองไปทางลูกเลี้ยงสาวด้วยสายตาอาฆาตปนแววสังหาร หลังจบงานนี้ไม่แน่หรอกนะว่าใครจะจัดการใคร‘อาอี้ อาจารย์ของนังเด็กนั่นไม่มีอำนาจอิทธิพลแน่ใช่ไหม ข่าวลือของเธอมันระงับไม่ได้เพราะมีคนคอยปล่อยข่าวซ้อนตลอดเลยนะ’ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เธอต้องมาคอยยืนเป็นตัวตลกในงานให้คนหัวเราะตลอด 10 วันเพราะนังเด็กนี่แท้ ๆ‘พี่ช่วยฉันจัดการหน่อย ฉันไม่อยากเก็บมันไว้ให้รกหูรกตาอีกแล้ว’ ในเม
ฮ่า ฮ่า ฮ่าติงหรูอี้หลุดเสียงหัวเราะสุขใจดังลั่นออกมา ไม่หลงเหลือหรือพยายามรักษาท่วงท่าสง่างาม หญิงกลางคนแทบจะลุกขึ้เต้นรำไปรอบห้อง‘มันไม่ใช่ลูกของหลี่ซีซวน ในที่สุดเธอก็ชนะผู้หญิงในใจคนนั้นแล้ว’หลี่เหม่ยหลินกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา สมองมึนตื้อไปหมด เธอถูกแม่บอกเล่ามาเสมอว่าหลี่เหม่ยถิงคือลูกชู้ ลูกของผู้หญิงที่ทำแม่ของเธอเสียใจความจริงแบบนี้ต้องให้เธอรู้สึกยังไงหลี่เหม่ยถิงไม่มีเวลามาสนใจปฏิกิริยาหรือความรู้สึกของใครทั้งนั้น ตาจดจ้องเพียงจดหมายในมือไล่อ่านทีละคำทีละบรรทัดจนพบข้อความต่อจากที่หลี่เหม่ยหลินอ่าน“ใช่แล้วถิงเออร์ ลูกไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อ แม้พ่ออยากจะให้เป็นสักแค่ไหนก็ตาม พ่อกับแม่ของลูกดำรงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนนี้ตลอดระยะเวลาที่แม่ของลูกตั้งครรภ์แล้วเธอไปฝากท้องที่โรงพยาบาลนั้นแต่พ่อของลูกไม่เคยปรากฏตัว พ่อที่แอบรักแม่ของลูกเงียบ ๆ ในใจก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้แม่ของลูกลืมผู้ชายคนนั้นเสีย เพราะทุกครั้งที่เธอพูดถึงสามีจะมีประกายตาแห่งความสุขไร้แววเศร้าหมอง เธอยังเชื่อมั่นจนลมหายใจสุดท้ายว่าเขาจะกลับมาหาวันที่ลูกเกิด
หากไม่มีคุณหนู ตระกูลหลี่ก็ไร้ความหมายสองสามีภรรยาต่างมองหน้าสื่อความแล้วแยกย้ายกันไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายคนละทาง“ผู้เฒ่าติงครับ ผมคิดว่าเราควรถือวิสาสะอ่านจดหมายที่เป็นต้นเหตุของอาการครับ พ่อบ้านติงครับไปเก็บของเถอะครับ เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย ผมจะให้เกาอี้เอารถมารอรับด้านหน้า”ท่านผู้เฒ่ารับจดหมายที่ยับย่นจากมือหยางฝูเหว่ยมาอ่านอย่างรีบร้อน ยิ่งอ่านใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัยชรายิ่งดำทะมึนขึ้นตามตัวอักษรแต่ละคำลักพาตัวเด็ก!!!“สารเลว! ชั่วชาติเอ๊ย!”ท่านผู้เฒ่าสบถด่าออกมาอย่างดุเดือด ใบหน้าแดงก่ำจากความดันพุ่งขึ้นสูง อยากปาจดหมายลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำ เสียแต่คนที่เขาอยากจัดการดันชิงตายไปเสียก่อนคิดแล้วว่าหลี่ซีซวนอะไรนี่ไม่ใช่ตัวดี!นี่มันกากเดนมนุษย์ในคราบหมอยังมีหน้ามาอวดอ้างความดีความชอบ มันลักพาตัวเด็กมาชัด ๆ ถุย! ปกปิดความผิดมาตลอดชีวิตจนตัวตาย ยังไม่กล้าเผชิญหน้าความจริงสงสารก็แต่ศิษย์น้อย ตกเป็นเหยื่อของชายเห็นแก่ตัว ยิ่งมองไปยังสภาพของศิษย์รักท่านผู้เฒ่ายิ่งสะเทือนใจ ถิงเออร์คงเจ็บปวดทรมานมากที่มารับรู้ว่าโศกนาฏกรรมในชีวิตเกิดจากคนที่เธอรักเคารพที่สุดพ่อบ้านติง
อือ…“คุณหนู ฟื้นแล้วเหรอครับ” หยางฝูเหว่ยและเกาอี้นั่งรออยู่ในห้องพักพิเศษตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาล สองหนุ่มผู้ดูแลลุกขึ้นเดินเข้าหาอย่างระมัดระวัง สายตาของหยางฝูเหว่ยมองเข้าไปในหน่วยลึกของดวงตาดอกท้อ ขนตาหนาเป็นแพกระพือถี่อย่างพยายามปรับโฟกัส ความหม่นในดวงตาค่อยกระจ่างขึ้น ถูกแทนที่ด้วยความมึนงง สับสน“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ข้อมือเล็กพยายามขยับ แต่กลับไม่สามารถยกขึ้นได้ ความปวดตึงทำให้หลี่เหม่ยถิงหันไปมองทางข้อมือขวา เห็นว่ามันถูกพันธนาการติดกับขอบเตียง จึงย้ายสายตาสำรวจร่างกายทีละส่วนสมองเริ่มกระจ่างตามเวลาที่ผ่านไป ความทรงจำก่อนหมดสติไหลกระแทกกลับเข้ามา ลมหายใจอันเกิดจากห้วงอารมณ์รุนแรงกระชั้นถี่จนทรวงอกภายใต้ผ้าห่มที่คลุมร่างกายยุบขึ้นลง “คุณหนูพยายามคุมสติคุมอารมณ์ตามวิธีที่นักบำบัดบอกไว้ครับ” ผู้ช่วยหนุ่มกดเสียงให้ราบเรียบพูดอย่างใจเย็น มีเกาอี้ยืนหายใจไม่เต็มปอดอยู่ข้าง ๆพวกเขาต้องพยายามทำให้บรรยากาศสงบนิ่งที่สุด เพื่อไม่ให้กระตุ้นอารมณ์คุณหนูไปมากกว่านี้20 นาทีต่อมา การปรับอารมณ์ก็เป็นผล หยางฝูเหว่ยจึงแจ้งพยาบาล จากนั้นก็มีแพทย์มาตรวจจนเสร็จกระบวนการ ผ้ายึดข้อมือก็ถูกถอดออ
“นั่น นั่น ลูกสาวคนโตนี่เธอ”“รู้สึกยังไงบ้างครับที่จับคนร้ายได้”“นักเรียนหลี่พูดอะไรหน่อยครับ”หลี่เหม่ยถิง หยางฝูเหว่ยและเกาอี้ เดินเข้ามาจากทางด้านหลังพอมีเพื่อนบ้านทักว่าเจอบุตรสาวคนโต นักข่าวที่ยืนออรอบตัวติงหรูอี้ก็กรูกันเข้ามา จนผู้ดูแลทั้งสองต้องหาทางกันคนเบียดกับยื่นไมค์จ่อจนแทบกระแทกหน้าออกห่างผู้ต้องสงสัยหลักของคดีอย่างติงหรูอี้ ตอนเดินออกมาไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก เพียงเห็นลูกเลี้ยงตัวก็เริ่มสั่นไหว มือที่ถูกใส่กุญแจจิกลงหลังมืออีกข้าง ตาจ้องเขม็งทางร่างเด็กสาวที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น“คนทำผิดก็ควรได้รับผลที่ก่อไว้ เป็นเรื่องที่สมควรแล้วค่ะ” ประโยคเรียบง่ายไม่มีความยินดีหรืออารมณ์อื่นใด ไม่ได้มองไปทางผู้ต้องหา“วันนี้มาดูหน้าคนบงการเหรอครับ”“มีอะไรอยากจะบอกคนร้ายไหมคะ”“ฉันมีความจริงบางอย่างจะเปิดเผย เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง” คำพูดจริงจังท่าทางเคร่งเครียดของเด็กสาวมาพร้อมรังสีกดดันที่ปลดปล่อยออกมาช่างทรงพลังความวุ่นวายสงบลงพร้อมประโยคนี้ ผู้คนที่ล้อมรอบเป็นวงกว้าง 3 ชั้น กลั้นหายใจรอฟังความจริงอะไรก็ตามที่กำลังจะถูกเปิดเผย“ฉันเป็นเหยื่อการลักพาตัวของประมุขตระก
เย็นวันนั้นวงสังคมชั้นสูงของเฉิงตูได้ฟังข่าวใหญ่ ต่างจับกลุ่มนินทาในความโชคร้ายของผู้อื่น มีทั้งเสียงสนับสนุนไป๋เหม่ยถิง ส่วนหนึ่งก็ก่นด่าเพราะคิดว่าเด็กสาวทำกับคนที่เคยเป็นพ่อเกินไปติงหรูอี้ตั้งแต่แต่งงานก็ก้าวขึ้นมาเป็นคุณผู้หญิงตระกูลใหญ่ ย่อมมีคนยินดีในฉากหน้า แต่ลับหลังก็จิกกัดว่าเป็นอีกาบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้สูงกลายเป็นหงส์ ข่าวลือครั้งก่อนไม่ทันจางหาย สายลมใหม่พัดมาสำทับครานี้ต่อให้หลุดคดี ก็ไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป“คุณหนูจะให้ทำยังไงกับข้อมูลนี่ครับ” หยางฝูเหว่ยเดินเข้ามาหลังหลี่เหม่ยถิงกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ปึกเอกสารกองใหญ่เทินสูงอยู่บนฝ่ามือ“รอก่อนค่ะ ตอนนี้ทางตระกูลติงเป็นยังไงบ้างคะ” ไป๋เหม่ยถิง รีบหันความสนใจมาทางหยางฝูเหว่ย ตอนนี้ผู้ช่วยหนุ่มเปรียบเหมือนห่วงยางให้เธอเกาะ ป้องกันการจมธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บฉินเฟยหลง นั่งอ่านอกสารอยู่ทางฝั่งขวาของเตียงคนไข้ บริเวณนั้นแผ่รังสีความเย็นยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง ส่วนทางฝั่งซ้ายของเตียงท่านผู้เฒ่าติงนั่งหันหลังมาทางประตู แถมยังพยายามดึงความสนใจของลูกศิษย์ด้วยการเดินหมากล้อมตั้งแต่ชายหนุ่มมาถึงเฉิงตู แทบจะไม่ได้คุยกับไป๋เหม่ย
4 ปีต่อมา“แฮ่ก…ศิษย์พี่ ดูลวดลายตรงโถนี่สิน่าจะเป็น แฮ่ก…การฝังมุกน่าจะได้ราคาดีน่าดู”“ตัวโถเป็นงานไม้แกะสลักลายนูน ละเอียดประณีตมาก น่าจะสมัยราชวงศ์หยวน แฮ่ก… เหมาะกับให้นำไปศึกษาในพิพิธภัณฑ์ แฮ่ก…”“ฉันจะขาย”“บริจาค”“ขาย”ปัง!กะ…อุ๊บ“ประธาน! แฮ่ก…อาจารย์ฉิง! เอาชีวิตรอดให้ได้ก่อน แล้วจะทำอะไรไปตกลงกันทีหลัง!!!” จ้าวลี่จูยกมือสั่นเทาอุดปากกดเสียงกรีดร้องหลังจากได้ยินเสียงปืน ก่อนจะรีบบ่นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่วิ่งนำหน้าเสียงต่ำดุเดือดทำยังกับวิ่งเล่นในสวน แถมยังไม่รู้เวลาถกเถียงกันเรื่องเดิม ๆมันใช่เวลาไหมเนี่ย!!!ย้อนกลับไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนหลังปีใหม่ตามปฏิทินสากล จะเป็นการสอบปลายภาคการศึกษาที่ 1 ฉันจ้าวลี่จูและประธานเป็นนักศึกษาปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยชิงหัวชีวิตการเรียน 3 ปีกว่าของฉันกับประธานค่อนข้างสงบ เพราะตลอดการเรียนปี 1-3 ประธานยังต้องรับยาอย่างต่อเนื่อง ทางผู้ใหญ่จึงคุยกับประธานได้ข้อสรุปว่า ให้ประธานโฟกัสเรื่องเรียนไปก่อนตัวฉันได้มาทำหน้าที่เป็นเลขาให้กับประธานเต็มตัว โดยการว่าจ้างจากประธานฉินเฟยหลง มีหน้าที่คอยจัดตารางเวลา และอยู่เป็นเพื่อนประธานทั้งยังต้อง
พลั่ก! อุ๊บ! ตุบ!อึก!เงาร่างทั้ง 5 นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ร่างของชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ 3 คนขดงอหายใจหอบแรง ไป๋เหม่ยถิงและจ้าวลี่จูปีนลงมาจากตัวของผู้ดูแลทั้งสองที่เอาตัวรองรับการกระแทกตลอดการไถลเลื่อนลงมาจากภูเขาสูงชันให้“เป็นอย่างไรบ้างคะ มีใครบาดเจ็บไหม” ไป๋เหม่ยถิงหันมองสำรวจพื้นที่รอบตัว แล้วเดินไปทางจ้าวลี่จู“ฉันไม่บาดเจ็บค่ะ ประธานล่ะค่ะ”“ฉันไม่เป็นไร”หญิงสาว 2 คนต่างผลัดกันสำรวจร่างกายกันและกันจนแน่ใจว่าทั้งคู่ไม่มีบาดแผล10 นาทีก่อนหน้านี้ เพราะจนหนทางจะไปต่อจึงปรึกษากันเรื่องช่องทางลงเขาแบบด่วนพิเศษ ไป๋เหม่ยถิงเสนอให้ตัดเอาเต็นท์ผ้าใบมาหุ้มช่วงล่างใช้ผ้าห่มหรือถุงนอนเป็นเบาะรองขากับก้น ปลายเท้าใช้ผ้าส่วนเกินม้วนขึ้นมาคลุมเป็นทรงถุงมัดปากมีเชือกให้มือคอยบังคับควบคุมทิศทางได้ไป๋เหม่ยถิงขึ้นนั่งบนตัวหยางฝูเหว่ย ส่วนจ้าวลี่จูนั่งบนตัวเกาอี้ ศิษย์พี่ฉิงเลื่อนลงมาคนเดียวเลื่อนไถลลงจากภูเขามีความลาดชัน มองไม่เห็นทางด้านหน้าจึงไม่ง่ายนัก โชคดีที่ช่วงนี้เป็นป่าโปร่งสักหน่อย ต้นไม้ไม่หนาทึบ มีเพียงพวกพุ่มเล็กกับลำต้นไม่ใหญ่ จึงไม่เกิดการปะทะกับต้นไม้ระหว่างเลื่อนลง แต่คนอยู่ด้าน
เย็นวันนั้น บ้านตระกูลไป๋รอบตัวบ้านปราศจากความสงบเงียบเหมือนทุกวัน ตอนนี้มีผู้คนแปลกหน้าเดินง่วนไปทั่วสวนไม้ดอกไม้ประดับได้รับการแต่งเล็มใหม่ มีการนำกระถางดอกไม้สดมาวางแซมเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบสวนให้ดูสดชื่นขึ้นอีก 3 วันจะถึงงานวันเกิดของผู้เฒ่าไป๋ ซึ่งปีนี้จะจัดเป็นงานเลี้ยงเชิญคนนอกเข้ามาร่วมงาน จึงต้องจ้างบริษัทออกแบบและตกแต่งสถานที่จัดงาน“เลขากู้ครับ พื้นที่จะทำเป็นเวทีตอนนี้คนงานจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” พ่อบ้านเผยเดินมาแจ้งกับเลขากู้ที่กำลังยืนคุยกับคนจากบริษัทรับจัดงานเลี้ยง“ต้นไม้ใหญ่คนงานริดกิ่งใหม่ ส่วนต้นที่เป็นพุ่มก็ได้รับการตัดแต่งแล้วครับ นำดอกไม้สดไปแซมตามจุดครบแล้ว”พ่อบ้านฝูเดินตามมาทีหลังก็แจ้งตามติด ๆกู้ชิงอวิ๋นขีดฆ่ารายการที่ต้องจัดการในลิสต์ ขณะที่กำลังจะถามอะไรเพิ่มก็เห็นสิ่งผิดปกติเข้าเสียก่อน“คนงานตรงนั้นหยุด! ผมบอกทางคุณแล้วไงว่าห้ามเข้าไปในคฤหาสน์ จะเข้าห้องน้ำหรืออะไรให้คนของคุณไปใช้เรือนด้านหลัง!!!”ชายหนุ่มหันมาเล่นงานคนที่เขากำลังสนทนาด้วยเสียงเหี้ยม สองพ่อบ้านมองแววตาขอความช่วยเหลือของหญิงสาวด้วยความนิ่งเฉยตอนนี้เจ้านายกำลังคุยเรื่องคอขาดบาดตาย จึ
ปัง!“อาหลง!!! ลื้อทำอะไร แกยังเห็นปู่อยู่ในสายตาไหม?”“โอะ โอ๊ย!”ผู้เฒ่าฉินหายจากอาการตะลึง ก็โกรธจัดลุกขึ้นมาชี้หน้าหลานชายด้วยความโกรธจัด หัวใจปวดแปลบหายใจยากลำบากจนต้องยกขึ้นมากุมอก“นายท่าน! ระงับอารมณ์ด้วยครับ อย่าโกรธ หายใจลึก ๆ”หลานที่ท่านแสนจะภาคภูมิใจมาวันนี้กลับประกาศตัดขาดตัวเองออกจากตระกูล“ไม่ได้! ปู่ไม่ยอม!”“ผมไม่ได้มาขอความยินยอมนะครับ”ฉินเฟยหลงมองปู่ตัวเองอย่างเต็มตาครั้งแรกตั้งแต่ลงมาแถลงข่าว ดวงตาเรียบนิ่งที่เคยเรียบนิ่งบัดนี้แข็งกร้าวดุดัน“คุณฉินเฟยหลงหมายถึงต้องการตัดขาดออกจากตระกูลเหรอครับ ช่วยอธิบายความหมายที่ชัดเจนให้หน่อยครับ”นักข่าวที่เหี่ยวเฉาเพราะเหมือนถูกหลอกให้ดมกลิ่นเลือด ว่ายน้ำมาตามหาเหยื่อกลับโดนตบจนเป็นผักเหี่ยว ฟื้นตัวด้วยข่าวใหม่“จากนี้กิจการงานทุกอย่างที่เป็นของตระกูลฉิน ไม่เกี่ยวข้องกับผม ไม่ว่าพวกเขาจะเจริญขึ้นหรือแย่ลงไม่เกี่ยวกัน ไม่ต้องนับญาติไม่ต้องไปมาหาสู่ ตายก็ไม่ร่วมฝังในสุสาน”นักข่าวและคนที่ฟังความสูดหายใจอย่างตระหนกตายไปไม่เผาผี!นี่มันแทบจะเหมือนจากไปด้วยความคับแค้นเกิดอะไรกับตระกูลนี้กันแน่!ทุกคนต่างความคิดอยากสืบเสาะเบื้
ห้องทำงานของฉินเฟยหลงพรึ่บ!ร่างกายบอบบางถูกดึงรั้งเข้าด้านในทันทีที่ประตูเปิดออกเพียงเล็กน้อยปัง! คลิก!ประตูถูกปิดลงกลอนจากด้านในรวดเดียว หญิงสาวไม่ทันส่งเสียงถามไถ่ตัวคนก็ถูกอุ้มกระเตงขึ้น เอกสารและกระเป๋าร่วงลงกองที่พื้นเพื่อกันไม่ให้ตัวเองหล่น เรียวขาจึงเกี่ยวรัดช่วงเอวสอบเพรียวแข็งแกร่งด้วยมวลกล้ามเนื้อ“เฮียหลง!” อุทานด้วยความแตกตื่นเขินอายเพราะทิศทางเดินของคนที่ไม่พูดไม่จาคือประตูเชื่อมไปยังเพนต์เฮาส์ อีกทั้งกลางตัวที่กำลังตื่นตัวขยับขยายเพราะการเสียดสีก็บอกได้เป็นอย่างดี“เรามาฉลองกันเถอะ เฮียเป็นอิสระแล้ว” เสียงแหบพร่าขยี้หางเสียงพอเซ็กซี่กระซิบแผ่วตามด้วยการขบเม้มก้านหูนุ่มนิ่มไป๋เหม่ยถิงที่เริ่มตั้งสติได้ลดสายตาลงมองความเร่าร้อนที่ดิ้นเร่าในดวงตาหงส์ หางตาชี้ขึ้นมีสีแดงจากแรงอารมณ์ที่ข่มกลั้นจุมพิตร้อนแรงบดขยี้ลงบนกลีบปากบางของคนตัวสูง สองมือประคองคางสากระคายจากไรหนวดที่เริ่มผุดตอขึ้น จับเบี่ยงใบหนาคมให้รับสัมผัสหนักหน่วงชายหนุ่มตอบสนองจุมพิตกลับด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน ริมฝีปากกับลิ้นร้อนบุกเข้าไปกวาดชิมความหอมหวาน ช่วงชิงเป็นฝ่ายนำจังหวะรักตามใจตนใบหน้าแนบสัมผัสด
“พิจารณาลงจากตำแหน่ง!”ถังไฉหย่งกดเสียงต่ำเคร่งขรึม ทำราวกับได้ตัดสินใจในเรื่องที่ยากที่สุดไปแล้ว ผู้อำนวยการฝั่งรองประธานแอบยกนิ้วโป้งให้คนกล้าออกตัว‘มารดามันเถอะ! ฉี่จะราดอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะจบสักที’ผู้อำนวยการอาวุโสน้ำท่วมปาก มองไปที่ฉินเฟยหลงด้วยความกระวนกระวาย แต่จะช่วยเอ่ยแก้ต่างก็หาเหตุผลดี ๆ ไม่ได้สำหรับไป๋เหม่ยถิงงิ้วที่แสดงกันอยู่ น่าดูไม่น้อย มีหน่วยกล้าตายผู้ภักดีเป็นคนออกหน้า ลิ่วล้อขาหมาตามหลังไม่ห่าง มีตั๊กแตนรอจับจักจั่น และบอสผู้เมตตาคอยไกล่เกลี่ยอ้อ...เกือบลืมหนอนบ่อนไส้ที่โดนตัดสินโทษตายไม่รู้ตัว“ถ้าจะให้ฉันลงจากตำแหน่ง ใครจะขึ้นมาแทน? ขึ้นมาแล้วมีวิธีแก้ปัญหาของเคสต์เนอร์?”ฉินเฟยหลงโยนคำถามเรื่อย ๆ ราวสายน้ำไหล เพียงสองข้อผู้อำนวยการทุกคนแสดงสีหน้าแทบดูไม่ได้“อาไม่แน่ใจว่าวิธีที่จะเสนอนี้ได้ผลไหม แต่อามีที่ดินผืนหนึ่งที่เตรียมไว้สำหรับโครงการส่วนตัว แม้จะสู้ที่กลางเมืองตรงนั้นไม่ได้ แต่ขยับมาไม่ไกลแถมกำลังจะมีการสร้างเส้นทางพิเศษเดี๋ยวอาจะให้ผู้ช่วยส่งเอกสารให้ทุกคนพิจารณาดู ถ้าใช้ได้จะได้เสนอเป็นทางเลือกให้เคสต์เนอร์”ฉินเล่อฉีแสดงความรู้สึกผิดทางสีหน้า
5 วันต่อมาบริษัทเซี่ยอวิ๋นเรียกประชุมบอร์ดบริหาร วาระประชุมนี้ไม่ได้เป็นความลับ มีการแบ่งฝักฝ่าย ตลอดอาทิตย์ประธานไม่ได้เข้าบริษัท แต่กลับลาพักร้อนยาวชนิดที่ไม่เคยทำมาตลอด 10 ปี“ท่านประธานคิดอะไรอยู่กันนะ” เลขาว่านหวาดวิตกแทนเจ้านาย แม้จะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าบริษัทมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะประธาน“พี่ว่านคะ เราเอาเอกสารการประชุมไปจัดเรียงเถอะค่ะ ค่อยไปคุยกันด้านในดีกว่า ในนั้นเงียบเชียบไม่มีใครได้ยิน”จ้าวลี่จูกระซิบกระซาบกับเลขารุ่นพี่“จริงของเธอไปกันเถอะ”สองสาวต่างวัยรีบหยิบข้าวของที่ในส่วนงานของเลขาต้องจัดเตรียมเข้าไปในห้องประชุมมีเอกสารเกี่ยวกับวาระประชุม 1 ชุด พร้อมด้วยป้ายชื่อของบอร์ดแต่ละคน เลขาคนอื่นก็กำลังไปจัดเตรียมน้ำชาและของว่างที่ห้องเเพนทรีของชั้นห้องประชุม“เดี๋ยวพี่มาช่วยนะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะพี่ เดี๋ยวตรงนี้ฉันทำคนเดียวได้”จ้าวลี่จูตอบรับแบบคุ้นเคยกันดี สาวรุ่นพี่จึงเดินออกไปอย่างสบายใจ หญิงสาวรุ่นน้องมองประตูที่ปิด ก่อนจะลดสายตามองเอกสาร รอยยิ้มค่อย ๆ ขยับ ดวงตาระริกไหว‘ไปนาน ๆ เลยก็ได้นะคะ’ห้องประชุมใหญ่ บริษัทเซี่ยอวิ๋นการประชุ
เช้าวันต่อมาท่าเรือ บริษัทไป๋ซิ่นซู่ไป๋จื้อหยาง ประธานบริษัทกำลังคุมคนงานขนของออกจากตู้สินค้าขึ้นรถบรรทุกเตรียมนำส่งไปต่างมณฑล“ประธานครับ รองประธานบริษัทเซี่ยอวิ๋นขอพบครับ” เลขากู้ชิงอวิ๋นเดินมากระซิบเสียงเบาดวงตาดอกท้อของประธานใช้หางตามองไปยังทางเข้าสำนักงาน ใช้มือส่งสัญญาณให้เลขา ส่วนตัวเองเดินส่ายอาด ๆ ด้วยท่าทางนักเลงโตไปทางออฟฟิศ“เด็ก ๆ มีคนมา ปิดประตูต้อนรับแขก!!!”กู้ชิงอวิ๋นได้สัญญาณมือรีบเดินออกไปตะโกนแจ้งข่าวเสียงเหี้ยมจนลั่นท่าเรือเด็ก ๆ ที่เขาเรียกคือ ชายฉกรรจ์ที่เป็นคนงานกำลังขนของ ทุกคนหยุดชะงักทิ้งงานในมือ ท่าทางหัวเราะสรวลเสเฮฮาไม่เหลือคนงาน 4-5 คน เดินไปลากประตูเหล็กมากั้นทางเข้า ยืนเรียงบังทางออกทางเดียวของท่าเรือที่อยู่ปลายอ่าว อีก 2 คนมายืนคุมหน้ารถยนต์ คนที่เหลือเดินหายเข้าไปในตู้สินค้าข้างออฟฟิศคนเหล่านั้นกลับออกมาพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งท่อเหล็ก สนับมือ มีดแล่เนื้อแบบยาว เดินมายืนล้อมออฟฟิศกระจกดำทึบ แต่คนด้านในมองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน“โฮ่...รองฉิน กับซานฉิน มาเป็นแขกหรือมาหาเรื่องกันล่ะ จู่ ๆ ก็โผล่มาไม่นัดล่วงหน้า”ตุบ! ตึง!ไป๋จื้อหยางเดินไปนั่งทิ้งตัวบน
เช้าวันต่อมาลั่วหยาง มณฑลเหอหนานไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงจองเครื่องบินมาลั่วหยาง ชายหนุ่มให้เลขาติดต่อกับผู้ช่วยของเลขาพรรคระดับมณฑลเหอหนาน ขอเข้าพบผู้นำระดับมณฑลเรื่องนี้ไป๋เหม่ยถิงต้องมาส่งข้อมูลร้องเรียนและทวงความเป็นธรรมให้มารดาด้วยตนเองได้เส้นสายจากนายพลเทียน ทำให้ได้รับการนัดหมายเป็นช่วงบ่าย“พี่ฝูเหว่ยส่งคนไปสืบข่าวคนตระกูลหลินให้หน่อย ฉันอยากรู้ว่าผู้คนพูดถึงพวกเขาว่ายังไง”ก่อนจะเข้าไปพบท่านเลขาพรรค ยังเหลือเวลาอีก 3 ชั่วโมง สมควรทำความเข้าใจสถานะของศัตรูที่นี่เสียก่อน พวกเขาแฝงตัวอยู่ในสังคมที่นี่นานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งไปแล้วเส้นสายและตระกูลชิดเชื้อย่อมต้องระวัง“ไปย่านเมืองเก่า” ฉินเฟยหลงเลือกสถานที่ไปฆ่าเวลาก่อนเวลานัดลั่วหยางเป็นเมืองหลวงโบราณของกษัตริย์จีนหลายราชวงศ์ มีพื้นที่แบ่งเป็นเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ย่านเมืองเก่ามีบ้านเรือนโบราณที่ยังมีผู้อยู่อาศัย บางหลังรกร้างไม่ได้รับการทำนุบำรุง ซึ่งก็มีเกินครึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยบ้านบรรพบุรุษตระกูลหลินเองก็อยู่ในย่านเมืองเก่า“นั่งพักในร้านนั้นก่อนดีไหมคะ” ไป๋เหม่ยถิงชี้ไปยังเรือนขนาดใหญ่ 2 ชั้น ด้านล่างประตูไม้สีแดงเป
บ้านตระกูลไป๋“คุณหนู ผมหวางอู๋ซวนครับ”“สวัสดีคุณหวางหวังว่าจะเป็นข่าวดีนะ”ไป๋เหม่ยถิงพูดเชิงสัพยอกแต่ใบหน้าเรียบเฉย แถมสุ้มเสียงไร้อารมณ์ คนฟังรีบกลืนคำพูดล้อเล่นที่กำลังจะหลุดปาก“ฮะ ฮะ…ข่าวดีอยู่แล้วครับ ไม่กล้าให้เป็นข่าวร้ายหรอกครับ เดี๋ยวฮองเฮาทรงกริ้วผมจะไม่เหลือคอไว้กินข้าว”เสียงแหย ๆ รีบรับประกัน ตอนท้ายก็เบาเหมือนบ่นลอย ๆ รายงานแต่ละทีดูช่างยากเย็น เป็นหวางอู๋ซวนต้องรองรับอารมณ์เจ้านาย ลำบากดีแท้...“เข้าเรื่องเถอะค่ะ”“พะยะค่ะ ฮองเฮา เอ๊ย…คุณหนู ผมรวบรวมหลักฐานวัตถุ พร้อมพยานบุคคลเพื่อชี้ตัวคนจ้างวานเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ต่อให้มีปีกบินก็หนีไม่รอด”รายงานเป็นการเป็นงานด้วยน้ำเสียงอวดโอ่ คดีที่เขาตามมีทั้งช่วงที่ยากและง่ายราวพลิกฝ่ามือ แถมปิดคดีหลังตามได้ไม่นานแม้หลักฐานได้จากการชี้แนะ แต่ปิดได้ก็คือปิดได้เสียงรายงานจึงเบิกบาน“คุณหนูจะให้ทำอะไรต่อดีครับ”“เก็บหลักฐานพวกนั้นไว้ก่อนค่ะ รอฉันติดต่อกลับไป แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่มีใครจับตามอง” ไป๋เหม่ยถิงยิ้มเย็น แววตาเย็นเยียบแฝงแววอำมหิต“ผมให้คนไปจับตามองทางตระกูลนั้นแล้วครับ ไม่มีใครระแคะระคายเลยว่าเราจะสืบสาวเรื่องมาถึงตั
วันถัดมาสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้“มิสเตอร์เคสต์เนอร์ มิสเคสต์เนอร์ยินดีต้อนรับสู่ชางไห่ครับ ผมโจวหมิงเจี่ย เลขาของท่านประธานฉินยินดีที่ได้พบครับ” โจวหมิงเจี่ยเดินเข้าไปต้อนรับคู่ค้าจากเยอรมัน“อ้าว…มิสเตอร์ฉินไม่มาหรือครับ”คำถามแท้จริงคือ ทำไมฉินเฟยหลงถึงไม่มาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง‘ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์’โจวหมิงเจี่ยเหลือบมองสองพ่อลูกเคสต์เนอร์ ตัวลูกสาวดูไม่สบอารมณ์ ส่วนคนพ่อแม้ปากยิ้มแต่ส่งไปไม่ถึงดวงตา พบหน้าก็ถามคำถามชวนหาเรื่อง“ท่านประธานกำลังประชุมเรื่องโปรเจกต์อยู่ครับ”โจวหมิงเจี่ยตอบกลับด้วยมารยาทอันดี ทางเคสต์เนอร์ก็ไม่คิดหักหน้าหรือหาเรื่องต่อ โจวหมิงเจี่ยเรียกบอดี้การ์ดมารับสัมภาระจากมือของผู้ช่วยของตระกูลเคสต์เนอร์“เข้าห้องพักก่อน หรือจะไปรับประทานอาหารก่อนไหมครับ”“คุณพ่อคะ เข้าไปพักก่อนเถอะค่ะ อาหารสั่งเอาจากโรงแรมก็ได้”“โอเคเอาตามที่ลูกว่า”สองพ่อลูกคุยกันด้วยภาษาเยอรมันโดยไม่สนใจโจวหมิงเจี่ยว่าจะฟังออกหรือไม่ก็ตาม การกระทำนี้เป็นการดูถูกและไม่ให้เกียรติแม้แต่น้อยเลขาหนุ่มสั่งงานบอดี้การ์ดที่ขับรถด้วยน้ำเสียงปกติ โรงแรมที่จัดให้คู่ค้าคนสำคัญของบริษัทเป็นโรงแรมอันดับ