อมาตย์ซูไม่ใช่คนรักสัตว์ จึงสั่งให้บ่าวจับแมว แต่หลัวอี้ถังยืนกรานจะช่วยมันไว้ กระนั้นอมาตย์ซูเข้าใจว่าหลัวอี้ถังต้องการหาเรื่องไม่ยอมรับโทษ อีกทั้งพยายามก่อกวนเขาด้วยการใช้แมวมาอ้าง จึงโต้เถียงกันรุนแรง เรื่องนี้ ไปเข้าหูนักเรียนอมาตย์ซู ในกลุ่มนั้นมีลูกหลานขุนนางใหญ่ รวมถึงอ๋องต่างสกุล เมื่อฝ่ายนั้นได้ยินคำสั่งดังกล่าว ก็กริ้วหนัก เรื่องนี้เลยใหญ่โตกว่าเดิม ฝ่ายเหล่าอ๋องต่างสกุลจะเขียนหนังสือรายงานความโหดร้าย และการทารุณสัตว์ของอมาตย์ซู รวมถึงชาวบ้านที่ได้ยินเสียงแมวร้องโหยหวนก็เข้ามามุงดูเหตุการณ์ ต่างเตรียมนำข้าวของมาขว้างปาใส่สำนักศึกษาแห่งนั้น อมาตย์ซูไม่อยากให้ทุกอย่างบานปลาย จึงสั่งให้ยกเลิกการจับแมว และประกาศว่า เขาจะหาคนรับเลี้ยงพวกมันทุกตัว พร้อมลดโทษให้หลัวอี้ถัง ส่วนแมวตัวเดียวกันที่วิ่งมาหาเขา ในเวลาต่อมา มันได้กลับไปหาคนให้อาหารซึ่งแอบดูเหตุการณ์อยู่ตลอด และเป็นช่วงเวลานั้นที่หลัวอี้ถังได้เห็นใบหน้าซูฟ่านอิง...แม่นางน้อยที่ทำให้เขาหลงรักโดยที่นางไม่รู้ตัวมาก่อน เรื่องราวในหนหลัง ทำให้ซูฟ่านอิงรู้ว่า หลัวอี้ถังผู้นี้หมายตานางเอาไว้
ตัวละครในเรื่อง จ้าวหลี่เฟย สตรีที่แต่งเข้าเรือนสกุลโหว แทนพี่สาว จ้าวเยว่จวีเหมียน แม่ใหญ่เรือนจ้าวจ้าวเยว่ ลูกแม่ใหญ่พี่สาวจ้าวหลี่เฟยสวีซินไห่ คนรักจ้าวหลี่เฟยเชาปิน แม่นมเสี่ยวรั่ว สาวใช้เจ้าบ้านโหว นายท่านโหว โหวหมิงโหวเสินเหล่ย พี่ใหญ่ เจ้าบ้านน้อย โหวหงอี้ พี่รอง สำนักม้าเร็ว (ขนส่ง) อาชาฟงอวิ๋นโหวกวงฉง น้องสาม(แฝดพี่) โหวเซ่ากวง น้องสี่ (แฝดน้อง)โหวกานเจ๋อ น้องห้าลูกอนุ หลินปา นายหญิง ฮูหยินผู้เฒ่าโจวซิง อนุโจว***********************นางถูกจับขึ้นเกี้ยวแต่งงานแทนพี่สาวและต้องตกเป็นสตรีอุ่นเตียงให้บุรุษถึงห้าคนชีวิตในเรือนกามไม่ใช่แค่ถูกเหล่าสามีกินดุหากพวกเขายังแข่งกันบอกรัก พร้อมปรารถนาต่อแขนเติมขาให้นางตั้งครรภ์ไวๆ******************* “ทะ ท่าน... ช่วยข้าเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกก่อนได้หรือไม่” เขาหยุดคิดอยู่ประเดี๋ยว และตอบนาง“เหล้ามงคลข้านั้นไม่คู่ควรดื่มกับเจ้า แม้แต่อาหาร ขนมหวานข้าก็ไม่อาจแตะต้อง เป็นเจ้าผู้เดียวที่กินได้ เพราะข้าไม่ใช่เจ้าบ่าว เช่นนี้จึงไม่มีสิทธิเปิดผ้าคลุมหน้า...” คำพูด
เขากรีดนิ้วผ่านผ้าที่ปกคลุมกลีบสวาทอันอวบอูม ช่องของนางคับแคบ มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการสัมผัส พร้อมส่งความใหญ่โตของตนเข้าไปสำรวจมาโดยตลอด จ้าวหลี่เฟยสะดุ้ง สตินางกลับคืนมาทีละน้อย หากยามนั้น ชายหนุ่มรีบประกบริมฝีปากกับนาง แล้วจูบ ดูดเร่งเร้า ทั้งพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านใน ทว่าหญิงสาวประท้วง นางยังไม่พร้อม เรื่องนี้ยังเกิดขึ้นไม่ได้ เสียงอู้อี้ดังเล็ดลอดจากริมฝีปากอิ่มสวย และกำปั้นน้อยๆ ทุบหัวไหลเขา พอไม่ได้ผล นางจึงใช้เล็บจิกเนื้อแขนเตือนให้เขาหยุดกระทำความวู่วาม สวีชินไห่ฉุนเฉียวหนัก แต่เขาหยุดมือ ทว่ามิวายใช้เข่าแยกสองขานางให้กว้างออก ยามนั้นเขารับรู้ได้ว่านางมีความต้องการสูง ด้วยในร่มผ้ามีน้ำเกาะพราวชุ่มฉ่ำ พอเขาวางมือแปะลงไป ผ้าที่ปิดส่วนลับอยู่ก็เปียกชื้น “เสี่ยวเฟย... ปฏิเสธ เกอด้วยเหตุใด ดูสิ เจ้าเยิ้มถึงเพียงนี้” จ้าวหลี่เฟยยังบริสุทธิ์ แต่นางเข้าใจร่างกายของตนดี เพียงพบหน้าสวีชินไห่ ได้ใกล้ชิดเนื้อตัวเสียดสีกัน นางก็หวามไหวเหลือเกิน ด้วยอีกฝ่ายคือคนที่นางรักนั่นเอง “ขะ ข้าอยากให้ทุกอย่างได้รับความเห็นชอบจากแม่ใหญ่ หากได้เข้าพิธีกั
หญิงสาวเจ็บมากใบหน้ายังกระตุกอยู่หลายหน หลังจากถูกฝ่ามือของแม่ใหญ่จวีเหมียน(ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าว)ฟาดใส่แก้มเล็กๆ และผิวบางละเอียดอมชมพูของจ้าวหลี่เฟย การเป็นลูกอนุ ย่อมไร้ปากเสียง ไม่มีเกียรติ ไม่อาจเรียกร้องสิ่งใด แม้แต่การเลือกทางเดินให้แก่ตน จ้าวหลี่เฟยเช็ดน้ำตา พลางมองไปยังแม่นม และสาวใช้ประจำตัว ทั้งคู่ถูกโบยไปหลายไม้ แล้วบ่าวชายก็ลากตัวออกไป กลิ่นเลือดยังลอยอบอวล คราบเลือดพวกนางยังอยู่ที่พื้น อนิจจาหญิงสาวช่วยใครไม่ได้เลย ทั้งคู่รักนางมาก พยายามปกป้องนางด้วยชีวิต “สกุลโหวต้องการสตรีสักคน แต่งเข้าเรือน...ข้าให้เจ้าไปแทนเยว่เอ๋อร์ ก็สมควรที่สุด ลงแรงจับล้างน้ำขัดตัดจนสะอาดเช่นนี้ หากเขาไม่รังเกียจนับว่าเป็นวาสนาเจ้าแล้ว อาเฟย” จ้าวหลี่เฟยค่อยๆ เงยหน้ามองแม่ใหญ่หรือ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าว หลังจากมารดานางจากไป บิดาผู้เป็นเถ้าแก่จ้าวก็ล้มป่วย ดังนั้นยามนี้สกุลจ้าวจึงอยู่ในกำมือของจวีเหมียนผู้นี้ และเป็นเวลาเกือบสองปีเต็มที่นางต้องทุกข์ทั้งกายใจ หลายหนก็หวังพึ่งคนรัก สวีซินไห่ หากยามนี้ก็ถูกกีดกัน ซ้ำร้ายเช้าวันนี้ นางยังต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว ไปยังสกุลโหว ด้วยม
โจวหลี่เฟยควรจะดิ้นรนขัดขืนใช่หรือไม่ ทว่านางกับได้แต่ตัวสั่น ยามนั้นผ้าคลุมหน้าก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยม “อย่ากังวล... เจ้าไม่ผิดแม้แต่น้อย ส่วนข้าก็ทำหน้าที่สามีของเจ้าอีกคน หากไม่ใช่ผู้ครอบครอง เป็นเพียงชายที่มอบความสุขให้แก่เสี่ยวเฟย ไม่ใช่สิพี่สะใภ้” เขายังจะใช้คำนี้กับนางอีกหรือ บัดซบ พี่สะใภ้บ้าบออันใด นางถึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ชวนให้คลื่นไส้เช่นนี้ อึดใจต่อมา สาปเสื้อนางเบะกว้างออก เสื้อด้านในถูกถอดอย่างรวดเร็ว “อื้อ... อ๊ะ... ทะ ท่าน คุณชาย” “เรียกอี้เกอเถอะ พี่สะใภ้” “อี้ ๆ ๆ มะ ไม่นะเจ้าคะ ทะ ท่าน ทำเช่นนี้ ข้าจะกัดลิ้นตาย” “ทรมานตัวเองไปเสียเปล่าๆ อีกอย่าง... คืนนี้หากไม่ใช่ข้า ก็จะเป็นน้องสามน้องสี่ ไม่ก็เจ้าคนถ่อยเสี่ยวเจ๋อ มันผู้นั้น ร่างกายใหญ่โต ทั้งขนาดก็ประหลาด เรียกได้ว่ามีแต่พวกโสเภณีเท่านั้น ที่ทนอยู่กับมันได้ เจ้าปรารถนาให้มันใช้ท่อนอุ่น แยกร่างเจ้าออกเป็นเสี่ยงๆ หรือ” นี่เขากำลังจะบอกสิ่งใด และนางไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่ บุรุษในสกุลนี้มีทั้งหมดห้าคน แล้วพวกเขาใช้ภรรยาร่วมกันเยี่ยงนั้นหรือ เร
ทุกอย่างไม่ได้เร่งเร้าจนเกินไป นั่นเป็นเพราะโหวหงอี้เป็นว่าสตรีผู้นี้น่าถนุถนอมยิ่ง แม้ในเรือนมีสาวใช้อุ่นเตียงมิน้อย แต่ไร้อนุด้วยพวกเขาทั้งห้าตกลงกันไว้เช่นนี้ ส่วนฮูหยินใหญ่ คนเดิมจบชีวิตตนเอง เพราะนางถูกจับได้ว่า เป็นสายลับให้แก่สกุลอื่น ที่หวังเข้ามาสืบข่าว ดังนั้นการคัดเลือกฮูหยินใหม่ จึงเป็นขั้นตอนยุ่งยากและพิถีพิถัน กว่าจะได้จ้าวหลี่เฟยผู้นี้ ที่ดูเหมือนคุณหนูในห้องหอ ก็กินเวลานานทีเดียว และคนที่เลือกนางก่อนใครย่อมเป็นโหวหงอี้ ภาพบนโรงฝึกสาวใช้ข้างห้องหอ บนเรือสำราญที่ล่องลอยไปตามน้ำย้อนกลับมาในหัว นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพวาดของลูกสาวคนสกุลจ้าว ยามนั้นจ้าวหลี่เฟยอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น “รอให้นางปักปิ่นเมื่อใด ก็ส่งคนไปสืบข่าวต่างๆ มา และหากผ่านเกณฑ์เบื้องต้น ให้สายของเราปะปนอยู่ในเรือนสกุลจ้าว คอยดูว่านางเรียนรู้สิ่งใดบ้าง และมีบุรุษมาเกี้ยวหรือไม่” โหวหงอี้กล่าว และรู้สึกรำคาญน้องชายฝาแฝด ยามนี้ทั้งคู่กำลังนัวเนียกัน ใช้คำนั้นคงไม่ผิด พวกเขา ไม่ใช่บุรุษชอบตัดแขนเสื้อ หากกล่าวตามตรงคือหลงรูปกายของตนเองจนน่าพิศวง และมักจะเล่นกับท่อนเอ็นข
ในความจริงโหวเสินเหล่ยต้องอยู่รับเจ้าสาวเขาในคืนนี้ แต่โหวหงอี้นั้นพิศวาสสตรีแซ่จ้าวคนนี้มาก ถึงขั้นวางแผนให้การเดินทางกลับเรือนของพี่ชายคนโตล่าช้า ยามนี้เขาคงติดอยู่ระหว่างทาง ด้วยสะพานข้ามระหว่างเขานั้นขาด อีกทั้งการใช้เส้นทางปกติ ต้องเดินทางไกลเพิ่มนับห้าร้อยลี้ และนั่นย่อมหมายความว่า กว่าจะถึงเมืองหลวงคงใช้เวลาอย่างน้อยถึงสามหรือสี่วัน หมายความเวลาที่เหลือเฟือเช่นนี้ เขาคงต่อแขนเติมขาเด็กๆ ให้มาเกิดในท้องของจ้าวหลี่เฟยสำเร็จแล้ว พี่น้องรักกันเช่นนี้ บิดาเขาย่อมมีความสุข ฮ่าๆ ๆ ๆ โหวหงอี้มองเรือนร่างอรชนที่ดิ้นไปมาตรงหน้า ยามนี้เขาแหวกกลีบสวาทคับแน่นของนาง สังเกตได้ว่ามันแนบชิดกันเกินไป หากดึงดันจะพาท่อนเอ็นเข้าไปซอยถี่ๆ นางคงบอบช้ำและเข็ดขยาดการร่วมรักไปอีกนานแน่ “ใครอยู่ข้างนอก นำตลับขี้ผึ้งมาให้ข้า ร่วมถึงน้ำมันหอมระเหย อย่าลืมนารีรัญจวนที่ข้าเตรียมไว้ ก็นำมาพร้อมกัน โหวฮูหยินต้องผ่อนคลายสักหน่อย นางจะได้พลอดรักกับข้าอย่างเป็นสุข” หูจ้าวหลี่เฟยได้ยินชัดทุกอย่าง แต่ร่างกายยามนี้อ่อนระทวยไปหมด เพราะนิ้วเขาสัมผัสส่วนที่ไวต่อความรู้สึก พอนางจะขยับปากร
สองวันต่อมา สำนักม้าเร็วมาส่งข่าวของเจ้าบ้านน้อยแล้ว สามีของนาง คงต้องเรียกอย่างนั้น และเขากำลังจะกลับถึงเรือน ความรู้สึกของจ้าวหลี่เฟยสับสน นางตกเป็นของคุณชายรอง และตนยินยอมพร้อมใจ ขณะเดียวกันต้องรับใช้โหวเสินเหล่ย ผู้มีฐานะเป็นสามี รวมถึงบุรุษอีกสามคนที่นางยังไม่เคยพบหน้า ยามนี้สาวใช้นางมาถึงเรือนโหว แม่นมคนสนิทก็เช่นกัน มีหลายสิ่งที่นางอยากพูดคุยและปรึกษา ฝ่ายเชาปิน ผู้เป็นแม่นมคราแรกมีสีหน้าเครียด แต่พอรู้ว่าสกุลโหวมอบเงินให้จ้าวหลี่เฟยไม่น้อย อีกทั้งนางยังได้ถือกุญแจเรือนหลัก รวมถึงคลังต่างๆ ด้วย บ่าวไพร่ สาวใช้ล้วนเคารพหญิงสาว ส่วนแม่สามี พอจ้าวหลี่เฟยมาถึงที่นี่ นางขึ้นเขาถือศีลทันที ด้วยหมดหน้าที่ตนจะดูแลสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป ฝ่ายพ่อสามีไม่ต่างกัน เขามีงานหลากหลาย จึงแยกตัวอยู่ต่างหาก มีเรือนใหญ่อีกหลัง และที่นี่ไม่ได้มีธรรมเนียนอะไรมากมาย จ้าวหลี่เฟยในยามนี้จึงถือได้ว่านางคือโหวฮูหยินโดยสมบูรณ์ “ไม่มีอนุ ไม่มีฮูหยินรอง มีแต่สาวใช้อุ่นเตียง และเถ้าแก่ตามร้านค้าต่างๆ ดูแลกิจการให้สกุลโหว” เชาปินว่าแล้วก็ช่วยจ้าวหลี่เฟยดูรายการบัญชีในเรื
ยามนั้นหลิวลั่วอี้ จงใจทำให้ซย่าพ่านเอ๋อร์ขึ้นสวรรค์ให้เร็วที่สุด หากอีกฝ่ายเสร็จสมจากการเล้าโลมครั้งนี้ คงยากเหลือเกินที่จะมีแรงลงเหลือให้อู๋เหยากวนร่วมรักอย่างโลดโผน กัวซาหัวเห็ดที่ใหญ่กว่าในโรงฝึกบุปผาทองคำ ถูกนำออกมา จากนั้นหลิวลั่วอี้ จึงใช้มันแตะวนไปมาเหนือแอ่งเนื้อนูนของซย่าพ่านเอ๋อร์ “อี้ เอามันออกไป” ปากนางบอกเช่นนั้น แต่ซย่าพ่านเอ๋อร์ดูดนิ้วมือหลิวลั่วอี้แรงขึ้น ส่วนมือนางบีบยอดถันของตนอย่างกระสัน ราวกับปรารถนาที่จะเสร็จสมให้เร็วที่สุด หลิวลั่วอี้เลยไม่รอช้า นางส่งกัวซาหัวเห็ดแทรกลึกเข้าไปในเนื้อสาว ยามนั้นซย่าพ่านเอ๋อร์บิดกายไปมา ก่อนสั่งให้หญิงสาวทิ่มแทงตนเองแรงๆ ขณะเดียวกันหลิวลั่วอี้ ใช้สายตาเชิญชวนปั๋วอ๋อง และเขาลุกขึ้นจากบ่อน้ำพุ ค่อยๆ ก้าวมายังพื้นที่ซึ่งเป็นส่วนรับรองนี้ “อื้อ... ฝ่าบาท ชอบเข้าข้างหลังเช่นนี้หรือเพคะ” “แล้วเจ้าเล่าคุณหนูหลิว ถูกฝึกให้รับรองข้า ทุกส่วนหรือไม่” หลิวลั่วอี้ครางเสียงหวานๆ และไม่ได้ตอบเขา หากยกบั้นท้ายของตนขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจให้มันสัมผัสกับแก่นกายของชายหนุ่มที่ยามนี้ผงกหัวไปมาอย่างกร
เมื่อซย่าพ่านเอ๋อร์กล่าวจบ ภาพจึงตัดมายังบ่อน้ำพุร้อนในทันที ดวงตากลมโตมองไปยังร่างงามสง่า ที่มีกล้ามเนื้อแต่พอดี ทั้งใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาใครเทียบได้ หากจอนห์ดาราหนุ่มที่กระแทกหลิวลั่วอี้จนนางทะลุมิติเข้ามาในโลกคู่ขนานนี้ คือเทพบุตรแห่งชาติ ฮ่องเต้ก็คือเทพเซียนที่สวรรค์ประทานลงมาให้ ทุกชีวิตสยบแทบเท้าเขา และจอภาพปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิวลั่วอี้ ‘500 คะแนน หากทำให้ปั๋วอ๋อง เลือกร่วมรักกับเจ้าเป็นคนแรก!’ แต่เพื่อดูเชิงซย่าพ่านเอ๋อร์ ยามนั้นหลิวลั่วอี้ จึงให้นางเริ่มก่อน และไม่ได้มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นสำหรับหลิวลั่วอี้สักนิด สิ่งที่ซย่าพ่านเอ๋อร์กระทำ เรียกว่าตื้นเขิน และแน่นอน บุรุษที่เย็นชา ทั้งยังเมินเฉยต่อสตรีที่เขาไม่อยากสนใจ ยังหลับตาพริ้ม ปล่อยใจไปกลับน้ำพุ ทั้งเสียงนักร้องอย่างเป็นธรรมชาติ ซย่าพ่านเอ๋อร์ ใจกล้าอยู่สักหน่อย นางเปลื้องผ้าทั้งหมด และก้าวไปหาอู๋เหยากวน หรือก็คือปั๋วอ๋อง ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไร้อาภรณ์ในปกปิดกายแกร่ง “หากฝ่าบาท ไม่พอใจ เจ้าระวังหัวจะหลุดจากบ่า” เสียงกงกงชราเอ่ยขึ้น และดวงตากลมโตของหลิวลั่วอี้สอดส่ายมองหา กระทั่
เมื่อหลิวลั่วอี้ลืมตาอีกครั้ง นางพบว่าตนอยู่ในรถม้าที่กำลังมุ่งตรงไปยังอารามนอกเมือง โดยเป็นคำสั่งฮองเฮา ที่ต้องการให้สตรีที่จะรับใช้ปั๋วอ๋องไปสถานที่ดังกล่าว ซึ่งไม่ชอบมาพากลอย่างที่สุด “เป็นแผนของนางแม่งป่องพิษที่ต้องการกำจัดพวกเรา” เสียงหนึ่งในสตรีที่ถูกคัดตัวมาดังขึ้น ยามนี้หญิงสาวที่ผ่านการคัดเลือก เหลืออยู่เพียงสี่คนรวมหลิวลั่วอี้ด้วย “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น” หลิวลั่วอี้ถาม “ฮองเฮา กลัวว่าหนึ่งในพวกเรา จะได้ก้าวขึ้นเป็นสนมคนโปรดของฝ่าบาท ดังนั้นจึงใช้แผนลวง หลอกให้พวกเรามาที่อารามเชิงเขา หวังฆ่าให้ตายเสีย ก่อนจะได้พบกับฮ่องเต้” “โอ้ มีเรื่องบัดซบเกิดขึ้นเช่นนี้!” หลิวลั่วอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “มิผิด พวกเราต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ มิเช่นนั้น คงกลายเป็นศพ ก่อนจะได้รับใช้ฝ่าบาท” เมื่อคนหนึ่งเอ่ยจบ รถม้าก็หยุด และมีเสียงเรียกให้สตรีทุกคน ก้าวลงไป ‘โอกาสพบปั๋วอ๋อง 60% โอกาสเสียชีวิต เริ่มระบบใหม่ 80% ทางลัด สามารถเลือกใช้ 200 คะแนน เพื่อไปซื้อเกราะไหมทองคำ ป้องกันโจมตี และอาวุธลับ!’ หลิวลั่
หลิวลั่วอี้ต้องการให้ได้หนึ่งร้อยแต้มอย่างเร็วไว เพื่อที่นางจะไปจากโรงบุปผาทองคำ ซึ่งภารกิจของนางไม่มีสิ่งใดยุ่งยาก ก็แค่กระโดดขึ้นเตียงปั๋วอ๋องให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นทำอย่างไรก็ได้ให้บุรุษผู้เย็นชา เผด็จการ บ้าอำนาจ เสียน้ำอุ่นขาวข้นให้หมดตัว กระทั่งจุดจบฉากสุดท้ายเขาก็คือตายคาอกตูมๆ ของนาง และเป็นตอนนั้น ที่เห็นว่ามีบุรุษห้าคนที่ผิวขาว เรือนร่างก็สะโอดสะองอยู่สักหน่อย ก้าวออกมา ยืนต่อหน้าพวกนาง ทุกคนมีหน้ากากปิดใบหน้าส่วนปกไว้ เห็นเพียงแค่ดวงตา ส่วนด้านล่างมีผ้าเตี่ยวปกปิดของสงวนไว้ กระนั้นด้วยความเป็นบุรุษทั้งยังมีเรือนกายแตกต่างจากสตรี พวกเขาจึงทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ และใช้กัวซาเล่นซุกซนกับตน ถึงขั้นร้อนอบอ้าวในจุดหวานฉ่ำมากกว่าเดิม แต่เมื่อพิศพวกเขาให้ดี ก็เกิดเสียงซุบซิบ “นั่นมันขันทีมิใช่หรือ” มามาโจวอมยิ้มในสีหน้า ตอบว่า “ถูกต้อง เพราะเป็นพวกที่ตอนแล้ว ถึงจะแก้ผ้าให้พวกเจ้าทุกคนยลโฉม และสำรวจเรือนร่างได้ พวกเขามีทุกอย่างเหมือนบุรุษ เพียงแต่บางส่วน อาจบกพร่องอยู่สักหน่อย” ดวงตากลมโตของหลิวลั่วอี้จ้องไปยังขันทีผู้หนึ่ง เขานับว
เมื่อลิ่วอี้ต้องเป็นหลิวลั่วอี้ในโลกคู่ขนาน หญิงสาวกลับไม่ได้แตกตื่น ประสาทเสีย แม้กระทั่งกรีดร้องด้วยความกลัว หรือทำสิ่งที่พิลึกพิลั่น อย่างตัวละครอื่นที่นางเคยอ่านผ่านตา หรือได้ดูผ่านสื่อต่างๆ มักจะเป็น นั่นเป็นเพราะแต่เดิม นางคือนักเขียน ใช้อาชีพนี้เลี้ยงตนเองมาตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ปี ซึ่งเขียนนิยายเกินวัยไปมากโข ใครๆ ต่างบอกว่าแก่แดดและแรด แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่ทำส่งผลให้ปากท้องไม่หิว ไม่ต้องแบมือขอเงินใคร กระทั่งหลิวลั่วอี้ พบแฟนคนแรก เขาบอกว่า นอกจากเป็นอัจฉริยะทางด้านตัวอักษร และสร้างสรรค์เรื่องราวได้ดี นางยังครบเครื่องเรื่องบนเตียง มีทรวดทรงแสนมหัศจรรย์ ให้เขาได้ลูบๆ คลำๆ เล่นอย่างไม่รู้เบื่อ “ความสาวไม่ได้อยู่กับเรานาน เธอต้องหัดใช้ให้มันเป็นประโยชน์” เสียงผู้ชายในอดีตบอก และเขายังอยู่ในความทรงจำตลอดมา เขามอบจูบแรกอันร้อนแรงให้ สอนหญิงสาวใช้ปาก ลิ้น และสองมือ ทั้งยังหมั่นกระแทกกระทั้นความใหญ่โต อัดใส่ร่างกายนุ่มนิ่มนี้ จนลิ่วอี้เป็นผู้หญิงที่หมกมุ่นกับความสัมพันธ์อันหวานล้ำระหว่างชายหญิง “แต่ ฉันไม่อยากทำตัว ร่านๆ ให้ใครเห็นนี่นา อยาก
ผู้อื่นย้อนเวลามาเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา หรือนางร้ายชั่วช้า ที่หมกมุ่นในการแก้แค้น แต่ตัวประกอบ ที่ชาติก่อน รับบทขย่มบุรุษไม่เลือกหน้าทั่วทุกพรมแดน ชาตินี้ ‘ระบบ’ ขีดเส้นชีวิตให้นาง บดๆ ยั่วๆ เพื่อหว่านเสน่ห์ให้ปั๋วอ๋อง ผู้เย็นชา และเผด็จการ ตายคาอ้อมแขน และสองเต้าตูมๆ และภารกิจสำเร็จเมื่อใด ก็รับโบนัส เป็นทองคำหนึ่งพันชั่ง พร้อมสามารถเลือกสามีใหม่ได้ด้วย เอ วัง อะไรจะประเสริฐเช่นนี้ !? ******************** “อ๊ะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยถูกผู้ใดทำโทษเช่นนี้” นางไม่ได้พูดปด ด้วยร่างกายในโลกคู่ขนาน ยังเป็นสตรีที่มีปานแดงพรหมจรรย์ ทุกอณูเนื้อยังไม่ผ่านมือชายใดมาก่อน “หืม เหตุใดกล่าวเช่นนั้น ข้าหรือจะทำโทษ คนงามที่หยาดเยิ้มเช่นเจ้าได้ลงคอ” “ก็ หม่อมฉัน เหมือนจะขาดใจตาย ละ แล้ว อี้ อ๊ะ ฝะ ฝ่าบาท!”**************************** คืนนี้นับว่าดึกอยู่สักหน่อย และหญิงสาวเพลียทั้งปวดเมื่อยร่างกาย จึงไม่ได้คิดจะแสดงท่าทางให้โลดโผนกว่านี้ การเป็นดาวจรัสแสงของเธอ นับว่าเชิดฉายพอแล้ว แต่ก็นั่นแหละ นอกจากมีอาชี
หวังเฉินเฟยมาถึงตำหนักซอมซ่อของน้องสาว เห็นแล้วก็อดเดือดดาลไม่ได้ “พวกสุนัขหม่าซาง... เลี้ยงดูน้องสี่เช่นนี้หรือ” หญิงสาวตกใจกับท่าทางและน้ำเสียงพี่ชาย อีกฝ่ายแต่เดิมก็สุภาพ ทั้งให้เกียรติผู้อื่น อีกอย่างไต้เจิ้งซี แม้ภายนอกดูป่าเถื่อน ทั้งยังมักใช้ท่าทางข่มขวัญผู้คนไปทั่ว หากสุดท้ายหวังรั่วเซียงได้รับการดูแลอย่างดี ผิดกับพี่ชายนาง ที่ยามนี้ดูแล้วไม่น่าไว้ใจยิ่ง “พี่รอง อย่างไรเราก็อยู่ในบ้านเมืองผู้อื่น ข้าไม่อยากมีปัญหา” หวังเฉินเฟยถลึงตาใส่น้องสาว ก่อนจับข้อมืออีกฝ่ายแล้วบีบอย่างใช้กำลัง “น้องสี่กล่าวเช่นนี้ เจ้าคงไม่แคล้วหลงสุนัขหม่าซางจนโงหัวไม่ขึ้นหรอกนะ” หญิงสาวไม่อยากเชื่อหูตน ทั้งที่หวังเฉินเฟยได้รับการช่วยเหลือจากไต่เจิ้งซีแท้ๆ ยังพูดจาให้ร้ายฝ่ายนั้นไม่หยุด อีกทั้งนางถูกเขาต่อว่าอย่างด้อยค่า การช่วยเหลือคนผู้นี้ให้รอดพ้นจากศัตรู นับว่าเสียแรง และทำให้เกิดการสูญเสียมากมาย “เสียดายที่ข้า ต้องเสียสละหลายสิ่งเพื่อช่วยเหลือท่าน เช่นนี้แต่แรก ขอให้หม่าอ๋องนำแค่ศีรษะท่านกลับแคว้นเสอก็คงเพียงพอแล้ว” หวังเฉินเฟยอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนเดือดด
เกือบสองวันสองคืนที่หวังรุ่ยเซียงอยู่กับไต้เจิ้งซี พวกเขาพักตามถ้ำและกระโจมของชาวเผ่าหม่าซาง นั่นเป็นเพราะไต้เจิ้งซีอยากให้นางเห็นบางสิ่งในเขตพื้นที่ผู้ประสบภัยสงคราม ซึ่งยามนี้ทยอยเดินทางมาได้นับพันชีวิต โดยมีทหารคอยดูแล “สงคราม ทำให้คนอดยาก หลายชีวิตต้องจากไป ความสูญเสียนั้นมหาศาล อีกทั้งทำให้คนที่เหลืออยู่สิ้นหวัง บางคนป่วยใจ แล้วก็ตายไปในที่สุด” ซึ่งเหล่าราษฎรบริสุทธิ์ที่ประสบชะตากรรมโหดร้ายนี้ คือเหตุผลที่เขามีความกราดเกรี้ยวเมื่อรู้ว่าแคว้นเสอส่งสตรีสวมใส่ชุดบุรุษมาเชื่อมไมตรี เพราะมันคือการหยามหมิ่นเกียรติชาวเผ่าหม่าซาง กระทั่งได้เห็นด้วยตาตนว่า พี่ชายหวังรุ่ยเซียงมีแผนการชั่วช้าเช่นไร เขาก็นึกสงสาร ถึงอย่างนั้นนางเป็นคนของแคว้นเสอ ให้ดีคือมีรูปโฉมงดงามอย่างที่สุด กระทั่งรับรู้จากรายงานว่า ตลอดระยะทางที่นางเดินทางมาเผ่าหม่าซาง สตรีผู้นี้ได้แบ่งอาหาร และเงินให้กับคนยากไร้ ทั้งสั่งองครักษ์ช่วยชีวิตครอบครัวหนึ่งเอาไว้จากการถูกปล้น ไต้เจิ้งซีจึงเปลี่ยนมุมมองใหม่ เขาไม่ได้โทษนาง หากกำลังดูแคลนขุนนางเสอ และพี่ชายน้องชายของหญิงสาวมากกว่าที่ล้วนขี้ขลาดตา
ไล่ซุ่นจิ่งไม่ได้อยู่ที่เรือนพักผ่อนของหวังรุ่ยเซียงนาน และนอกจากข้าวของที่มอบให้แล้ว ยังมีนางรับใช้อีกสองคนที่ส่งตัวให้อยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หญิงสาวไม่สบายใจ “พวกนางเป็นสายลับอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ลู่โต้วว่า แล้วชะเง้อคอมองออกมองผ่านหน้าต่าง สตรีสองคนแต่งชุดชาวเผ่า ประดับเครื่องเงิน มีเสียงดังยามเดินไปมา ฟังก็เพลินอยู่หรอก แต่พวกนางเคลื่อนไหวบ่อยๆ ก็พลอยให้หงุดหงิด “ทั้งคู่กำลังเตรียมอาหาร และบอกว่า เป็นสิ่งที่ท่านอ๋องต้องกิน จากนั้นก็จะมีการเรียนเรื่องความรู้ทั่วไปของชาวหม่าซาง มีทั้งตำราท้องทุ่ง แล้วก็วิชาแผนที่เพคะ เห็นว่ามันสำคัญในช่วงที่ท่านอ๋องต้องออกไปสำรวจเขตรอบๆ ค่ายเพคะ” “ไฉนข้าต้องใส่ใจ ในเมื่อมีฐานะเป็นเฉลย อีกอย่าง... ข้าคงไม่ได้อยู่ที่นี่นาน” หวังรุ่ยเซียงกล่าวออกไปแล้ว และนั่นก็เหมือนว่าเรื่องทั้งหมดไปเข้าหูไต้เจิ้งซี********************** ชายหนุ่มขมวดหัวคิ้วเข้มๆ ของเขาเข้าหากัน ภาระที่หนักอึ้งหลายวันที่ผ่านมา ยังไม่เท่ากับการได้ยินข่าวเรื่องของหวังรุ่ยเซียงพยายามหาทางดื่มน้ำแกงสลายครรภ์ รวมถึงนางมิสน