หญิงสาวพุ่งตัวไปอีกฝั่งหมายใจไปยังบ่อน้ำพุ สถานที่ซึ่งมั่นใจว่าต้องได้พบคุณชายทั้งสี่คนเป็นแน่แท้ ทว่าในขณะเดียวกันนั้นที่ หลางฮั่วเกิดสติแตก นางล้วงเข้าไปในสาปเสื้อ ได้มีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา “คุณชายห้าสั่งว่า หากนางโสเภณีคนไหน ไม่เชื่อฟังและคิดออกไปจากตำหนักแห่งนี้ก่อนทำหน้าที่สุดท้ายแล้วเสร็จ ก็ให้ข้ากับอาชาง เฉือนนางให้เป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปทิ้งด้านหลังตำหนัก เพื่อเป็นอาการหมาป่าและสัตว์เลื้อยคลาน!” “อย่านะ พวกเจ้าจะทำเรื่องเลวทรามกับข้าเยี่ยงนั้นไม่ได้” “หึๆ ๆ เหตุใดจะไม่ได้ ไป อาชางจับตัวหญิงแพศยามา” เจี๋ยชางไม่ได้อยากทำตามคำพูดของหลางฮั่ว แต่เพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้น เขาเลยบ่ายหน้าหมายจะเข้ามาจับตัวเหมียวจื่อเผย ยามนั้นเกิดการวิ่งไล่ปล้ำกัน เหมียวจื่อเผยแม้จะคล่องตัว ทว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มหุ่นสูงเพรียว และคล่องแคล่ว นางวิ่งหลบเขาไปได้หลายอึดใจ หากสุดท้ายก็ถูกตะครุบตัว เหมียวจื่อเผยดิ้นปัดไปมาอย่างแรง สองเท้าถีบเจี๋ยชาง และเขาเริ่มเจ็บจึงสะบัดร่างนางชนกับก้อนหินใหญ่ “โอ๊ย... ปะ ปล่อยนะ” ที่น่องข
เหมียวจื่อเผยหนีรอดจากกองเพลิงในเรือนรับรองหลังนั้นได้ ก็เพราะนางหลบอยู่หลังก้อนหิน และภาพที่นางเห็นคือ ร่างของนางรำหลายคนที่ถูกฆ่าตาย และเลือดของพวกนางทำให้น้ำพุกลายเป็นสีแดงเป็นวงกว้าง แต่น่าประหลาดคือนางกลับไม่เห็น คุณชายทั้งสี่ ราวกับว่าพวกเขาล่วงรู้ว่าตนตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย หญิงสาวทั้งกลัว ทั้งสยองใจ เมื่อเหตุการณ์คับขันอย่างที่สุด ก็ไม่มีใครสนใจนาง นั่นจึงเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้นางหนีออกจากตำหนักน้ำพุซีเฉอ เหมียวจื่อเผยแข็งใจกัดฟันออกวิ่งโดยไม่หันหลังกลับ นางตั้งมั่นในใจว่า ตั้งแต่มาอยู่ในโลกคู่ขนานนี้ นาจะไม่ตายโง่ๆ หรือถูกผู้อื่นทำให้สิ้นลมหายใจ ดังนั้นแผนทั้งหมดจึงเตรียมไว้ และภายใต้กองไฟที่ลุกไหม้นั้น หาใช่ร่างของนางไม่ กระนั้นกว่าจะหาทางออกมาจากตำหนักน้ำพุซีเฉอได้ ก็เกือบครึ่งชั่วยาม จากนั้นนางต้องดีใจ เป็นอย่างมาก คนที่ยื่นมือช่วยเหลือนางไว้ อีกหนคือม่อเส้าเฟิง “คุณหนูแปด” เสียงเขาเต็มไปด้วยความยินดี ทว่ายามนี้ไม่ใช่เพียงม่อเส้าเฟิงปรากฏตัว คนที่อยู่ในรถม้าซึ่งจอดซุ่มอยู่ ทำให้เหมียวจื่อเผยต้องเหงื่อแตกกว่าเดิม อีกฝ่
สี่คุณชายเดือนทางมาจากตำหนักน้ำพุซีเฉอซีเฉอ เป็นเวลาเกือบสิบวันแล้ว แต่ยังไม่มีสิ่งคืบหน้า อีกทั้งพวกเขาถูกจำกัดบริเวณในหอบรรพชน ทั้งให้กินอาหารเจกับน้ำชาเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่พอใจให้เหล่าคุณชายทั้งสี่เป็นอย่างมาก ทว่ากลับไม่อาจโต้เถียง หรือออกจากหอบรรพชนได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งเด็ดขาดของมู่ป๋อจาง กระทั่งล่วงเข้าวันที่สิบเอ็ด ภายในเรือนบรรพชน ของคฤหาสน์สกุลมู่มีบรรยากาศอึมครึมเป็นอย่างมาก ยามนี้ คุณชายทั้งห้าต่างนั่งประจำตำแหน่งของตน จะมีก็แต่มู่ข่ายเฉิงที่อยู่บนรถเข็น ความเงียบของเจ้าบ้านมู่ ทำให้คุณชายทั้งห้ากดดันยิ่ง และเป็นมู่อี้เถียนที่เขาอาศัยความอ่อนเยาว์ของตน เพื่อทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง “บิดา เหตุใดผ่านมานานแล้วจึงไม่มีการคัดเลือกเจ้าบ้านน้อย” เมื่อความอึดอัดใจนี้ ถูกเอ่ยถามออกไป ซึ่งพลอยให้พี่น้องทุกคนโล่งใจขึ้นมาได้สักหน่อย “หึ! พวกเจ้าทั้งสี่คน ยังมีหน้าเข้าร่วมการคัดเลือกเจ้าบ้านน้อยครั้งนี้หรือ” “เอ หมายความเยี่ยงไรบิดา พวกเราทุกคนล้วนมีคุณสมบัติครบถ้วน น้องห้ายังอ่อนเยาว์ก็จริง แต่เขาผ่านเกณฑ์หลายอย่าง ส่วน
“นางล่อลวงให้น้องห้าหลงใหล และเขาหลับนอนกับนาง ต่อจากนั้น...” มู่เซ่าหลิงกล่าว แต่หยุดคำพูดตัวเองเอาไว้เสียก่อน เพราะมันอาจมีโทษมาถึงเขา “มีสิ่งใดที่เจ้าไม่กล้าเอ่ยเยี่ยงนั้นหรือ เจ้ารอง” มู่เซ่าหลิงมองบิดา ก่อนหันไปจ้องเหมียวจื่อเผย “นางเป็นปีศาจร้าย ตั้งใจปั่นหัวเราทุกคน บิดาอย่าเชื่อคำใดจากนางอีกเลย” “เจ้าคิดดีแล้วหรือถึงได้เอ่ยเช่นนี้ออกมา อย่าลืมว่า พ่อตั้งความหวังไว้กับเจ้ามิน้อย เมื่อสองปีก่อน ท่านหญิงเผิงก็หวังใจให้เจ้าแต่งงานกับนาง แต่เจ้าเหลวไหล คว้าอนุเผิงอ๋อง ผู้เป็นบิดานาง มาข่มเหง จนเสื่อมเสียมาถึงข้า สุดท้ายต้องส่งเจ้าไปอยู่ต่างเมือง!” “ทั้งหมด เป็นแผนคนชั่ว ที่ไม่อยากให้ข้า แต่งงานกับท่านหญิงเผิง ส่วนอนุผู้นั้นเป็นสตรีร่านราคะ นางหวังใช้เรือนร่างตน มอมเมาบุรุษ” “แต่เจ้าก็หลงกลนางจนได้!” มู่ป๋อจางตวาดเสียงดัง และมู่เซ่าหลิงไม่อยากโต้แย้งด้วยเขารู้อารมณ์บิดาดี “เอาล่ะ ยังมีผู้ใด ในพวกเจ้าอยากโต้แย้งหรือไม่!” ซึ่งหลังจากนั้น มิใช่สี่คุณชายที่อยู่ด้วยกันในตำหนักน้ำพุซีเฉอ หากเป็นมู่ข่ายเฉิง ที่เลื่อนรถเข็นของต
“ข่ายเกอเกอ... ลูกอยากให้ท่านบอกรักไวๆ” เขาหัวเราะ เซียวซือเหริน เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ อีกทั้งยามนี้ คงติดความหิวโหยเรื่องบนเตียงจากเขาไปมิน้อย “ปรารถนาอุ่นเตียงกับสามีหรือไม่” นางส่ายหน้าไปมา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหวานล้ำ “อยากกินของคาว ของหวานเลิศรสสดใหม่ ที่สำคัญต้องทำให้อาเหรินพึงใจต่อสามีแซ่มู่ ที่สั่งสอนให้ข้ากินดุ ไม่ต่างจากเขา" ******************** #ปู้หยางอวี่ข่าย นางพึงใจต่อเขาหรือไม่ เรื่องนั้นไม่สำคัญ นับแต่นี้ ลูกสาวขุนนางต้องโทษ มีหน้าที่คือเรียนรู้การปรนนิบัติเขาเยี่ยงสาวใช้อุ่นเตียง เขาจะทำให้นางกลายเป็นเสื้อผ้าทั้งเก่าและขาด ไร้ตัวตน ไร้ราคา ให้สาสมกับครั้งหนึ่งที่นาง และบิดาของนางหยามหมิ่นเกียรติเขา ทว่าเพียงได้แนบเนื้อผสานใจครั้งแรก หัวใจเขากับเต้นระส่ำ ความคิดเหล่านั้นพลันสลายไป #เซียวซือเหริน ถึงเขาบ้าอำนาจ ทั้งเผด็จการ หรือชั่วช้าเพียงใด นางก็จะกัดฟันฝืนทน เพราะมีแต่เขาเท่านั้น ที่ทำให้นางเป็นอิสระ สามารถปกป้องคนที่รักสำเร็จ และสักวันความแค้นที่สุมอก ต้องถูกชดใช้ด้วยเลือดของศัตรู********
“ท่านช่วยเสี่ยวเนี่ยนนางได้จริงหรือไม่” เซียวซือเหรินถามออกไปแล้ว ก็นึกถึงชะตากรรมอันเลวร้ายของสาวใช้ส่วนตัว อีกฝ่ายคือเสี่ยวเนี่ยน แม่นางน้อยที่แสนสดใส ขณะที่เดินทางไกลออกจากเมืองหลวง เพื่อไปอยู่บ้านบรรพชนของตากับยาย มารดานางจำเป็นต้องขายเสี่ยวเนียนเพื่อใช้เป็นค่าจ้างรถม้า เนื่องจากบิดาต้องโทษ ทรัพย์ถูกริบไปทั้งหมด เงินที่ติดตัวนั้นไม่มี สมบัติสักชิ้นก็ไม่อาจนำติดมือไปได้ ส่วนเครื่องประดับที่อยู่บนตัวถูกแลกเป็นอาหาร กับมอบให้ทหารที่คุมตัวครอบครัวนางออกจากเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ยามนั้นคงมีแต่บ่าวและสาวใช้ติดตามไปเท่านั้น ที่สามารถขายแล้วแลกเป็นเงินได้ “ห้าสิบตำลึงเงิน...” ชีวิตน้อยๆ ของเสี่ยงเนียนมีค่ามากถึงเพียงนั้น เพราะนางเป็นสาวใช้ที่มาจากสกุลขุนนางใหญ่ ถูกอบรมอย่างดี อ่านออกเขียนได้ ทั้งยังมีใบหน้างดงาม “คุณชายโปรดช่วยเสี่ยวเนียนด้วย” เขาไม่ตอบคำถาม และยักไหล่ ก่อนใช้นิ้วเตรียมจ่อเข้าไปในปากนางอีกหน พอนางหลับตา ไม่อยากเห็นภาพตรงหน้า นิ้วยาวใหญ่สองนิ้ว ก็ถูกส่งเข้าไปข้างในอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เซียวซือเหรินไอโขลกๆ ยามนี้สิ่งที่ทำได้คือเรียนรู
“ข้าดูเหมือนคนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือ แล้วที่พยายามยื่นมือขาวสะอาดฉุดเจ้าขึ้นมาจากน้ำกามของบุรุษ เป็นเพราะด้วยใจจริง ข้าอยากให้เจ้าเป็นลูกกตัญญูสมความตั้งใจอย่างไรเล่า ปากเจ้าก็บอกว่าบิดาไม่ผิด เช่นนั้น... ข้าจะลองส่งเสริมดูสักหน่อย ว่าขุนนางเซียว มีค่าพอให้ชุบชีวิตเขากลับมาใหม่หรือไม่” เมื่อได้ยินเขาเอ่ยชัดเจน เซียวซือเหรินก็สูดลมหายใจลึก ยามนั้นนางเบียดเนื้อตัวเข้ากับร่างกายอุ่นจัด และมองเขาด้วยสายตาที่ดุดันอยู่สักหน่อย “น้องชายข้า... เขาอายุเพียงสิบปี จงพาเขากลับมาด้วย” บอกมู่หยางอวี่ข่ายจบ นางก็ใช้สองมือโน้มศีรษะเขาลงมา พร้อมเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้น ก่อนบรรจงบดกลีบปากของตนกับริมฝีปากบางสีสดของชายหนุ่ม จูบของนางไร้รสชาติ มิก่อให้เกิดแรงปรารถนาใดๆ ถึงอย่างนั้น มู่หยางอวี่ข่าย ก็พึงใจแล้วว่า เซียวซือเหรินจะยอมเชื่อฟังเขา และคงไม่คิดที่จะใช้สมองอันน้อยนิดหาเรื่องพิสูจน์ความจริงเรื่องคดีลบหลู่เบื้องสูงของบิดานางอีก ด้วยยามนี้ฝ่ายตรงกันข้ามของใต้เท้าเซียวกำลังมีอำนาจ หากยิ่งแสดงตัวต่อต้าน มิช้าคงสิ้นชีพทั้งตระกูลเซียว ส่วนเขาที่ยื่นมือช่วยนาง ก็มีแผนใน
เหตุการณ์ก่อนหน้า เรือนรับรองสกุลฮั่ว เซียวปิงเทียนราชครูคำสำคัญของแคว้นฉีซานตัดสินใจว่า การให้ลูกสาวออกเรือนเร็วกว่ากำหนดเดิมย่อมเป็นการดี อย่างไรเสียเด็กทั้งคู่ก็รักกัน รู้จักชอบกันมาตั้งแต่เล็ก ส่วนบุรุษสกุลมู่ ผู้ที่ใครได้ยินชื่อก็หวาดผวา แม้จะส่งของกำนัลมาให้ทั้งยังต้องการลูกสาวของเขา ทว่ามองการณ์ไกลแล้ว มิแคล้วที่มู่หยางอวี่ข่ายต้องไปอยู่ที่เมืองทางใต้ ดูแลแผ่นดินที่แสนวุ่นวาย ทั้งคนอย่างเขานั้นเสเพล เจ้าสำราญ และเป็นปรปักษ์กับเหล่าองค์ชายแทบจะทุกคน มิแน่ทั้งลูกสาวและเขาย่อมประสบภัยร้ายได้ง่ายๆ ถึงอย่างนั้นฮ่องเต้เอ็นดูมู่หยางอวี่ข่าย ทว่ายามนี้ฮ่องเต้ประชวร ดังนั้นสถานการณ์อาจพลิกพลันได้ทุกเมื่อ เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาจึงนัดหมายให้เซียวซือเหรินได้พบฮั่วเจ๋อรุ่ย และหนุ่มสาวนั้นต่างวางตัวดี เป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย “ฝากให้ เสี่ยวรุ่ยดูแลน้องด้วย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะครองคู่กันตลอดไป” เซียวปิงเทียนกล่าวจบก็ส่งลูกสาวสุดที่รักของตนใส่มือของฮั่วเจ๋อรุ่ย อีกฝ่ายรับปากว่า ระหว่างที่นางพักอาศัยในเรือนรับรอง เขาจะดูแลเป็นอ
รถม้าเคลื่อนตัวช้าบ้าง เร็วบ้างสลับกันไป จวบจนมีข่าวจากทหารนำขบวนมาแจ้งว่า องค์ชายรอง หรือ หวังเฉินเฟยยกทัพมาปราบกองกำลังกบฏ เรื่องนี้สร้างความดีใจแก่หญิงสาว “หากพี่รองทำสำเร็จ ข้าคงไม่ต้องเล่นละครหลอกลวงผู้อื่น การได้ตายในบ้านเกิด ย่อมเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาอย่างที่สุด” เมื่อรู้สึกมีความหวังนางก็ยิ้มได้ ขณะเดียวกันก็นึกถึงความเก่งกาจของพี่ชาย หวังเฉินเฟยมีความสามารถด้านการรบ อันที่จริงหากเขาเกิดเป็นบุตรชายคนโตของฮ่องเต้ ตำแหน่งรัชทายาทย่อมเป็นของเขา หวังรุ่ยเซียงรู้สึกสงบลงมาก และนางเปิดหน้าต่างมองไปด้านนอก ก่อนพบเรื่องที่น่าสงสัย มีชาวบ้านกำลังร้องห่มร้องไห้ พร้อมขอความช่วยเหลือ พวกนั้นล้วนเป็นสตรี เสื้อผ้าที่สวมก็ไม่เหมือนชาวเผ่า ราวกับว่าเดินทางมาจากเมืองใหญ่ มองอย่างไรก็ผิดสังเกต “องค์หญิงหยุดรดไม้ได้เพคะ มันไม่ปลอดภัย... ก่อนหน้านี้ท่านได้มอบสิ่งของไปมาก อาหารแห้งก็เช่นกัน บ่าวคิดว่า คนพวกนี้อาจสวมรอยมา และตั้งใจสร้างสถานการณ์บางอย่าง” “เจ้ามั่นใจหรืออาโต้ว” หวังรุ่ยเซียงถาม ใจก็ประหวั่นขึ้นมา “บริเวณนี้เป็นพื้นที่สูง อีกทั
ด้วยเหล่าองค์ต่างขี้ขลาด กลัวตายองค์หญิงสูงศักดิ์ จึงต้องปลอมตัวเป็นบุรุษและถูกส่งมาเชื่อมไมตรีกับชาวเผ่าดุร้ายอนิจจาเมื่อตกอยู่ในมือคนอำมหิต ทั้งบ้าอำนาจกระดูกนางคงแหลกเป็นผง!ตัวละครในเรื่องหวังรุ่ยเซียง องค์หญิงสี่แห่งแคว้นเสอโชคชะตาพลิกผลันให้เป็นตัวประกันเพื่อเชื่อมไมตรี และขอกำลังทัพเสริมเพื่อ ปกป้องบ้านเมืองจากชาวต้าฉี โดยที่นางต้องปลอมตัวเป็นชาย อีกทั้งนางมีสัญญาใจกับแม่ทัพโจว (โจวหนานตง)หวังเฉินเฟย รัชทายาทองค์ชายรอง ทำสงคราม ปกป้องแคว้นเสอ แต่ไร้ความสามารถจึง ตกอยู่ในกำมือชาวต้าฉีไต้เจิ้งซี เจิ้งซี (เจิ้งซีข่าน) ผู้นำคนใหม่ของอาณาจักร บ้างก็เรียก หม่าอ๋องไล่ซุ่นจิ่ง สหายและเพื่อนสนิทไต้เจิ้งซีลู่โต้ว นางกำนัลของหวังรุ่ยเซียง “เมื่อตกเป็นตัวประกัน ย่อมไม่ต่างจากเชลยของเผ่าหม่าซาง ข้าก็พร้อมทำทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง ขอเพียงพี่รองมีชีวิตรอดปลอดภัย” “ดี... เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ช่างน่ายกย่อง” เขากล่าวจบ ความอึดอัดก็จู่โจมหวังรุ่ยเซียงอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวร่างกายของหญิงสาวคล
เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หนึ่งปีผ่านไป ในที่สุดฟ่านฉือตี้ก็ได้เป็นฮ่องเต้สมใจอยาก ทว่าสิ่งที่เขาหวาดกลัวอยู่ลึกๆ คือ เขายังไม่ได้ศีรษะขแม่ทัพหลัว ส่วนหยวนเว่ยตู้กลายเป็นเครื่องสังเวยนับแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น และมันทำให้เขาเสียใจอยู่มิน้อย ทว่าเพื่อความยิ่งใหญ่ สิ่งใดที่สละได้เขาก็ไม่รอช้า ถึงอย่างนั้นระยะเวลาที่ผ่านมา ลู่เฟยก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายกับเขา แน่นอนเด็กคนนี้คือองค์ชายผู้งดงาม ที่ภายหน้าจะก้าวขึ้นผู้ครองแคว้นต้าโจว มิต่างจากเขา ลู่เฟยก้าวมาใกล้ๆ ชายหนุ่ม และส่งจอกสุราให้อีกฝ่าย “สุรานี้รสดี ทั้งยังช่วยให้ผ่อนคลายเพคะ” “อาหราน...เรามีหลายสิ่งแล้ว เพียงแต่...ภัยจากหลัวเจียงเฉินเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้” “เรื่องนี้ไม่ยาก และไม่ง่ายนัก บิดาหม่อมฉันเป็นอิสระได้เพราะฮ่องเต้ ส่วนพี่น้องคนอื่นอยู่อย่างสงบ ดังนั้นก่อนที่หม่อมฉันจะไปทำหน้าที่สำคัญของตน ย่อมช่วยให้ฝ่าบาทได้สมหวัง” “อาหรานจะตัดหัวแม่ทัพหลัวให้เราสินะ” หญิงสาวอมยิ้ม... “หากสวรรค์กำหนดให้เขาต้องสิ้นลมหายใจ หม่อมฉันย่อมทำสำเร็จแน่” “หมายควา
เสียงหวีดร้องดังไปทั้งเรือนพักของหยวนเว่ยตู้ อาการของนางย่อมไม่ธรรมดาแน่ “ตี้อ๋อง... เรียกตี้อ๋องให้ข้าที โอ้ ท่านพี่... ท่านอยู่ที่ไหน” หยวนเว่ยตู้น่าสงสารเหลือเกิน นางไม่คาดคิดว่าตนจะปวดท้องหนักเพียงนี้ อีกทั้งฟ้าฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา บรรยากาศชวนให้ขนลุกโดยแท้ นอกจากให้ตามฟ่านฉือตี้ คนท้องแก่ยังอยากพบพี่ชายของตนด้วย เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ เนื้อตัวหยวนเว่ยตู้เริ่มมีสีเขียวคล้ำเป็นจ้ำๆ ใบหน้าก็ซีดสลด กระทั่งนางกรี๊ดร้องอย่างคนเสียสติ ทั้งหมอตำแย และแพทย์ต่างผงะตื่นตกใจ เนื่องจากมีเลือดสดๆ ไหลออกจากช่องคลอดนางเป็นจำนวนมาก เลือดดังกล่าวเป็นสีเข้มจัด และมีกลิ่นเหม็นคาวจัด ทุกคนแทบหยุดหายใจ เกิดความโกลาหล ทั้งสร้างความสะพรึงกลัวต่อทุกชีวิตในห้องนั้น “นะ นั่น... ใช่หรือไม่ หัวงู!” “โอ้ คือมันคือสัตว์อสูร เผ่ยหลงเฟย!” เสียงดังกล่าวสร้างความอกสั่นขวัญอแขวนยิ่งกว่าเดิม และอสูรตนนั้น พอออกมาจากร่างกายหยวนเว่ยตู้ได้ ก็แผดเสียงลั่น พอจะมีใครเข้าไปจัดการ มันก็แสยะปากกว้าง อวดฟันซี่แหลมคม เ
เมืองโหลว จวนรับรองขององค์ชายห้า หยวนเว่ยตู้ไม่เข้าใจว่า เหตุใดตี้อ๋องถึงได้พาสตรีนางนี้มาพบนาง พอเขาแนะนำว่า ลู่เฟยเป็นอนุคนใหม่ หญิงสาวพลันมือเท้าเย็น แต่ไหนแต่ไรตี้อ๋องไม่เคยเหลวไหล นางกับเขาแต่งงานกันได้หนึ่งปีก็จริง ทว่าก่อนหน้านั้นรู้จักกันมาเป็นระยะเวลาเกือบสิบปี ดังนั้นจึงคิดว่าตนรู้จักเขาดีพอ ทว่าเป็นวันนี้ เมื่อเห็นเขาพาสตรีอื่นมาถึงที่นี่ หัวใจนางก็แหลกสลายไม่มีชิ้นดี และฟ่านฉือตี้กลายเป็นคนแปลกหน้าทันที “พระชายา ที่นี่ย่อมปลอดภัยที่สุด เราฝากอาหรานไว้ด้วย” น้ำเสียงเขาราบเรียบ สีหน้าไร้ความทุกข์ร้อน บุรุษเช่นเขาไฉนถึงกลายเป็นคนเย็นชา ทั้งทำร้ายความรู้สึกนางได้ถึงเพียงนี้ “หากตี้อ๋องต้องการความปลอดภัย ไฉนถึงไม่พานางกลับเมืองหลวง อย่างไรเรือนพักเมือง ก็ใกล้เขตสงคราม” ชายหนุ่มหลับตาลงและกล่าวว่า “เราห่วงความปลอดภัยพระชายา อีกทั้งสถานการณ์เมืองหลวงใช่ว่าจะดี ที่ป้อมเมืองโหลวมีทหารมากฝีมือดี ทั้งยังมีที่หลบภัย อีกอย่างไม่ใช่สถานที่ซึ่งชาวเสอ หรือสิบสองเผ่าต้องการรุกราน เพราะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ฟ่านฉือตี้กล่าว และเขาจับจูงมือ ตั้งใจพาลู่เฟยไป
เช้าวันใหม่ ลู่เฟยออกมานอกกระโจม ได้ทราบว่าหลัวเจียงเฉินเดินทางเข้าไปในค่ายกลแล้ว เมื่อล่วงรู้เช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าสิ่งที่นางวางไว้สำเร็จตามแผน คงเหลือแต่ให้ผู้ชายทั้งสองคนต่อสู้กันเอง ฝ่ายนางรอเพียงผู้ชนะ และคนๆ นั้นจะอยู่รอด ให้นางได้จมูกจูงทำในสิ่งที่ปรารถนาต่อไป ลู่เฟยเดินเตร่ไปเรื่อย ไม่เห็นทหารที่ประจำการอยู่ด้านนอกหนาตาเช่นเดิม ดูเหมือนสถานการณ์เปลี่ยนไป กระนั้นที่นี่ยังมีเชลยที่ถูกขังเอาไว้ ใจคิดอยากช่วยเหลือพวกเขา หลายคนคือเหล่าสัตว์ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ ถูกนายพราน รวมถึงพวกมีอาคมจับมาให้เป็นเชลย “เจ้าหุบเขาน้อยจะให้ทหารพวกนั้นผ่านไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่องร้ายแรง แม่ทัพหลัว จะทำให้ผู้คนหนีตาย อพยพมาอาศัยที่เขาหวงซาน จากนั้นพวกเราทั้งหมดจะไม่มีป่าศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอีก” “เขาขอแค่ผ่านทาง พวกเจ้าก็ได้ยินสิ่งที่แม่ทัพหลัวให้สัญญากับข้า” “โถ มีมนุษย์คนใดบ้าง ที่เราเชื่อถือคำพูดได้ โดยเฉพาะคนที่อำมหิตเช่นแม่ทัพหลัว บุรุษผู้นั้นแค่ต้องการเล่นสนุกกับท่าน แล้วหลอกเอาแผนที่ เข้าไปในค่ายกลเพื่อเขาจะได้นำทัพผ่านไปโดยสะดวก” หลายเสียงที่บอก ท
หลัวเจียงเฉินพาหญิงสาวมาในกระโจมพักผ่อนส่วนตัว เขาไม่ได้ต้องการสิ่งใด นอกจากปรนเปรอในสิ่งที่นางเสนอ “อยากให้ข้าเป็นเจ้าบ่าวเยี่ยงนั้นหรือ” “ใช่ ข้าต้องการเข้าพิธีวิวาห์กับท่าน ดื่มเหล้ามงคล ผูกปมผมครองคู่” “เสี่ยวหราน ข้ามีหน้าที่มากมาย หากแค่ขึ้นเตียงด้วยกัน เรื่องนั้นย่อมพอทำให้เจ้าสมปรารถนาได้” ลู่เฟยสับสนอยู่มาก คำที่นางได้ยินฮวานหมิง หรือนางแมวเทาบอกมิใช่เช่นนี้ การวิวาห์ระหว่างชายหญิง ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ว่าอีกฝ่ายยอมรับนางในฐานะภรรยา ถึงแม้ใจนางยามนี้ แค่อยากเล่นสนุกกับเขาก็ตามที “แล้วท่านจะยอมรับข้าเป็นภรรยาหรือไม่” ชายหนุ่มแค่ต้องการปลดปล่อย ดังนั้นเขาเลยเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ว่า “หากสตรีที่หลับนอนกับข้าทุกคน ต้องเป็นภรรยา เช่นนี้ข้าคงมีบ้านเล็กบ้านน้อยมากมายไปหมด ทว่าสำหรับคนงามที่หายากยิ่ง ข้าจะยอมเรียกเจ้าว่าเมียก็แล้วกัน” คำพูดนั้นฟังแล้วหยาบคายสักหน่อย ทว่าลู่เฟยหลงใหลอีกฝ่าย เขาสง่างาม ดูองอาจ จึงช่วยไม่ได้ที่นางงูเขียวจะนิยมเขา นอกจากไอสังหารรุนแรง เขายังมีดวงจิตที่เข้มแข็ง เทียบเท่ากับเซียนผู้หนึ่งได้เลย
ลู่เฟยไม่ได้มีความตื่นตระหนกเช่นคนอื่น หลายวันที่ผ่านมานางปรับตัวได้มากแล้ว ทั้งยังรู้จักเรื่องระหว่างชายหญิง เรียกได้ว่านางสนุกทุกครั้งที่ฮวานหมิงเล่าสิ่งต่างๆ ให้ฟัง โดยเฉพาะการอุ่นเตียงกับคนรัก นี่คือสิ่งที่จะยึดเหนี่ยวชายหญิงไว้ด้วยกัน นางต้องการเช่นนี้ วางแผนให้ตนถูกทหารจับตัว เพื่อจะได้ใกล้ชิดผู้นำของกองทัพใหญ่จากแคว้นต้าโจว เขาผู้นั้น นางจำได้แม่นยำว่า คือหลัวเจียงเฉิน พี่ชายของหยวนเว่ยตู้ ผู้เป็นพระชายาขององค์ชายห้า... บุรุษที่นางล่อลวงเขาก่อนหน้านั้น หญิงสาวถูกสั่งให้เดินไปเบื้องหน้า ตามทาสคนอื่นๆ หลายคนร้องไห้ บ้างหวาดกลัว ส่วนลู่เฟยหยุดร้องเพลง และนางแย้มยิ้ม มือนางทั้งสองข้างก็มัดไพล่หลังไว้ ท่าทางไม่ได้สบายนัก นอกจากนั้นทหารบางคนมองนางด้วยสายตาหยาบคาย และหื่นกระหาย ด้วยคะเนว่านางคงเป็นสตรีเริงเมือง ไม่ก็คนเสียสติ ด้วยปากถามหาเจ้าบ่าวของตน และหวังอยากปีนขึ้นเตียงอย่างเดียว ดวงตาคมกริบมองไปยังลู่เฟย สำรวจอย่างพินิจ สตรีที่งดงามทั้งสวมเสื้อผ้าบางเบา อยู่ในกลุ่มเชลยได้เยี่ยงไร “พานางมาหาข้า” เสียงแม่ทัพหนุ่มเสมือนเป็นการแหวกทางให้ร่างที่มีกลิ่น
เขาไห่ซาน เมืองคัง รอยต่อดินแดนแคว้นเสอและแคว้นต้าโจว ซึ่งมีการสู้รบกันอยู่เนืองๆ ยามนี้ โจวอ๋องประสงค์อยากได้เมืองคังกลับคืน รวมถึงพื้นที่แคว้นเสอที่ครอบครองอยู่ ดังนั้นจึงสั่งให้หลัวเจียงเฉินยกทัพมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ พร้อมกันนั้น ได้มอบหมายให้ลูกชายคนที่ห้า ตี้อ๋องหรือฟ่านฉือตี้ติดตามอีกฝ่ายมาด้วย ทั้งเพื่อศึกษาการศึก รวมถึงคอยสอดแนมสิ่งต่างๆ ให้แก่ตน ยามนี้ หลัวเจียงเฉินมีสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด เขาสั่งทหารในสังกัดตรวจสอบทุกอย่างดีแล้ว แต่มีรายงานว่าทางข้างหน้าเป็นพื้นที่ซึ่งมีค่ายกลที่สลับซับซ้อน ดังนั้นจึงต้องเสียทหารฝีมือดีนับสองร้อยนาย และคาดคะเนว่าคนพวกนั้นกำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ฝ่ายเขาอยากพิสูจน์ค่ายกลเขาหวงซานด้วยตนเอง ทว่าองค์ชายห้าที่ติดมาร่วมปราบปรามกลุ่มกบฏแคว้นเสอพยายามคัดค้าน เนื่องจากมีอันตรายเกินไป และอย่างไรแคว้นเสอกับพวกสิบสอบเผ่าวางแผนไว้เช่นนี้ เพื่อให้หลัวเจียงเฉินไม่อาจยกทัพผ่านไปง่ายๆ จึงมีทั้งค่ายกล และการเผาไฟป่าเป็นระยะๆ รวมถึงช่วงนี้มีการขาดแคลนอาหาร ด้วยถูกปล้นเสบียงมาตลอดการยกทัพมาถึงที่นี่ “เราจะเข้าไปในค่ายกลด้วยต