ฉีอีหยุนจินตนาการไม่ออกว่าเขาทำได้อย่างไร แน่นอน สิ่งนี้ยังทำให้ฉีอีหยุนมั่นใจในตัวหานซานเฉียนมากขึ้นอีกด้วย บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่เธอกำลังตามหามาตลอด มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยตระกูลฉีให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งหลายได้ “เธอเห็นแล้วไม่รู้สึกแปลกใจบ้างเหรอ? คนเหล่านี้เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหยุนเฉิง แต่...แต่ตอนนี้พวกเขาคุกเข่าให้กับหานซานเฉียน!” เฉิงหลิงเหยาพูดอย่างงุนงง ฉีอีหยุนถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วพูดว่า “คนใหญ่คนโต? บางทีในสายตาของหานซานเฉียน พวกเขายังเป็นไม่ได้แม้แต่มดด้วยซ้ำ”“อีหยุน เธอพูดอะไร?” เฉินหลิงเหยาได้ยินไม่ถนัดในสิ่งที่ฉีอีหยุนพูด เธอเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งแล้วถามฉีอีหยุนใกล้ ๆ ฉีอีหยุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ตอนนี้เจียงฟู่ยังไม่ปรากฏตัว เขาต่างหากที่เป็นผู้บงการที่แท้จริงของเรื่องนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไงยังไม่มีใครรู้ได้” เฉินหลิงเหยาพยักหน้า แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความสามารถมากนัก แต่ก็ชอบสนใจเรื่องราวของคนในสังคมชั้นสูง แม้ว่าคนที่มาที่จัตุรัสแห่งนี้จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งต่ำต้อย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเจียงฟู่ เรื่องทั้งหมดเจียงฟู่เป็นคนปั่นขึ้น ถ
“มาแล้ว มาแล้ว ในที่สุดเจียงฟู่ก็มาถึงแล้ว!” “ให้คนรอตั้งนาน ทีนี้ล่ะ หานซานเฉียนถึงคราวจองหองไม่ออกแล้ว” “บัดซบ! คนไร้ประโยชน์ยังคิดจะเปลี่ยนฐานะตนเองให้เป็นฝ่ายชนะ มาดูกันว่าเขาจะมีอะไรเก็บไว้อีก” เจียงฟู่เดินตามถนนโล่ง ๆ มุ่งตรงมาถึงตัวหานซานเฉียนเมื่อเขาเห็นกลุ่มคนจากสมาคมได้คุกเข่าลงข้างหลังหานซานเฉียน ก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง เขาคิดไม่ถึงว่าหานซานเฉียนจะใช้วิธีการที่ต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้ ตอนนี้เจียงไห่ตกอยู่ในมือม่อหยาง ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาไม่อยากให้คนผมหงอกต้องไปงานศพคนผมดำ แต่ถ้าเขาต้องคุกเข่าให้หานซานเฉียนต่อหน้าสาธารณชน เรื่องน่าละอายเช่นนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจียงฟู่จะทำได้ “หานซานเฉียน นายคิดว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้จริงหรือ? ตอนนี้นายข่มขู่ฉันได้ แต่นายจะรับมือกับการแก้แค้นของฉันในอนาคตได้หรือเปล่า?” เจียงฟู่กัดฟันกรอด ขณะที่พูดกับหานซานเฉียน “ในอนาคต? เจียงฟู่ คุณไร้เดียงสาเกินไปแล้ว คุณคงไม่คิดใช่ไหมว่าเจียงเหอ กรุ๊ป จะยังคงมีอนาคตอยู่?” หานซานเฉียนพูดอย่างเฉยเมย เจียงฟู่หัวเราะทั้งที่โมโหมาก คนไร้ประโยชน์คนนี้ยังคิดโค่นล้มเจียงเหอ กรุ๊ป แห่งเมืองห
ในเวลานี้ทุกคนมองหานซานเฉียนด้วยสายตาที่แตกต่างไป ไม่ดูถูกอีกแต่จริงจังมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถลบความจริงที่เจียงฟู่คุกเข่าลงต่อหน้าพวกเขาได้ ซูหยิงเซี่ยกลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง ไม่คิดว่าเจียงฟู่จะคุกเข่าลงจริง ๆ! เขาคือเจียงฟู่ เป็นรองเพียงคนใหญ่โตอย่างตระกูลเทียนเท่านั้น! ในเวลานี้ซูไห่เฉาและซูอี้หานเต็มไปด้วยความโกรธ เดิมทีคิดว่าสถานการณ์จะพลิกกลับหลังจากเจียงฟู่มาถึง คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์กลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็น พวกเขาผลักหานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยไปสู่คลื่นลมที่กำลังบ้าคลั่ง แต่กลับทำให้ทั้งสองกลายเป็นที่สนใจ! “ไห่เฉา นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผู้อาวุโสอย่างเจียงฟู่คุกเข่าให้หานซานเฉียน” ซูอี้หานเอ่ยซูไห่เฉาขมวดคิ้ว หานซานเฉียนอาศัยพลังของตระกูลหานหรือเปล่า? แต่เขาเป็นเพียงลูกชายที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลหาน มันจะเป็นไปได้อย่างไร? หรือจะบอกว่า คนไร้ประโยชน์อย่างหานซานเฉียน แอบอ้างบารมีชื่อเสียงของตระกูลหานมาข่มเหงผู้อื่นซูไห่เฉาอยากจะเปิดโปงหน้ากากจอมปลอมของหานซานเฉียนเหลือเกิน แต่เซินเวิงเคยบอกว่าเรื่องนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทันทีที่มันถูกเปิดเผยจา
ซูหยิงเซี่ยนั่งรถกลับคฤหาสน์ที่อยู่ใจกลางเนินเขา ยังสลัดอารมณ์เมื่อครู่ไม่พ้น ราวกับว่าเจียงฟู่ยังคงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเธอ เหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังฝัน เธอไม่กล้าแม้แต่จะบีบต้นขาตัวเอง กลัวว่าจะตื่นจากความฝัน “เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นสีหน้าเหม่อลอยของซูหยิงเซี่ย หานซานเฉียนก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ซานเฉียน? ฉันกำลังฝันอยู่เหรอ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถามอย่างแข็งทื่อ หานซานเฉียนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แน่นอน กลับบ้านแล้วเราจะซื้อตั๋วเครื่องบินไปเกาะจีเหยียนกัน เราจะไปถ่ายรูปแต่งงานกันอีกครั้ง” “แต่ว่า แล้วบริษัทล่ะ? คุณไม่สนในเรื่อบริษัทแล้วเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยถาม แม้ว่าเรื่องในจัตุรัสจะจบลงแล้ว แต่บริษัทของตระกูลซูยังคงต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ ไปเกาะจีเหยียนในช่วงเวลาแบบนี้ ซูหยิงเซี่ยจะสบายใจได้อย่างไร “ผมได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนแล้ว อีกสองวันเขาจะพาคนกลุ่มหนึ่งไปเมืองหยุนเฉิง เพื่อรับช่วงต่อบริษัท ลูกน้องของเขาล้วนเป็นพวกอัจฉริยะ มอบหมายให้เขาทำอย่างสบายใจเถอะ” หานซานเฉียนกล่าว เมื่อได้ยินสิ่งที่หานซานเฉียนพูด ซูหยิงเซี่ยก็ก้มหน้าลงด้วยอารมณ์ตกต่ำในทันใด “เป็
สีหน้าของเจี่ยงหลานแข็งกร้าว เธอเป็นพวกวัตถุนิยม ถ้าหานซานเฉียนไม่มีเงินไม่มีอำนาจ แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในสายตาเธอแน่ ทำไมถึงคิดเป็นอย่างนี้ไปได้นะ“ฉันไม่ตอบคำถามที่เป็นสมมติฐาน” เจี่ยงหลานเอ่ยซูหยิงเซี่ยถอนหายใจ เจี่ยงหลานยังคงไม่ยอมรับสถานะของหานซานเฉียน แค่เพราะการปรากฏตัวของหานซานเฉียน ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อหานซานเฉียน แต่ซูหยิงเซี่ยรู้ว่า ถ้าสักวันหนึ่งในอนาคต หานซานเฉียนเกิดตกระกำลำบากขึ้นมา เจี่ยงหลานก็จะฟื้นคืนความเลวร้ายที่เธอมีต่อหานซานเฉียนอย่างไม่ลังเล แม้แต่น้อยเหอถิงในฐานะคนใช้ในบ้าน เธอไม่ได้มีสิทธิ์ในการพูด แต่รับรู้ได้ถึงท่าทีของเจี่ยงหลานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หานซานเฉียนคนที่ดีขนาดนี้ ไม่ว่าจะรวยหรือจน ก็น่าจะได้รับการเคารพ แต่สิ่งที่เจี่ยงหลานสนใจ กลับเป็นแค่สิ่งของที่อยู่ภายนอกออกจากคฤหาสน์ หานซานเฉียนขับรถไปบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว จงเหลียงรอหน้าประตูเป็นเวลานาน อีกทั้งข้างกานเขายังมีชายวัยกลางคนที่หน้าตาดูมีราศียืนอยู่ด้วย ฉินหลิน! สำหรับฉินหลิน จงเหลียงรู้จักเป็นอย่างดีมาก ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี แต่จงเหลียงนึกไม่ถึงเลยว่า ฉิ
คำพูดง่าย ๆ ทำให้รูม่านตาจงเหลียงเบิกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ!“คืนนั้นฝนตกหนัก ฉันติดหนี้ที่บ่อนการพนัน ถูกคนตามทำร้าย เกือบจะถูกฆ่า เขาเป็นคนที่มาช่วยฉัน เขาบอกฉันว่าอยากเป็นผู้เป็นคนไหม ตอนนั้นฉันจนตรอก ดังนั้นแม้เขาจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ฉันยังเลือกที่จะเชื่อเขา” ฉินหลินพูดต่อจงเหลียงขมวดคิ้ว ตามความเข้าใจของเขา เมื่อก่อนฉินหลินเป็นนักธุรกิจ แม้ว่าธุรกิจจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยม ประสบการณ์ที่ฉินหลินตกระกำลำบากนี้เขาไม่เคยได้ยินมันมาก่อน“เมื่อก่อนนายมีบริษัทเล็ก ๆ ไม่ใช่เหรอ” จงเหลียงถาม “คนเราต่างก็มีความทะเยอทะยาน ฉันจะยอมเป็นแค่เจ้าของบริษัทเล็ก ๆ ได้อย่างไรกันล่ะ ตอนนั้นเพื่อที่จะทำความรู้จักกลุ่มเพื่อนที่ขยายตัวเองออกไป เลยได้พบเจอผู้คนหลากหลาย จนกระทั่งเข้าไปสู่การพนัน ชีวิตของฉันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา ล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้” ฉินหลินพูด“ฉันยังไม่เข้าใจ ทำไมนายถึงน้อยเลือกนาย” จงเหลียงถามอย่างสงสัย ในเมื่อฉินหลินเป็นแค่เจ้าของกิจการเล็ก ๆ หานซานเฉียนทำไมถึงให้ความสำคัญกับหมากตัวนี้อย่างเขา? “ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมเขาถึงเปิดบ่อนการพนัน” ฉินหลินยิ้มเจื่อน ๆ
เทียนหลิงเอ๋อร์ดีใจในทันที แล้วพูดว่า “ได้ค่ะ ได้ค่ะ พวกคุณค่อย ๆ คุยกันไปก่อนนะคะ ไม่ต้องรีบ ฉันยังต้องแต่งหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้า” เทียนฉางเฉิงเห็นเทียนหลิงเอ๋อร์ที่จากไปอย่างกระโดดโลดเต้น ก็เกิดอารมณ์ที่หนักอึ้งขึ้นภายในใจ หานซานเฉียนจงใจให้เทียนหลิงเอ๋อร์ออกไป เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่สำคัญ “อาจารย์ ดื่มชาก่อนครับ”เขากล่าวกับหานซานเฉียนด้วยรอยยิ้ม เทียนฉางเฉิงควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างสุดกำลัง ขณะที่เทียนฉางเฉิงเตรียมจะรินชาให้หานซานเฉียนนั้น หานซานเฉียนก็ยกกาน้ำชาขึ้นมาก่อน “อาจารย์ นี่เป็นเรื่องเล็กเองครับให้ผมทำดีกว่า” เทียนฉางเฉิงรีบพูด หานซานเฉียนไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แถมยังรินชาให้เทียนฉางเฉิงเองโดยตรง แต่เขารินจนเต็มแก้ว จนน้ำชาล้นออกมา หานซานเฉียนก็ยังไม่หยุดรินเทียนฉางเฉิงเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “เต็มแล้วครับ เต็มแล้ว” หานซานเฉียนรินจนน้ำที่อยู่ในกาหมดเกลี้ยง ถึงได้พูดว่า “ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย การอยากได้มากจนเกินไป จนท้ายที่สุดแม้แต่เงินทุนก็ต้องสูญเสียไป นี่ผมโลภเกินไปใช่ไหม? ”การเสียดสีด้วยคำพูดในคราวนี้ เทียนฉางเฉิงทำไมจะไม่เข้าใจ เขาจึงพ
วันนั้นหลังจากเทียนฉางเฉิงเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เทียนหงฮุยฟัง เทียนหงฮุยก็นั่งหน้าซีดเป็นอัมพาตอยู่ที่โซฟา โดยเฉพาะเรื่องที่หานซานเฉียนดื่มชาที่เดือดจัด ทำให้เทียนหงฮุยมีความรู้สึกตึงเครียดขึ้นอย่างรุนแรง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ท่าทีของเทียนหงฮุยที่ตกใจกับเรื่องแบบนี้ เทียนฉางเฉิงจะต้องสั่งสอนเขาสักสองสามคำอย่างแน่นอน ผู้ประสบความสำเร็จในเรื่องใหญ่ก็ต้องจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างไม่ตื่นตระหนกตกใจ แต่วันนี้เทียนฉางเฉิงไม่มีคุณสมบัติพูดแบบนี้จริง ๆ เพราะแม้แต่เขาเองก็ถูกอ่อร่าของหานซานเฉียนครอบงำจนช็อกไม่รู้ว่าต้องทำอะไร“พ่อมีวิธีการอะไรที่สามารถชดเชยในส่วนที่ขาดได้บ้างไหมครับ” เทียนหงฮุยถาม เขารู้ดีว่าระยะห่างระหว่างตระกูลเทียนและตระกูลหาน การขนานนามของตระกูลนี้ในหยุนเฉิงไม่ได้ทำให้เทียนหงฮุยหลงตัวเอง ทว่าเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น รู้ดีว่าจุดจบหลังจากที่ทำให้หานซานเฉียนไม่พอใจเป็นอย่างไร เทียนฉางเฉิงถอนหายใจ หานซานเฉียนไม่ใช่คนธรรมดา สำหรับเขาแล้ว การชดเชยส่วนที่ขาดล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ รอยร้าวเส้นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีทางซ่อมแซมได้ มีเพียงแค่การจัดการเรื่องราวต่อ