“พี่ข่งมาแล้ว มาดูกันว่าเขาจะจัดการยังไง”“เจ้าหมอนี่กล้ามาก่อกวนในพื้นที่ของพี่ข่ง ตายแน่นอน”“บ้าเอ๊ย! ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นพื้นที่ของพี่ข่งล่ะก็ ฉันคงสอนบทเรียนให้เขาไปนานแล้ว”“ใช่แล้ว คนไร้ค่าแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าพี่ข่ง ฉันก็สอนบทเรียนให้เขาแล้วเหมือนกัน”ในเวลานี้คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าพูด กล้าอวดอ้างอย่างไร้ยางอาย ความเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจบนใบหน้าเผยออกมาอย่างไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาสามารถเหยียบย่ำหานซานเฉียนเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าของตนเองได้แต่คนเหล่านี้จะเข้าใจความรู้สึกอยากตายของข่งอู่ในเวลานี้ได้อย่างไร?มันไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะเชิญหานซานเฉียนมาที่นี่ได้ แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะคนอวดเบ่งคนเดียว ถ้าข่งอู่รู้มาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ต่อให้กลั้นฉี่จนตาย เขาก็จะไม่ไปห้องน้ำขณะที่ทุกคนกำลังรอให้ข่งอู่สั่งสอนบทเรียนแก่หานซานเฉียน ข่งอู่ก็เข้าไปยืนอยู่ข้างกายของเขาพร้อมกับก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “พี่หาน ขอโทษด้วยนะครับ”“นี่คืองานเลี้ยงที่คุณเชิญผมมาใช่ไหม?” หานซานเฉียนพูดอย่างเย็นชาร่างกายของข่งอู่สั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าซีดเผือดแล้วพูด
ทุกคนที่อยู่ในงานรู้สึกเหงื่อที่ไหลออกมาจนท่วมตัว ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นชายแปลกหน้าคนนี้ ไม่ใช่แค่ข่งอู่ไม่กล้ายั่วยุเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าสถานะของเขาอยู่สูงกว่าข่งอู่อีกด้วยอย่าบอกนะว่า… เขาเป็นคนของตระกูลเทียน?แต่ข่งอู่เรียกเขาว่าพี่หาน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใช้แซ่เทียน แต่พวกเขาก็นึกไม่ออกว่าในเมืองหยุนเฉิงนอกจากตระกูลเทียนแล้วจะมีใครที่สมควรได้รับความเกรงกลัวจากข่งอู่อีกเวลานี้กำลังมีคนขี้ขลาดคุกเข่าลงกับพื้น เพื่อชดใช้ให้กับความจองหองของพวกเขา“พี่หานครับ รถของคุณผมจะเปลี่ยนคันใหม่ให้เอง ส่วนสองคนนี้อยากจะจัดการยังไงก็เชิญเลยครับ” ข่งอู่พูดกับหานซานเฉียนเจียงเทากลายเป็นคนพิการไปแล้ว แต่ชายอีกคนแค่ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าเท่านั้น เมื่อได้ยินคำพูดของข่งอู่ เขาก็คุกเข่าให้หานซานเฉียนด้วยความหวาดกลัว แล้วเอาหัวโขกพื้นโค้งคำนับไม่หยุด “พี่หานครับ ผมตาบอดไปแล้ว ผมทำผิดเอง ผมให้คุณได้ทุกอย่าง ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะครับ”หานซานเฉียนถอนหายใจออกมา งานเลี้ยงที่ดีกลับกลายเป็นแบบนี้อย่างอธิบายไม่ถูกขาของเจียงเทาพิการไปแล้วจึงไม่จำเป็นต้องติดใจเอาผิดอีกต่อไป อีกอย่างข
คฤหาสน์ใจกลางภูเขาใกล้ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว เจี่ยงหลานได้รับโทรศัพท์จำนวนมากจากบ้านเกิดของเธอ พวกเขาถามเธอว่าปีนี้จะกลับไปเมื่อไหร่ ในช่วงเวลานั้นบรรดาญาติมิตรเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงหานซานเฉียนแม้แต่คำเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าเจี่ยงหลานคงไม่พาหานซานเฉียนมาด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา หานซานเฉียนได้กลับไปเยี่ยมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ญาติ ๆ ทุกคนในบ้านของเจี่ยงหลานรู้ว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับหานซานเฉียนเลยผิดกับเจี่ยงหลาน ญาติมิตรเหล่านั้นต้องการพบเธอมากเป็นพิเศษในปีนี้ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ซูหยิงเซี่ยก็มีตำแหน่งสูงในบริษัท บรรดาญาติมิตรล้วนอยากได้ผลประโยชน์จากพวกเธอ ซูหยิงเซี่ยยังได้รับโทรศัพท์จากเจี่ยงหว่าน ผู้เป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธอเจี่ยงหว่านอายุมากกว่าเธอเล็กน้อย เธอกำลังคบกับแฟนหนุ่มที่มีฐานะทางครอบครัวดี ด้วยเหตุนี้ เธอจึงมักชอบพูดโอ้อวดต่อหน้าซูหยิงเซี่ย แถมยังเอาแฟนหนุ่มของตัวเองมาเปรียบเทียบกับแฟนของซูหยิงเซี่ยด้วยซูหยิงเซี่ยรู้ดีว่าเจี่ยงหว่านมีนิสัยอย่างไร ทุกครั้งที่เธอหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาพูด ซูหยิงเซี่ยจึงต้องทนฟังแบบหู
หานซานเฉียนสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเหน็บแนมของเธออย่างชัดเจน แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ ซูหยิงเซี่ยเป็นคนขอให้เขาไปเองนี่นา“เรื่องนี้… ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ” หานซานเฉียนพูดในขณะเดียวกัน เจี่ยงหลานก็วางสายโทรศัพท์แล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ญาติ ๆ ทุกคนโทรมาหมดแล้ว แต่ครอบครัวลุงของเธอกลับไม่มีแม้แต่ข้อความใด ๆ ด้วยซ้ำ มันน่าโมโหจริง ๆ”ครอบครัวเจี่ยงเฟิงกวางได้ยืมเงินไปสองแสนหยวนแล้วทำหายก่อนจะกลับถึงบ้าน ทำให้ทั้งสามคนยังรู้สึกโกรธอยู่ แน่นอนว่าไม่มีทางโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแน่นอนแม้พวกเขาจะไม่ได้วางแผนคืนเงินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็กลัวว่าเจี่ยงหลานจะพูดถึงเรื่องนี้“แม่คะ พวกคุณลุงเป็นคนยังไงแม่ยังไม่รู้อีกเหรอ? ตอนนี้เขาไม่อยากให้แม่กลับไปแน่ พวกเขาคงกลัวแม่ขอเงินคืนจากเขา” ซูหยิงเซี่ยกล่าวเจี่ยงหลานรู้เหตุผลข้อนี้เช่นกัน แม้ตอนนี้ครอบครัวของเธอจะร่ำรวย ไม่ได้ร้อนเงินสองแสนนั่น แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้นที่เธอเผลอให้เงินไปรวดเดียวสองแสนหยวนก็ยังคงรู้สึกกลัดกลุ้มใจ“ไม่ได้ กลับไปครั้งนี้ ถ้ามีโอกาสต้องให้พวกเขาคืนเงินให้ได้ นี่มันสองแสนหยวนเลยนะ” เจี่ยงหลานกล่าวหานซานเฉียนยิ้ม
ซูไห่เฉารู้สึกโกรธมากกับคำพูดของซูหยิงเซี่ย เดิมทีเขาวางแผนใช้เรื่องนี้สร้างความลำบากให้ซูหยิงเซี่ย ดังนั้นเขาจึงมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้เขาพูดกับซูหยิงเซี่ยด้วยความโมโหจนถึงขีดสุดว่า “ซูหยิงเซี่ย เธอรับผิดชอบโครงการเฉิงซีมาตลอด เธอคิดว่าคำพูดแบบนี้เหมาะสมกับสถานะในปัจจุบันของตัวเองมากนักหรือไง?”“ซูไห่เฉา นายอยากให้ฉันลาออกหรืออยากให้ฉันถูกปลดจากตำแหน่งล่ะ?” ซูหยิงเซี่ยถามอย่างใจเย็น เธอคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าซูไห่เฉาจะหาวิธีจัดการกับเธอ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยสักนิดเมื่อซูไห่เฉาได้ยินคำถามนี้ก็กัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะบริษัทเราต้องอาศัยเธอในการร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉว เธอจะสามารถครอบครองตำแหน่งนี้ในบริษัทได้อย่างนั้นเหรอ“ซูหยิงเซี่ย เธออย่าชะล่าใจนักเลย บริษัทลั่วเฉวไม่มีทางเห็นความสำคัญของเธอไปตลอดหรอก เมื่อถึงเวลาที่พวกเขารู้ว่าความสามารถของเธอไม่เพียงพอสำหรับความรับผิดชอบในหน้าที่นี้ พวกเขาจะถีบหัวส่งเธอออกมาแน่นอน” ซูไห่เฉากล่าว“นายจะลองดูก็ได้นะ ลองให้คุณจงเหลียงเปลี่ยนตัวฉันดู นายกล้าไหมล่ะ?” ซูหยิงเซี่ยกล่าวซูไห่เฉารู้สึกโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ถ้าเขากล้าลองก็คงทำไป
ซูหยิงเซี่ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที เดิมทีเธอคิดว่ายังพอเจรจากันได้ แต่คาดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้สมรู้ร่วมคิดกันแล้ว ท่าทีของพวกเขาแข็งกร้าว เห็นได้ชัดว่าไม่เหลือช่องทางให้เจรจาเป็นอย่างอื่นเลย“เถ้าแก่ทุกท่าน ประธานของเราได้พูดแล้วว่าไม่สามารถขึ้นราคาให้ได้อย่างแน่นอนค่ะ แต่ฉันมีวิธี ไม่รู้ว่าพวกคุณจะยอมรับได้ไหม?” ซูหยิงเซี่ยลองพูดหยั่งเชิง“นอกจากเรื่องเงินแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก”คังหลิงมองพิจารณาซูหยิงเซี่ยแล้วเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณซู สามีคุณเป็นคนไร้ประโยชน์ ได้ข่าวว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขายังไม่ได้แตะต้องตัวคุณเลยนี่ รสชาติของการอยู่เป็นหม้ายมันไม่น่าพิศมัยเลยสินะ”เมื่อซูหยิงเซี่ยได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามว่า “คุณคังหลิง คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?”คังหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมหมายความว่ายังไง คุณก็น่าจะเข้าใจนะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ถ้าคุณยินดี เรื่องนี้เรายังสามารถคุยกันได้”ซูหยิงเซี่ยกัดฟันกรอด เธอมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องความร่วมมือไม่ใช่มาขายตัว“ประธานคังคะ รบกวนคุณช่วยให้เกีย
ซูหยิงเซี่ยเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หลังจากที่คังหลิงและคนอื่น ๆ กลับไปแล้ว เธอก็รีบสงบสติอารมณ์ แล้วขับรถตระเวนไปมาหลายบริษัท แต่ผลสุดท้ายก็ทำให้ซูหยิงเซี่ยต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไม่มีใครยินดีร่วมมือกับตระกูลซู ดูเหมือนว่าคังหลิงจะเข้าควบคุมบริษัทผู้ผลิตทั้งหมดในเมืองหยุนเฉิงแล้ว แม้ตระกูลซูจะสามารถไปเมืองอื่นเพื่อแสวงหาโอกาสได้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เส้นเวลาก็ขยายออกไปอีก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการหยุดงานในโครงการเฉิงซีนั้นมากมายอย่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทลั่วเฉวไม่อยากเห็นในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ซูหยิงเซี่ยรู้สึกได้รับความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กดดันจนเธอแทบจะหายใจไม่ออกเลยทีเดียวเมื่อกลับมาถึงบริษัท ซูหยิงเซี่ยยังไม่ทันได้นั่งพักสักครู่ ซูไห่เฉาก็มาที่ห้องทำงานของเธออีกแล้ว“ซูหยิงเซี่ย อย่าบอกนะว่าเธอเจรจาไม่สำเร็จน่ะ?” ซูไห่เฉาเอ่ยถาม“ท่าทีของพวกเขาแข็งกร้าวมาก ฉันพยายามเต็มที่แล้ว” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างจนปัญญา“พยายามเต็มที่แล้วงั้นเหรอ?” ซูไห่เฉายิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณคังหลิงโทรหาฉัน เขาบอกว่าเธอสาดน้ำชาใส่เขา ซูหยิงเซี่ย ฉันว่าเธอจงใจทำ
เพียงไม่นานนัก ซูอี้หานก็มาถึงห้องทำงาน“ไห่เฉา เกิดอะไรขึ้น ฉันเห็นซูหยิงเซี่ยเหมือนจะถืออะไรบางอย่างออกไป” ซูอี้หานถามด้วยความสงสัย“เธอไปแล้ว ต่อไปจะไม่ต้องเห็นเธอในบริษัทอีก” ซูไห่เฉากล่าวซูอี้หานรู้สึกตกใจ แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่ามันเกิดขึ้นเร็วและกะทันหันเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้น นายแก้ปัญหาทางฝั่งคุณจงเหลียงได้แล้วเหรอ?” ซูอี้หานเอ่ยถาม“เปล่า” ซูไห่เฉากล่าว“เปล่าอย่างงั้นเหรอ?” ซูอี้หานมองซูไห่เฉาด้วยความตกใจ เรื่องคุณจงเหลียงยังไม่ได้แก้ไข แล้วโครงการเฉิงซีจะทำอย่างไรล่ะ? ตอนนี้ตระกูลซูกำลังพึ่งพาโครงการเฉิงซีอยู่ ถ้าสูญเสียความร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉวไป แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยตระกูลซูไม่ได้“ไห่เฉา นายบ้าไปแล้วเหรอ นายไม่กลัวว่าคุณจงเหลียงจะไม่ร่วมมือกับเรารึไง?” ซูอี้หานถาม“ซูหยิงเซี่ยต้องการจะไปเอง ฉันจะห้ามเธอได้ยังไง เรื่องนี้ฉันจะบอกกับคุณจงเหลียงเอง ฉันเชื่อว่าเขาจะเข้าใจ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้เป็นคนไล่เธอออกไปซะหน่อย” ซูไห่เฉากล่าวแม้จะพูดแบบนั้น แต่ซูอี้หานก็ยังรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป ถึงอย่างไรคุณจงเหลียงก็กำหนดว่าต้องร่ว